นายท่านแฮ็คฟอร์ดรู้สึกราวกับว่าใบหน้าด้านขวาของเขากระแทกเข้ากับภูเขาเหล็ก พลังมหาศาลได้ทำลายโล่พลังฉีหรือที่ผู้คนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เรียกกันว่า 'เกราะวิญญาณ' ลง เมื่อเกราะวิญญาณนี้ถูกทำลายไป หมัดของเฟนด์ก็พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเขาเต็มเปา ฟันของนายท่านแฮ็คฟอร์ดหลุดออกจนหมดแถมกรามของเขาก็หลุดตามไปด้วย นั่นทำให้เขาไม่อาจกรีดร้องออกมาได้ เขาถูกส่งตัวให้ปลิวไปในอากาศ ก่อนตกลงบนพื้นด้วยเสียงอันดังกึกก้องในท้ายที่สุดนับเป็นเรื่องบังเอิญที่เขาร่วงหล่นลงในจุดที่ไม่ไกลจากที่ที่ร่างของนายท่านโลเดอร์อยู่ สมาชิกของกองกำลังภาคีที่เหลือเฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า พวกเขาอ้าปากค้าง พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะโต้ตอบ เนื่องด้วยความเร็วของเฟนด์ ตระหนักได้แล้วว่าประเมินเฟนด์ต่ำเกินไป และในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดชายหนุ่มถึงดูมั่นอกมั่นใจนักสำหรับนายท่านแมคเคนซี่ดูเหมือนว่าเฟนด์ไม่คิดที่จะให้เวลาพวกเขาได้รวบรวมพลังด้วย ถึงจุดนี้ใบหน้าของเขามืดมน นายท่านแฮ็คฟอร์ดถือเป็นเสาหลักของกองกำลังภาคีแต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังถูกเฟนด์เล่นงานได้อย่างง่ายดาย แม้ว่านายท่านแมคเคนซี่จะไม่เข้าใจถึงความเจ็บปวดที่นาย
เฟนด์ วู๊ดได้กำจัดคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดไปแล้ว เขามั่นใจว่าเผ่าเก้าเทพที่เพิ่งพัฒนาระดับพลังหยุดขึ้นจะสามารถจัดการกับสมุนที่เหลือของกองกำลังภาคีได้ นี่ยังไม่รวมว่าพวกเขามีทั้งนายท่านเซลเลอร์และนายท่านยาร์โบรห์อยู่ที่นั่นด้วยเขาเย้ยหยันอย่างเย็นชา ก่อนกระตุ้นพลังฉีของตัวเอง และพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับลูกธนู เขากำลังมุ่งหน้าไปตามนายท่านแมคเคนซี่ไป และจะสามารถตามเขาทันได้ในเวลาอันสั้นด้วยความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้ สำหรับคนอื่น ๆ ที่เห็นภาพนั้น ก็เขารู้สึกราวกับว่าเฟนด์หายตัวไปในพริบตานายท่านแมคเคนซี่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่พุ่งตรงมาจากด้านหลังเขา ‘อะไรวะเนี่ย! ปล่อยฉันไปไม่ได้หรือไง?” เขาสาปแช่งออกมา ร่างของเขากำลังสั่นเทา เขาไม่อยากตายอยู่ที่นี่ เขายังมีเวลาเหลืออีกหลายปี และหากเขาใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง เขาก็จะสามารถมีชีวิตต่อไปได้อีกหลายต่อหลายปีความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ครอบงำจิตใจของเขา “เฟนด์ วู๊ด เราไม่ได้บาดหมางกันเป็นการส่วนตัวเสียหน่อย ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันสัญญาว่าฉันจะทำเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา!” เขาตะโกนไปทางเฟนด์ขณะที่รักษาความเร็วในการหลบห
ความเร็วของนายท่านแมคเคนซี่เทียบกับเฟนด์ไม่ได้เลย ทันใดนั้นเขาก็เห็นประกายแสงสีทองพร้อม ๆ กับที่เฟนด์กระแทกกำปั้นลงบนไหล่ของเขา หมัดนั้นทำให้ข้อต่อของเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ เขาส่งเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั้งร่าง หมัดนั้นทำให้ไหล่ของเขาใช้การไม่ได้อีกต่อไปเฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชาในขณะที่เขาโชว์กำปั้นซ้ายขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่ให้เวลานายท่านแมคเคนซี่ได้ป้องกันตัวเองเลย แสงสีทองส่องประกายบนกำปั้นของเขาในขณะที่เขากระแทกมันเข้ากับหน้าอกด้านขวาของนายท่านแมคเคนซี่ด้วยแรงที่มากพอจะปลิดชีวิตใครก็ได้ เสียงกระดูกหักดังขึ้นอีกครั้ง หมัดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้กระดูกของนายท่านแมคเคนซี่แตกละเอียดเท่านั้น แต่ยังทำให้เขาไม่สามารถกระตุ้นพลังฉีของเขาออกมาได้อีกด้วย ดังนั้นเขาจึงตกลงไปที่พื้นราวกับใบไม้ร่วงหล่นเฟนด์ยังไม่จบกับเขา ชายหนุ่มตามเขาลงมาและคว้าคอเสื้อของนายท่านแมคเคนซี่เอาไว้ หมัดต่อไปจะกระทบเข้าที่เส้นลมปราณของนายท่านแมคเคนซี่ เขาวางแผนที่จะทำลายพลังยุทธของอีกฝ่ายให้สิ้นซากเพื่อให้แน่ใจว่าศัตรูจะไม่มีโอกาสกลับมาล้างแค้นเขาได้ดวงตาอันน่าเกร
เขาจะสามารถบ่มเพาะโอสถราชันย์ได้ เมื่อเขากลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นกลางระดับสี่ สิ่งที่สำคัญที่สุดของเขาในปัจจุบันคือการถอนคำสาปให้กับเซเลน่า เขาจะไม่หยุดพักจนกว่าเรื่องที่เหมือนภูเขาในอกจะถูกยกออกไป ปัญหาอื่น ๆ จะได้รับการแก้ไขตามลำดับ กองกำลังภาคีไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาอีกต่อไปแล้วในตอนนี้ เนื่องจากพวกเขาถูกทำลายไปแล้ว เฟนด์ วู๊ดยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของโลกและไม่มีใครโง่พอที่จะท้าทายเขาเว้นแต่พวกเขาปรารถนาที่จะตายเมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดเขาก็บ่มเพาะโอสถขั้นกลางระดับสี่ได้สำเร็จ ซึ่งหมายความว่าเขาได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นกลางระดับสี่ได้แล้ว หลังจากเลื่อนระดับขึ้นมาได้เขาก็รีบทำการบ่มเพาะโอสถราชันย์ เขาได้รับน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าผลึกเมฆากลับมาหลังจากกำจัดกองกำลังภาคีลงได้ยิ่งกว่านั้น หลังกองกำลังภาคีล่มสลาย เผ่าเก้าเทพก็ได้รับของล้ำค่ามากมายหลังจากสำรวจฐานที่มั่นที่ถูกทิ้งร้างอย่างละเอียด มีของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่เรียกกันว่าคทาตรึงวิญญาณ แม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะพลังยุทธ แต่ก็สามารถใช้เพื่อกำจัดการถูกครอบงำในร่างกายแบบถอนรากถอนโคน หากมีคทาตรึงวิญญาณ เฟอร์นั
เพื่อที่จะเข้าสู่สกาย เกท เฟนด์จะต้องเตรียมตัวให้พร้อม ระดับการบ่มเพาะในระดับนฤพานจะช่วยให้เขาสามารถปกป้องตัวเองได้ในทุกสถานการณ์พี่จะต้องเผชิญ หลังจากยืนอยู่ใต้สกาย เกทเป็นเวลาสี่ชั่วโมง ในที่สุดเขาก็ก้าวเท้าไปสองสามก้าวและเข้าไปข้างในทันทีที่เขาก้าวเข้าไปข้างใน เขาก็รู้สึกได้ว่าพื้นที่โดยรอบบิดเบี้ยวและทิวทัศน์รอบตัวก็เปลี่ยนไปอย่างมาก หลังจากมองดูอย่างละเอียด แม้จะมีประสบการณ์มาหลายปีแล้วเขาก็ยังอดที่จะตกใจไม่ได้ ปรากฎว่าอีกด้านหนึ่งของสกาย เกทมีโลกอีกใบซ่อนอยู่มันเป็นสถานที่ที่ดูคล้ายกับดินแดนรกร้าง เมื่อมองขึ้นไปยังดวงดาวที่หนาแน่น ดินแดนที่ว่างเปล่าก็แน่นขนัดไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่และน่าเกรงขาม บนพื้นดินไม่มีหญ้าแม้แต่ต้นเดียว แต่กลับเต็มไปด้วยเศษอาวุธ เมื่อมองดูใกล้ ๆ จะเห็นเลือดแห้งกรังติดอยู่บนอาวุธพวกนั้นด้วย ราวกับว่าโลกใบนี้ต้องประสบกับสงครามครั้งใหญ่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครมาเหยียบที่นี่เป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้ว ตรงหน้าเฟนด์มีบางอย่างกำลังเปล่งแสงสีขาวสว่างจ้าออกมา แต่เขามองไม่ออกว่ามันคืออะไร เขากลั้นใจและสาวเท้าเข้าไปหามัน เมื่อเขาก้าวไปข้างหน้า เขาก็รู้สึกได้ถึงออร่าที่แ
แม้หลังจากศึกษาเรือวิญญาณมาเป็นเวลานาน เขาก็ยังไม่เข้าใจความหมายของผนึกรูนเหล่านั้น สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงขุมพลังอันยิ่งใหญ่ของเรือวิญญาณลำนี้! หลังจากสำรวจจนทั่วแล้ว เขาก็กลับไปยังสถานที่ที่เขาพบผลึกหกเหลี่ยม ภายในเรือวิญญาณนั้นว่างเปล่า มีเพียงผลึกหกเหลี่ยมที่ดูเหมือนจะถูกโยนทิ้งไปอย่างไม่ระวังผลึกหกเหลี่ยมนี้มีขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ และมันก็เปล่งแสงสีแดงจาง ๆ ออกมาด้วย เฟนด์พิจารณามันอีกครั้งด้วยญาณทิพย์ของเขา และไม่พบสิ่งที่เป็นอันตรายเกี่ยวกับมัน ดังนั้นเขาจึงก้มลงหยิบมันขึ้นมา เขานำผลึกเข้ามาดูใกล้ ๆ และตรวจสอบอย่างระมัดระวัง เขาค้นพบว่ามีผลึกต่างสีและขนาดลอยอยู่ภายใน ผลึกเล็ก ๆ เหล่านี้ก็มีหกเหลี่ยมเช่นกันผลึกทั้งหกเหลี่ยมมีรูปร่างเหมือนกัน รัศมีของมันก็ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่อีกด้วย ผลึกหกเหลี่ยมเล็ก ๆ ที่อยู่ภายในยังดูคล้ายจะมีออร่าลึกลับไม่น้อย ขณะที่เขามองเข้าไปใกล้ ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่นิ้วที่ถือผลึกหกเหลี่ยมลูกดังกล่าว โดยไม่ทันได้ระวังนิ้วของเขาก็ถูกบาดและมีเลือดไหลออกมาหลังจากที่เปื้อนเลือดของเขา ผลึกหกเหลี่ยมก็ส่องแสงแวววาว ทันใดนั้นเฟนด์ก็รู้สึกว่าร่างกายขอ
ชิ้นส่วนวิญญาณเหล่านี้ไม่อาจนับได้ว่าเป็นชิ้นส่วนวิญญาณทั่วไป แต่เจ้าของดั้งเดิมกลับยอมละทิ้งสัมปชัญญะในเรื่องนี้โดยสมัครใจ พวกเขาทิ้งไว้เพียงชิ้นส่วนวิญญาณที่มีความทรงจำเกี่ยวกับต้นกำเนิดของตัวเองเฟนด์จ้องมองไปยังผลึกหกเหลี่ยมซึ่งมากมายเกินจะนับที่ลอยอยู่รอบตัวเขาและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความตระหนก ความทรงจำที่ส่งถึงเขาเมื่อครู่ได้อธิบายถึงการทำงานของชิ้นส่วนวิญญาณและกระบวนการสร้างชิ้นส่วนวิญญาณเหล่านี้ด้วย ยังไม่รวมถึงเรื่องการใช้งาน แต่กระบวนการสร้างชิ้นส่วนวิญญาณเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำได้โดยคนธรรมดาทั่วไป เมื่อหลายหมื่นปีที่แล้วเผ่าเทพสาบสูญได้เผชิญกับการต่อสู้ฆ่าล้างบางคนทั้งเผ่า เพื่อต่อลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเผ่าเทพสาบสูญ หัวหน้าเผ่าจึงได้รวมสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาและฝึกฝนทักษะวิญญาณลับอย่างเงียบ ๆทักษะวิญญาณลับไม่ได้มีไว้เพื่อเพิ่มพลังในการต่อสู้ของพวกเขาและใช้งานได้เพียงครั้งเดียว หลังจากฝึกฝนทักษะวิญญาณลับดังกล่าวได้สำเร็จ วิญญาณของผู้ฝึกจะคงอยู่แม้ว่าร่างกายจะสูญสลายไป แต่วิญญาณของพวกเขาจะไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้อีกแล้ว ต่อให้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตามเขาเก็บเพียงความท
ตอนนี้เขายังอยู่ในเรือมัสตาร์ด ซี๊ดและเข้าใจว่ามันนั้นแข็งแกร่งเพียงใด หลังจากรู้ว่าแคทธีเซียเป็นเพียงโลกชั้นที่ห้า เฟนด์ก็วางแผนที่จะออกจากที่นั่นเขาต้องการเห็นอารยธรรมศิลปยุทธที่เฟื่องฟูอย่างแท้จริงและไต่ระดับขึ้นไปยังจุดสูงสุดของโลกแห่งศิลปยุทธต่อไป โลกนี้ขาดพลังฉีและทรัพยากรที่เหลืออยู่ก็เช่นกัน นอกจากเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ไม่มีอะไรที่เขาจะได้จากการอยู่ที่นี่ต่อไปตอนนี้ ส่วนสำคัญของการเดินทางของเขาคือเรือมัสตาร์ด ซี๊ดที่เผ่าเทพสาบสูญทิ้งไว้ให้เขา เรือมัสตาร์ด ซี๊ดลำนี้ไม่เพียงแต่สามารถบรรจุคนจำนวนมากและขนส่งทางไกลได้เท่านั้น แต่มันยังสามารถเดินทางผ่านม่านกาลอวกาศเพื่อเข้าสู่โลกในระดับอื่น ๆ ได้อีกด้วยพื้นที่ภายในของเรือมัสตาร์ด ซี๊ดนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้และนอกเหนือจากการขนส่งแล้ว สามารถใช้เป็นที่เก็บของได้ เรียกได้ว่าเป็นที่เก็บของขนาดใหญ่เลยทีเดียว!เฟนด์พอใจกับเรือลำนี้มาก หลังจากออกจากแคทธีเซีย เขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะได้กลับมาที่นี่อีก เขาทนไม่ได้ที่จะต้องทิ้งสมาชิกของครอบครัวทั้งหมดไว้ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะพาพวกพ้องและครอบครัวไปด้วยหากเขากำลังจ