เฟนด์หัวเราะเบา ๆ นี่คือสิ่งที่เขากำลังมองหา ท้ายที่สุด เขาใช้เวลามากมายในการบ่มเพาะโอสถและแสดงให้ทุกคนเห็นไปแล้ว จุดประสงค์ของเขาคือการรับสมัครนักเล่นแร่แปรธาตุด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากเผ่าต้องการเติบโตและขยายตัว ความเชี่ยวชาญในการเล่นแร่แปรธาตุและการบ่มเพาะโอสถ โอสถนี้นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เขาหายใจเข้าลึก ๆ และลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังจากวางเม็ดยาลง จากนั้นเขาก็ยืดหลังตรงและจ้องมองฝูงชน ดวงตาของเขาปลดปล่อยความรู้สึกอดทนและดูราบเรียบออกมา "ถูกต้อง! ผมมาที่นี่เพื่อรับสมัครศิษย์!” ฝูงชนมองมาที่เขาด้วยสายตาคาดหวัง “ว้าว…” สีหน้าประหลาดใจของทุกคนในห้อง เขาต้องการรับศิษย์งั้นหรือ? นักเล่นแร่แปรธาตุระดับสามกำลังมองหาศิษย์! ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นสูงระดับสามคนไหนที่รับสมัครศิษย์ในเมืองสกายดูลล์! การมีนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีชื่อเสียงและมีความสามารถเป็นที่ปรึกษาย่อมดีกว่าการบ่มเพาะอยู่เพียงลำพัง เฟนด์ได้พิสูจน์ทักษะและความสามารถของเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องโฆษณาตัวเองอีกต่อไป วินาทีต่อมาหลังจากที่เฟนด์ประกาศความตั้งใจของเขาแล้ว ฝูงชนก็ตื่นเต้นเป็
กองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด! ช่างน่ายินดีเสียนี่กระไร! หากพวกเขากลายเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทุกคนจะโค้งคำนับพวกเขาทุกครั้งที่ได้พบกับคนอื่น ๆ เมื่อพวกเขาคิดถึงเรื่องนี้ พวกเขาก็รีบกลับไปยังที่พักของตนเองอย่างมีความสุขเพื่อบ่มเพาะตัวเองอย่างหนัก หลังจากที่เฟนด์กลับมาที่บ้านของเขา เขาก็พูดคุยอยู่กับเซเลน่าครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มดำเนินแผนการในทางปฏิบัติ เขาแนะนำให้นักเล่นแร่แปรธาตุเริ่มบ่มเพาะโอสถ นักเล่นแร่แปรธาตุเหล่านี้มีความสามารถที่แตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อเพิ่มระดับการเล่นแร่แปรธาตุให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อันดับแรกเฟนด์ได้สอนผู้อาวุโสลำดับที่เก้าและคนอื่น ๆ ถึงวิธีเพิ่มระดับของพวกเขา แล้วจึงส่งพวกเขาไปสอนนักเล่นแร่แปรธาตุที่เฟนด์นำกลับมาจากเมืองสกายดูลล์ ในอีกหลายวันผ่านไปเฟนด์ก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการเล่นแร่แปรธาตุ และระดับการเล่นแร่แปรธาตุของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด เขาได้ทะลวงพันธนาการของนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสาม และในที่สุดก็ก้าวเข้าสู่การเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสี่ เฟนด์เป็นเพียงนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นต้นระดับสี่ แต่แม้ว่าเขาจะอยู่แค่เพียงขั้นต้น แต่เขาก
นายท่านเซลเลอร์จ้องมองภาพการถูกทำลายล้างเบื้องหน้า ตำหนักคลื่นเมฆาที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองและทรงพลังพังทลายเสียจนไม่มีชิ้นดี “คุณคิดว่าเราควรไปที่กองทัพทั้งเก้าและดูสถานการณ์ของพวกเขาด้วยหรือเปล่า? ผมอยากไป เผื่อจะมีใครรอดชีวิตบ้าง” เขาถอนหายใจออกมาดัง ๆ ณ จุดนี้ นายท่านเซลเลอร์อับจนหนทาง เขาไม่รู้จะทำอย่างไรอีกต่อไป เขาเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของกองกำลังปฏิภาคีแต่คราวนี้เขากลับทำอะไรไม่ถูก คิ้วของปรมาจารย์ยาร์โบรห์ขมวดเข้าหากัน จากนั้นเขาก็ตบต้นขาและประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “ไปกันเถอะ! เราต้องไปดูเห็นกับตา! หากมีผู้รอดชีวิต เราต้องช่วยพวกเขา! บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้ถูกฆ่าไปจนหมดก็ได้ ใครจะไปรู้” นายท่านเซลเลอร์พยักหน้าเห็นด้วย ความคิดของนายท่านยาร์โบรห์ฟังดูมีเหตุผลและเข้าท่า แม้ว่าตำหนักคลื่นเมฆาจะจะเหลือเพียงความว่างเปล่า แต่จิตวิญญาณแห่งความสามัคคีและการช่วยเหลือผู้อื่นจะไม่ละลายหายไปด้วย ดังนั้นอย่างน้อยพวกเขาก็ต้องไปดูสถานการณ์ หลังจากที่ทั้งสองได้ตัดสินใจแล้ว พวกเขาก็เดินทางร่วมกันไปยังกองทัพทั้งเก้า พวกเขาเตรียมใจสำหรับสิ่งที่พวกเขาจะได้เห็นจากที่นั่นแล้ว พวกเขายั
“ในเวลานั้น นายท่านของเราอยู่ขั้นที่หนึ่งในระดับทะลวงวิญญาณ และเขาได้ต่อสู้กับนักสู้ชั้นยอดที่อยู่ในขั้นที่สามระดับทะลวงวิญญาณทั้งสองคนนั้นและสามารถเอาชนะพวกมันได้! เขาฆ่าพวกมันทั้งคู่! จากนั้นพวกคนที่ไม่ได้มีพลังยุทธสูงส่งในกองกำลังภาคีก็ถูกนักสู้ชั้นยอดของเผ่าเราจัดการ! แน่นอนว่าเราชนะการต่อสู้!” กรามของนายท่านยาร์โบรห์เกือบจะตกลงไปที่พื้นเมื่อได้ยินคำพูดของชายคนดังกล่าว สีหน้าของเขาดูไม่ต่างจากการได้ยินเรื่องประหลาด “นายท่านของนายทะลวงเข้าเข้าสู่ระดับทะลวงวิญญาณแล้วงั้นหรือ? นานเท่าไหร่แล้ว?" หลังจากได้ยินข่าว นายท่านยาร์โบรห์ก็ตกใจเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าจะต้องมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้อย่างไร และนายท่านเซลเลอร์ก็เช่นกัน ทั้งคู่สบตากันและรู้สึกว่าแทนที่จะถามสมาชิกของเผ่าอยู่อย่างนี้ที่นี่ พวกเขาควรพบกับเฟนด์แบบตัวต่อตัวหลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ ทั้งสองคนก็ไม่รอช้าและตรงไปยังที่พักของเผ่าเก้าเทพทันที ในเวลานี้เฟนด์ได้บ่มเพาะโอสถทะลวงวิญญาณเสร็จแล้วและได้กินมันเข้าไป พลังงานจำนวนมหาศาลถือกำเนิดขึ้นภายในร่างกายของเฟนด์และไหลผ่านเส้นลมปราณของเขา โอสถทะลวงวิญญาณนั้นมีประสิทธิภา
นักสู้ที่โจมตีกองทัพทั้งเก้าถูกกำจัดไปหมดแล้ว พวกที่สามารถหลบหนีได้นั้นมีแต่พวกที่ระดับพลังยุทธต่ำต้อยเท่านั้น สีหน้าของนายท่านโลเดอร์และนายท่านแมคเคนซี่จะเป็นอย่างไรพวกเขารู้เรื่องนี้?ในขณะนั้นนายท่านโลเดอร์และนายท่านแมคเคนซี่กำลังดื่มด้วยกันในสถานที่มั่นของกองกำลังภาคีพวกเขาได้รับข่าวชัยชนะและรู้แล้วด้วยว่าตำหนักคลื่นเมฆาไม่เหลือผู้รอดชีวิต ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับกองกำลังภาคีในเมื่อกองกำลังที่แข็งแกร่งกว่ากองทัพทั้งเก้าถูกกำจัดไปแล้ว มันก็สมเหตุสมผลที่พวกเขาจะคิดว่ากองทัพทั้งเก้าจะถูกกำจัดไปแล้วด้วยเช่นกันหลังจากนึกภาพเฟนด์ วู๊ดที่กำลังจะตายด้วยน้ำมือของพวกเขา นายท่านโลเดอร์ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะด้วยความชอบใจ เขายกแก้วขึ้นชนกับนายท่านแมคเคนซี่“ผมเคยบอกคุณไว้ว่าไง? ไอ้สารเลวนั่นจะต้องตายด้วยน้ำมือเราแน่ ๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องเขาอีกแล้ว เขาอยู่ในระดับเทพสูงสุดเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ไม่มีวันชนะคนที่อยู่ในระดับทะลวงวิญญาณได้หรอก” นายท่านโลเดอร์พูดด้วยท่าทีสบาย ๆนายท่านแมคเคนซี่พยักหน้าเห็นด้วย “ผมเห็นด้วยอย่างที่สุด! พวกเขาสร้างความวุ่นวายไว้มากมาย ผมไม่สนใจว่าเขา
ข่าวดังกล่าวโจมตีพวกเขาราวกับสายฟ้าฟาด ก่อนหน้านี้เพียงคู่เดียวพวกเขายังเฉลิมฉลองกันอยู่เลย และตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นสาดใส่หน้า นี่คงเป็นเรื่องตลกร้ายเป็นแน่!นายท่านโลเดอร์จ้องมองไปที่ศิษย์ที่คุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น “บอกฉันอีกทีสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? กองทัพทั้งเก้าจะแข็งแกร่งเช่นนั้นได้ยังไง?” เสียงของเขาสั่นเทาและเย็นชาศิษย์คนนั้นหวาดกลัวมาก จนคำพูดของเขาเริ่มจะวกไปวนมา เขารู้อย่างแจ่มแจ้งว่าเขาจะไม่สามารถออกจากห้องแห่งความลับนี้ไปทั้งที่ยังมีลมหายใจได้หากเขาทำให้ชายทั้งสองคนที่อยู่เบื้องหน้าไม่พอใจ เขากล่าวไปตามจริง โดยยืนยันกับทั้งนายท่านโลเดอร์และนายท่านแมคเคนซี่ว่าสิ่งที่พวกเขาได้ยินในครั้งแรกนั้นถูกต้อง พวกเขาไม่ได้ฟังอะไรผิดไปแต่อย่างใดไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะโกรธจัดเมื่อพบว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาถูกฆ่าตายและเหลือเพียงพวกที่มีระดับพลังยุทธต่ำต้อย "ออกไป!" แม้ว่าคำสั่งจะถูกพูดด้วยน้ำเสียงที่เดือดดาล แต่มันก็เหมือนกับเสียงดนตรีจากสวรรค์สำหรับศิษย์ที่กำลังหวาดกลัว เขารู้สึกเป็นอิสระและออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามองใบหน้าของนายท่านโลเดอร์เปลี่ยนเป็นสีเข้มด้
นายท่านแมคเคนซี่จ้องมองไปที่แก้วเปล่าอย่างเย็นชา “ผมไม่สนว่าคุณจะคิดยังไงเกี่ยวกับเฟนด์ วู๊ด ผมตัดสินใจแล้วว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งไม่ให้เขาพัฒนาไปได้มากกว่านี้”นายท่านโลเดอร์ขมวดคิ้วและมองไปด้านข้างซึ่งมีนายท่านแมคเคนซี่นั่งอยู่ “คุณกำลังบอกว่าคุณจะจัดการเขาเองเหรอ?”นายท่านแมคเคนซี่พยักหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “คุณควรหยุดโน้มน้าวผมด้วยตรรกะไร้เหตุผลพวกนั้นได้แล้ว เด็กสารเลวนั่นไม่ใช่แมลงอ่อนแอที่เราจะสามารถบดขยี้ได้ง่าย ๆ ตอนนี้เป็นเหมือนเสือร้าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะจัดการเขาไม่ได้”นายท่านโลเดอร์หันกลับมาและจ้องมองที่นายท่านแมคเคนซี่ด้วยสีหน้าจริงจัง นายท่านแมคเคนซี่ไม่หันกลับมามองเขาและพูดต่อไปว่า “ถ้าเราไม่จัดการเขา ต่อไปคนที่จะถูกเด็ดหัวคงเป็นเรา ดังนั้น เราควรทุ่มสุดตัวเพื่อขัดขวางเขาเอาไว้ เราจะต้องรวบรวมพลังทั้งหมดของกองกำลังภาคีเพื่อกำจัดกองทัพทั้งเก้า แม้ว่าคนอื่นจะคิดว่าเราขี่ช้างจับตั๊กแตนก็ตาม”จำนวนผู้เสียชีวิตที่สูงของนักสู้ฝีมือดีหลายคนได้ส่งเสียงเตือนในใจของนายท่านแมคเคนซี่ เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอด และตะโกนใส่ทหารยามที่อยู่ด้านนอกของประตู “ส่งข้อความถึงสมาชิก
ผู้อาวุโสทุกคนของกองกำลังภาคีตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการต่อสู้กับเผ่าเก้าเทพเพราะกองกำลังดังกล่าวเป็นราวกับหนามยอกอกของพวกเขา ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีกองกำลังใดพัฒนาได้รุดหน้าเท่ากับเผ่าเก้าเทพเฟนด์ วู๊ดทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยโดยไม่ได้พักมาตั้งแต่ที่เขาพัฒนาไปอีกขั้นและเลื่อนระดับเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นต้นระดับสี่ได้สำเร็จ เขาบ่มเพาะโอสถที่เขาใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มระดับการบ่มเพาะของตัวเองในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงเจ็ดวัน จากขั้นที่เจ็ดในระดับทะลวงวิญญาณ เขาก็ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นที่เก้าในระดับทะลวงวิญญาณแล้ว ขั้นที่เก้าในระดับทะลวงวิญญาณคือเพดานสูงสุดของโลกนี้ในการจัดอันดับอำนาจ และปรมาจารย์ของกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ส่วนใหญ่ก็อยู่ในขั้นเดียวกันนี้หลังจากถึงขั้นที่เก้าระดับทะลวงวิญญาณแล้ว เฟนด์ วู๊ดก็กำหมัดโดยไม่รู้ตัวและรู้สึกได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่ไหลออกมาจากปลายนิ้วของเขา เฟนด์ วู๊ดคนปัจจุบันมีความมั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับนักสู้ขั้นสองหรือสามระดับนฤพาน น่าเสียดายที่ไม่มีนักสู้คนใดอยู่ในระดับนฤพาน ซึ่งก็หมายความว่าเขาแข็งแกร่งที่สุดในโลกของแคทธีเซียเขาเฝ้ารอการต่อสู้กับกองกำลั