เจนนี่กำลังจะลุกขึ้นจากพื้นตอนที่ชายคนนั้นผลักไคลี่ ขณะที่ไคลี่ตกลงบนพื้น เจนนี่ก็รีบกระโจนลงไปนอนให้ไคลลี่ล้มทับ“ไม่เข้าใจรึไง? เป็นแค่เด็ก อย่ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่!” เด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชายคนนั้นพูดอย่างวางท่าหยิ่งยโส“เห็นไหม เด็กคนนี้เข้าใจแล้ว!” ชายคนนั้นหัวเราะและเห็นว่ากระดุมของเจนนี่หลุดขณะต่อสู้ เขามองลึกเข้าไปจากด้านบนและกลืนน้ำลาย “บอกมาว่าจะชดใช้ค่าเสียหายยังไง? อย่าคิดจะไปไหนถ้าไม่จ่ายสองพันเหรียญมา!”“สองพันเหรียญ!” เจนนี่รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก เธอยืนขึ้นพร้อมกับไคลี่และพูดอย่างโกรธ ๆ ว่า “นี่มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย เราเพิ่งจะขึ้นรถยังไม่ได้ทำอะไรเลย คุณต่างหากที่เป็นคนถอยรถมาชนเรา แล้วตอนนี้มาขอค่าเสียหายเหรอ?”“ถูกต้อง นายไม่ขอโทษที่ถอยมาชนแล้วยังมาขอค่าเสียหาย พวกนายมันเลวทั้งหมด! ถ้าพ่อฉันรู้เรื่องนี้นะ พวกนายเสร็จแน่! พ่อของฉันเป็นฮีโร่ต่อสู้กับพวกผู้ร้าย!” แม้ว่าไคลี่ยังเด็กและดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้า แต่เธอก็ไม่ร้องไห้และยังคงตั้งสติได้เป็นอย่างดีหากเป็นเด็กคนอื่น ๆ คงร้องไห้ไปแล้วเมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรก็ตาม ไคลี่อดทนต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแถมย
ชายร่างผอมตื่นตระหนกและพูดกับน้องชายเบา ๆ ว่า “นี่ เราจะทำยังไงกันดี? คนนี้ขับปอร์เช่ 911 แม่งเอ๊ย เรามีปัญหาละ รถนั่นราคาล้านสองล้านเลยนะ!”น้องชายของเขาได้ยินก็ยิ้มอย่างเย็นชา “พี่ชาย พี่จะขี้ขลาดเกินไปละ ทำไมเราต้องกลัวด้วยล่ะ? เพราะพี่ไม่มีประสบการณ์ในสังคมเท่าไหร่เลยทำให้กลัวเขาสินะ ไอ้หมอนี่มันโกหก!”“เกิดอะไรขึ้น?” ชายร่างผอมสงสัย“นี่ ดูเขาสิ แต่งตัวธรรมดา ๆ ดูเหมือนคนมีตังซื้อรถเหรอ?” ชายที่มีรอยสักยิ้มและพูดต่อ “ฉันมั่นใจว่าเขาเป็นแค่คนขับรถ ส่วนผู้หญิงคนนี้เหมือนจะไม่ใช่แม่บ้านนะ แต่ต้องเป็นภรรยาแน่ ๆ!”“อ๋อ แบบนี้เองสินะ!” ชายร่างผอมเข้าใจที่พูดมาทันที “หนุ่มน้อย แกกล้าพูดอย่างนั้นออกไปได้ยังไง ฮ่า ๆ อย่าแม้แต่จะคิดที่จะออกไปถ้าไม่จ่ายเงินสามพันเหรียญมา!” เขาหยุดพูดก่อนชี้ไปที่ปอร์เช่และพูดต่อ “อย่าคิดว่าฉันโง่ แกเป็นแค่คนขับรถ! คิดว่าฉันจะกลัวแกเพราะแกขับรถหรูเหรอ? ฮ่า ๆ ทำไมฉันต้องกลัวคนขับรถด้วย?!”“แกยังกล้ามาขอเงินฉันอีกเหรอในเมื่อแกเป็นคนถอยหลังมาชนแม่บ้านแล้วก็ลูกสาวของฉัน? ฉันสิต้องเป็นคนเรียกร้องค่าเสียหาย!” เฟนด์เดินไปที่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า เขายกมันขึ้นมาเพียงมือ
เฟนด์พูดหลังจากคิดบางอย่างออก “ยังไงก็ตามถ้าใครถามคุณเกี่ยวกับรถคันนี้อย่าบอกนะว่าผมซื้อมา บอกแค่ว่าแฟนคุณซื้อมาให้ โอเคไหม?” “แต่…มันแพงนะคะ! คุณไม่ต้องบอกคุณเซเลน่าก่อนที่จะให้ฉันเหรอคะ?” เจนนี่พูดด้วยความลำบากใจ เธอตกใจมากเพราะออดี้ A6 มันไม่ใช่ถูก ๆ เลย ที่จริงแล้วเฟนด์พูดว่าเขาจะให้เธอและมันจะเป็นของเธอในอนาคต เธอเป็นแค่แม่บ้าน และไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสามารถมีรถแพงขนาดนี้มาขับ สิ่งที่ทำให้เธอพูดไม่ออกคือตอนที่เฟนด์บอกว่าเขาต้องการมอบรถปอร์เช่ให้เธอ เธอเกือบจะสลบล้มลงไปตรงนั้น“ทำไมต้องคุยกันด้วยล่ะ? รถไม่ได้แพงมากเลย แค่อย่าบอกเซเลน่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไหม?” เฟนด์ยิ้มและเตือนเธอ "ตกลงค่ะ!" เจนนี่พยักหน้า เธอรู้สึกว่าเจ้านายของเธอลึกลับขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนธรรมดาเลยนะ อย่างน้อยเขาก็น่าจะมีเงินจากกองทัพ ดูเหมือนเขาจะได้เงินมาหลายล้านตอนที่ปลดประจำการในฐานะทหารผ่านศึก เฟนด์พยุงไคลี่ขึ้นมาดูบาดแผลที่ขาแล้วถามว่า “เจ็บไหมลูก?” “ไม่เลย! ไคลี่มีความสุขมากที่ได้เห็นพ่อต่อสู้กับคนเลว ถ้าโตขึ้นแล้วหนูก็อยากจะสู้กับคนเลวเหมือนกัน!” มีรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาปร
ชั่วครู่หนึ่ง เจนนี่ก็ขับรถออดี้กลับพาไคลี่ไปส่งที่บ้าน ส่วนด้านเฟนด์ก็ขับรถไปที่บริษัทและรอรับเซเลน่า พวกเขาขับรถกลับบ้านตามลำดับหลังจากที่เซเลน่าเลิกงาน “ว้าว นี่รถใหม่เหรอ? ดูดีเลยนะ!" เมื่อเซเลน่ากลับมาที่บ้านเธอก็เห็นรถที่จอดอยู่ด้านนอก “นี่รถใคร? คุณซื้อให้เบ็นเองหรือเปล่า?” “ไม่ใช่ ผมจะมีเวลาซื้อรถให้พี่ชายคุณได้ที่ไหน? นอกจากนี้พี่ชายคุณก็ยังไม่กลับบ้านเลย!” “ไม่ใช่ว่าเฟนด์สัญญากับเบ็นว่าจะซื้อรถคันเป็นล้านหลังจากได้เงินเดือนมาไม่ใช่เหรอ? ทำไมฉันต้องใช้เงินของตัวเองซื้อด้วยในเมื่อมีคนเต็มใจจ่ายให้!” ฟีโอน่าพูดทันทีและมองไปที่เฟนด์หลังจากพูดจบ เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังรอให้เฟนด์ซื้อรถให้ลูกชายของเธอ “ของฉันเองค่ะคุณเซเลน่า!” เจนนี่วิ่งเข้ามาและพูดอย่างอาย ๆ “ของเธอเหรอ? ไม่เลวนี่! เธอหาเงินมากขนาดนั้นได้ยังไง?” เซเลน่าดีใจและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน แม้ว่าเงินเดือนของเจนนี่จะถือว่าสูง แต่เธอก็มาจากครอบครัวที่ยากจน “เอ่อ…แฟนฉันซื้อให้!” เจนนี่ยิ้มตอบ “แฟนของเธอไม่ได้มาจากครอบครัวธรรมดาด้วยเหรอ? คันนี้น่าจะประมาณห้าหกแสน? แผนเดิมของเราคือหารถให้เธอไปรับไคลี่หลังจากที
“ขาของไคลี่!” เจนนี่ตะลึงเมื่อเห็นขาของไคลี่ เมื่อกี้มันยังมีบาดแผลและเลือดอยู่เลย! ตอนนี้มันกลับไม่มีอะไรที่แสดงให้เห็นว่าเธอเคยล้มเลย “ขาของเธอทำไมเหรอ?” เซเลน่าหันกลับไปมองด้วยความสงสัย “โอ้ ไม่มีอะไรหรอก ไคลี่เพิ่งจะล้ม!” เฟนด์พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไปทานอาหารเย็นกันเถอะ” “เจนนี่ มานี่สิ ค่อยกลับบ้านหลังจากที่ทานอาหารเย็นกับเราแล้ว!” เซเลน่าดึงเจนนี่เข้าไปในบ้านด้วยกันเพื่อทานอาหารเย็น “เฟนด์ เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่คุณตามพวกเขาไป? ได้เงินแม่คืนมาหรือยัง? ซีน่าเป็นคนทำจริงเหรอ? คุณเจอเธอรึเปล่า?” ในตอนเช้า เซเลน่าไปทำงานหลังจากที่เธอส่งฟีโอน่าและคนอื่น ๆ กลับบ้าน เธอยุ่งอยู่ที่ทำงานมาตลอดทั้งวันและไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น “ใช่ผมเห็น ซีน่าอยู่กับพวกโจรและผมได้เงินคืนมาแล้ว!” เฟนด์พยักหน้าและไม่ได้พูดว่าหัวหน้าโจรเป็นลูกชายของหัวหน้าพรรคเทพเจ้ามังกร “ดีจังที่เราได้คืน!” โจแอนซึ่งอยู่ด้านข้างรู้สึกโล่งใจ เธอกลัวว่าถ้าไม่ได้คืนมาฟีโอน่าอาจจะขอให้เฟนด์ชดใช้ให้แทน เพราะยังไงเสีย โจแอนก็รู้จักนิสัยของฟีโอน่าในช่วงห้าปีที่ผ่านมาดี “แม่ ฉันเคยบอกแม่แล้วว่าซีน่าไม่ใช่ค
“รถสปอร์ตเหรอ?” เฟนด์และคนอื่น ๆ ขมวดคิ้ว ตกตะลึง มีเสียงจากเครื่องขยายเสียงด้านนอกดังขึ้น “ทุกคนข้างในฟังทางนี้ คุณถูกล้อมไว้หมดแล้ว!” … “ไม่ นั่นมันผิด เฟนด์ฟังฉัน ฉันมาที่นี่เพื่อแต่งงานกับคุณ! ยอมมอบตัวแล้วรีบออกมา กลับมาที่บ้านและแต่งงานกับฉัน!” เฟนด์และคนอื่น ๆ ตะลึงมากขึ้นเมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? พวกเขาไม่รู้เลยว่าเป็นใครเมื่อได้ยินเสียงผ่านลำโพง "แต่งงานกับคุณ?" เซเลน่าสับสนและตกตะลึงมาก ผู้หญิงขับรถหรูมาเพื่อแต่งงานกับสามีของเธอ? นี่มันละครรึไง! “ผม... ผมไม่รู้ว่าเป็นใคร!” เฟนด์รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ “ผมรู้จักคนไม่เยอะในอาณาเขตกลาง ผมเพิ่งกลับมาจากกองทัพได้ไม่กี่วันเองนะ!” “ฉันว่าแล้ว!” สีหน้าของฟีโอน่านิ่งลงและมองไปที่เฟนด์อย่างโกรธ ๆ “เฟนด์ ไม่ใช่ว่านายควรยอมรับเหรอ ว่าเป็นเพื่อนนอนของใครอยู่? นอกจากผู้หญิงรวย ๆ ที่ใช้เงิน 500 ล้านไปกับไข่มุกเรืองแสงแล้วยังจะมีใครอีกที่สามารถขับรถสปอร์ตหรูจำนวนมากมาขนาดนี้ได้?” “เป็นไปไม่ได้!” สีหน้าของเฟนด์นิ่งลง เขารู้จักลาน่าเป็นอย่างดีและเธอจะไม่ทำสิ่งที่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้ นอกจากนี้ลาน่ายังเป็นลูก
ฟีโอน่าโกรธมาก เธอเริ่มไม่มีเหตุผลและสร้างเรื่องขึ้นมา เธอทรุดลงที่พื้นเฟนด์รู้สึกอาย เขาพูดกับเซเลน่าว่า “เซเลน่า ได้โปรดเชื่อมั่นในตัวผม ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าผู้หญิงข้างนอกเป็นใคร ออกไปดูด้วยกันเลย บางทีเธออาจจะมาผิดที่และกำลังตามหาคนผิด?”“มันจะเป็นไปได้ยังไง? เธอเรียกชื่อคุณ คุณกำลังพยายามบอกฉันว่าชื่อคุณไม่ใช่ชื่อเฟนด์ใช่ไหม?” เซเลน่าจ้องเฟนด์ก่อนเดินออกไปข้างนอก “ฉันอยากไปดู อยากเห็นว่าใครมันกล้าขึ้นมาบนสนามหญ้าของเรา!”เฟนด์แปลกใจเล็กน้อยก่อนรู้สึกดีใจเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ภรรยาหึงเขาแหละ!ไฟหน้าสว่างจ้าเมื่อเธอมองออกไปนอกประตู ใช้เวลาสองสามวินาทีก่อนดวงตาของเธอจะปรับแสงได้และมองเห็นสถานการณ์ภายนอกได้อย่างชัดเจน“นั่น ในที่สุดพวกเขาก็ออกมาแล้ว!” ขณะนั้นหญิงอ้วนคนหนึ่งกระโดดลงมาจากฝากระโปรงรถ เธอมองเฟนด์อย่างมีความสุข “เฟนด์สุดหล่อของฉัน ฉันหลงใหลคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน รูปลักษณ์ที่หล่อเหลากับความสามารถในการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมและความเย็นชาของคุณตอนที่คุณปฏิเสธคนอื่น ๆ ทำให้ฉันหลงใหล”“หลังจากที่กลับมาบ้าน ฉันกินไม่ได้หรือนอนไม่หลับและอยากเจอคุณอีกครั้งเท่านั้น!”“ในที
”เดี๋ยว!” ขณะที่เฟนด์กำลังจะปฏิเสธฟีโอน่าก็ตะโกนขึ้นมา ทุกคนเงียบและมองไปที่เธอ ฟีโอน่ามองไปที่ชารอนและพูดว่า “คุณจอร์จ นี่มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะคะคุณพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วเหรอ? คุณอยากให้เฟนด์แต่งงานเข้ากับตระกูลของคุณจริง ๆ หรือไม่?” “ฉัน…ฉันคิดอย่างละเอียดแล้ว!” ชารอนตอบ “ให้เวลาเราหน่อย!” ฟีโอน่าตอบ เธอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ได้สิ ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตและฉันก็ปรากฏตัวมาอย่างกระทันหัน มันจะยุติธรรมถ้าให้คุณจะมีเวลาพูดคุยกันก่อน! ยังไงก็ตาม ฉันชอบเฟนด์มากและฉันก็จริงจังกับเฟนด์! ฉันไม่รังเกียจที่จะได้เป็นภรรยาคนที่สอง!” ชารอนกล่าว“ใช่ฉันเข้าใจแล้ว ให้เราเข้าไปพูดคุยกันก่อน เราจะให้คำตอบคุณในอีกสักครู่!” ฟีโอน่าพยักหน้าขณะที่พูด “มีอะไรจะต้องคุย? ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น!” ใบหน้าของเฟนด์นิ่งลงและพูดว่า “เซเลน่าเป็นภรรยาของผม และผมรักเธอ ยิ่งไปกว่านั้นผมมีลูกสาวที่น่ารักและผมไม่ขอเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิต ผมแค่อยากใช้ชีวิตแบบปกติ!” เฟนด์หยุดพูดก่อนจะพูดกับชารอนต่อว่า “คุณจอร์จ ผมขอบคุณสำหรับความตั้งใจ แต่ผมไม่สนใจคุณเลยจริง ๆ แม้ว่าคำพูดของผมอาจจะไปทำร้
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ