เฮคเตอร์คิดว่ามันคงจะเพียงพอแล้วถ้าเขายอมทำตามข้อเรียกร้องของเฟนด์ แล้วเขาคงจะปล่อยพวกเขาไป เขาไม่คิดว่าเฟนด์จะพูดเรื่องอื่นอีก เฟนด์มองไปรอบ ๆ และสังเกตว่าผู้ชายที่ติดตามลูก้าเมื่อวานนี้ไม่อยู่แถวนี้ เขาคิดว่าพวกเขาคงไปที่โรงพยาบาลเพื่อดูเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บ “มีอะไรผิดปกติเหรอ? อย่าบอกนะว่าคุณอยากได้เงิน?” เฮคเตอร์พูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา “เฮ้ ฉันต้องการเงินจริง ๆ นั่นแหละ!” เฟนด์หัวเราะ “คนของคุณเป็นหนี้ฉันห้าหมื่นเหรียญ เมื่อวานนี้พวกเขาจ่ายเงินแค่ล้านเดียวยังไม่ได้เลย ช่างน่าอับอายเสียจริง!” “คุณเป็นคนที่เอาชนะลูก้างั้นเหรอ?” สีหน้าของเฮคเตอร์มืดลง เขาแทบจะเป็นลมเพราะโกรธจัด เขาคิดว่าวันนี้เขาช่างโชคร้ายจริง ๆ ที่ได้เจอกับนักรบที่แข็งแกร่งและกล้าหาญเช่นนี้ เขาวางแผนที่จะทรมานคนที่ข่มขู่ลูก้าซะหน่อย เอาให้มันตาย แต่เขาไม่คิดว่าเฟนด์จะเป็นคนคนเดียวกับคนที่ข่มขู่ลูก้าและลูกน้องของเขา ซวยซ้ำซวยซ้อนจริง ๆ พวกเขาทำให้คนคนเดียวกันโกรธถึงสองครั้ง “ใช่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเหรอ?” เฟนด์แสยะยิ้มอย่างเย็นชา “คุณไม่เพียงแต่ต้องให้เงินฉันห้าหมื่นเหรียญเท่านั้น แต่คุณยังต้อ
เฟนด์เปลี่ยนไปสนใจที่โทรศัพท์ของเขา 'สกายเลอร์ เซเลสติโน' ปรากฏอยู่บนหน้าจอ “เฮ้ สกายเลอร์ เซเลสติโน่!” เฟนด์พูดอย่างสบาย ๆ หลังจากที่รับสาย “ฮ่า ๆ ใช่! ตามอัตราส่วนที่คุณบอกผม คุณจะได้หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นล้านเหรียญสำหรับส่วนแบ่งของคุณ คุณน่าจะได้รับมันแล้ว ใช่ไหมครับ?” “ผมขายไปราคาถูกมาก ผมไม่เพียงแต่แก้อาการคันไม้คันมืออยากจะต่อสู้เท่านั้น แต่ผมยังได้กำไรมหาศาลจากมันอีกด้วย” เสียงของสกายเลอร์ดังออกจากโทรศัพท์ “ใช่ ฉันได้รับเงินแล้ว ฉันยังมีธุระต้องทำ เดี๋ยวฉันจะวางสายก่อน!” เฟนด์วางสายในวินาทีถัดมา ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขายืนอยู่ใกล้ ๆ และเสียงของสกายเลอร์ก็ไม่เบาเลย ตอนก่อนที่จะวางสายนั้นด้วย เฟนด์ไม่แน่ใจว่าเธอจะได้ยินอะไรจากบทสนทนาไปบ้างหรือเปล่า ตอนนั้นเอง เฮคเตอร์เดินเข้ามาหาพวกเขาและพูดว่า “พี่ชายเฟนด์ ฉันได้ยินมาว่าคุณเป็นบอดี้การ์ดของตระกูลเดรคใช่ไหม?” เฟนด์เตรียมที่จะก้าวขาเดินแล้วและกำลังจะออกจากไปจากที่นี่ เขาไม่คิดว่าคำถามดังกล่าวจะออกมาจากปากของเฮคเตอร์ เขาพยักหน้าตอบคำถาม “ใช่ มีอะไรงั้นเหรอ?” “ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาจ่ายค่าจ้างให้คุณยี่สิบล้านเหรียญต่อเดื
“สกายเลอร์ เซเลสติโน?” “หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นล้านเหรียญ?” ผู้คนที่ยังอยู่ในที่เกิดเหตุตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่ว ข้อมูลสองอย่างนี้น่าตกใจมากเกินไป “แน่ใจว่าได้ยินถูกใช่ไหม? สกายเลอร์ เซเลสติโน? สกายเลอร์นี่ชื่อของราชาแห่งสงครามไม่ใช่เหรอ? เขาคือราชาแห่งสงครามแปดดารา!” ชายชรานิ่งเป็นอัมพาตไปแล้ว ณ จุดนั้น เป็นความประหลาดใจที่น่าสะพรึงกลัวยังคงติดอยู่กับเขา หลังจากไม่กี่วินาทีที่เขาจำคำพูดของเขาขึ้นได้ “มีราชาแห่งสงครามเพียงคนเดียวที่ชื่อสกายเลอร์ เซเลสติโน!” หญิงวัยกลางคนดวงตาของเธอว่างเปล่าราวกับว่าเธอกำลังตกอยู่ในความสับสน และยังไม่มีสติหลังจากที่ได้รู้เรื่องนั้น “ถ้าเป็นสกายเลอร์ เซเลสติโนราชาแห่งสงครามจริง ๆ ทำไมเขาถึงให้เงินเฟนด์จำนวนมากขนาดนั้น? มันมากกว่าหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นล้านเหรียญ! คุณแน่ใจนะว่าได้ยินตัวเลขถูกต้อง? ทำไมเขาถึงให้เงินกับไอ้หมอนั่นมากขนาดนั้น” การตกใจอย่างกะทันหันทำให้กล้ามเนื้อของเฮคเตอร์ตึงเครียด มีเพียงตระกูลที่มีชื่อเสียงเท่านั้นที่จะมีรายได้จำนวนนั้นหลังจากที่ขายทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเขา ไม่มีใครในที่เกิดเหตุเข้าใจว่าทำไมราชาแห่
“ให้ตายสิ ไอ้เด็กนั่นฉลาดจริง ๆ! เราเกือบจะโดนเขาหลอกแล้ว!” ชายร่างใหญ่ที่บาดเจ็บคนหนึ่งตบต้นขาของเขาและตะโกนออกมา “เด็กนั่นเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าจิ้งจอกเสียอีก!” ชายวัยกลางคนพูดแทรกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า “เขากลัวว่าเราจะเจอสิ่งผิดปกติถึงได้รีบออกออกไป นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเก็บไพ่ตายใบนี้ไว้ในมือ เพื่อที่เขาจะได้ออกจากสถานที่แห่งนี้ ไม่งั้นจะบังเอิญมาสายโทรเข้ามาได้ยังไง? ทำไมถึงโทรเข้ามาในขณะที่เรากำลังจะโอนเงินให้เขา?” หลังจากได้ยินการวิเคราะห์อย่างละเอียดของทุกคน เฮคเตอร์ก็พยักหน้าเห็นด้วย ไอ้สารเลวนั่นเกือบจะหลอกเขาแล้ว! เขาหันไปมองชายชราและพูดว่า “ผู้เฒ่าวอร์ด ฉันขอบคุณมากสำหรับความเฉลียวฉลาดและสติปัญญาของคุณ โชคดีที่เด็กนั่นถูกเปิดเผยตัวเองด้วยการพูดเงินจำนวนมากที่น่าขำ หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นล้านเหรียญ ถ้าเขาพูดว่าร้อยหรือสองร้อยล้าน พวกเราคงตกหลุมพรางของเขาไปแล้ว” ผู้เฒ่าได้ยินคำยกย่องก็ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น เขาเอามือไขว้ไว้ด้านหลัง แล้วพูดช้า ๆ ว่า “ฮ่า ๆ! ฉันเพียงแต่จะแสดงความเห้นว่าเด็กนั่นช่างอวดดีเกินไปแล้ว แผนของเขาคงจะสมบูรณ์แบบถ้าจำนวนเงินมันน้อยกว่
ในขณะเดียวกันนั้น ที่บ้านของตระกูลเดรค… สาวสวยสามคนกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนกว้างของบ้านตระกูลเดรค อีวอนน์มองไปที่ทันย่าอยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่เธอกลัวว่าความห่วงใยที่เธอมีต่อเฟนด์มันจะชัดเจนเกินไป เธอกลัวว่าสาวสวยสองคนตรงหน้าเธอจะเข้าใจผิด อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งวันภายในใจของเธอความวิตกและกังวลเกี่ยวกับเฟนด์ก็เพิ่มมากขึ้นอย่างควบคุบไม่ได้ เธอรู้อยู่ในใจว่าหัวหน้าของกรีนสกาย ฮอลล์และหัวหน้าของคิงส์ตัน ฮอลล์เป็นพี่น้องทางสายเลือดกัน เหตุผลที่กรีนสกาย ฮอลล์พัฒนาและขยายตัวได้อย่างรวดเร็วมาก เป็นเพราะว่ามีคิงส์ตัน ฮอลล์ที่มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง ยิ่งไปกว่านั้น มีนักสู้ระดับสูงหลายคนในกรีนสกาย ฮอลล์ แม้แต่สเปคเตอร์เฟซจากตระกูลเดรคยังต้องคิดให้ดีก่อยเลยที่จะต่อสู้กับพวกเขา ดังนั้นความกลัวและความกังวลจึงกัดกินภายในใจของเธอ เธอเป็นห่วงความปลอดภัยของเฟนด์จริง ๆ ตอนนี้เฟนด์ควรจะมาทำงานได้แล้ว แต่เขายังไม่มาเลย หมอนี่คงไปทำตามสิ่งที่เขาพูดไว้แน่ ทันย่าก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ประตูทางเข้า สีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายใจ “ไอ้บ้าเฟนด์ ทำไมเขายังไม่มาทำงานอีก?” ชารอน จอร์จที่ยังพูด
“เขากลับมาจนได้!” ชารอนและอีวอนน์อุทานออกมาพร้อมกัน ทั้งสองถอนหายใจอย่างโล่งอกชารอนมองไปที่อีวอนน์ ริมฝีปากสีอมชมพูของเธอแยกออกจากกันเล็กน้อย เธออดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “อีวอนน์ ดูเหมือนเธอ...เธอจะเป็นห่วงเฟนด์มากเหมือนกันนะ อย่าบอกนะว่าเธอก็ชอบเขาด้วย?” คำถามของชารอนทำให้อีวอนน์ตกใจจนเธอสำลัก ตาของเธอสั่นไหวและแก้มของเธอก็กลายเป็นสีชมพูทันที เธอตอบกลับทันทีว่า “อะไรนะ? เป็นไปไม่ได้! หมอนั่นเป็นพวกโรคจิตที่หลงไหลผู้หญิงสวย ๆ! ฉันไม่ชอบเขาหรอก ฮึ่ม!” หน้าผากของชารอนย่นขณะที่เธอขมวดคิ้ว “เป็นไปไม่ได้! ถ้าเขาเป็นคนบ้ากาม ทำไมเขาถึงไม่หลงไหลฉันล่ะ? ฉันมีรูปร่างที่ดีและก็ดูดีด้วย!” “สวัสดีคนสวย! ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมารบกวนพวกคุณนะ พวกคุณก็ดูอารมณ์ดีที่ได้ชื่นชมความงามของดอกไม้” เฟนด์แซวขณะเดินเข้าไปหาทั้งสามคน ใบหน้ายิ้มอ่อนโยนและอบอุ่น เมื่อเฟนด์มาปรากฏตัวตรงหน้าพวกเธอ ชารอนที่สมองของเธอถูกครอบงำด้วยความกังวลและความตื่นตระหนกเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วก็สงบลงทันที ท่าทางของเธอเปลี่ยนไป เธอเริ่มใจเย็นลงและเขินอาย ทำสีหน้าสบาย ๆ โดยไม่กังวลเรื่องเฟนด์อีก “กรีนสกาย ฮอลล์ คุณไปที่นั
เฟนด์ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินว่าทันย่าห่วง “ผมว่าไม่เป็นอย่างนั้นนะ ยังไงซะ เฮคเตอร์ก็เป็นหัวหน้าของกรีนสกาย ฮอลล์ในฐานะหัวหน้าของกลุ่มที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ เขาจะกลับไปทำตามคำสัญญาได้ยังไง?”ในทางกลับกัน ทันย่าก็อดไม่ได้ที่จะมองเฟนด์อย่างเยาะเย้ย “แน่นอน เขาเป็นหัวหน้าของกรีนสกาย ฮอลล์ แต่พลังที่แท้จริงของพวกเขาไม่ใช่แค่ที่เห็นอย่างผิวเผินนะ สำหรับทั่วโลก พวกเขากำลังจะเปิดสปาและศูนย์สุขภาพ แต่ภายใต้ธุรกิจเช่นนั้น พวกเขาทำข้อตกลงมากมายเกี่ยวกับธุรกิจสกปรก ๆ เราควรจะไว้ใจคนแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?” เฟนด์พยักหน้าเห็นด้วย “มาดูกันว่ามันจะเป็นยังไง ถ้าไม่ได้เรียนรู้แล้วจะมาเสียใจทีหลัง!” “เอาล่ะ นี่มันก็สายเกินไปแล้ว เราไปช้อปปิ้งกันเถอะ!” ทันย่าแนะนำ เฟนด์ดูนาฬิกาที่ข้อมือ เป็นเวลาเกือบจะเที่ยงแล้ว หลังจากครุ่นคิดมาเขาก็เสนอไปว่า “โอเค! ผมมีเงินห้าหมื่นเหรียญจากกรีนสกายฮอลล์ ผมจะเลี้ยงอาหารกลางวันกับพวกคุณทั้งสามคน!” "ฮิฮิ! ขอบคุณ!" ทันย่าหัวเราะ “โอ๊ะ จริงด้วย! เกือบลืมเลย! วันนี้คือวันจ่ายเงิน แล้วก็เป็นครั้งแรกที่คุณจะได้รับเงิน การเงินจะโอนเงินเดือนของคุณให้ไม่เกินบ่ายนี้!”เฟนด์ไม่ไ
อีวอนน์พูดไม่ออก เธอเดินอยู่ข้างหลังชารอนและตบหลังเธอ แล้วเดินออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น "อ๊า!"ความเจ็บปวดแผ่ซ่านทั่วหลังของชารอนทำให้เธอตะโกนออกมาดัง ๆ ดวงตาเบิกกว้างราวกับจานรอง “อีวอนน์ เดรค เธอทำอะไรเนี่ย!”อีวอนน์ยิ้มอย่างไร้หัวใจและส่ายหน้า “ก็เพิ่งบอกว่าอยากโดนตบไม่ใช่เหรอ? ก็เลยทำเป็นว่าเป็นเฟนด์ที่ตบยังไงล่ะ” ชารอนตกตะลึง เธอไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี เธอกำลังโกรธจัด “มัน มันจะเหมือนกันได้ยังไง?” ถ้าเป็นเฟนด์จริง ๆ มันก็อาจจะหมายความว่าเขาสนใจในตัวเธออยู่บ้าง หากเป็นเช่นนั้น แม้ว่าจะถูกตีจนช้ำแต่หัวใจเธอก็เต็มไปด้วยความยินดี อย่างไรก็ตาม เธอต้องอยู่ในความเป็นจริงที่ว่า เฟนด์ ไอ้โง่นี่ไม่เคยให้โอกาสเธอเลย เธอไม่รู้ว่าจะทำยังไงอีกต่อไปแล้ว “ไปกันเถอะ นี่เป็นครั้งแรกที่เฟนด์เลี้ยงข้าวเราเลย เพราะงั้นก็เร็วเข้าเถอะ!” ความรักและความภักดีของชารอนที่มีให้เฟนด์ทำให้ทันย่าถอนหายใจ เธอไม่คิดว่าความรักจะเป็นแบบนี้ มันคือความหลงใหล ครอบงำจนสูญเสียความรู้สึกของตัวเอง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปัจจุบันก็คือความรักที่ไม่สมหวังอยู่ดี สุดท้ายแล้ว ด้วยความสวยงามและหุ่นที่ดีข
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ