“นายรู้ได้ยังไงว่าหินพวกนี้คุณภาพไม่ดี? นายไม่ได้เข้ามาดูใกล้ ๆ! นอกจากนี้ นายก็เป็นแค่คนธรรมดา นายจะรู้อะไร?” ชายชราที่เป็นเจ้าของแผงขายหินพนันตําหนิเฟนด์ เขาสุขสบายดีจนมาเจอเฟนด์ เขาอยากจะบีบคอเฟนด์ให้ตาย ๆ ไป ไอ้บ้านี่มันมาเพื่อทําลายธุรกิจและชื่อเสียงของเขาเหรอ? “หุบปากซะนายไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการพนันหิน!” อีวอนน์กรอกตามองเฟนด์และนั่งลงเลือกหินของเธอ จากนั้นเธอก็หยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมา “นี่ไง” เธออุทาน “หินก้อนนี้ดูดีเลย!” ไมเคิลขมวดคิ้วเขาไม่มั่นใจในเกมนี้เพราะเขารู้ว่า อีวอนน์มีประสบการณ์มากกว่าเขาที่อยู่ในพื้นที่นี้แม้ว่าเขาจะเชื่อความสามารถในการเลือกหินที่ดีของตัวเองไมเคิลเดินไปมาระหว่างหินสองสามก้อนในที่สุดก็สามารถเลือกหินที่มีขนาดใกล้เคียงกันได้“หินก้อนนี้!”เฟนด์มองหินที่ทั้งสองเลือกและเข้าไปหาอีวอนน์อย่างเงียบ ๆ “คุณอีวอนน์ ผมแนะนําให้คุณเปลี่ยนหิน แม้มองจากมุมนี้หินก้อนนี้จะดูดีแต่มันไม่ได้ดีไปกว่าของนายน้อยวิลสันเมื่อคุณผ่าเปิดมันออก” เฟนด์ให้เหตุผล“เป็นไปไม่ได้!” อย่างไรก็ตามอีวอนน์จะเชื่อคําพูดของเขาได้อย่างไร? เธอตอบ “นายรู้อะไรไหม? จากประสบการณ์หลาย
อีวอนน์ใจเต้นแรงเมื่อเธอเห็นเด็กฝึกงานผ่าหินของไมเคิลเปิดออกเธอภาวนาอย่างสิ้นหวังว่าหินพนันที่ไมเคิลเลือกนั้นจะแย่กว่าของเธอ หากหินของหมอนั่นเป็นหินธรรมดาหรือมีหยกเพียงเล็กน้อยเธอก็ยังคงมีโอกาสที่จะชนะการเดิมพันนี้ แต่เมื่อหินถูกเปิดออกกลับพบว่ามันมีคุณภาพดีกว่าของเธอ แม้ว่าจะไม่น่าพอใจมากนัก หินขยะนี้มีมูลค่าเพียง 20,000 ถึง 30,000 เหรียญ ไมเคิลหัวเราะลั่นทันที “ยกโทษให้ผมด้วยนะคุณอีวอนน์ ดูเหมือนว่าครั้งนี้ผมจะชนะ!”ไมเคิลหัวเราะเยาะและพูดต่อ “คุณต้องจ่าย! 300,000 เหรียญ!” “ฮืม! มันก็แค่ครั้งนี้เทพีแห่งโชคอยู่ข้างคุณแค่นั้น!” อีวอนน์ตะคอกกลับอย่างเย็นชาก่อนจะโอนเงินให้กับเจ้าของร้าน อย่างไรก็ตาม อีวอนน์โกรธเคืองจ้องเขม็งไปยังเจ้าของแผงลอยและบ่นอย่างหงุดหงิด “ที่เฟนด์บอกถูกต้องจริง ๆ ร้านของคุณไม่มีหินที่ดีเลย!”อีวอนน์พูดออกมาด้วยความโกรธ เจ้าของแผงลอยไม่กล้าต่อต้านตระกูลเดรคแม้ว่าเขาจะไม่พอใจกับคําพูดของเธอ เขาทำได้แค่หัวเราะอย่างขมขื่น“ชิ! หมอนั่นนะเหรอ? ไอ้หมอนั่นก็แค่บังเอิญโชคดีที่เดาถูกเท่านั้น!” ไมเคิลหัวเราะเยาะ สายตาเขาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย “หืม งั้นนายมาพนัน
ในระหว่างที่เฟนด์เดินไปที่แผงลอยอื่นและมองใกล้ ๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงคุณอีวอนน์ คุณจะทําเงินได้มากกว่านี้ มันจะไม่เสีย ถ้าต้องเสียผมจะจ่ายคืนให้เอง!”“ถ้านั่นคือสิ่งที่นายต้องการ! ฉันจะรับมันไว้ครั้งนี้ถือว่านายยืมเงินฉัน ฉันจะช่วยจ่ายให้นายก่อน” อีวอนน์ยิ้มออกมาและจับมือกับทันย่าไว้ขณะที่เธอขยับเข้าไปหาเฟนด์ “ผมจะเอาอันนี้” เฟนด์พูดในขณะที่เขาชี้ไปที่หินก้อนใหญ่ หินก้อนนี้เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสและคาดว่าจะหนักประมาณ 15 กิโลกรัมเพียงดูขนาดของมันอย่างไรก็ตามหินสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่นี้อยู่ใต้ก้นของเจ้าของแผงลอย ซึ่งเจ้าของร้านใช้เป็นที่รองนั่ง “อะไรนะ? ค-คุณต้องการชิ้นนี้?”เจ้าของแผงลอยเป็นหญิงวัยกลางคน เธอแน่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดของเฟนด์เธอมีความสุขมาก หินสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่นี้อยู่ที่แผงมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เธอหวังว่าจะมีมือใหม่บางคนมาซื้อมันไปเพราะพื้นผิวของมันทั้งหมดดูเรียบและเงางามถึงอย่างนั้นหนึ่งปีที่ผ่านมาไม่มีใครซื้อมันไปเลย คนที่เหลือเข้ามาดูอย่างใกล้ชิด แม้แต่เจ้านายของเธอก็คิดว่ามันเป็นหินธรรมดาไม่มีค่าอะไรเพราะไม่มีใครเคยขอซื้อมาก่อน ดังนั้นเธอจึ
“ฮ่าฮ่า น้ำหนัก19 กิโลกรัม แต่คุณเก็บเงินแค่ 15 กิโลกรัมเท่านั้น คุณเป็นคนใจดีจริง ๆ!”หลังจากฟังการแลกเปลี่ยนทันย่าก็ยิ้มอย่างเย็นชา “นี่เป็นเพียงหินธรรมดา ดังนั้นคุณถึงใจดีพอที่จะให้ส่วนลด! หากคุณคิดว่านี่เป็นหินคุณภาพสูงคุณยังจะทำแบบนี้ไหม?” “ใช่! คุณกําลังหลอกลวงนักเล่นหินมือใหม่! คุณมันน่ารังเกียจ!” อีวอนน์ตะโกนก้องก่อนจะหันไปหาเฟนด์“ให้ฉันช่วยนะเฟนด์ หินก้อนที่นายเลือกมันก็แค่หินก้อนใหญ่ธรรมดาจากริมถนน” “อย่ายุ่งน่า!” นายน้อยวิลสันตัดบทพวกเขาอย่างรวดเร็ว “อย่าทำผิดกฎคุณอีวอนน์ ครั้งนี้ผมพนันกับเฟนด์ไม่ใช่คุณ! คุณไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ควรเข้ามายุ่ง! หากคุณทำอย่างนั้น จะเรียกว่าการเดิมพันเหรอ!” “เขาพูดถูก คนนอกไม่ควรเข้ามายุ่ง!”“ฉันเห็นด้วย! คนที่เดิมพันกับนายน้อยวิลสันควรเป็นคนเลือก!”คนรอบข้างพูดขึ้นทีละคน พวกเขาแสดงความคิดเห็นต่อการเดิมพันนี้อีวอนน์หน้าซีด เธอไม่สามารถทนได้อีกต่อไป แต่ถ้าเธอช่วยก็จะเท่ากับว่าเธอทำผิดกฎ “คุณหมายความว่ายังไงที่ว่า ‘รังแกมือใหม่’ ? คุณอีวอนน์ ฉันรู้ว่าคุณเป็นสมาชิกของตระกูลเดรค แต่ได้โปรดมีเหตุผล! นี่คือหินการพนัน มันไม่สามา
“ฮึ่ม! เรายังไม่ได้เปิดอันนี้เลย นายรู้ได้ยังไงว่าฉันจะแพ้? ฉันแค่บอกว่าหินของนายไม่ได้แย่!”เฟนด์หัวเราะด้วยสีหน้าเมินเฉย“ทําไมนาย...ทําไมต้องทำให้ตัวเองดูแย่แบบนั้นด้วย?” อีวอนน์พึมพํากับตัวเอง“เปิดของฉันก่อน!”ไมเคิลจ่ายเงินทันทีอย่างตื่นเต้น มันมากว่า 100,000 ที่ต้องจ่ายไป เด็กฝึกงานสองคนตัดด้านหนึ่งของหินออก เขาก้าวเข้าไปดูใกล้ ๆ มุมปากของเขายกยิ้มอย่างรวดเร็ว“ฮ่า ๆ! เฟนด์ ไอ้เด็กเวร อย่างที่แกว่าเลย เห็นไหม? มากว่าครึ่งมันเป็นหยกแข็ง และสีของมันก็ดูดี นี่อาจจะได้ไม่กี่ล้านเหรียญแต่ไม่มีปัญหา”“ไม่มีทาง!”อีวอนน์และทันย่าแทบจะเป็นลมเมื่อได้เห็น ไมเคิลเลือกได้หินที่ดี มันเป็นหินที่ไม่ธรรมดา “ขอแสดงความยินดีด้วย นายน้อยวิลสัน คุณเลือกได้ดี!” เจ้าของแผงลอยตกตะลึงเธอไม่กล้าเปิดมันและเพิ่งจะนํามันมาขาย นี่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สําหรับเธอ ในการพนันหิน มีการเปลี่ยนอย่างอย่างรวดเร็วในขณะที่เล่นการพนัน คงไม่มีใครตำหนิเธอที่ไม่มีโชคและขาดการมองการณ์ไกล “เป็นไงล่ะ? เฟนด์ วู๊ด แกจะคุกเข่าและเห่าเหมือนหมาไหม? แค่ยอมแพ้ไป ถึงจะผ่านไปสองสัปดาห์ในถนนสายนี้ก็จะไม่มีใครได้อัญมณีเหม
“ไหน ขอฉันดูก่อน!”อีวอนน์รีบวิ่งไปและก้มลงเพื่อดูให้ดี เธอลูบนิ้วไปบนหยก “โอ้ พระเจ้า สีของมันงดงามมาก นี่มันอาจจะขายได้มากกว่า 20 ล้าน!”“หยกม่วงแข็ง? นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นมัน” ทันย่าก็ตื่นเต้นเช่นกัน ต้องขอบคุณความโชคดีของเฟนด์ ที่เขาเลือกหินได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ “ม-มันจริงหรอที่เป็นหยกแข็งคุณภาพสูง!” ไมเคิลขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะแพ้แน่นอนและมันแย่มากถึงอัญมณีของเขาจะดี แต่มันก็ด้อยกว่าเมื่อเทียบกับของเฟนด์ เฟนด์หันไปหาไมเคิลด้วยรอยยิ้มไร้อารมณ์ “นายน้อยวิลสันคุกเข่าลง นายไม่สามารถกลับคำพูดได้ในเมื่อนายเป็นลูกผู้ชายใช่ไหม?” เฟนด์พูดกวนโมโห “แก…” ใบหน้าของนายน้อยวิลสันบูดเบี้ยวเป็นสีหน้าที่อ่านไม่ออก เขาเป็นนายน้อยของตระกูลชนชั้นสูง เขาจะคุกเข่าต่อหน้าบอดี้การ์ดโง่ ๆ และเห่าเหมือนหมาได้ยังไง? เขาจะทําให้ทั้งตระกูลต้องอับอาย ทุกคนจะนินทาเรื่องนี้ลับหลังเมื่อเขาจะกลับมาที่นี่ในอนาคต เขาเสียใจกับการกระทําของตัวเองจริง ๆ เขาไม่ควรพนันกับเฟนด์ อย่างไรก็ตามใครจะไปคิดว่าคนใจร้อน ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอัญมณีจะเลือกของล้ำค่าแบบนั้นได้จริง? “ม-มันใช่จริงๆนี่
“ไม่มีทาง นายน้อยวิลสันเป็นผู้ใหญ่พอและเป็นคนรักษาคำพูดเสมอไม่ใช่เหรอ?”เฟนด์พูดยิ้ม ๆ โดยไม่สนใจความอัปยศของอีกฝ่าย“ถูกต้อง เว้นแต่นายจะยอมรับว่านายไม่ใช่ลูกผู้ชายแต่เป็นขันทีหรือเป็นผู้หญิง เราจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่!”ทันย่าพูดแทรกขึ้นอย่างมั่นใจขณะที่ยกแขนกอดอก เมื่อเธอได้ยินคำพูดท้าทายของพวกเขา“นายน้อยวิลสันคุณเดิมพันกับเฟนด์เพียงเพราะคุณคิดว่าเขายังใหม่ในเรื่องนี้จึงคิดว่าเขาไม่ค่อยรู้เรื่องหิน ตอนนี้คุณไม่รู้สึกอับอายเหรอที่แพ้ให้กับเด็กใหม่? อีกอย่างคุณยังปฏิเสธที่จะยอมรับหนี้ของตัวเองในตอนนี้ที่คุณได้เสียไป มันคงจะไม่ดีนะถ้ามีข่าวออกไป จริงไหม?”“ทำไมคุณถึงเป็นคนขี้แพ้ที่น่าอนาถขนาดนี้?”คราวนี้เป็นอีวอนน์ที่ก้าวไปข้างหน้าและเยาะเย้ยวิลสันพวกบอดี้การ์ดไม่กล้าส่งเสียงดังอีกต่อไป ตระกูลเดรคเป็นหนึ่งในตระกูลชนชั้นสูงที่มีชื่อเสียงที่สุด พวกเขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะคุกคามหรือกลั่นแกล้งทันย่า เดรคได้ เพราะมันเหมือนกับเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงซึ่งอาจทำให้พวกเขาตายได้“ใครบอกว่าฉันเป็นคนขี้แพ้ที่น่าอนาถ?”นายน้อยวิลสันกัดฟันแน่น “ฉันยอมรับความพ่ายแพ้!” เขาประกาศผู้คนต่
“1 พันล้าน!”หลายคนถึงกับสูดหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อได้ยินเรื่องนี้ บอดี้การ์ดคนนี้ช่างทะเยอทะยานเสียจริง เขารู้หรือไม่ว่าเงิน 1 พันล้านเหรียญเป็นยังไง? เขาถึงกล้าที่จะขอเงิน 1 พันล้านเหรียญ!อีกอย่างนายน้อยวิลสันใจดีเสนออัญมณีที่เขาเพิ่งซื้อซึ่งมีมูลค่าประมาณ 7 หรือ 8 ล้านเหรียญให้ นั่นเป็นข้อตกลงที่ดีทีเดียว บอดี้การ์ดเพียงคนเดียวจะมีรายได้เท่าไหร่กัน? เขาพูดราวกับว่าเขามีเงินมากมาย“1 พันล้านเหรียญ? เฮ้ แกไม่ทำตัวน่ารังเกียจไปหน่อยเหรอ? พูดงี้ทำไมแกไม่ปล้นกันไปเลยล่ะ?”นายน้อยวิลสันจ้องมองเฟนด์และคิดว่าเขาคงเสียสติไปแล้ว จากนั้นรอยยิ้มเหยียดหยามก็ค่อยๆปรากฎบนริมฝีปาก “โอ้ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าทำไมแกถึงต้องการเงินมากขนาดนี้” เขาพูด “แกคงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดจนมันทำให้แกเสียสติไปใช่ไหม? วันเกิดครบรอบ 70 ปีของนายใหญ่เทย์เลอร์กำลังใกล้จะถึงในไม่ช้านี้ และแกจะถูกไล่ออกจากตระกูลเทเลอร์หากแกไม่สามารถหาเงิน 40 ล้านเหรียญตามที่สัญญาไว้ได้ นอกจากนี้แกยังต้องเลิกกับเซเลน่า เทเลอร์ด้วย จริงไหม?”“ไม่มีทาง ผู้ชายคนนี้เป็นสามีของเซเลน่า เทย์เลอร์เหรอ?”“อืมมม ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นแพทย์ทหาร
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ