หญิงสาวมองไปที่ข้อความบนป้ายและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับกองกำลังนี้เลย เผ่าเก้าเทพ? อย่าบอกนะว่าเป็นกองกำลังที่ยังไม่ถึงระดับสามด้วยซ้ำ?”เควินรีบลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่ามีคนเดินเข้ามา “กองกำลังของเราเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน สาวน้อย” เขาแนะนำ “เราเพิ่งก่อตั้งตัวเองเมื่อวานนี้เอง แต่คุณไม่คิดว่ากองกำลังของเราน่าสนใจกว่าและมีศักยภาพในการเติบโตงั้นหรือ?”สีหน้าของหญิงสาวบิดเบี้ยวอย่างดูแคลนเมื่อเธอได้ยินสิ่งนี้ “ฉันอาจจะเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธทั่วไป แต่ฉันก็เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุชั้นยอดระดับหนึ่งแล้ว ฉันมีพรสวรรค์ในการเล่นแร่แปรธาตุ ดังนั้นฉันไม่สนใจกองกำลังหน้าใหม่อย่างพวกคุณหรอก ฉันตั้งใจจะหาใครสักคนที่อย่างน้อยก็ต้องเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับชั้นต้นระดับสามมาสอนฉัน มีเพียงนักเล่นแร่แปรธาตุในระดับนั้นเท่านั้นที่จะสามารถสั่งสอนฉันได้!”ดวงตาของเควินเป็นประกายเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ “กองกำลังของเราเหมาะกับเธอที่สุดเลย สาวน้อย” เขาพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ “ฉันอาจไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุระดับสาม แต่ในไม่ช้าฉันจะพัฒนาไปถึงขั้นนั้นได้ ฉันอยู่ห่างจากขั้นนั้นเพียงแค่เอื้อมมือ
เมื่อเฟนด์พูดขึ้น สายตาหลายคู่ก็หันไปทางเขาทันที เมืองสกายดูลล์เป็นจุดหมายปลายทางของนักเล่นแร่แปรธาตุ และมีนักเล่นแร่แปรธาตุมากมายมารวมตัวกันที่นี่แม้ว่าที่มาที่นี่จะไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุไปเสียทั้งหมด แต่พวกเขาก็ยังรู้เรื่องการค้ามากมาย ในตอนนี้มีคนเรียกตัวเองว่านักเล่นแร่แปรธาตุระดับสาม ทุกคนจึงพากันเย้ยหยันเขาชายหนุ่มคนนี้คิดว่าพวกเขางี่เง่าไร้การศึกษาหรืออย่างไร? นักเล่นแร่แปรธาตุชั้นยอดระดับสาม? ในเมืองสกายดูลล์แห่งนี้มีให้เห็นไม่ถึงสองคนด้วยซ้ำ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนดีเด่นอะไร แต่ก็ต้องปฏิบัติต่อนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นยอดระดับสามด้วยความสุภาพเสมอยิ่งไปกว่านั้น นักเล่นแร่แปรธาตุชั้นยอดระดับสามสามารถบ่มเพาะโอสถที่จะช่วยผู้ที่อยู่ในระดับทะลวงวิญญาณได้ นักเล่นแร่แปรธาตุเป็นอาชีพที่ได้รับความเคารพนับถือในโลกของการบ่มเพาะตัวเอง และนักเล่นแร่แปรธาตุชั้นยอดระดับสามก็ถือเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงเหนือคนอื่นผู้คนล้อมรอบเฟนด์อย่างแน่นหนาในชั่วพริบตา ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขามีแม้กระทั่งบางคนที่เริ่มพูดจาโหวกเหวกเสียงดัง ชายวัยกลางคนที่มีเคราแพะเล็ก ๆ พูดกับเฟนด์ว่า “หนุ่มน้อย นายคิดจะเล่
“เขาต้องทำเพราะอยากอวดอ้างตัวเองแน่ วิธีการปรุงส่วนผสมของไอ้สารเลวนั้นก็นับว่าดีอยู่และเขาก็หน้าจะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีระดับค่อนข้างสูง แต่เขาต้องไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุชั้นยอดระดับสามอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเขาไม่เตร็ดเตร่อยู่ตามถนนแบบนี้หรอก” ชายเคราแพะยืดคอออก และพูดจาเย้ยหยันการซุบซิบนินทาดำเนินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และทั้งหมดก็เข้าหูเควินและคีแรน พวกเขารั้งตัวเองไว้เพราะเห็นแก่การใหญ่ที่กำลังจะมาถึงแต่ประโยคสุดท้ายจากชายวัยกลางคนผู้มีเคราแพะพูดด้วยท่าทางหยิ่งยโสและเย้ยหยัน ไม่ใช่แค่การออกความคิดเห็นธรรมดาเควินส่งเสียงเย็นชาและจ้องไปที่ชายวัยกลางคนที่มีเคราแพะคนนั้น “เพียงเพราะคุณทำไม่ได้ ย่อมไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้ แค่รอดูก็แล้วกันว่าเขาจะทำสำเร็จหรือเปล่า? คุณเอาแต่พูดจาหาเรื่องไม่หยุด อยากจะมีเรื่องนักหรือไง?”เขาเคยหงุดหงิดผู้ชายคนนี้มาตั้งแต่แรก เขาพูดจายียวนมาตั้งแต่ต้น และยิ่งเขาพูด น้ำเสียงของเขาก็ยิ่งกระแนะกระแหนมากขึ้นระดับการบ่มเพาะของชายเคราแพะไม่สูงเท่าเควิน เป็นเรื่องปกติที่คนที่เชี่ยวชาญในการเล่นแร่แปรธาตุจะไม่สนใจเรื่องการบ่มเพาะระดับพลังยุทธ
โอสถเทพจำแลงนั้นไม่ซับซ้อนสำหรับเฟนด์ เขาเคยลองบ่มเพาะมันมาหลายครั้งแล้ว และเขาก็คุ้นเคยกับกระบวนการนี้จนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นนิสัย แม้ว่าเขาจะถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนกำลังจ้องจับผิดเขาอยู่ แต่กระบวนการบ่มเพาะโอสถของเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใดก่อนที่เวลาจะผ่านไป ครึ่งหนึ่งของโอสถก็แข็งตัวขึ้นอย่างช้า ๆ กลิ่นสมุนไพรโชยออกมาจากเตาและกระจายไปทั่วบริเวณ ทันใดนั้นทุกคนก็ตาโตแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดนะว่านี่เป็นโอสถชั้นยอดระดับสามจริงหรือไม่ แต่จากกลิ่นเพียงอย่างเดียว พวกเขาก็สามารถบอกได้ว่ามันไม่ใช่โอสถธรรมดา อย่างน้อยมันก็เป็นโอสถชั้นกลางระดับสาม!"มันจบแล้ว! จบแล้วจริง ๆ! โอ้พระเจ้า! ฉันนึกว่าเขาแค่คุยโม้อวด! ไม่คิดว่าเขาจะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสามอย่างแท้จริง!”"ถูกต้อง! ไม่คิดว่าอายุยังน้อยแล้วเขาจะเก่งได้ขนาดนี้! เราไม่สามารถหานักเล่นแร่แปรธาตุระดับสามได้ง่าย ๆ ในยุคนี้!”ฝูงชนแตกตื่นคุยกัน และเฟนด์ก็ยื่นมือไปรับเอาโอสถเทพจำแลงจากหม้อมาไว้ในฝ่ามือของเขาโดยไม่ยากเย็นอะไรนะ ราวกับว่าโอสถมีชีวิตจิตใจ มันหมุนรอบตัวชายหนุ่มเมื่อเฟนด์รับมัน นั่นทำให้ทุกคนร้อง
เฟนด์หัวเราะเบา ๆ นี่คือสิ่งที่เขากำลังมองหา ท้ายที่สุด เขาใช้เวลามากมายในการบ่มเพาะโอสถและแสดงให้ทุกคนเห็นไปแล้ว จุดประสงค์ของเขาคือการรับสมัครนักเล่นแร่แปรธาตุด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากเผ่าต้องการเติบโตและขยายตัว ความเชี่ยวชาญในการเล่นแร่แปรธาตุและการบ่มเพาะโอสถ โอสถนี้นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เขาหายใจเข้าลึก ๆ และลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังจากวางเม็ดยาลง จากนั้นเขาก็ยืดหลังตรงและจ้องมองฝูงชน ดวงตาของเขาปลดปล่อยความรู้สึกอดทนและดูราบเรียบออกมา "ถูกต้อง! ผมมาที่นี่เพื่อรับสมัครศิษย์!” ฝูงชนมองมาที่เขาด้วยสายตาคาดหวัง “ว้าว…” สีหน้าประหลาดใจของทุกคนในห้อง เขาต้องการรับศิษย์งั้นหรือ? นักเล่นแร่แปรธาตุระดับสามกำลังมองหาศิษย์! ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นสูงระดับสามคนไหนที่รับสมัครศิษย์ในเมืองสกายดูลล์! การมีนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีชื่อเสียงและมีความสามารถเป็นที่ปรึกษาย่อมดีกว่าการบ่มเพาะอยู่เพียงลำพัง เฟนด์ได้พิสูจน์ทักษะและความสามารถของเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องโฆษณาตัวเองอีกต่อไป วินาทีต่อมาหลังจากที่เฟนด์ประกาศความตั้งใจของเขาแล้ว ฝูงชนก็ตื่นเต้นเป็
กองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด! ช่างน่ายินดีเสียนี่กระไร! หากพวกเขากลายเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทุกคนจะโค้งคำนับพวกเขาทุกครั้งที่ได้พบกับคนอื่น ๆ เมื่อพวกเขาคิดถึงเรื่องนี้ พวกเขาก็รีบกลับไปยังที่พักของตนเองอย่างมีความสุขเพื่อบ่มเพาะตัวเองอย่างหนัก หลังจากที่เฟนด์กลับมาที่บ้านของเขา เขาก็พูดคุยอยู่กับเซเลน่าครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มดำเนินแผนการในทางปฏิบัติ เขาแนะนำให้นักเล่นแร่แปรธาตุเริ่มบ่มเพาะโอสถ นักเล่นแร่แปรธาตุเหล่านี้มีความสามารถที่แตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อเพิ่มระดับการเล่นแร่แปรธาตุให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อันดับแรกเฟนด์ได้สอนผู้อาวุโสลำดับที่เก้าและคนอื่น ๆ ถึงวิธีเพิ่มระดับของพวกเขา แล้วจึงส่งพวกเขาไปสอนนักเล่นแร่แปรธาตุที่เฟนด์นำกลับมาจากเมืองสกายดูลล์ ในอีกหลายวันผ่านไปเฟนด์ก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการเล่นแร่แปรธาตุ และระดับการเล่นแร่แปรธาตุของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด เขาได้ทะลวงพันธนาการของนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสาม และในที่สุดก็ก้าวเข้าสู่การเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสี่ เฟนด์เป็นเพียงนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นต้นระดับสี่ แต่แม้ว่าเขาจะอยู่แค่เพียงขั้นต้น แต่เขาก
นายท่านเซลเลอร์จ้องมองภาพการถูกทำลายล้างเบื้องหน้า ตำหนักคลื่นเมฆาที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองและทรงพลังพังทลายเสียจนไม่มีชิ้นดี “คุณคิดว่าเราควรไปที่กองทัพทั้งเก้าและดูสถานการณ์ของพวกเขาด้วยหรือเปล่า? ผมอยากไป เผื่อจะมีใครรอดชีวิตบ้าง” เขาถอนหายใจออกมาดัง ๆ ณ จุดนี้ นายท่านเซลเลอร์อับจนหนทาง เขาไม่รู้จะทำอย่างไรอีกต่อไป เขาเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของกองกำลังปฏิภาคีแต่คราวนี้เขากลับทำอะไรไม่ถูก คิ้วของปรมาจารย์ยาร์โบรห์ขมวดเข้าหากัน จากนั้นเขาก็ตบต้นขาและประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “ไปกันเถอะ! เราต้องไปดูเห็นกับตา! หากมีผู้รอดชีวิต เราต้องช่วยพวกเขา! บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้ถูกฆ่าไปจนหมดก็ได้ ใครจะไปรู้” นายท่านเซลเลอร์พยักหน้าเห็นด้วย ความคิดของนายท่านยาร์โบรห์ฟังดูมีเหตุผลและเข้าท่า แม้ว่าตำหนักคลื่นเมฆาจะจะเหลือเพียงความว่างเปล่า แต่จิตวิญญาณแห่งความสามัคคีและการช่วยเหลือผู้อื่นจะไม่ละลายหายไปด้วย ดังนั้นอย่างน้อยพวกเขาก็ต้องไปดูสถานการณ์ หลังจากที่ทั้งสองได้ตัดสินใจแล้ว พวกเขาก็เดินทางร่วมกันไปยังกองทัพทั้งเก้า พวกเขาเตรียมใจสำหรับสิ่งที่พวกเขาจะได้เห็นจากที่นั่นแล้ว พวกเขายั
“ในเวลานั้น นายท่านของเราอยู่ขั้นที่หนึ่งในระดับทะลวงวิญญาณ และเขาได้ต่อสู้กับนักสู้ชั้นยอดที่อยู่ในขั้นที่สามระดับทะลวงวิญญาณทั้งสองคนนั้นและสามารถเอาชนะพวกมันได้! เขาฆ่าพวกมันทั้งคู่! จากนั้นพวกคนที่ไม่ได้มีพลังยุทธสูงส่งในกองกำลังภาคีก็ถูกนักสู้ชั้นยอดของเผ่าเราจัดการ! แน่นอนว่าเราชนะการต่อสู้!” กรามของนายท่านยาร์โบรห์เกือบจะตกลงไปที่พื้นเมื่อได้ยินคำพูดของชายคนดังกล่าว สีหน้าของเขาดูไม่ต่างจากการได้ยินเรื่องประหลาด “นายท่านของนายทะลวงเข้าเข้าสู่ระดับทะลวงวิญญาณแล้วงั้นหรือ? นานเท่าไหร่แล้ว?" หลังจากได้ยินข่าว นายท่านยาร์โบรห์ก็ตกใจเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าจะต้องมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้อย่างไร และนายท่านเซลเลอร์ก็เช่นกัน ทั้งคู่สบตากันและรู้สึกว่าแทนที่จะถามสมาชิกของเผ่าอยู่อย่างนี้ที่นี่ พวกเขาควรพบกับเฟนด์แบบตัวต่อตัวหลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ ทั้งสองคนก็ไม่รอช้าและตรงไปยังที่พักของเผ่าเก้าเทพทันที ในเวลานี้เฟนด์ได้บ่มเพาะโอสถทะลวงวิญญาณเสร็จแล้วและได้กินมันเข้าไป พลังงานจำนวนมหาศาลถือกำเนิดขึ้นภายในร่างกายของเฟนด์และไหลผ่านเส้นลมปราณของเขา โอสถทะลวงวิญญาณนั้นมีประสิทธิภา