รองเหรัญญิกหัวเราะอย่างเย็นชา “น่าอายจริง ๆ พวกนายทะเลาะกันต่อหน้าสหายบัณฑิต คิดว่ามันดูดีแล้วเหรอ? ทำไมไม่ปล่อยให้ทักษะของพวกนายเป็นเครื่องพิสูจน์แทนล่ะ? มามัวเล่นแง่กันจะเกิดประโยชน์อะไร!”คำพูดเหล่านั้นดูเหมือนจะมีเป้าหมายที่ชัดเจน หลังจากเหรัญญิกพูดจบ เขาก็มองปราดไปที่กิลเบิร์ต กิลเบิร์ตสัมผัสได้ถึงสายตาดุดันของอีกฝ่าย และดูเหมือนจะหายใจไม่ออกเฟนด์รู้สึกอยากหัวเราะเมื่อเห็นสภาพของกิลเบิร์ต ก่อนหน้านี้กิลเบิร์ตทำตัวเหมือนไม่เกรงกลัวสิ่งใด และทำเหมือนกับว่าเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในวิมานโอสถ แต่ทว่าเมื่อคนสำคัญจริง ๆ ปรากฏตัวขึ้น ตัวของเขาก็หดลงจนแทบไม่เหลืออะไรกิลเบิร์ตช่างไม่คุ้มค่าให้ชายตามองเสียจริงเฟนด์เคยทำร้ายกิลเบิร์ตก่อนหน้านี้และแสดงความเมตตาต่ออีกฝ่ายไปแล้ว เฟนด์น่าจะแสดงให้กิลเบิร์ตเห็นว่าเขาไม่ใช่คนที่ฝ่ายนั้นจะหาเรื่องได้กิลเบิร์ตรู้สึกได้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่เขานานเกินไปจนเขาต้องเหลียวมอง ก่อนจะพบกับสายตาจองหองของเฟนด์เข้าในขณะนั้น กิลเบิร์ตรู้สึกเหมือนถูกตบหลายครั้ง ในตอนนั้นเองที่ใบหน้าของเขาแดงขึ้นและดูคล้ายกับอยากจะฉีกร่างของเฟนด์ออกจากกันเ
“พวกนายทุกคนสามารถเข้าร่วมการคัดเลือกได้ คนแรกที่ควบแน่นอักขระทางยาได้สามร้อยอักษรจะถูกส่งไปยังพันธมิตรนักเล่นแร่แปรธาตุแห่งรัฐตอนกลาง”นักเรียนทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่รองเหรัญญิกพูด พวกเขาจ้องมองเหรัญญิกด้วยสีหน้าสงสัย บัณฑิตร่างเตี้ยหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะรวบรวมความกล้าหาญมากที่สุดที่เคยมีมาในชีวิตเอ่ยถามออกไปว่า “รองเหรัญญิก เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามรรคาแห่งโอสถเป็นเช่นใด แล้วเราจะควบแน่นอักขระทางยาได้ถึงสามร้อยอักษรได้อย่างไร ในบรรดาบัณฑิตทั้งสิบเอ็ดคน มีเพียงศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้นที่เคยได้ศึกษาโอสถเพลิงสีชาด—”แต่เขาถูกขัดจังหวะก่อนจะพูดจบ“นายนี่มันโง่จริง ๆ นายคิดว่าทุกสิ่งที่นายเห็นเป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ?”คำพูดเหล่านั้นทำให้บัณฑิตตัวเล็กตะลึง เขาดูท่าทางสับสน มองไปที่รองเหรัญญิก ก่อนที่จะมองไปที่นักเรียนคนอื่น ๆเฟนด์ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ และเข้าใจในทันทีว่ารองเหรัญญิกหมายถึงอะไร ทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่าเขาพบกับกิลเบิร์ตครั้งแรกที่เขาเข้าไปในห้องรังสีแห่งโอสถได้อย่างไรริมฝีปากของกิลเบิร์ตโค้งงอเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจ กิลเบิร์ตไม่ได้พูดอะไร หลังจากได้เห็นใบหน้าของเขาก็ทำให้ทุกคนได้
ทันใดนั้นเหล่าบัณฑิตก็หันหน้าไปมองกิลเบิร์ตอย่างไม่สบอารมณ์ “กิลเบิร์ต แอนดรูว์พูดจริงหรือเปล่า? สิ่งที่คุณพูดก่อนหน้านี้ไม่ได้เพื่อหวังดีต่อผมงั้นเหรอ! ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่คุณจะได้งานดี ๆ ไปทำเองงั้นสินะ!”ใบหน้าของกิลเบิร์ตมืดลงเมื่อถูกกล่าวหา เขารีบหันกลับมาหวังจะกอบกู้สถานการณ์ แต่แอนดรูว์กลับฉวยโอกาสนั้นไว้แทน “นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันบอกนายไงเล่าว่าพรสวรรค์ของนายอาจจะดีพอให้ได้เป็นบัณฑิตของพันธมิตรนักเล่นแร่แปรธาตุแห่งรัฐตอนกลาง แต่นายต้องได้เป็นตัวแทนของวิมานโอสถ“จิตใจของนายทั้งเจ้าเล่ห์เพทุบายและไร้ยางอาย ถ้านายได้เข้าไปอยู่ในพันธมิตรนักเล่นแร่แปรธาตุแห่งรัฐตอนกลาง นายจะไม่ทำให้วิมานโอสถต้องขายหน้าหรือ!” ในคำพูดประโยคสุดท้ายนั่น แอนดรูว์มองไปยังรองเหรัญญิก รองเหรัญญิกผงะและมองไปที่กิลเบิร์ตทันทีกิลเบิร์ตกลัวจนแข็งทื่อ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าอย่างแรง “รองเหรัญญิก ฟังผมนะ คุณจะเชื่อสิ่งที่หมอนี่พูดไม่ได้ ผมไม่เคยทำอะไรเห็นแก่ตัวแบบนั้นมาก่อน!“ถึงแม้จะมีบางภารกิจที่ทั้งง่ายและให้ผลตอบแทนสูงสำหรับบัณฑิตใหม่ แต่มันก็ไม่ได้ง่ายแบบนั้น“หากพวกเขาทำภารกิจพลาด นี้ก็
เฟนด์เบิกตากว้าง สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือความจริงที่ว่าในห้องรังสีแห่งโอสถไม่มีอะไรเลย มันเป็นเพียงห้องที่ว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิงเท่านั้นก่อนหน้านี้มันถูกปกคลุมด้วยความมืดมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ ความมืดได้สลายหายไปและไม่ทิ้งอะไรไว้เลยโชคดีที่ห้องนี้มีพื้นที่มีขนาดใหญ่พอ แม้ว่ารองเหรัญญิกจะเรียกให้พวกเขาทั้งหมดเข้าไปข้างใน แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย พวกเขาทั้งหมดยืนอยู่ในห้องรังสีแห่งโอสถ กลิ่นของรังสีโอสถอันหนาแน่นคละคลุ้งเข้าจมูกของพวกเขา ห้อมล้อมร่างกายของพวกเขาทุกคนเฟนด์เลิกคิ้วอย่างสงสัย เขาได้แต่สงสัยว่าทำไมสถานที่นี้ถึงถูกปกคลุมไปด้วยความมืดทั้ง ๆ ที่มันว่างเปล่าถึงขนาดนี้ เหมือนกับว่าพวกเขากำลังซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ก่อนหน้านี้เฟนด์ไม่ได้รู้สึกอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรแปลก ๆ ให้เขาต้องสังเกต แต่หลังจากเห็นเช่นนี้แล้ว เฟนด์ก็เริ่มสงสัยอนิจจา ถึงเขาจะต้องการหาคำตอบแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการยืนเงียบ ๆ ที่มุม ๆ หนึ่งเพื่อทำให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ลืมสิ่งที่ตัวเองสงสัยไปจนหมด เพื่อที่จะได้คอยหาคำตอบคลายทุกข้อสงสัยใ
หากไม่มีรองเหรัญญิกอยู่ที่นั่น บัณฑิตคนอื่น ๆ คงจะตะโกนและส่งเสียงเชียร์เพื่อสนับสนุนบุคคลของตัวเองไปแล้วเฟนด์มองไปด้านข้างอย่างพูดไม่ออก รองเหรัญญิกหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "เริ่มได้!"เมื่อเขาส่งสัญญาณ จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นใกล้ ๆ ตอนที่ใบหน้าอันไม่คุ้นเคยจะเริ่มเดินไปทางทิศตะวันออกแต่ละย่างก้าวที่เขาเดินนั้นมั่นคงมาก แต่เขาดูไม่เหมือนกิลเบิร์ตซึ่งเดินออกไปด้วยความรู้สึกว่างเปล่า คล้ายกับว่าเขาไม่แยแสต่อใบหน้างุนงงที่ทุกคนมีต่อเขาเลยกิลเบิร์ตอ้าปากกว้าง "นายมาทำอะไรที่นี่?"เฟนด์เลิกคิ้วและตอบอย่างใจเย็น “แล้วนายล่ะ นายมาทำอะไรที่นี่?”เขายิงคำถามกลับไปยังกิลเบิร์ต ทำให้กิลเบิร์ตโกรธเพราะเหตุนี้ “ฉันมาที่นี่ก็เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าฉันแข็งแกร่งกว่าและมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะไปอยู่ที่พันธมิตรนักเล่นแร่แปรธาตุในรัฐตอนกลางในฐานะบัณฑิต!” กิลเบิร์ตตะคอกคำพูดของกิลเบิร์ตเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งอย่างชัดเจนราวกับเขาเกิดมาสูงส่งกว่าคนทั่วไปเฟนด์พยักหน้าขณะที่เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ “ฉันเองก็เหมือนกัน”ทุกคนตกตะลึงกับคำพูดของเฟนด์ และคำตอบของเขาก็ทำให้
เฟนด์ยังคงไม่แยแสต่อการกระทำของกิลเบิร์ต ในขณะที่เขาพูดออกไปว่า "นายเสียเวลาไปกับคำพูดไร้สาระมากแล้วนะ แล้วการที่นายคิดจะจัดการเรื่องที่ไม่ได้ทำให้นายเดือดร้อนก็ไม่มีประโยชน์เลย ว่าไหมล่ะกิลเบิร์ต?"แอนดรูว์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินคำพูดของเฟนด์ เขาอาจคิดว่าเฟนด์เป็นคนบ้า แต่ศัตรูของศัตรูก็ถือว่าเป็นมิตรและเนื่องจากเฟนด์ขัดแย้งกับกิลเบิร์ต เขาจึงเลือกที่จะเข้าข้างเฟนด์ยิ่งไปกว่านั้น แอนดรูว์ก็ไม่คิดว่าเฟนด์จะมีโอกาสชนะ เพราะหากเฟนด์ชนะนั่นคงถือเป็นเรื่องแปลกหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นักเรียนที่ยืนอยู่ด้านหลังรองเหรัญญิกก็เริ่มซุบซิบกันเองเดเมี่ยนรู้ว่าเฟนด์คือใคร “ผู้ชายที่ชื่อเฟนด์คงมีปัญหาทางสมองแน่ ฉันมั่นใจเลย เขาเพิ่งเข้ามาเป็นบัณฑิตได้ไม่นาน แต่เขายังกล้าจะมาแข่งขันกับกิลเบิร์ตและแอนดรูว์อีก เขาไปเอาความกล้ามาจากไหน?"“ฉันก็ว่าเขาบ้าเหมือนกัน ฉันไม่คิดว่าเขาจะรู้หรอกว่าอักขระทางยาหน้าตาเป็นยังไง บางทีเขาอาจจะต้องการให้แอนดรูว์และกิลเบิร์ตแสดงให้เขาดูก็เป็นได้?”หลังจากที่บุคคลนั้นพูดเช่นนั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะโกลาหลไปทั่ว บางคนถึงกับกุมท้องขณะที่พวกเขาหัว
พวกเขาไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันอีกต่อไปแล้ว กิลเบิร์ตและแอนดรูว์เทียบอะไรกับเฟนด์ไม่ได้เลยสิ่งสำคัญที่สุดในการเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกคือการปรับแต่งโอสถและอักขระทางยาเป็นขั้นท้ายสุดเพียงขัดเกลาให้ได้ห้าในสิบส่วนขึ้นไปก็จะถือว่าประสบความสำเร็จ และขั้นตอนการขัดเกลานั้นก็ขึ้นอยู่กับอักขระทางยาของแต่ละคน คุณภาพของอักขระทางยาของทั้งกิลเบิร์ตและแอนดรูว์เทียบอะไรกับเฟนด์ไม่ได้เลยอักขระทางยาที่เฟนด์ควบแน่นนั้นไม่เพียงแต่เปล่งประกายเท่านั้น แต่รังสีของโอสถกระจายตัวกันอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรให้มากความเลย เพียงมองด้วยตาก็สามารถบอกได้ว่าอักขระทางยาของเฟนด์มีคุณภาพสูงมากเพียงใดได้อย่างง่ายดาย ถ้าเขาใช้อักขระทางยาเหล่านี้ในการบ่มเพาะโอสถ เขาก็น่าจะสามารถปรับแต่งมันได้ถึงห้าในสิบส่วนอย่างแน่นอน แม้ว่ารองเหรัญญิกจะเป็นคนเดียวที่เคยได้ศึกษามรรคาแห่งโอสถ แต่ทุกคนก็ยังสามารถมองเห็นมันได้ด้วยตาเปล่าในขณะนั้นพวกเขาล้วนแล้วแต่พูดไม่ออก รองเหรัญญิกจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยดวงตาเบิกโพลง ริมฝีปากของเขากระตุกอยู่ตลอดเวลา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าที่เขาเห็นนั้นเป็นเรื่องจริงมือขอ
สิ่งเดียวในสายตาของพวกเขาคืออักขระที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เฟนด์ กิลเบิร์ต และแอนดรูว์ไม่มองสิ่งอื่นและไม่สนใจอะไรเลยเฟนด์ถอนหายใจเล็กน้อย เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองปฏิกิริยาของคนอื่น ๆ เลยแต่จริง ๆ เฟนด์ก็ไม่จำเป็นต้องมองด้วยซ้ำ เขาสามารถจินตนาการถึงความตกใจบนใบหน้าของทุกคนที่เกิดขึ้นขณะเขาแสดงความสามารถของตัวเองได้อย่างง่ายดาย เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น เฟนด์ก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจว่า 'หรือว่าฉันจะช้าเกินไปหรือเปล่า…'ด้วยความตั้งใจว่าจะไม่เปิดเผยความสามารถที่แท้จริง เฟนด์จึงจงใจชะลอความเร็วในการบ่มเพาะโอสถลง ถ้าเขาทำความเร็วตามปกติ ป่านนี้คงจะสร้างอักขระทางยาได้แปดร้อยอักษรไปแล้วแต่เขารู้ดีว่าหากทำเช่นนั้น รองเหรัญญิกก็จะเกิดความสงสัยในตัวเขา แล้วเขาอาจถูกกักขังไว้ราวกับหนูทดลองตัวหนึ่งเขาไม่อยากจะอยู่ในวิมานโอสถ เพราะเป้าหมายของเขามีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือการเข้าสู่พันธมิตรนักเล่นแร่แปรธาตุของรัฐตอนกลางและพัฒนาตัวเองอยู่ที่นั่น ด้วยสถานะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ เขาจะสามารถสะสมผลึกวิญญาณได้มากขึ้นเพื่อจะได้นำมันไปซื้อผลึกวิญญาณระดับเก้าหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในที่สุดเฟนด์ก็วา