ตอนนี้กริฟฟินปักใจเชื่อไปแล้วว่าเหตุผลที่ทำให้เฟนด์สามารถอยู่ในโลกสีโลหิตได้นานขนาดนั้นก็เพราะว่าเขาเก่งเรื่องการวิ่งหนีและหลบหลีกการโจมตีมากกว่าที่เขาจะอยู่ได้นานเพราะความแข็งแกร่งที่เขามี คำอธิบายนี้เป็นที่ยอมรับของฝูงชนเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากระดับการบ่มเพาะและสถานะของเฟนด์ หลายคนที่เหนือกว่าเฟนด์มากทั้งในด้านการบ่มเพาะและสถานะในสำนักต่างไม่เต็มใจที่จะเชื่อว่าคนอย่างเฟนด์จะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาและสามารถอยู่ในโลกสีโลหิตได้นานกว่าพวกเขา! คำพูดจากกริฟฟินดูเหมือนจะส่งผลกระทบกับฝูงชน “ศิษย์พี่คนนี้พูดถูก การที่เขาเป็นคนหนีเก่งก็จะทำให้เขาอยู่ในโลกนั้นได้นานกว่า แต่พฤติกรรมแบบนี้นอกจากจะสามารถอยู่ในโลกนั้นได้นานขึ้นแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก" “ใช่ มันก็เป็นเพียงแค่การอวดตัวเองว่าเหนือคนอื่น เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง คนอื่นอยู่ในโลกสีโลหิตและจัดการกับผีดิบเหล่านั้นอย่างสุดกำลัง แต่เขากลับสนใจแต่จะพยายามสร้างชื่อเสียงของตัวเองต่อหน้าทุกคน" หลายคนไม่ประทับใจในตัวเฟนด์แต่ไม่ได้มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอะไรกับเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พูดตรงไปตรงมาราวกับเฟนด์เป็นศัตรู แต่ถึ
หลังจากที่ธีโอพูดอย่างนั้น หลายคนก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน และบางคนจงใจไม่ลดเสียงลงราวกับต้องการให้ศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์ได้ยิน "ศิษย์ที่อยู่ขั้นกลางของระดับแรกกำเนิด แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง แต่จะแข็งแกร่งได้ขนาดไหนกัน? การใช้อุบายเช่นนี้เพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง เขาคงคิดว่าทุกคนโง่! ตำหนักสองกษัตริย์ไม่มีคนอื่นแล้วหรือ? พวกเขาปล่อยให้ศิษย์ที่อยู่ขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเข้ามาตายในแหล่งทรัพยากรยุคต้องห้ามเช่นนี้ได้อย่างไร?” หลังจากได้ยินคำพูดเหน็บแนมเหล่านี้ ใบหน้าของศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์ ยกเว้นกริฟฟินก็แดงขึ้นราวกับว่ามีใครตบหน้าพวกเขาอย่างแรงถึงสองครั้ง ศิษย์บางคนของตำหนักสองกษัตริย์ ก็เริ่มไม่พอใจเฟนด์ไปด้วย เป็นเพราะเด็กสารเลวคนนี้ชอบอวดดีและทำให้พวกเขาต้องถูกเยาะเย้ยถากถาง อย่างไรก็ตาม กริฟฟินยิ้มและมีความคิดที่แตกต่างจากศิษย์คนอื่น ๆ ของตำหนักสองกษัตริย์อยู่สองอย่าง เขามีความสุขมากที่ได้ยินคนอื่นเหยียดหยามเฟนด์จนอดไม่ได้ที่จะปรบมือให้พวกเขาและยุยงให้พวกเขาพูดให้มากกว่าเดิม อย่างไรก็ตามในอีกใจหนึ่งของกริฟฟิน ชื่อเสียงของตำหนักสองกษัตริย์มันไม่มีค่าอะไรสำหรับเขาเล
“ศิษย์พี่กริฟฟินพูดถูก ศิษย์น้องเฟนด์เก่งกาจในการหลบหนี แต่ผมมีคำถาม ศิษย์พี่กริฟฟินให้คำตอบผมได้ไหม ถ้าเก่งแต่เรื่องวิ่งหนีแล้วจะสามารถฆ่าผีดิบได้อย่างไร” คำถามถูกถามอย่างรวดเร็ว หรืออันที่จริงมันอาจจะไม่ใช่คำถามด้วยซ้ำ และทุกคนที่นี่ต่างก็รู้คำตอบดีว่าคนที่เอาแต่วิ่งหนีจะสามารถฆ่าผีดิบได้อย่างไร ทุกคนรู้ว่าการป้องกันของผีดิบนั้นน่าทึ่งมาก เพื่อที่จะทำลายการป้องกันของผีดิบและทำให้ผีดิบพวกนั้นสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ เราจะต้องมีพลังโจมตีที่ยอดเยี่ยม ซึ่งคนส่วนใหญ่ในนั้นไม่สามารถทำได้ แม้ว่าจะมีใครบางคนจัดการมันได้ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเช่นนั้นภายใต้การโจมตีของผีดิบทั้งฝูง! สีหน้าของกริฟฟินดูขมขื่นไม่ต่างจากการกินของขม คำถามจากปากริฟไม่ต่างจากการกล่าวโทษเขา ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้กริฟฟินก็พูดไปไม่น้อย เขาบรรยายว่าเฟนด์ไม่ดีและคิดว่าเหตุผลเดียวที่อีกฝ่ายยังไม่ออกมาก็เพราะวิ่งหนีเก่งเท่านั้น กริฟฟินถอนหายใจอย่างหนัก แน่นอนว่าเขาไม่สามารถตอบคำถามนี้จากริฟได้ ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไรก็จะเหมือนการแก้ตัว กริฟฟินยิ่งเกลียดเฟนด์มากกว่าเดิมไปอีก เขาตระหนักได้ว่าหากเขาต่อสู้กับเฟนด์ไม
เขาจำเป็นต้องสังหารผีดิบให้ได้มากที่สุดด้วยพลังที่น้อยที่สุด! การลดการไหลเวียนของพลังงานที่แท้จริง พลังโจมตีก็จะอ่อนลงและความเร็วในการสังหารศัตรูก็จะช้าลงตามไปด้วย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนอื่น ๆ ในโลกของพวกเขาเช่นกัน ชายสวมหน้ากากไม่เพียงต้องเผชิญกับพลังงานที่แท้จริงของเขาที่ลดลงอย่างมาก แต่เกรแฮม เอเลียตก็มีความกังวลเช่นเดียวกัน เนื่องจากพลังงานที่แท้จริงภายในของเขาก็หมดลงแล้วด้วย แต่ยังมีผีดิบแปดสิบหรือเก้าสิบตัวที่ยังจ้องมองมาที่เขา เกรแฮมสูดลมหายใจยืดยาวและเลือกวิธีเดียวกับชายสวมหน้ากาก เขาลดการใช้พลังงานที่แท้จริงในร่างกาย เป้าหมายของพวกเขาคือการผ่านด่านนี้ไปให้ได้ ไม่ใช่เพื่อฆ่าผีดิบที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างเมามัน! เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนที่อยู่ในโลกสีโลหิตได้รับบาดเจ็บสาหัสมากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นพวกเขาจึงถูกพากลับไปยังหุบเหวแห่งสุญญะ และค่อย ๆ ลดจำนวนลงจนเหลือเพียงสิบคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในโลกสีโลหิต แต่ละคนในสิบคนนี้ นอกจากเฟนด์แล้ว ล้วนเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดในสำนัก ทั้งความสามารถและความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นถือว่ายอดเยี่ยมที่สุด! ในเวลานี้ ณ บริเวณที่เนลสัน เลสเตอร์ยืน
แน่นอนว่าอัจฉริยะจากสำนักระดับสี่นั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเขาผู้ที่มาจากสำนักระดับสามอย่างชัดเจน"ดูนั่น! ผู้ชายที่ชื่อเฟนด์คนนั้นได้ฆ่าผีดิบไปหกสิบศพแล้ว! นักรบแห่งสุญญะที่อยู่ตรงหน้าเขาสองคนหายไปแล้วด้วย!” มีคนตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจทุกคนประหลาดใจกับสิ่งที่คน ๆ นั้นพูด และเกือบทุกคนมองไปยังจุดที่เฟนด์อยู่ แน่นอนว่านักรบแห่งสุญญะสองคนได้หายตัวไปแล้วจริง ๆ! หลายคนอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ “ฉันจำได้ว่าเขาอยู่เพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น! หากเขาอยู่เพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดแล้วเขามีความสามารถขนาดนี้ได้ยังไง! เขาได้ใช้วิชาลับของตัวเองอย่างต่อเนื่องหรือเปล่า?”อีกคนกระแอมอย่างเย็นชาและพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ช่วยคิดก่อนพูดหน่อยจะได้ไหม? เฟนด์ยังคงยืนหยัดได้นานขนาดนี้แล้วเขาจะใช้วิชาลับอะไรแบบนั้นได้ยังไง” คนพวกนี้พูดถูก แม้ว่าเฟนด์จะใช้ทักษะลับและยอมสละชีวิตของตัวเอง แต่เขาก็จะได้เวลาตอบแทนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อผลของวิชาลับหมดลง เขาจะกลับเข้าสู่ระยะตกต่ำ เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะสูญเสียพละกำลังไปกว่าเจ็ดในสิบส่วนโดยปกติคนที่จะใช้วิชาลับอันแสนสิ้นหวังนี้เป็นทางเลือกสุดท้
แววตาเย็นชาฉายผ่านดวงตาของชายสวมหน้ากาก เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ผีดิบสิบเอ็ดศพสุดท้าย ในขณะนี้ จำนวนผีดิบที่เหลืออยู่ไม่ได้เป็นอันตรายต่อเขา อย่างไรก็ตาม ชายสวมหน้ากากไม่ได้รู้สึกโล่งใจ เนื่องจากยิ่งเขาฆ่าผีดิบมากเท่าไหร่ ผีดิบที่เหลือก็ยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้นเท่านั้น เขาพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อควบคุมการใช้พลังงานที่แท้จริงของตัวเอง แต่พลังงานที่แท้จริงของเขาก็ใกล้จะหมดลงเมื่อผีดิบเริ่มคลุ้มคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ“นี่มันยากบัดซบเลย!” ชายสวมหน้ากากอดไม่ได้ที่จะระเบิดความหยาบคายออกมา!ผู้คนหลายสิบคนที่ยังคงต่อสู้ในโลกสีโลหิตกำลังเผชิญกับความท้าทายของพวกเขาตามลำดับ และไม่มีใครมีเวลาได้พัก ศัตรูมีจำนวนมากเกินไป และก็เป็นอย่างที่รู้กันว่ามันจะทำให้เขาหมดแรงแม้ว่าพวกมันจะไม่สามารถฆ่าผู้ท้าชิงเหล่านี้ได้ก็ตาม! ผีดิบเหล่านี้ดึงพลังงานที่แท้จริงของผู้ท้าชิงไปจนหมดสิ้น!“เฮ้อ…” เฟนด์หายใจออกพรืดยาว ก่อนก้าวถอยหลังไป เขาถอยห่างออกไปราวสิบเมตร กลุ่มผีดิบกระโจนเข้าหาตำแหน่งเดิมที่เขายืนอยู่แล้วพร้อมกับฟาดกรงเล็บและเขี้ยวของพวกมันลงมา“ฉันไม่มีอารมณ์จะมาเสียเวลากับพวกนายนะ!” เฟนด์พึมพำ เขาได้เรียนรู้
เนลสันรู้สึกว่าตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่น่าอับอายมาก พลังงานที่แท้จริงของเขาหมดลงจนเกลี้ยงและมีบาดแผลมากมายบนร่างกาย หากโลกสีโลหิตตรวจไม่พบว่าเขาไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป เขาอาจตายทันทีในวินาทีถัดมา หลังจากพยายามอย่างเต็มที่เพื่อฆ่าผีดิบตัวที่หกสิบเขาก็ไม่เหลือแรงแล้ว หลังจากตัดแขนของผีดิบทิ้งพลังงานที่แท้จริงของเขาก็หมดลงเขายังจำสิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นในโลกสีโลหิตได้ แขนของผีดิบลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และเขาก็ตกอยู่ในความสิ้นหวังเช่นกัน ในขณะนั้นไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ของเขามากไปกว่าตัวเขาเอง เขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากพลังงานที่แท้จริงและได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้น แต่โชคดีที่เขาถูกส่งกลับมายังหุบเหวแห่งสุญญะได้อย่างทันท่วงที ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวของเขาและเขาถอนหายใจออกยาว แม้ว่าตอนนี้เขาจะปลอดภัยแล้ว แต่เขาก็ยังหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์มองไปที่เนลสันอย่างเป็นกังวล เนลสันเป็นผู้นำของสำนักในการเดินทางเข้ามายังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามในครั้งนี้ ศิษย์คนอื่น ๆ จากตำหนักสองกษัตริย์ชื่นชมในความแข็งแกร่ง ความรับผิดชอบ และพรสวรร
หลังจากแอบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาก็พูดอย่างไม่เต็มใจขึ้นว่า “ถึงแม้ว่าศิษย์พี่เนลสันไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่คุณก็ต้องใช้เวลานั่งสมาธิและฟื้นฟูร่างกาย ทำไมคุณยังมายืนอยู่แบบนี้อีก? ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกมาได้เลย”สิ่งที่เขาพูดไม่ได้ฟังดูแปลกอะไร เนลสันหัวเราะเบา ๆ และพยักหน้าให้กริฟฟิน เนื่องจากอีกฝ่ายเจตนาดี เนลสันจึงไม่คิดที่จะโต้แย้งในสิ่งที่เขาพูด “ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ฉันยังไม่เข้าใจ เราพาศิษย์ร่วมสำนักมาที่นี่ยี่สิบคน แต่ทำไมถึงเหลือกันแค่สิบเก้าคนเท่านั้น?” ทุกคนเงียบไปหลังจากได้ยินคำถามของเนลสัน พวกเขามองหน้ากันและแววตาแปลก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาสีหน้าสงบสุขแต่เดิมของกริฟฟินกลับมืดมนขึ้นราวกับเผลอเกินแมลงเข้าไปหลายตัวทันที เนลสันรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าแปลก ๆ บนใบหน้าของทุกคน เขาหันกลับไปมองฝูงชน ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าใครคือคนที่หายไป“เฟนด์อยู่ไหน? ฉันเห็นเขาก้าวขึ้นไปบนหุบเหวแห่งสุญญะด้วยตาของฉันเองแล้ว แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงไม่อยู่ที่นี่ล่ะ? เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือเปล่า?” เนลสันถามด้วยความประหม่าเล็กน้อยคนอื่น ๆ มีสีหน้าแปลกเสียยิ่
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ