กลิ่นน้ำหอมของเธอเข้าเต็มจมูกของเขา ร่างกายที่อ่อนนุ่มโค้งมนนั่งอยู่บนตักของเฟนด์ หัวใจเฟนด์เต้นอย่างผิดจังหวะอย่างคาดไม่ถึง สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นผู้ชาย แม้ว่าจะเป็นทหาร แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ถึงอย่างนั้นเขาก็ผลักซาซ่าออกอย่างรวดเร็ว “คุณทำอะไรน่ะ? เป็นผู้หญิงไร้ยางอายอย่างนี้ได้ยังไง?!” ใบหน้าของซาซ่าแดงราวกับมะเขือเทศ แต่เธอก็ยังยิ้มได้แม้ในขณะที่เฟนด์กำลังโมโห เธอยิ้ม “ฉันไม่ได้ไร้ยางอาย ฉันเป็นคนตรงไปตรงมาเพราะฉันชอบคุณ” เธอพูดอย่างเขินอาย “ไม่มีผู้ชายคนไหนโดนตัวฉันได้แบบนี้!” เฟนด์พูดไม่ออก ในสนามรบ เขามีวิธีการมากมายในการฆ่าศัตรู ง่ายพอ ๆ กับการหายใจ อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่กล้าหาญอย่างเธอ เขายังคงแสดงสีหน้าเคร่งขรึม “คุณซาซ่า อย่าลืมสัญญาที่เราเคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ คุณกลับคำไม่ได้นะ คุณเป็นถึงนายหญิงน้อยของตระกูลจอร์จ เข้าใจไหม?” ซาซ่าผงะไปครู่หนึ่ง เธอฉ.นและรู้สึกผิด เธอก้มหัว “แน่นอน แน่นอนว่าตอนนั้นฉันไม่เหมาะกับคุณ ด้วยรูปลักษณ์ของฉัน” เธอพูดอย่างเขินอาย “แต่ด้วยรูปลักษณ์
อีวอนน์เยาะเย้ยเฟนด์อย่างไม่แยแส การโต้เถียงนั้นทำให้เธอนึกถึงตอนที่เฟนด์เดินเข้าไปในห้องของเธอ ขณะที่เธอเพิ่งจะอาบน้ำอุ่น ๆ มา เธอยังคงไม่พอใจเขาจนถึงทุกวันนี้ เฟนด์ไม่คิดเลยว่าเขาจะตกเป็นเป้าเสียเอง “เฮ้ ใครบอกคุณ? คุณยังจำได้ไหมเนี่ยว่าใครเป็นคนแบกคุณขึ้นหลังในคืนที่คุณเมาแอ๋ถึงขนาดที่เดินกลับบ้านเองไม่ไหวน่ะ?” เฟนด์จงใจป่าวประกาศ “และตอนที่คุณอยู่บนหลังผม มือของผมก็ไม่ได้ว่างนะ ผมยังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณอีกด้วย! คุ้น ๆ ไหมล่ะ?”เฟนด์เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงประชด เขาจะไม่ยอมให้อีวอนน์มากระตุกหนวดเสือของเขาหรอก ในเมื่อเธอเป็นคนเยาะเย้ยเขาก่อนแก้มอันแสนน่ารักของอีวอนน์กลายเป็นสีชมพูทันที เธอกระทืบเท้าราวกับเด็ก แล้วบ่นด้วยน้ำเสียงที่ปนไปด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย “ทันย่า ไหนเธอบอกว่าคนใช้ของเธอเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฉัน แล้วทำไมเฟนด์ถึงบอกว่าเขาเปลี่ยนล่ะ นี่เธอโกหกฉันเหรอ?”การถูกกล่าวหาอย่างไม่คาดคิดทำให้ทันย่าชะงักไปชั่วครู่ แล้วเธอก็พูดไม่ออก เห็นได้ชัดว่าเฟนด์แต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อที่จะล้อเธอเล่น แต่เธอดันเชื่ออย่างสนิทใจ ทันย่ายิ้มอย่างขมขื่นแล้วอธิบายว่า “น้
ตระกูลเทย์เลอร์ได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน เนื่องจากบ้านนั้นไม่ได้ใหญ่หรือหรูหรา ตระกูลเทย์เลอร์จึงซื้อบ้านหลายหลังด้วยกัน เชื่อมไว้ด้วยกำแพงสูงและหนา แล้วทำให้มันกลายเป็นคฤหาสน์ของตระกูลเทย์เลอร์บนภูเขาเล็ก ๆ ไม่ไกลจากคฤหาสน์ของตระกูลเทย์เลอร์ มีบ้านพักหลังใหญ่และหรูหราหลังนึงตั้งอยู่ที่ตีนเขา และไม่ใช่เพียงแค่ที่ตั้งของบ้านพักที่เป็นเชิงกลยุทธ์เท่านั้น แต่ยังมีสวนสาธารณะที่แสนสะอาดและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ อีกด้วยนั่นจึงเป็นสาเหตุที่บ้านพักนั้นมีราคาที่สูงเกินไปมาก โดยมีมูลค่าประมาณ 20 ถึง 30 ล้านเหรียญบ้านพักนั้นมีพื้นที่กว้างขวางและแบ่งแยกเป็นสามชั้นด้วยกัน มีการออกแบบภายในที่ดูหรูหราและมั่งคั่ง เจ้าของบ้านพักนั้นเป็นหัวหน้าครอบครัวของตระกูลชนชั้นสูงระดับที่สาม เขาจ่ายเงินเป็นจำนวนมากเพื่อบ้านพักหลังนี้ เจ้าของบ้านตัดสินใจย้ายที่จะไปอยู่ต่างประเทศเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้น เขาจึงเปิดประมูลบ้านหลังนี้ด้วยสถานที่ตั้งที่เป็นกลยุทธ์และไม่ไกลจากคฤหาสน์ของตระกูลเทย์เลอร์ ด้วยเหตุนี้ เมื่อเฟนด์เห็นบ้านหลังนี้ในทวินซิตี้เน็ตเวิร์คเมื่อวานนี้ เขาจึงตัดสินใจทันที เขาจะต้อ
ความคิดนั้นได้ตอกย้ำข้อสันนิษฐานของเขามากขึ้น ไอ้นักเลงนั่นตั้งใจจะซื้อบ้านพักหลังนี้เป็นของขวัญให้คุณปู่เทย์เลอร์จริง ๆทุก ๆ คนในตระกูลเทย์เลอร์รู้ว้าบ้านพักหลังนี้นั้นวิเศษขนาดไหน พวกเขาตื่นขึ้นมาเห็นมันและผ่านไปโดยอยู่ในสายตาของมัน บ้านพักหลังนั้นตั้งอยู่ตรงข้ามคฤหาสน์ของตระกูลเทย์เลอร์ พวกเขามองเห็นมันได้ทุกวัน เพราะฉะนั้น อีวานจึงมาเพื่อดูว่าเขาจะสามารถได้มันมาในราคา 20 ถึง 30 ล้านเหรียญได้หรือไม่ เขาอยากจะมอบบ้านหลังนี้เป็นของขวัญให้แก่คุณปู่เทย์เลอร์ หรือบางที เขาก็ย้ายไปอยู่บ้านหลังนั้นเสียเองพร้อมกับคุณปู่เทย์เลอร์อย่างไรก็ตาม คุณปู่เทย์เลอร์ได้ยึดติดกับบ้านหลังนี้เป็นอย่างมาก เมื่อไรก็ตามที่เขาออกไปข้างนอกในช่วงดึก ๆ เขามักจะบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างใส่อารมณ์ว่า “บ้านพักหลังนั้น ที่อยู่ตรงข้ามคฤหาสน์ของเรา ถูกสร้างขึ้นมาอย่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน ถ้าฉันมีโอกาสอยู่บ้านหลังนั้นนะ จะตายอย่างไม่เสียดายเลย”สำหรับทรัพย์สินที่จำเป็นในการซื้อบ้านหลังนี้ อีวานไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย เพราะเงินนั้นได้มาจากบริษัทของตระกูลเทย์เลอร์ นอกเหนือจากนั้นแล้ว ถ้าเขาจัดการซื้อบ้านพักหลังนี้ได้และใ
“อะไรนะ? นั่นสามีของเซเลน่า เทย์เลอร์ ราชินีแห่งความงามของอาณาเขตกลางนี่?”“ใช่ ไอ้กุ้งแห้งคนนี้โคตรโชคดีเลยที่ได้เซเลน่าเป็นภรรยา ใคร ๆ ก็อิจฉาเขาทั้งนั้น!”“มีอะไรน่าอิจฉากัน? ไอ้กุ้งแห้งนั่นเป็นลูกเขยของตระกูลเทย์เลอร์แค่ชื่อเท่านั้น เขาอาจจะโดนกระทำเหมือนขยะไร้ประโยชน์ตอนอยู่บ้านก็ได้ ได้ยินมาว่าตระกูลเทย์เลอร์ผลักไสพวกเขาออกจากคฤหาสน์ ฉันพนันเลยว่าเขาไม่ถูกยอมรับให้เป็นลูกเขยจริง ๆ หรอก!”“ใช่เลย! แม่ยายของเขาเกลียดความบ้าบิ่นของเขาจะตาย อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของพวกเขาต้องเจ็บปวดเพราะเขามามากแล้ว!”นักธุรกิจหลายคนเริ่มนินทาว่าร้ายเกี่ยวกับพวกเขาด้วยท่าทีที่นิ่งเงียบ บางคนก็มองอย่างดูถูกดูแคลนเฟนด์ไม่ได้ให้ค่ากับเรื่องซุบซิบพวกนั้น เขาหันหน้าไปอีกฝั่งแล้วพูดว่า “นั่นสิอีวาน ช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้! ฉันไม่คิดเลยว่าจะเจอนายที่นี่!”“เอ๊ะ ถ้าให้ฉันเดานะ นายขอเงินเดือนล่วงหน้าสองเดือนจากคุณทันย่า แล้วนายก็มาที่นี่เพื่อประมูลบ้านพักสุดหรูหลังนั้น เพื่อให้คุณปู่เทย์เลอร์เป็นของขวัญครบรอบ 70 ปี ใช่ไหมล่ะ?”อีวานหัวเราะอย่างดูถูกแล้วพูดต่อว่า “นายนี่ความคิดดีๆจริงเลยนะ! ของขวัญชิ้นน
ไม่กี่วินาทีผ่านไป และในไม่ช้า ราคาประมูลสูงขึ้นถึง 21 ล้านราคาประมูลพุ่งขึ้นสูงมาก ถึงขนาดที่บางคนต้องยอมแพ้กับการประมูล และหยุดเสนอราคาเพิ่ม “ยี่สิบสามล้าน!”ในที่สุด เฟนด์ก็ยกมือขึ้น แล้วเสนอราคาที่มากกว่าออกไป เผยให้เห็นหญิงสาวที่กำลังยืนยิ้มอย่างอบอุ่น“สุภาพบุรุษท่านนี้ ได้เสนอราคาถึงยี่สิบสามล้านเหรียญ! มีใครให้ราคาสูงกว่านี้ไหมคะ?”มุมปากของผู้หญิงคนนั้นเลิกขึ้น หลังจากได้ยินเฟนด์เสนอราคา เขาไม่ได้เพิ่มเงินเพียงแค่ล้านเดียว แต่เพิ่มถึงสองล้าน“ยี่สิบห้าล้าน!”อีวานยกมือขึ้น แล้วเพิ่มเงินอีกสามล้านอย่างไม่ลังเลใจ ราวกับว่าเขาเป็นคนที่รวยที่สุดในอาณาเขตกลาง หลังจากที่เขาเอามือลง เขาหันหน้าไปหาเฟนด์แล้วพูดว่า “เฟนด์ แกอย่ามาแข่งกับฉันเลย บ้านพักหลังนี้เป็นของขวัญวันเกิดสำหรับปู่ฉัน แกมันก็แค่ลูกเขย แกจะอยากสู้กับฉันไปทำไมกัน? แกไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเอาชนะฉันด้วยซ้ำ!”“ฮ่าฮ่า! นายแน่ใจเหรอ?” เฟนด์เยาะเย้ยอย่างเย็นชา เงินก็แต่ตัวเลขสำหรับเขา เขาสามารถซื้อทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลเทย์เลอร์ โดยที่ยังรู้สึกเฉย ๆ ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับบ้านพักแค่หลังเดียว“เฮ่! แกนี่มันหัว
เคนและอีวานสบตากัน ใบหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธพวกเขาลืมเรื่องกฏของโรงประมูลไปซะสนิท พวกเขาทั้งหมดเป็นนายน้อยของตระกูลชั้นสูง เป็นธรรมดาที่พนักงานจะไม่สงสัยความสามารถในการใช้จ่ายของพวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงเข้ามาในโรงประมูลได้โดยไม่ถูกตรวจสอบใด ๆ ทั้งสินที่จริงแล้วมีประกาศกฏของโรงประมูลติดอยู่ที่ทางเข้าว่า เฉพาะบุคคลที่มีทรัพย์สินมากกว่า 50 ล้านเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าโรงประมูลได้ พวกเขาทั้งสามไม่ได้สนใจป้ายประกาศเลยสักนิดหลังจากที่เฟนด์ช่วยเตือนความจำ พวกเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าไอ้สารเลวนั่นสามารถจ่ายเงินได้มากถึง 35 ล้านเหรียญ “ดูเหมือนว่า คุณทันย่าจะให้เงินล่วงหน้ามาสามเดือนเลยสินะ ต้องใช่สิ ต้องใช่แน่ ๆ ! เขามีเงิน 60 ล้านอยู่ในมือ! ”สีหน้าของนีลเย็นชาและเคร่งขรึมขึ้น ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง มันคงไม่ง่ายแน่ที่อีวานจะแข่งกับเฟนด์ แล้วชนะการประมูลบ้านหลังนั้นสีหน้าของอีวานดูเย็นชา และน่าเกลียดยิ่งกว่าสีหน้าของนีลเสียอีก ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง มันไม่หมายความว่า เฟนด์สามารถเสนอราคาได้มากที่สุดถึง 50 ล้านหรอกเหรอ? ถ้าเฟนด์แยกเงินที่ติดเขาไว้อยู่สิบล้านแล้วไม่แปลกใจเลยที่ไอ
มุมปากของอีวานกระตุกขึ้นแรง ๆ อย่างควบคุมไม่ได้ ฝูงชนที่อยู่ในเหตุการณ์รู้อย่างแน่นอน ว่ากำลังมีการต่อสู้เกิดขึ้นระหว่างชายสองคนนี้ เพราะพวกฝูงชนนั้นกำลังจับตาดูพวกเขาอยู่ ว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้างอย่างไรก็ตาม ตอนที่อีวานกับเฟนด์พนันกัน เขาประกาศกฏในการลงโทษด้วยเสียงที่ดังมาก ๆ ราวกับว่าแขกคนอื่น ๆ หูหนวกอย่างไรอย่างนั้น เขาอยากจะให้ทุกคนเห็นจริง ๆ ว่าเฟนด์มันก็แค่ไอ้ขยะไร้ประโยชน์ มันเท่านั้นที่จะต้องคุกเข่าต่อหน้าเขา และขัดรองเท้าของเขาจนกว่าจะสะอาดแต่ตอนนี้ สถาณะการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เงินจำนวน 60 ล้านที่เฟนด์ได้ตะโกนออกไป ทำให้เขาต้องใช้สมองอันน้อยนิดของเขา เพื่อวางแผนใหม่อีกที “บ้านหลังนี้คุ้มค่าสำหรับเงินหกสิบล้านไหม?” เขาได้แต่คิดแล้วก็สงสัยเขาคิดอย่างหนักว่าเฟนด์ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ เฟนด์จงใจเพิ่มราคาให้สูงขึ้น เพื่อล่อเขาให้ติดกับดักหรือเปล่า?แต่ทว่า ถ้าเขาหยุดตอนนี้ มันก็จะหมายความว่าเขาแพ้การพนันครั้งนี้ ในทางกลับกัน เขาเองนั่นแหละที่ต้องเป็นคนเช็ดรองเท้าให้เฟนด์ นายน้อยแห่งตระกูลชนชั้นสูงระดับสองอย่างเขา จะคุกเข่าต่อหน้าไอ้ขยะ แล้วขัดรองเท้าให้มันได้ยังไง? ถ้าเรื่องนี
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ