แม้จะถูกอีกฝ่ายเย้ยหยันแบบนั้น แต่เฟนด์ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิด ท้ายที่สุดแล้วราฟาเอลไม่รู้ว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง ราฟาเอลดูเหมือนจะเริ่มเสพติดการเย้ยหยันเฟนด์เข้าให้แล้วเฟนด์กำลังจะถามว่าเขาจะเข้าไปในห้องนั้นได้เลยหรือเปล่า แต่ราฟาเอลกลับไม่ให้โอกาสเฟนด์ได้พูดอะไรมากนัก เขาเย้ยหยันต่อไปว่า “นายคงไม่เคยเห็นอักขระทางยามาก่อน นับตั้งแต่ที่ฉันเข้าสู่วิมานโอสถ ฉันก็ยังไม่เคยเห็นใครได้รับแผ่นทองคำเลยนอกจากศิษย์พี่ใหญ่ของเรา“ดูเหมือนว่านายจะคิดว่าตัวเองจะได้กลายเป็นคนที่สองที่ได้รับแผ่นทองสินะ”หากอยู่ในสถานการณ์ที่ต่างไปจากนี้ เฟนด์คงจะตบหน้าผู้ชายคนนั้นสักครั้งสองครั้งไปแล้ว หมอนี่พูดมากราวกับเขารู้ไปเสียทุกเรื่อง เฟนด์หันกลับมามองราฟาเอลด้วยสีหน้าจริงจัง“ผมจะต้องได้รับแผ่นทองอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นผมจะเข้าไปข้างในเดี๋ยวนี้แหละ ตราบใดที่ผมควบแน่นอักษาโอสถได้สองร้อยอักษร ห้องรังสีแห่งโอสถก็จะมอบแผ่นทองให้กับผมโดยปริยาย ใช่ไหม?”ราฟาเอลตกตะลึงไปอีกครั้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกเหมือนกับว่าการที่เขาประเมินว่าเฟนด์เป็นคนดื้อรั้นนั้นจะเป็นการประเมินต่ำเกินไป เรื่องต่าง ๆ มาถึงขั้
“นายบ้าไปแล้วจริง ๆ ใช่ไหม? นายไม่เคยศึกษามรรคาแห่งโอสถมาก่อนเลย แล้วจะควบแน่นรังสีแห่งโอสถได้ยังไง นายรู้ไหมว่าข้างในนั้นเป็นยังไงบ้าง”เฟนด์ก็เมินเฉยต่อเขาเช่นเดิมเฟนด์ไม่ได้หันศีรษะกลับไปมอง ขณะที่เขากระแทกประตูที่อยู่ด้านหลังเขาปิดลง ทุกสิ่งรอบตัวเขาก็มืดลงทันที รอบตัวเขาไม่มีแสงเล็ดลอดเข้ามาได้เลย นอกจากกลิ่นของโอสถแล้ว ก็ไม่มีอะไรบ่งชี้ให้เขาเห็นว่าเขาอยู่ที่ไหนเมื่อเผชิญหน้ากับความมืด เฟนด์ไม่ได้รู้สึกกังวลเลยสักนิด เนื่องจากรอบตัวเขาไม่มีอันตรายอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ขณะที่เขาสาวเท้าเข้าหาจุดที่กลิ่นของโอสถหนาแน่นที่สุด เขาพูดว่า "นี่น่าจะใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมง!"เฟนด์ให้เวลาตัวเองสี่ชั่วโมงในการปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อม เขาจำเป็นต้องหลอมรวมจิตใจและร่างกายของเขาให้ได้ภายในสี่ชั่วโมง มือของเขาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในขณะที่แสงสีทองเริ่มหมุนวนอยู่บนปลายนิ้วของเขาแสงสีทองบางเฉียบราวกับเส้นผม ขณะที่เฟนด์ขยับนิ้วของเขาอย่างคล่องแคล่ว ประกายของพวกมันก็เคลื่อนไหวไปในอากาศจนแปรเปลี่ยนเป็นอักขระทางยามีเสียงโครมครามดังขึ้น อักขระทางยาระเบิดไปในอากา
อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเขายังคงต่อสู้หวังจะตามความทรงจำของเขาให้ทัน เขายังคงต้องการการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับตัวให้ชินกับสภาพที่เป็นอยู่อย่างสมบูรณ์ เขาหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่เขาเอื้อมมือออกไปและลบอักษาแห่งโอสถทั้งหมดที่เขาสร้างขึ้นทันใดนั้นน้ำเสียงกังวลของราฟาเอลก็ดังมาจากข้างนอก “เฟนด์! นายใช้เวลาอยู่ในนั้นพอหรือยัง นี่ก็ผ่านไปนานแล้วนะ ทีนี้นายรู้หรือยังว่านายไปถึงขั้นไหนแล้ว?“ออกมาเดี๋ยวนี้เลยได้หรือเปล่า? เวลาส่วนใหญ่ที่ผู้คนใช้กันในห้องรังสีแห่งโอสถคือสี่ชั่วโมง ถ้านายยังอยู่ข้างในนั้นนานกว่านี้ นายก็จะกินเวลาของคนอื่นไปด้วย”เฟนด์เลิกคิ้วอย่างตื่นเต้น กฎนี้ค่อนข้างน่าประหลาดใจสำหรับเขา ทุกคนสามารถใช้เวลาฝึกฝนในห้องรังสีแห่งโลหิตในแต่ละวันได้สี่ชั่วโมงตราบใดที่เขายังคงฝึกฝนทุกวัน ในเวลาเพียงไม่กี่วันเขาก็น่าจะสามารถพัฒนาไปได้ไม่น้อย!ด้วยเหตุนี้ เขาจึงหัวเราะเบา ๆ ขณะที่หันหลังกลับและเปิดประตูไป เขาเห็นราฟาเอลกำลังมองมาที่เขาด้วยคิ้วที่เลิกสูงและสายตามีนัยยะ สิ่งที่ทำให้เฟนด์ประหลาดใจก็คือกิลเบิร์ตเพื่อนเก่าของเขาอยู่ข้างหลังราฟาเอลด้วยกิลเบิร์ตมองเฟนด์ราวกับว่าเขาเป
“ผมจะบอกคุณเป็นครั้งสุดท้าย เลิกสร้างความรำคาญให้ผมไม่หยุดไม่หย่อนได้แล้ว ไม่อย่างนั้น ที่ผมเล่นงานคุณไปคราวก่อนจะถือเป็นการเรียกน้ำย่อยเท่านั้น”คำพูดของเฟนด์เป็นการราดน้ำมันลงกองไฟ มันทำให้กิลเบิร์ตระเบิดอารมณ์ทันใดนั้นเขาก็เดินไปข้างหน้าและตะโกนด้วยความโกรธ "เฟนด์! อย่าลำพองใจให้มันมากนัก ถึงแม้ว่าฉันจะเอาชนะนายในการต่อสู้ไม่ได้ แต่ฉันก็ยังมีวิธีจัดการกับนายอยู่ดี!"เฟนด์เม้มริมฝีปากและพูดด้วยท่าทีไม่แยแส “แน่จริงก็เอาเลย แต่ผมต้องขอเตือนคุณเอาไว้ก่อนเลยนะ ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ยินอะไรแบบนี้จากปากของศัตรู และกลับกลายเป็นว่าพวกที่พูดแบบนี้นั่นแหละที่ต้องเป็นฝ่ายประสบกับโศกนาฏกรรมเสียเอง"หลังจากพูดอย่างนั้น เฟนด์ก็ตัดสินใจไม่ยอมเสียเวลาอีก เขาหันหลังกลับและจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งทั้งสองคนไว้เบื้องหลังกิลเบิร์ตโกรธเคืองต่อเฟนด์เป็นอย่างยิ่ง ร่างกายของเขาสั่นไปหมด สายตาของเขาจ้องมองไปที่แผ่นหลังของเฟนด์ นึกอยากจะเข้าไปจัดการเฟนด์อย่างหนักราฟาเอลเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีจึงรีบเอื้อมมือไปหยุดกิลเบิร์ตเอาไว้“กิลเบิร์ต ใจเย็น ๆ หมอนั่นมันโง่จะตาย ถ้าคุณตามไปสู้กับหมอนั้นล่ะก็ จ
ราคาเหล่านั้นถือเป็นมาตรฐานที่ต่ำที่สุดด้วยซ้ำ ไม่มีใครรู้ว่าราคาสูงสุดของผลึกวิญญาณระดับเก้าจะมีมูลค่าเท่าไร ไม่ว่าจะมีมูลค่าเก้าสิบล้านหรือไม่ เฟนด์ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด แนชรู้ว่าทุกสิ่งที่เฟนด์ทำคือการเตรียมการเข้าสู่หุบเขารกชัฎเขาขมวดคิ้วและพูดว่า “ที่แห่งนั้นไม่ใช่เพียงเข้าไปยากเท่านั้น แต่ยังอันตรายอีกด้วย เราจำเป็นต้องตามหากุญแจนั่นจริง ๆ เหรอ?”เฟนด์พยักหน้าโดยไม่ลังเล “จำเป็น หีบปะการังแดงเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ยังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิง แม้ว่าผมจะอยู่ในทวีปเฮสเทียได้ค่อนข้างดี แต่นี่ไม่ใช่จุดหมายปลายทางสุดท้ายของผม มันเป็นเพียงบันไดก้าวแรกเท่านั้น เราจำเป็นต้องก้าวขึ้นไปให้สูงกว่านี้ และไม่อาจยอมแพ้ได้ เราไม่อาจละทิ้งโอกาสที่จะได้ก้าวขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงกว่านี้ได้“ทั้งหีบปะการังแดงและสิ่งที่อยู่ในหีบปะการังแดง ผมต้องการมันทั้งหมด ความลับของมันยังกวนใจผมไม่เลิก”เนื่องจากเฟนด์พูดมากขนาดนั้น แนชจึงไม่ยอมหยุดเขา สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือถอนหายใจเบา ๆ ขณะเดินไปตบไหล่เฟนด์“พ่อรู้ว่าลูกมีหัวใจที่กล้าหาญ แต่พ่อรู้สึกได้แล้วว่าหนทางข้างหน้าจะต้องลำบากมาก ลู
เฟนด์ไม่ตอบเขา แต่ผลักประตูเปิดห้องรังสีแห่งโอสถไปอย่างใจเย็นแทน หลังจากมองดูการกระทำของอีกฝ่าย ราฟาเอลจึงไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไปแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะรีบวิ่งไปหาเฟนด์เขาเอื้อมมือออกไป ดึงเฟนด์กลับมาแล้วพูดว่า "เฟนด์ ฉันได้ยินมาว่านายไม่ได้รับคะแนนบุญเลยแม้แต่แต้มเดียวตั้งแต่นายเข้ามาในวิมานโอสถ ถูกต้องไหม?"เฟนด์สูดหายใจเข้าลึก ๆ เขาอยากจะตบราฟาเอลให้ประเด็นออกไปจริง ๆ แต่ถ้าเขาทำเช่นนั้นมันก็มีแต่จะทำให้เกิดปัญหาเขาจึงระงับความหงุดหงิดและความโกรธเอาไว้ แล้วพยักหน้ารับทันทีแน่นอนว่าเขาไม่สนใจคะแนนบุญอะไรพวกนั้นเลย สำหรับเฟนด์ สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ โอสถเพลิงสีชาดเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับผู้คนที่นี่แต่เฟนด์มีโอสถแห่งสุญญะอยู่แล้ว โอสถเพลิงสีชาดจึงเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์อย่างเหลือเชื่อสำหรับเฟนด์ มันเป็นสิ่งที่ต่อให้คนพวกนี้จะมอบให้เขา เฟนด์ก็ไม่ต้องการ“ตอนนี้ยังไม่มีใครใช้ห้องรังสีโอสถ การที่ผมจะเข้าไปในนั้นไม่ได้รบกวนใคร เพราะงั้นปล่อยผมไปเถอะ ตกลงไหม? เพราะผมเองก็มีสิทธิ์ใช้ห้องนี้ด้วยเหมือนกันนี่” เฟนด์กล่าวราฟาเอลมองเฟนด์ ริมฝีปากของเขากระตุก เฟนด์ดูคล้ายจะบ้า
เฟนด์ยังคงไม่หันกลับไปมอง และตอบเพียงสั้น ๆ ว่า "คุณถามมาตอนนี้ได้เลย"เมื่อเห็นท่าทางของเฟนด์ ราฟาเอลก็ไม่พอใจเล็กน้อย แต่เขาก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยไปยุ่มย่ามกับกิลเบิร์ตเลย และไม่เคยมายุ่งอะไรกับเขาด้วยดังนั้น เขาจึงระงับความโกรธในใจและถามออกไปว่า "นายเคยได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับกิลเบิร์ตบ้างไหม ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเรื่องดังกล่าวนั้นสร้างความโกลาหลมากทีเดียว พวกเขาทุกคนบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับนายด้วย…"ก่อนที่ราฟาเอลจะพูดจบ เฟนด์ก็พูดแทรกขึ้น "ผมไม่รู้อะไรเรื่องกิลเบิร์ตเลย นับตั้งแต่ที่ผมเข้ามาอยู่ในวิมานโอสถ ผมก็ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง“นอกจากตอนที่กิลเบิร์ตพยายามหาเรื่องผมไม่กี่วันก่อน ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย และไม่ว่าใครจะบอกว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนั้นก็อย่าได้เชื่อพวกเขา เพราะผมไม่ได้ทำอะไรเลยจริง ๆ"หลังจากพูดจบ เฟนด์ก็ปิดประตูทันที ชายังอยู่ในมือของราฟาเอล เขาไม่อาจระงับความโกรธได้อีกต่อไปแล้ว “เจ้าสารเลวนี่…” เขากำลังจะก่นด่าอีกฝ่ายแต่ก็ไม่กล้า นั่นก็เพราะเฟนด์ไม่ใช่คนที่เขาจะล้อเล่นด้วยได้เฟนด์ไม่เคารพกิลเบิร์ตด้วยซ้ำ ถ้าราฟาเอลพูดอะไรที่ทำให้เฟนด์ไ
เขาดูคล้ายคนที่เพิ่งได้ยินเรื่องตลกที่สุดในชีวิตมา เฟนด์มองเขาอย่างสงบราวกับกำลังรอให้เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายเงียบหายไปเร็ว ๆ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ราฟาเอลก็ละล่ำละลักออกมาขณะหัวเราะไปด้วย "นายนี่บ้าไปแล้วจริง ๆ นี่หรือนายคิดว่าฉันจะยอมเชื่อว่านายสามารถควบรวมอักขระทางยาได้สองร้อยอักษรเพราะแค่นายมาที่นี่อย่างตรงเวลาเพียงไม่กี่วัน? นี่นายอยากให้ฉันช่วยหาวัตถุดิบสำหรับบ่มเพาะโอสถระดับหกเหรอ?“นายจะไร้เดียงสาเกินไปหน่อยหรือเปล่า? นายนี่มันไร้เดียงสาเป็นบ้า ฉันไม่รู้จะพูดยังไงกับนายแล้ว!”เฟนด์เลิกคิ้วขณะที่เขาหยิบแผ่นทองคำออกมาจากแหวนมัสตาร์ด ซี๊ด ก่อนโบกมันไปต่อหน้าราฟาเอลทันทีที่ราฟาเอลเห็นแผ่นทองคำนั้นเขาก็ดูคล้ายกับคนที่สมองหยุดทำงานไปแล้ว แม้แต่รอยยิ้มของเขาก็แข็งค้างบนใบหน้าอยู่อย่างนั้น เขาใช้เวลาอยู่นานกว่าที่จะฟื้นคืนสติกลับมาได้ดวงตาของเขาเบิกโพลงจนแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า "นี่มันอะไรกัน?" เขาตะโกนเสียงดังเฟนด์เม้มริมฝีปากด้วยความโกรธเคือง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาต้องรอให้ราฟาเอลช่วยเขาหาวัตถุดิบสำหรับบ่มเพาะโอสถระดับหก เขาคงไม่สนผู้ชายคนนี้เฟนด์พูดออกมาว่า “คุณไม่รู้หรือว่านี่คืออ