บริตนีย์เชียร์ให้พวกเขาดื่มเยอะ ๆ และมองไปที่แฟนหนุ่มของเธอ แมท “คุณก็ด้วย!” เธอพูด “คุณต้องดื่มเข้าไปอีก ได้ยินไหม”ความรำคาญพุ่งเข้ามาในใจของแมท แต่รอยยิ้มยังฉายอยู่บนใบหน้าของเขา “แน่นอนที่รัก! ผมจะฟังทุกอย่างที่คุณพูด” เขาตอบหลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็เข้ามาในลอบบี้ของโลตัสบาร์แอนด์เลานจ์ที่อยู่ชั้นหนึ่ง บรรยากาศคึกคัก เฟนด์และคนอื่น ๆ พบห้องส่วนตัวและนั่งอยู่ข้างในห้องส่วนตัวนี้ถูกแยกออกจากด้านนอกโดยมีกระจกนิรภัยกั้น สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกได้ แต่ถ้าไม่อยากเห็นก็แค่ดึงม่านที่ติดอยู่บนกระจกนิรภัยลง“เรียนท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่เคารพ หากคุณต้องการใช้ห้องส่วนตัวนี้ค่าใช้จ่ายขั้นต่ำจะอยู่ที่ 50,000 เหรียญ ราคาในเมนูนี้ใช้สำหรับอ้างอิงเมื่อคุณสั่งของว่างและแอลกอฮอล์!” พนักงานเสิร์ฟสาวสวยเดินเข้ามาและยิ้มให้พวกเขาด้วยรอยยิ้มที่งดงามที่สุด “ไม่จำกัดเวลา ดังนั้นคุณสามารถสนุกที่นี่ได้จนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น!” พนักงานอธิบายต่อ“เฟนด์คุณไม่คิดว่ามันแพงไปใช่ไหม? เพราะว่าเรามากันหลายคนห้องส่วนตัวขนาดเล็กไม่สามารถรองรับพวกเราทุกคนได้ นอกจากนี้เราต้องการช่วยประหยัดเงินที่หาม
“ว้าว! พวกเราได้ยินไม่ผิดใช่ไหม? คุณกำลังพูดถึงห้องส่วนตัวหรูหราขนาดใหญ่ ของโลตัสบาร์แอนด์เลานจ์?”ราเชลถึงกับผงะ เธอเริ่มสงสัยว่าเธอได้ยินมันผิด เฟนด์ต้องการไปที่ห้องที่มีราคาล้านดอลลาร์เป็นค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ?ทุกคนในเหตุการณ์ต่างสงสัยกับคำพูดของเฟนด์ “เฟนด์จะขอห้องใหญ่ได้ยังไงในเมื่อเขาไม่มีแม้แต่กำลังจ่ายค่าห้องขนาดกลาง?” พวกเขาตั้งคำถาม“คุณไม่ได้บอกว่ามีเปียโนอยู่ที่นั่นหรอ? ผมอยากฟังภรรยาเล่นเปียโน เราต้องไปที่นั่น” เฟนด์ยักไหล่“ห้องนั้นแพงจัง...ไม่มีทาง เราจะไม่ไปที่นั่น! ฉันจะเล่นเปียโนให้คุณฟังเมื่อฉันว่าง เป็นเด็กดีโอเคไหม?” เซเลน่ามองไปที่เฟนด์และพูดต่อว่า “วันนี้เราใช้เงินไปแล้วมากกว่า 5 ล้านสำหรับรถสองคัน! คุณคิดว่าเงินของคุณไม่มีวันหมด? อย่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายอีก!”“ฮะ? ปอร์เช่911 ราคา 5 ล้านเหรียญ? คุณล้อฉันเล่น? คุณเคยเห็นปอร์เช่ไหมเซเลน่า? คุณได้สัมผัสมันด้วยตัวเองแล้ว!” ดีแลนขัดจังหวะทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “อย่างน้อยคุณควรทำตัวให้เหมาะสม หัดดูคนอื่นบ้างนะ!”“พวกเขาบอกว่าปอร์เช่911ของทั้งคู่ ราคาอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านเหรียญ อย่าบิดเบือนคำพูดของพวกเขา!” ราเชลพู
“หยุดพล่ามสักที!” แมทตะคอก คำพูดของเซเลน่าแทงจุดอ่อนของเขาเข้าอย่างจัง สีหน้าของแมทแสดงออกว่าเขาโกรธมาก “เรารักกันอย่างจริงจัง มันไม่ใช่ที่ของคุณที่จะมาวิพากษ์วิจารณ์และทำลายความสัมพันธ์ของเรา! แล้วตัวคุณเองล่ะฮะ? การแต่งงานกับทหารคงเป็นเหตุการณ์ที่ทรมานที่สุดในชีวิตของคุณ! การที่ผู้หญิงหน้าตาดีอย่างคุณแต่งงานกับผู้ชายที่จน มันช่างสูญเปล่า”เซเลน่าระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “นั่นเป็นเพราะฉันไม่ใช่คุณและฉันไม่เคยต้องการเกาะใครกิน อีกอย่างฉันไม่คิดว่าผู้ชายของฉันไม่ดีพอ เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาเขายอมทุ่มเงินเป็นล้านเพื่อที่จะดูฉันเต้น! คุณคิดยังไงกับเรื่องนั้น? มันบอกได้ว่าผู้ชายของฉันรักฉันมากกว่าสิ่งอื่นใด และเต็มใจที่จะจ่ายเพื่อฉันแม้ว่าเขาจะมีเงินในบัญชีเพียงแค่หนึ่งแสนก็ตาม!”เซเลน่าหัวเราะเบา ๆ ขณะที่เธอพูด เธอโน้มตัวเข้าหาเฟนด์และจับมือเขาด้วยความภาคภูมิใจเฟนด์ตกใจเล็กน้อยกับการกระทำของเซเลน่า และรู้สึกว่าความสุขกำลังเบ่งบานในใจของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เซเลน่าเริ่มเปิดตัวในที่สาธารณะ!“พูดได้ดีที่รัก! ความรักของเราคือรักแท้ ที่เราอาศัยอยู่ด้วยกัน!”เฟนด์ตื่นเต้นมาก เขาหันหน้าไปท
หลังจากได้ยินคำพูดนั้น ทุกคนก็หัวเราะออกมา มันจะแย่แค่ไหนที่บอกว่าตระกูลเดรคได้รับประโยชน์จากการจ้างบอดี้การ์ดในราคา 20 ล้านเหรียญ? หากเป็นเช่นนั้นจริงก็หมายความว่าสมาชิกในครอบครัวเหล่านั้นเป็นคนโง่เง่าแล้วล่ะ“ฮ่าฮ่า มันช่างตลกเสียจริง! จ้างบอดี้การ์ดราคา 20 ล้านเหรียญ และพวกเขาก็ได้รับประโยชน์จากมัน? ได้โปรด พวกเขาสามารถจ้างบอดี้การ์ดสองสามร้อยคนด้วยเงินจำนวนนั้นและยังได้คนที่ยอดเยี่ยมด้วย!”ราเชลหัวเราะออกมาเสียงดัง“โอเค คุณกำลังคิดว่าครอบครัวเดรคเป็นพวกโง่? แม้แต่ผู้บัญชาการของพวกเขาก็ไม่ได้รับเงินเดือนมากขนาดนั้นใช่ไหม?” คาร์ลกล่าวเสริมคำพูดของเซเลน่าที่บอกเล่าไว้ก่อนหน้านี้ เฟนด์นั้นน่าประทับใจมาก มันทำให้พวกเขาโกรธเกินกว่าที่จะปล่อยเอาไว้ พวกเขาไม่เข้าใจว่าบอดี้การ์ดเพียงคนเดียวจะดีไปกว่าพวกเขาที่ทำรายได้มากกว่า 10 ล้านเหรียญต่อปีได้ยังไง“มันไม่สำคัญว่าพวกคุณจะเชื่อฉันหรือไม่ แต่นั่นคือจำนวนเงินที่สามีของฉันได้รับ คุณทันย่าเป็นคนรับประกันด้วยตนเอง ดังนั้นมันไม่มีทางผิดพลาด!”เซเลน่ารู้สึกโกรธมาก ตอนแรกเธอคิดว่านี่คงเป็นการรวมตัวกันแบบสบาย ๆ ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีพวกคนหัวสู
“มันจำเป็นที่จะต้องพิสูจน์ตอนนี้?”เทรเวอร์หัวเราะเสียงดังและพูดด้วยท่าทางเย้อหยิ่ง “คุณรู้ไหมว่าแฟนของฉันคือใคร? เธอเป็นญาติห่าง ๆ ของตระกูลเดรคและทำงานที่นั่นมาหลายปีแล้ว เธอควรจะเป็นคนที่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการ แต่ผู้จัดการของพวกเขาเธอโผล่ออกมาจากที่ไหน เธอเป็นคนที่มีเสน่ห์และแต่งตัวเก่ง ดังนั้นหากเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์กับนายน้อยของตระกูลเดรค เธอจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษเช่นนี้หรอ?”เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นว่า “ผู้จัดการคนก่อนหน้าได้ค่าจ้างเพียงแค่ไม่กี่แสนเหรียญต่อเดือน แต่เมื่อผู้จัดการคนนี้เข้ามา คิดว่าเธอได้เงินเดือนเท่าไหร่? เดือนละล้านกว่า! แล้วตอนนี้คุณจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่น่าสงสัยหรอ?”“ผู้หญิงคนนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับนายน้อยและมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเขาอย่างลับๆ ไม่อย่างนั้นเธอจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษหรอ?”“ทุกวันนี้มีผู้หญิงจำนวนมากที่หากินจากรูปร่างหน้าตา!” แมทพูด“คุณคิดว่ามีใครเป็นเหมือนอย่างนั้นไหม?”เซเลน่าโกรธมาก เธอมองเขาด้วยแววตาที่น่ากลัว“ฉันไม่ได้พูดถึงคุณด้วยซ้ำ! คุณกำลังทำให้คนอื่นรู้ตัว?” แมทมีสีหน้าไม่พอใจมาก “พวกคุณกำลังกล่าวหาอย่างไร้เหตุ
“10,000 เหรียญ?”โรซ่าอ้าปากค้างหลังจากที่ได้ยิน เฟนด์ต้องโกหกแน่ ๆ เธอทำงานหนักเป็นเดือนยังได้รับเงินเพียงน้อยนิด เธอเป็นเพียงหัวหน้างานแต่เธอก็รู้สึกเหนื่อยมากแต่นี่เฟนด์บอกพนักงานเสิร์ฟไปว่าเขาจะให้ทริปเธอ 10,000 เหรียญ มันไม่มากเกินไปหรอ?“ขอบคุณมากค่ะท่าน!”พนักงานเสิร์ฟสาวสวยดีใจมาก เพราะปกติรายได้ของเธอมาจากค่าคอมมิชชั่นที่ได้จากแอลกอฮอล์ที่พวกเขาให้บริการ แต่ค่าคอมมิชชั่นเหล่านี้ต่ำมาก เมื่อเทียบกับเงินเดือนแล้วยอดรวมยังไม่ถึง 10,000 เหรียญด้วยซ้ำแน่นอนว่ามีลูกค้าให้ทริปแก่พวกเรา แต่ที่พวกเราเคยได้ทริปจะอยู่ประมาณ 3,000-5,000 เหรียญแม้ว่าลูกค้าของพวกเราจะเป็นนายน้อยจากครอบครัวชนชั้นสองหรือชั้นสามก็ตาม พวกเราจะได้ทริปอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 เหรียญ พนักงานเสิร์ฟอย่างพวกเราไม่ได้สำคัญอะไรในสายตาของลูกค้ามากนัก ถ้าหากพวกเขามีความสุข เขาก็จะให้รางวัล แต่ถ้าพวกข้าไม่มีความสุขเขาก็อาจจะตะคอกใส่พวกเราด้วยซ้ำ“ฮ่าฮ่า....ไม่ต้องเป็นห่วง!”เฟนด์ยิ้ม เขาความประทับใจในสิ่งที่พนักงานเสริฟหญิงคนนั้นพูดไว้ โดยพื้นฐานเธอจะไม่พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดนอกจากรักษารอยยิ้มแบบมืออาชีพไว้บนใบ
ดีแลนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเซเลน่าเพียงแค่ยักไหล่ขณะที่เธอหยิบนามบัตรออกมาและส่งให้โรซ่า “นี่คือนามบัตรของฉันเก็บมันเอาไว้ งานนี้คงจะดีกว่างานปัจจุบันของคุณมาก ฉันเชื่อในความสามารถของคุณ คุณเป็นคนฉลาดและขยัน!”“โอเค ฉันจะเก็บมันไว้”โรซ่าสันนิษฐานว่าเซเลน่าจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของเซเลน่าได้ เธอจึงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วนก่อนที่จะเก็บนามบัตรลงในกระเป๋าของเธอรอยยิ้มเหยียดปรากฏบนใบหน้าของแมท “ไม่เลว คุณยังสามารถแนะนำงานให้กับคนอื่นได้ ดูจากภายนอกฉันไม่คิดว่าคุณจะจ้างใครได้ งานของคุณก็ไม่ได้แย่เกินไป!”เซเลน่าเงียบไม่ได้สนใจเขาขณะที่พวกเขาเดินไปที่ห้องส่วนตัวสุดหรู“โอ้พระเจ้า นี่มันห้องหรูหรอ? เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันมาที่นี่…มันใหญ่มาก!”“เปียโนยี่ห้อYamaha! หน้าจอที่นี่ก็ใหญ่มากเช่นกัน!”โรซ่าตื่นเต้นมากหลังจากสำรวจทุกซอกทุกมุม“ไม่เลวเลย! ไม่เลวเลย!”ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย“เฟนด์คุณพูดเองนะว่าคืนนี้คุณจะเลี้ยงและเป็นคนจ่ายบิลเอง เราจะไม่ควักเงินแม้แต่เซ็นต์เดียว!”บริตนีย์เตือนเฟนด์อีกครั้ง เธอต้องการดูว่าเฟนด์จะรักษาหน้าของเขาได้น
เซเลน่าเริ่มประหม่าทันที เขาเป็นทหาร เขาจะรู้วิธีเล่นเปียโนได้ยังไง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนอำมหิต?เสียงเพลงและการเต้นรำเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากสำหรับคนที่เข้าใจมัน เนื่องจากเป็นสิ่งที่สามารถเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณได้ ทำไมถึงไม่จริงจังกับมัน?เธอไม่สนใจถ้าสามีของเธอจะเล่นได้ไม่ดี ถึงแม้ว่าเธอจะเต้นแบบสง่างาม แต่เธอก็ไม่สามารถเต้นให้เข้ากับทำนองที่ยุ่งเหยิงเกินไปได้อย่างน้อยระดับของเฟนด์ก็ไม่ได้แย่เกินไป เธอสามารถเต้นเข้ากับเพลงของเขาได้อย่างมีพลัง“ล-ลืมมันไปซะ ทุกคนร้องเพลงและดื่มต่อ... ” เซเลน่าหัวเราะอย่างไม่เบิกบาน คำพูดของเธอฟังดูหดหู่ยิ่งกว่าสิ่งที่เธอทำไว้ แม้แต่ในดวงตาของเธอยังมีความผิดหวังและความเศร้าอยู่ภายใน เธอไม่ได้เต้นมานานมากแล้วและเกือบจะลืมว่า ‘เซเลน่า’ ที่เคยเต้นอย่างสง่างามบนเวทีราวกับหงส์ในตอนนั้นเธอรู้สึกแตกต่างทุกครั้งที่ขึ้นเวทีเพื่อเต้น มันเหมือนกับว่าเวทีทั้งหมดเป็นของเธอและมีเพียงเธอเท่านั้นเสียงเชียร์จากผู้ชมทำให้เธอรู้สึกมีความสุขมากแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอดีต เธอจะไม่มีวันรู้สึกแบบนั้นได้อีก ความรู้สึกเข้าใจความหมายของการเต้นอย่างลึกซึ้งผ่านหัว
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ