หลังจากดูดซับชิ้นส่วนวิญญาณของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เข้าไป เฟนด์ก็ได้สัมผัสกับโลกที่กว้างใหญ่ยิ่งขึ้น แม้ว่าเมื่อเทียบกับทวีปแคทธีเซียแล้ว ทวีปเฮสเทียจะแข็งแกร่งกว่ามากในแง่ของการบ่มเพาะตัวเอง แต่ที่นี่ก็ยังเทียบไม่ได้กับดินแดนเทพสาบสูญ ตำแหน่งศิษย์ที่ถูกเลือกเป็นเพียงตำแหน่งในตำหนักเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่ที่เกาะเวสต์ เซอร์ซีของทวีปเฮสเทีย เฟนด์ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ บรู๊คเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เฟนด์ก่อนที่เขาจะแอบส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้เขามองออกได้เลยว่าเฟนด์มุ่งมั่นที่จะเป็นศิษย์ที่ถูกเลือกถึงขนาดไหน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขามีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์ของตำหนักมาจำนวนนับไม่ถ้วน และเขาเคยเห็นสีหน้าเช่นนี้จะคนเหล่านั้นมาก่อนแล้วแต่ความมุ่งมั่นจะได้คว้าชัยชนะจะหมดไปภายในปีหรือสองปี การจะไปถึงตำแหน่งนั้นไม่ง่ายเลย เนื่องจากศิษย์ที่ถูกเลือกคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตำหนักเพียงสิบคนเท่านั้นแม้ว่าตำหนักสองกษัตริย์จะไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากมายในทวีปเฮสเทีย แต่ตำหนักนี้ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในตำหนักชั้นนำในเกาะเวสต์ เซอร์ซี ตำหนักนี้ได้ทำการคัดเลือกอัจฉริยะจากเกาะเวสต์ เซอร์ซีมามากมายและนี่คือค่ายฝึก
เมื่อเฟนด์เปิดประตูเพื่อเข้าไปในหอเขาก็ไม่รู้ว่าจิตใจของเขาตื่นตระหนกไปเองหรือว่าเขารู้สึกเช่นนี้ได้จริง ๆ กันแน่ เขารู้สึกถึงคลื่นลมที่พัดเข้าหาร่างของเขาและถ้ารวมพาร่างกายของเขาก่อนพุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณ นั่นทำให้เขาตื่นตระหนกเป็นอย่างมากหอนี้มีการตกแต่งที่เรียบง่ายอย่างที่สุด และมีประตูเล็ก ๆ หลายบานที่ด้านหลังโถงซึ่งสูงเท่ากับความสูงของผู้ชายคนหนึ่ง ประตูเหล่านี้มีเอกลักษณ์และเครื่องหมายต่าง ๆ สลักไว้มากมาย และเพียงแค่เหลือบมองเครื่องหมายเหล่านี้ เฟนด์ก็รู้สึกว่าตาของเขาเจ็บมากจนไม่สามารถมองมันได้ที่หน้าประตูเหล่านี้มีโต๊ะวางอยู่ และมีศิษย์คนหนึ่งกำลังงีบหลับอยู่หลังโต๊ะด้วย เฟนด์รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นศิษย์ภายนอก เมื่อดูจากการแต่งตัวของเขา แต่เฟนด์จำเขาไม่ได้ นอกจากนี้เขายังรู้ว่าการมอบหมายงานดังกล่าวนี้จะไม่ถูกมอบให้กับศิษย์ภายนอกที่เพิ่งได้รับคัดเลือก ชายคนนี้ต้องเป็นศิษย์ภายนอกซึ่งเป็นศิษย์พี่ของเขา ชายคนดังกล่าวใช้มือช้อนใบหน้าตัวเองเอาไว้ ท่าทางเขาดูง่วงงุนจนหนังตาตก เมื่อเทียบกับพื้นที่ฝึกฝนอื่น ๆ ที่หอเจตสิกมีคนแวะเวียนมานี่ไม่มากนัก เพราะมีไม่กี่คนที่ฝึกฝนทักษะศิลปยุท
“อย่าพูดแบบนั้นกับฉันสิ ฉันมีเหตุผลที่ต้องพูดกับนายแบบนั้น ทักษะศิลปยุทธหรือทักษะยุทธที่อยู่ในธาตุวิญญาณถือเป็นการฝึกที่ยากกว่าทักษะในธาตุอื่น ถ้านายฝึกทักษะศิลปยุทธและทักษะยุทธจากทักษะทางธาตุทั้งห้า ฉันคงไม่ถามอะไรแบบนี้กับนายหรอก คิดซะว่าฉันอยากจะเปลี่ยนใจนายก็แล้วกัน แม้แต่อัจฉริยะในตำหนักก็ยังไม่อ่านฝึกฝนทักษะศิลปยุทธและทักษะยุทธทางธาตุวิญญาณได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศิษย์ภายนอกที่ได้รับคัดเลือกใหม่อย่างนาย”โนเอลไม่ได้พูดเกินจริง ในบรรดาทักษะศิลปยุทธและทักษะยุทธทั้งหมด ทักษะทางธาตุทั้งห้านั้นเป็นทักษะที่ฝึกฝนได้ง่ายที่สุดแม้ว่าพลังที่ปลดปล่อยออกมาหลังจากที่พวกเขาบรรลุถึงระดับสำเร็จจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับทักษะศิลปยุทธและทักษะยุทธของสายอื่น ๆ แต่การฝึกฝนทักษะทางธาตุเหล่านั้นย่อมง่ายกว่า และความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จก็สูงกว่ามากเช่นกันโนเอลขยี้ตาแดง ๆ ของเขาเล็กน้อยแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ ก่อนจะพูดต่อด้วยท่าทีสบาย ๆ “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้ที่สามารถฝึกฝนทักษะศิลปยุทธและทักษะยุทธด้วยธาตุวิญญาณสำเร็จมีเพียงเหล่าศิษย์ภายในที่มีความสามารถสูงอย่างยิ่งเท่านั้น แม้แต่ศิษย์ที่ถูกเลือกก็ไม
“เลิกคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าคนอื่น มีหลายคนที่คิดแบบที่นายคิด แต่พวกเขาก็เป็นตัวอย่างให้กับคนรุ่นหลังเห็นว่านั่นเป็นความคิดที่เพ้อฝันแค่ไหน” โนเอลไม่ได้เตือนเฟนด์ เขากำลังเหน็บแนมเฟนด์ที่ประเมินตัวเองสูงเกินไป อย่างที่เขาพูด ในตำหนักมีศิษย์มากมาย แต่มีคนจำนวนหยิบมือเท่านั้นที่ฝึกฝนทักษะศิลปยุทธและทักษะยุทธของธาตุวิญญาณเหนือสิ่งอื่นใด วิญญาณเป็นสิ่งลวงตา และไม่ใช่สิ่งที่แตะต้องได้เหมือนธาตุทั้งห้า ศิษย์อาวุโสจำนวนมากได้ฝึกฝนธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน และสิ่งเหล่านั้นก็มีหลักฐานให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอันเฟนด์ได้แต่พยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร นั่นทำให้โนเอลหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่แยแสและพูดต่อ “ในเมื่อนายยืนยันที่จะเข้าไปและเสียคะแนนสะสมทั้งสิบคะแนนไป ฉันก็หมดคำจะพูดแล้ว”โนเอลไม่เชื่อว่าเฟนด์จะสามารถเร่งการพัฒนาทักษะศิลปยุทธและทักษะยุทธของเขาหลังจากที่เขาเข้าไปในห้องโถงได้ สำหรับโนเอลมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หากเฟนด์ทะลวงเข้าสู่ขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเรื่องนั้นอาจเป็นไปได้อยู่บ้าง แต่เมื่อพิจารณาถึงระดับพลังยุทธของเฟนด์แล้ว เขาก็ได้รู้ว่าเฟนด์เพิ่งทะลวงเข้าสู่ขั้นแรกระดับแรกกำเนิดเท
โนเอลเริ่มโกรธมากขึ้นในขณะที่เขาพูด เขาอดแทบไม่ได้ที่จะพุ่งไปข้างหน้าเพื่อตบเฟนด์เข้าที่ใบหน้าที่ไร้เดียงสาของเขาสักทีเพื่อให้เขาตื่นจากฝันกลางวัน เขาจะไม่เสียเวลามาพูดกับเฟนด์เลยหากเขาจะไม่ต้องถูกลากไปเอี่ยวด้วยหากวิญญาณของเฟนด์ได้รับบาดเจ็บ“นายรู้ตัวไหมว่านายกำลังพูดอะไรออกมา? เลือกระดับความยากเป็นระดับสอง และฉันมั่นใจว่านายคงทนได้ไม่กี่อึดใจหรอก และหลังจากฉันหายใจแค่ไม่กี่ครั้งนายก็จะวิ่งหางจุกก้นออกมา” โนเอลมองไปยังเฟนด์ด้วยสายตาที่กำลังมองคนโง่แสนดื้อรั้น เฟนด์ถอนหายใจเบา ๆ โดยรู้ดีว่าการกระทำของเขาต้องทำให้เขาดูโง่เง่าในสายตาของคนอย่างโนเอลเป็นแน่แต่เขาทำสิ่งนี้เพราะเขาไม่ต้องการเสียเวลา เพราะความยากตามปกติจะไม่ได้ช่วยพัฒนาทักษะยุทธที่ระดับทลายห้วงสุญญะ ในความเป็นจริง เขาขอให้โนเอลปรับระดับความยากเป็นระดับสอง เพราะเขาไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้มีประโยชน์กับเขาหรือไม่ภายใต้ความยากเช่นนี้เฟนด์พูดอย่างอับจนหนทาง “ก็ไม่ต้องกังวลหรอก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับผมตอนที่ผมอยู่ข้างใน ผมจะบอกพวกผู้ใหญ่หรือผู้ดูแลว่าผมทำเรื่องพวกนี้ด้วยความตั้งใจของผมเอง โดยที่ไม่เกี่ยวกับคุณ ผมจะตรวจสอบให้แน่ใจว่า
ภายในโลกที่มืดสนิท ซึ่งทำเอาหัวใจของคนคนหนึ่งกระเซ็นซ่าน ทุกสิ่งรอบตัวเขาถูกปกคลุมด้วยความมืด เฟนด์ยื่นมือออกไปและคลำไปรอบ ๆ ตัวตามสัญชาตญาณ แต่รอบตัวเขากลับมีเพียงความว่างเปล่า ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกเดินได้ลำบากพื้นที่ที่เขาอยู่นั้นแตกต่างจากพื้นที่ภายนอกอย่างสิ้นเชิง และความมืดของที่นี่ไม่อาจเทียบได้กับความมืดของด้านนอก ถ้าเขาเปรียบเทียบพื้นที่ภายนอกเหมือนน้ำพุใสในบ่อหิน พื้นที่นี้ก็เหมือนกับโจ๊กที่ปรุงสุกแล้วเพราะบรรยากาศหนาแน่นจนบรรยายไม่ถูกเขากำมือทั้งสองข้างเป็นกำปั้น และดูเหมือนว่าเขาจะไขว่คว้าพื้นที่รอบตัวเขาไว้ในมือได้ นี่คือพื้นที่ส่วนกลางของหอเจตสิกไม่ผิดแน่ และยังเป็นสถานที่ที่สามารถช่วยเขาปรับปรุงทักษะยุทธได้อันที่จริง จากสิ่งที่โนเอลบอกเขาสามารถรับรู้ได้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะฝึกฝนตัวเองที่นี่ แต่เขาไม่ถอยหนีและเดินไปข้างหน้าอีกสองก้าว ขณะที่เขากำลังจะเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง เสียงลมกระโชกแรงที่พัดผ่านยอดไม้ทำให้เขาตกใจโดยไม่รู้ตัวหลังจากนั้นก็มีลมอีกระลอกหนึ่งพัดมาทางเขา ลมกระโชกแรงนี้แตกต่างจากลมปกติภายนอก มันพัดตรงเข้าหาเฟนด์โดยไม่สนว่าน่าจะเป็นผิวหนังหรือ
คลื่นกระแทกวิญญาณที่ก่อตัวขึ้นจากวิญญาณที่อัดตัวกันแน่นยังคงพุ่งเข้าหาวิญญาณของเฟนด์ แม้ว่าการเรียกใช้ทักษะทลายห้วงสุญญะโดยเฟนด์จะทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดจากคลื่นกระแทกวิญญาณเหล่านี้ แต่เขาก็ไม่รอดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ คลื่นกระแทกวิญญาณพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างต่อเนื่อง และทำให้วิญญาณของเฟนด์รู้สึกถึงคลื่นความเจ็บปวดที่เสียดแทงแต่เรื่องนี้ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับเฟนด์ อันที่จริง เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะในที่สุดเขาก็พบเหตุผลสำคัญที่ว่าทำไมเขาถึงไม่อาจสร้างดาบวิญญาณเล่นที่สองได้ ในอดีต จิตวิญญาณของเฟนด์นั้นมั่นคงมาก และหากไม่ได้รับการกระตุ้นเขาก็จะไม่รู้สึกอะไรเลยอย่างที่โนเอลพูดเอาไว้ วิญญาณเป็นสิ่งลวงตา หากปราศจากสารกระตุ้นพิเศษ เฟนด์ก็สามารถสัมผัสถึงวิญญาณได้ แต่ไม่อาจสัมผัสกับอะไรได้มากมายนัก อย่างไรก็ตาม คลื่นกระแทกวิญญาณเหล่านี้ยังคงพุ่งเข้าหาวิญญาณของเฟนด์มันก่อให้เกิดผลกระทบบอกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เฟนด์ยังใช้โอกาสนี้ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของจิตวิญญาณของตัวเองอีกด้วยการสร้างดาบวิญญาณนั้นต้องการการเคลื่อนไหวของวิญญาณและการเคลื่อนไหวของวิญญาณของทุกคนก็แตกต่างกัน นี่คือสาเหตุท
โนเอลกำลังศึกษาเรื่องอาชีพเสริม หลังจากที่เขาล้มเหลวในการพัฒนาทักษะของตัวเองหรือเปล่า?เซนชี้ไปที่ประตูเรียงเนตรแล้วถามว่า “ศิษย์พี่โนเอล คุณวางแผนที่จะศึกษาเรื่องกลไกของประตูหรือ?”มุมปากของโนเอลกระตุกก่อนที่เขาจะหันไปกลอกตาใส่เซน เขาเม้มริมฝีปากไม่อยากจะพูดกับอีกฝ่ายแต่เขาไม่อาจห้ามไม่ให้ตัวเองพูดได้ ในตอนนี้ความคิดหนึ่งกำลังวนเวียนอยู่ในใจของเขาตลอดเวลาเขาถอนหายใจและพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าเหลือเชื่อว่า “เมื่อครู่เพิ่งมีคนเข้าไปในนั้น”เซนซึ่งยังไม่เข้าใจในความหมายแฝงของคำตอบจากปากโนเอลยังคงงงงวย การที่มีคนเข้ามาที่นี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ? หอเจตสิกแห่งนี้มีไว้สำหรับฝึกฝนไม่ใช่หรืออย่างไร?เขามองไปที่โนเอลและถามอย่างฉงนสนเท่ห์ว่า “การจะมีใครสักคนเข้าไปฝึกข้างในก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง? ทำไมคุณมายืนจับจ้องอยู่ที่นี่? คนที่อยู่ข้างในเป็นคนพิเศษหรือเปล่า? เขาเป็นศิษย์ที่ถูกเลือกซึ่งแข็งแกร่งอย่างยิ่งงั้นหรือ?”นี่เป็นคำอธิบายเดียวที่เซนคิดได้ เพราะคนที่สามารถฝึกฝนทักษะศิลปยุทธและทักษะยุทธของธาตุวิญญาณได้นั้นย่อมไม่ใช่คนธรรมดา มีเพียงศิษย์ภายในหรือสิทธิ์ผู้ถูกเลือกท
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ