ลิ่วล้อที่ซื่อสัตย์ที่สุดของชายสวมหน้ากากอย่างซาเมียนรู้สึกเดือดดาลทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาหันขวับไปจ้องเขม็งใส่เหล่าศิษย์จากสำนักสหัสบรรณ"เกรแฮมมีค่าอะไรตรงไหน? พวกนายเปรียบเทียบเขากับศิษย์พี่ใหญ่ของเราได้ยังไง? เหตุผลเดียวที่ระยะเวลาของพวกเขาสูสีกันก็เพราะว่าศิษย์พี่ของเราไม่ได้รีบร้อนฆ่าผีดิบพวกนั้น เพราะเขามักจะสนุกอยู่กับการเฝ้าดูสถานการณ์โดยรวม! นั่นแหละที่ทำให้เขาเสียเวลา จนทำให้เกรแฮมเกือบตามเขาทัน!"คำพูดเหล่านั้นให้ความรู้สึกราวกับเป็นคำอธิบายที่ข้าง ๆ คู ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ ถึงกระนั้นซาเมียนก็ดูจริงจังอย่างที่สุดในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น ราวกับว่าเขาจะฆ่าใครก็ตามที่กล้าโต้เถียงศิษย์จากสำนักระดับสามย่อมกลัวเกินกว่าจะยื่นปากเข้าไปยุ่ง แต่ถึงกระนั้นสำนักสหัสบรรณเป็นสำนักระดับสี่เทียบเท่ากับสำนักวายชนม์ทุกประการ จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะไม่ยอมรับในคำสบประมาทของซาเมียน"รู้ไหมว่าพูดอะไรออกมา! นายไม่คิดว่ามันน่าตลกไปหน่อยเหรอ? ศิษย์ของสำนักวายชนม์ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นเสียหน่อย แต่ถ้าวัดกันเรื่องความสามารถในการพูดเรื่องไร้สาระไม่มีมูลแล้วก็ พวกนายชนะขาด! นายไม่ได้เห็นศิษย์พ
มันเป็นความกระหายที่ล้ำลึกราวกับว่าวิญญาณของเขาได้กลิ่นหอมเย้ายวนใจ สิ่งนี้ทำให้เฟนด์มีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะไขข้อข้องใจนี้ให้ได้!เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อร่ายผนึกด้วยมือซ้าย ในขณะที่เขาหยุดการโจมตีของผีดิบ เขาก็ควบรวมดาบวิญญาณในมือซ้ายของเขา!แม้ว่าเขาจะฆ่าผีดิบไปแล้วยี่สิบห้าตัว แต่ก็ยังเป็นจำนวนที่น้อยมากจากทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบตัว มันช่วยบรรเทาความกดดันได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนหน้านี้ในขณะที่เฟนด์เขาถอยหลังออกมา เขาก็ยังใช้ทักษะของตัวเองในการจัดการกับพวกมันแต่ตอนนี้เขากำลังรวบรวมดาบวิญญาณในขณะต่อสู้ ทำให้มันยากขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเมื่อฝูงผีดิบสัมผัสได้ถึงสถานะของเฟนด์ในขณะนี้ พวกมันก็ยิ่งพุ่งเข้าใส่เขาด้วยความดุร้ายยิ่งกว่ากรรร!พวกมันส่งเสียงคำรามราวกับสัตว์ป่าขณะที่ดวงตาสีแดงคู่นั้นจ้องไปที่ลำคอของเฟนด์ พวกมันแยกเขี้ยวที่แหลมคมออกราวกับวางแผนที่จะกัดเฟนด์ด้วยในช่วงเวลาแห่งความว้าวุ่นใจ ผีดิบจำนวนห้าสิบถึงหกสิบตัวได้ล้อมเฟนด์เอาไว้ พวกมันยื่นกรงเล็บพุ่งเข้าใส่เขา เล็บที่มีความยาวครึ่งนิ้วนั้นคมอย่างไม่น่าเชื่อ และพวกมันก็พุ่งเข้าหาเฟนด์จากทุกทิศทาง!เฟนด์ข
ขณะที่เขาฟาดฟันดาบที่ควบรวมกับทักษะทลายห้วงสุญญะออกไปอย่างเต็มที่ ดาบก็เข้าโจมตีกลุ่มผีดิบอย่างไม่ลังเล ผีดิบห้าถึงหกตัวถูกฟันจนได้กันไปคนละหลายบาดแผล บาดแผลเหล่านี้ไม่ลึกแต่กินพื้นที่กว้าง นี่คือผลลัพธ์ที่เฟนด์ต้องการ เหล่าผีดิบมีการป้องกันที่แข็งแกร่ง กลับกันหากเป็นการโจมตีของคนอื่น บาดแผลดังกล่าวจะไม่สร้างความเสียหายอะไรแก่เหล่าผีดิบมากนัก และไม่อาจทำให้พวกมันไร้ความสามารถลงได้ แต่เฟนด์แตกต่างออกไป เขาไม่ได้พึ่งพาการกำจัดกายหยาบเพื่อกำจัดพวกมันทิ้ง "กรรร!"เหล่าผีดิบที่บาดเจ็บดูคล้ายกับเสือดาวที่กำลังโกรธจัดมันหันหน้ากลับมามองยังเฟนด์ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลัง พวกมันแยกเขี้ยวอันคมกริบใส่เฟนด์จากนั้นจึงหันหลังและพุ่งเข้าหาเขาอีกครั้ง แต่ในขณะนั้น เหล่าผีดิบก็ดูคล้ายถูกสายฟ้าฟาดเข้าที่สมองและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย ร่างกายของพวกมันโอนเอนไปมาสองสามครั้ง ราวกับว่ามันสูญเสียพลังงานทั้งหมดไป และล้มลงกับพื้นเสียงดังสนั่น มันถูกกำจัดแล้ว บาดแผลบนร่างกายของพวกมันเปล่งควันสีดำอมเทาและส่งเสียงราวกับเนื้อดิบที่กำลังถูกย่าง แต่บาดแผลนั้นไม่มีสิ่งใดผิดปกติ กายหยาบของพวกมันไม
ริฟไม่เคยมีโอกาสนั้นมาก่อน แต่ในตอนที่กริฟฟินดูเป็นเช่นนี้ ริฟทั้งรู้สึกโล่งใจและอดไม่ได้ที่จะพูดประชดประชันกลับไปเหมือนที่กริฟฟินเคยทำกับเขาบ้าง ในทางกลับกัน กริฟฟินก็โกรธจนหน้าแดง และหันหน้าไปจ้องที่ริฟอย่างดุร้าย ดวงตาของเขาเกือบจะถลนออกมาจากเบ้าอยู่รอมร่อ "นายหมายความว่ายังไง ริฟ โจนส์! พูดแบบนี้มีหลักฐานเหรอ?! นายรู้ได้ยังไงว่าฉันคิดอะไรอยู่" ริฟตะคอกกลับไปเบา ๆ "ใครจะไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ ดวงตาคู่นั้นของคุณไม่ได้ละจากจุดที่เฟนด์ยืนอยู่ตั้งแต่คุณถูกพากลับมาจากโลกสีโลหิตเลย คุณต้องอยากเห็นเฟนด์ได้รับบาดเจ็บสาหัส และถูกย้ายกลับมายังหุบเหวแห่งสุญญะเป็นพิเศษ" กริฟฟินเชิดคางขึ้นและพูดว่า "ฉันอยากจะเห็นอะไรมันก็ไม่สำคัญ ไม่มีใครต้องการให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น แต่มันจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ที่หมอนั่นยังไม่ถูกส่งกลับมาเพราะเขาเร็วและเก่งเรื่องหนีมาก" เฟนด์มีผลงานที่ไม่ธรรมดาในจุดรวมพลขานชื่อก่อนหน้านี้ ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ต่อสู้กับโอลิเวอร์ เซเยอร์โดยตรง แต่แต่สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของโอลิเวอร์ได้อย่างรวดเร็ว ทุกคนที่อยู่ที่นี่จดจำฉากนั้นได้อย่างชัดเจน หลังจากที่ริฟได้ยินเรื่องนี
ในตอนนี้ธีโอเห็นริฟเป็นศัตรูไปแล้ว "เฟนด์เคยฆ่านักรบแห่งสุญญะมาก่อน แต่นั่นจะพิสูจน์อะไรได้? การเคลื่อนไหวนั้นอาจเป็นพลังงานที่เฟนด์ได้รับจากการดึงพลังงานที่แท้จริงของเขาออกมาใช้มากเกินไปเพื่ออวดตัวก็ได้! "เป็นที่ทราบกันดีว่าในโลกนี้ มีวิชาลับในการได้รับพลังงานอันยิ่งใหญ่ด้วยการคร่าชีวิตคน!" หลังจากได้ยินเช่นนี้ กริฟฟินก็พยักหน้าอย่างแรงและจงใจเปล่งเสียงเพื่อให้คนรอบข้างได้ยินอย่างชัดเจน “ศิษย์พี่ธีโอพูดถูก หมอนั่นอยู่เพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น ในบรรดาทุกคนที่นี่ เขาเป็นคนเดียวที่อยู่ในขั้นกลางของระดับแรกกำเนิด แต่ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมานั้นสูงกว่าคนที่นี่กว่าครึ่งหนึ่ง! อะไรทำให้เขามีพรสวรรค์ขนาดนี้ เขาเป็นแค่ศิษย์อาวุโส! เขาต้องใช้วิชาลับในการพรากชีวิตคนอื่น เพื่อชื่อเสียงและหน้าตาทางสังคมแน่!" คำพูดให้ร้ายประเภทนี้กริฟฟินสามารถพูดมันออกมาได้อย่างง่ายดาย เขาเสริมมันด้วยเหตุผลราวกับมันเป็นเรื่องจริง หลังจากฟังเรื่องนั้นแล้ว คนรอบข้างก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมีเหตุผลมากเช่นกัน เฟนด์อยู่ในขั้นกลางของระดับแรกกำเนิด ในบรรดาผู้คนกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบคนที่นี่ มีเพียง
ตอนนี้กริฟฟินปักใจเชื่อไปแล้วว่าเหตุผลที่ทำให้เฟนด์สามารถอยู่ในโลกสีโลหิตได้นานขนาดนั้นก็เพราะว่าเขาเก่งเรื่องการวิ่งหนีและหลบหลีกการโจมตีมากกว่าที่เขาจะอยู่ได้นานเพราะความแข็งแกร่งที่เขามี คำอธิบายนี้เป็นที่ยอมรับของฝูงชนเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากระดับการบ่มเพาะและสถานะของเฟนด์ หลายคนที่เหนือกว่าเฟนด์มากทั้งในด้านการบ่มเพาะและสถานะในสำนักต่างไม่เต็มใจที่จะเชื่อว่าคนอย่างเฟนด์จะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาและสามารถอยู่ในโลกสีโลหิตได้นานกว่าพวกเขา! คำพูดจากกริฟฟินดูเหมือนจะส่งผลกระทบกับฝูงชน “ศิษย์พี่คนนี้พูดถูก การที่เขาเป็นคนหนีเก่งก็จะทำให้เขาอยู่ในโลกนั้นได้นานกว่า แต่พฤติกรรมแบบนี้นอกจากจะสามารถอยู่ในโลกนั้นได้นานขึ้นแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก" “ใช่ มันก็เป็นเพียงแค่การอวดตัวเองว่าเหนือคนอื่น เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง คนอื่นอยู่ในโลกสีโลหิตและจัดการกับผีดิบเหล่านั้นอย่างสุดกำลัง แต่เขากลับสนใจแต่จะพยายามสร้างชื่อเสียงของตัวเองต่อหน้าทุกคน" หลายคนไม่ประทับใจในตัวเฟนด์แต่ไม่ได้มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอะไรกับเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พูดตรงไปตรงมาราวกับเฟนด์เป็นศัตรู แต่ถึ
หลังจากที่ธีโอพูดอย่างนั้น หลายคนก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน และบางคนจงใจไม่ลดเสียงลงราวกับต้องการให้ศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์ได้ยิน "ศิษย์ที่อยู่ขั้นกลางของระดับแรกกำเนิด แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง แต่จะแข็งแกร่งได้ขนาดไหนกัน? การใช้อุบายเช่นนี้เพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง เขาคงคิดว่าทุกคนโง่! ตำหนักสองกษัตริย์ไม่มีคนอื่นแล้วหรือ? พวกเขาปล่อยให้ศิษย์ที่อยู่ขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเข้ามาตายในแหล่งทรัพยากรยุคต้องห้ามเช่นนี้ได้อย่างไร?” หลังจากได้ยินคำพูดเหน็บแนมเหล่านี้ ใบหน้าของศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์ ยกเว้นกริฟฟินก็แดงขึ้นราวกับว่ามีใครตบหน้าพวกเขาอย่างแรงถึงสองครั้ง ศิษย์บางคนของตำหนักสองกษัตริย์ ก็เริ่มไม่พอใจเฟนด์ไปด้วย เป็นเพราะเด็กสารเลวคนนี้ชอบอวดดีและทำให้พวกเขาต้องถูกเยาะเย้ยถากถาง อย่างไรก็ตาม กริฟฟินยิ้มและมีความคิดที่แตกต่างจากศิษย์คนอื่น ๆ ของตำหนักสองกษัตริย์อยู่สองอย่าง เขามีความสุขมากที่ได้ยินคนอื่นเหยียดหยามเฟนด์จนอดไม่ได้ที่จะปรบมือให้พวกเขาและยุยงให้พวกเขาพูดให้มากกว่าเดิม อย่างไรก็ตามในอีกใจหนึ่งของกริฟฟิน ชื่อเสียงของตำหนักสองกษัตริย์มันไม่มีค่าอะไรสำหรับเขาเล
“ศิษย์พี่กริฟฟินพูดถูก ศิษย์น้องเฟนด์เก่งกาจในการหลบหนี แต่ผมมีคำถาม ศิษย์พี่กริฟฟินให้คำตอบผมได้ไหม ถ้าเก่งแต่เรื่องวิ่งหนีแล้วจะสามารถฆ่าผีดิบได้อย่างไร” คำถามถูกถามอย่างรวดเร็ว หรืออันที่จริงมันอาจจะไม่ใช่คำถามด้วยซ้ำ และทุกคนที่นี่ต่างก็รู้คำตอบดีว่าคนที่เอาแต่วิ่งหนีจะสามารถฆ่าผีดิบได้อย่างไร ทุกคนรู้ว่าการป้องกันของผีดิบนั้นน่าทึ่งมาก เพื่อที่จะทำลายการป้องกันของผีดิบและทำให้ผีดิบพวกนั้นสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ เราจะต้องมีพลังโจมตีที่ยอดเยี่ยม ซึ่งคนส่วนใหญ่ในนั้นไม่สามารถทำได้ แม้ว่าจะมีใครบางคนจัดการมันได้ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเช่นนั้นภายใต้การโจมตีของผีดิบทั้งฝูง! สีหน้าของกริฟฟินดูขมขื่นไม่ต่างจากการกินของขม คำถามจากปากริฟไม่ต่างจากการกล่าวโทษเขา ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้กริฟฟินก็พูดไปไม่น้อย เขาบรรยายว่าเฟนด์ไม่ดีและคิดว่าเหตุผลเดียวที่อีกฝ่ายยังไม่ออกมาก็เพราะวิ่งหนีเก่งเท่านั้น กริฟฟินถอนหายใจอย่างหนัก แน่นอนว่าเขาไม่สามารถตอบคำถามนี้จากริฟได้ ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไรก็จะเหมือนการแก้ตัว กริฟฟินยิ่งเกลียดเฟนด์มากกว่าเดิมไปอีก เขาตระหนักได้ว่าหากเขาต่อสู้กับเฟนด์ไม