ในการทดสอบครั้งที่สอง ผู้ที่ใช้การโจมตีระยะไกลจะได้เปรียบอย่างแน่นอน และทักษะธาตุทางวิญญาณก็มีระยะการโจมตีที่ไกลมากที่สุดถึงต้องเผชิญหน้ากับผีดิบจำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบตัวก็ไม่ได้มีผลลัพธ์ที่ต่างกัน ผู้ที่ฝึกฝนทักษะทางธาตุวิญญาณเพียงแค่ใช้ความพยายามเล็กน้อยก็สามารถจัดการกับฝูงผีดิบเหล่านี้ได้แล้วยิ่งเฟนด์ต่อสู้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าการปีนขึ้นไปบนหุบเหวแห่งสุญญะยิ่งเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ที่มีทักษะทางธาตุวิญญาณมากขึ้นเรื่อย ๆแต่สำหรับผู้ที่ฝึกฝนด้วยทักษะทางธาตุอื่น ๆ กลับเต็มไปด้วยความยากลำบาก การทดสอบในแต่ละครั้งเต็มไปด้วยภาระอันหนักอึ้ง เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น เฟนด์ก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงดาบในมือของเขาขยับอย่างต่อเนื่อง ผีดิบตาแดงเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่เฟนด์อย่างไม่หยุดหย่อน พวกมันล้มลงต่อหน้าเฟนด์ทีละศพ แม้ว่าพวกมันจะพุ่งเข้าหาเขาพร้อมกันและได้เปรียบด้านจำนวนก็ตามผีดิบไม่ได้ใช้ทักษะการโจมตีอะไรเป็นพิเศษ และใช้พลังงานที่แท้จริงของมันในการโจมตีระยะใกล้เท่านั้น แม้ว่าการโจมตีของพวกมันจะพุ่งเข้าหาเฟนด์ได้ แต่มันก็ไม่ได้สร้างทางเสียหายมากมายอะไรเฟนด์เปิดใช้กฎแห่งสุญญะและทำการโ
กริฟฟินได้ยินเสียงกังวลของฮาวเวิร์ด อวัยวะภายในของกริฟฟินเริ่มปั่นป่วน ภายในของเขาได้รับบาดเจ็บ มีอาการปวดแสบปวดร้อนที่แผ่นหลัง เสียงของน้องชายดึงเขากลับมาจากห้วงความคิดที่สับสน และเขาแทบจะบังคับตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งไม่ได้ด้วยซ้ำเขาเห็นฮาวเวิร์ดอยู่ห่างจากเขาไม่กี่สิบฟุต สายตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความกังวลและดวงตาที่เบิกกว้าง คนรอบข้างก็มองเขาด้วยท่าทางไม่แน่ใจเช่นกันขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แสงสีแดงก็ส่องลงมาบนร่างกายของเขา ซึ่งบ่งบอกว่ากริฟฟินล้มเหลวเขาพ่ายแพ้และล้มเหลวอย่างน่าสังเวชในด่านที่สาม เขาสามารถฆ่าผีดิบได้เพียงสองตัวก่อนที่จะจบลงในสภาพนี้! หัวใจของเขาไม่ยอมรับมัน!ทุกคนที่อยู่ในหุบเหวแห่งสุญญะอยู่ในพื้นที่แบ่งแยกของใครของมัน แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเห็นตำแหน่งของกันและกันและพูดคุยกันได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถก้าวออกจากพื้นที่ของตัวเองได้แม้ว่ากริฟฟินจะทรุดตัวลงจากอาการบาดเจ็บภายใน แต่สิ่งที่ฮาวเวิร์ดทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือการถามไถ่เกี่ยวกับอาการของเขา ฮาวเวิร์ดไม่สามารถวิ่งไปช่วยพยุงพี่ชายของเขาได้กริฟฟินถอนหายใจยาว "ด่านนี้ยากเกินไป ผีดิบร้อยยี่สิบตัวกรูมา
"ว้าว! น่าทึ่งมาก! ชายสวมหน้ากากจากสำนักวายชนม์นี่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ เวลาเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน เขาก็ฆ่าผีดิบไปถึงสามสิบตัวแล้ว นักรบแห่งสุญญะคนที่สี่ที่อยู่ต่อหน้าเขาได้หายไปแล้ว""เราไม่มีทางเทียบอะไรกับเขาได้เลย ก่อนการต่อสู้จะเริ่มขึ้น พวกเราบางคนก็ยอมจำนนเสียก่อนแล้ว ในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ ผู้คนมากมายพ่ายแพ้และถูกส่งกลับมา เดิมทีนึกว่าจะไม่มีใครผ่านไปได้แล้ว แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเราจะประเมินอัจฉริยะเหล่านั้นต่ำเกินไป"ณ จุดเดิมที่ชายสวมหน้ากากเคยยืนอยู่ก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ทุก ๆ สามสิบฟุตจะมีนักรบแห่งสุญญะยืนอยู่พร้อมอาวุธในมือ ตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับนักรบแห่งสุญญะคนที่สามแล้ว เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปจะพบนักรบเจ็ดคน ในเจ็ดคน มีจำนวนสี่คนถูกปกคลุมด้วยแสงสีแดงเหตุผลที่ทุกคนอุทานด้วยความประหลาดใจก็เพราะนักรบแห่งสุญญะที่อยู่ใกล้ชายสวมหน้ากากที่สุดได้หายตัวไปในทันใด นั่นหมายความว่าเขาได้กำจัดอุปสรรคและฆ่าผีดิบไปสามสิบตัวแล้วธีโอเองก็ถูกกำจัดในเวลาไล่เลี่ยกับกริฟฟิน แต่ทว่าชายสวมหน้ากากสามารถฆ่าผีดิบได้สามสิบตัวในเวลาอันสั้น ในขณะที่ธีโอต้องยอมจำนนต่ออาการบาดเจ็บสาหัสของตัวเอง ช
ลิ่วล้อที่ซื่อสัตย์ที่สุดของชายสวมหน้ากากอย่างซาเมียนรู้สึกเดือดดาลทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาหันขวับไปจ้องเขม็งใส่เหล่าศิษย์จากสำนักสหัสบรรณ"เกรแฮมมีค่าอะไรตรงไหน? พวกนายเปรียบเทียบเขากับศิษย์พี่ใหญ่ของเราได้ยังไง? เหตุผลเดียวที่ระยะเวลาของพวกเขาสูสีกันก็เพราะว่าศิษย์พี่ของเราไม่ได้รีบร้อนฆ่าผีดิบพวกนั้น เพราะเขามักจะสนุกอยู่กับการเฝ้าดูสถานการณ์โดยรวม! นั่นแหละที่ทำให้เขาเสียเวลา จนทำให้เกรแฮมเกือบตามเขาทัน!"คำพูดเหล่านั้นให้ความรู้สึกราวกับเป็นคำอธิบายที่ข้าง ๆ คู ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ ถึงกระนั้นซาเมียนก็ดูจริงจังอย่างที่สุดในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น ราวกับว่าเขาจะฆ่าใครก็ตามที่กล้าโต้เถียงศิษย์จากสำนักระดับสามย่อมกลัวเกินกว่าจะยื่นปากเข้าไปยุ่ง แต่ถึงกระนั้นสำนักสหัสบรรณเป็นสำนักระดับสี่เทียบเท่ากับสำนักวายชนม์ทุกประการ จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะไม่ยอมรับในคำสบประมาทของซาเมียน"รู้ไหมว่าพูดอะไรออกมา! นายไม่คิดว่ามันน่าตลกไปหน่อยเหรอ? ศิษย์ของสำนักวายชนม์ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นเสียหน่อย แต่ถ้าวัดกันเรื่องความสามารถในการพูดเรื่องไร้สาระไม่มีมูลแล้วก็ พวกนายชนะขาด! นายไม่ได้เห็นศิษย์พ
มันเป็นความกระหายที่ล้ำลึกราวกับว่าวิญญาณของเขาได้กลิ่นหอมเย้ายวนใจ สิ่งนี้ทำให้เฟนด์มีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะไขข้อข้องใจนี้ให้ได้!เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อร่ายผนึกด้วยมือซ้าย ในขณะที่เขาหยุดการโจมตีของผีดิบ เขาก็ควบรวมดาบวิญญาณในมือซ้ายของเขา!แม้ว่าเขาจะฆ่าผีดิบไปแล้วยี่สิบห้าตัว แต่ก็ยังเป็นจำนวนที่น้อยมากจากทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบตัว มันช่วยบรรเทาความกดดันได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนหน้านี้ในขณะที่เฟนด์เขาถอยหลังออกมา เขาก็ยังใช้ทักษะของตัวเองในการจัดการกับพวกมันแต่ตอนนี้เขากำลังรวบรวมดาบวิญญาณในขณะต่อสู้ ทำให้มันยากขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเมื่อฝูงผีดิบสัมผัสได้ถึงสถานะของเฟนด์ในขณะนี้ พวกมันก็ยิ่งพุ่งเข้าใส่เขาด้วยความดุร้ายยิ่งกว่ากรรร!พวกมันส่งเสียงคำรามราวกับสัตว์ป่าขณะที่ดวงตาสีแดงคู่นั้นจ้องไปที่ลำคอของเฟนด์ พวกมันแยกเขี้ยวที่แหลมคมออกราวกับวางแผนที่จะกัดเฟนด์ด้วยในช่วงเวลาแห่งความว้าวุ่นใจ ผีดิบจำนวนห้าสิบถึงหกสิบตัวได้ล้อมเฟนด์เอาไว้ พวกมันยื่นกรงเล็บพุ่งเข้าใส่เขา เล็บที่มีความยาวครึ่งนิ้วนั้นคมอย่างไม่น่าเชื่อ และพวกมันก็พุ่งเข้าหาเฟนด์จากทุกทิศทาง!เฟนด์ข
ขณะที่เขาฟาดฟันดาบที่ควบรวมกับทักษะทลายห้วงสุญญะออกไปอย่างเต็มที่ ดาบก็เข้าโจมตีกลุ่มผีดิบอย่างไม่ลังเล ผีดิบห้าถึงหกตัวถูกฟันจนได้กันไปคนละหลายบาดแผล บาดแผลเหล่านี้ไม่ลึกแต่กินพื้นที่กว้าง นี่คือผลลัพธ์ที่เฟนด์ต้องการ เหล่าผีดิบมีการป้องกันที่แข็งแกร่ง กลับกันหากเป็นการโจมตีของคนอื่น บาดแผลดังกล่าวจะไม่สร้างความเสียหายอะไรแก่เหล่าผีดิบมากนัก และไม่อาจทำให้พวกมันไร้ความสามารถลงได้ แต่เฟนด์แตกต่างออกไป เขาไม่ได้พึ่งพาการกำจัดกายหยาบเพื่อกำจัดพวกมันทิ้ง "กรรร!"เหล่าผีดิบที่บาดเจ็บดูคล้ายกับเสือดาวที่กำลังโกรธจัดมันหันหน้ากลับมามองยังเฟนด์ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลัง พวกมันแยกเขี้ยวอันคมกริบใส่เฟนด์จากนั้นจึงหันหลังและพุ่งเข้าหาเขาอีกครั้ง แต่ในขณะนั้น เหล่าผีดิบก็ดูคล้ายถูกสายฟ้าฟาดเข้าที่สมองและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย ร่างกายของพวกมันโอนเอนไปมาสองสามครั้ง ราวกับว่ามันสูญเสียพลังงานทั้งหมดไป และล้มลงกับพื้นเสียงดังสนั่น มันถูกกำจัดแล้ว บาดแผลบนร่างกายของพวกมันเปล่งควันสีดำอมเทาและส่งเสียงราวกับเนื้อดิบที่กำลังถูกย่าง แต่บาดแผลนั้นไม่มีสิ่งใดผิดปกติ กายหยาบของพวกมันไม
ริฟไม่เคยมีโอกาสนั้นมาก่อน แต่ในตอนที่กริฟฟินดูเป็นเช่นนี้ ริฟทั้งรู้สึกโล่งใจและอดไม่ได้ที่จะพูดประชดประชันกลับไปเหมือนที่กริฟฟินเคยทำกับเขาบ้าง ในทางกลับกัน กริฟฟินก็โกรธจนหน้าแดง และหันหน้าไปจ้องที่ริฟอย่างดุร้าย ดวงตาของเขาเกือบจะถลนออกมาจากเบ้าอยู่รอมร่อ "นายหมายความว่ายังไง ริฟ โจนส์! พูดแบบนี้มีหลักฐานเหรอ?! นายรู้ได้ยังไงว่าฉันคิดอะไรอยู่" ริฟตะคอกกลับไปเบา ๆ "ใครจะไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ ดวงตาคู่นั้นของคุณไม่ได้ละจากจุดที่เฟนด์ยืนอยู่ตั้งแต่คุณถูกพากลับมาจากโลกสีโลหิตเลย คุณต้องอยากเห็นเฟนด์ได้รับบาดเจ็บสาหัส และถูกย้ายกลับมายังหุบเหวแห่งสุญญะเป็นพิเศษ" กริฟฟินเชิดคางขึ้นและพูดว่า "ฉันอยากจะเห็นอะไรมันก็ไม่สำคัญ ไม่มีใครต้องการให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น แต่มันจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ที่หมอนั่นยังไม่ถูกส่งกลับมาเพราะเขาเร็วและเก่งเรื่องหนีมาก" เฟนด์มีผลงานที่ไม่ธรรมดาในจุดรวมพลขานชื่อก่อนหน้านี้ ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ต่อสู้กับโอลิเวอร์ เซเยอร์โดยตรง แต่แต่สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของโอลิเวอร์ได้อย่างรวดเร็ว ทุกคนที่อยู่ที่นี่จดจำฉากนั้นได้อย่างชัดเจน หลังจากที่ริฟได้ยินเรื่องนี
ในตอนนี้ธีโอเห็นริฟเป็นศัตรูไปแล้ว "เฟนด์เคยฆ่านักรบแห่งสุญญะมาก่อน แต่นั่นจะพิสูจน์อะไรได้? การเคลื่อนไหวนั้นอาจเป็นพลังงานที่เฟนด์ได้รับจากการดึงพลังงานที่แท้จริงของเขาออกมาใช้มากเกินไปเพื่ออวดตัวก็ได้! "เป็นที่ทราบกันดีว่าในโลกนี้ มีวิชาลับในการได้รับพลังงานอันยิ่งใหญ่ด้วยการคร่าชีวิตคน!" หลังจากได้ยินเช่นนี้ กริฟฟินก็พยักหน้าอย่างแรงและจงใจเปล่งเสียงเพื่อให้คนรอบข้างได้ยินอย่างชัดเจน “ศิษย์พี่ธีโอพูดถูก หมอนั่นอยู่เพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น ในบรรดาทุกคนที่นี่ เขาเป็นคนเดียวที่อยู่ในขั้นกลางของระดับแรกกำเนิด แต่ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมานั้นสูงกว่าคนที่นี่กว่าครึ่งหนึ่ง! อะไรทำให้เขามีพรสวรรค์ขนาดนี้ เขาเป็นแค่ศิษย์อาวุโส! เขาต้องใช้วิชาลับในการพรากชีวิตคนอื่น เพื่อชื่อเสียงและหน้าตาทางสังคมแน่!" คำพูดให้ร้ายประเภทนี้กริฟฟินสามารถพูดมันออกมาได้อย่างง่ายดาย เขาเสริมมันด้วยเหตุผลราวกับมันเป็นเรื่องจริง หลังจากฟังเรื่องนั้นแล้ว คนรอบข้างก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมีเหตุผลมากเช่นกัน เฟนด์อยู่ในขั้นกลางของระดับแรกกำเนิด ในบรรดาผู้คนกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบคนที่นี่ มีเพียง
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ