หญิงสาวมองไปที่ข้อความบนป้ายและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับกองกำลังนี้เลย เผ่าเก้าเทพ? อย่าบอกนะว่าเป็นกองกำลังที่ยังไม่ถึงระดับสามด้วยซ้ำ?”เควินรีบลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่ามีคนเดินเข้ามา “กองกำลังของเราเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน สาวน้อย” เขาแนะนำ “เราเพิ่งก่อตั้งตัวเองเมื่อวานนี้เอง แต่คุณไม่คิดว่ากองกำลังของเราน่าสนใจกว่าและมีศักยภาพในการเติบโตงั้นหรือ?”สีหน้าของหญิงสาวบิดเบี้ยวอย่างดูแคลนเมื่อเธอได้ยินสิ่งนี้ “ฉันอาจจะเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธทั่วไป แต่ฉันก็เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุชั้นยอดระดับหนึ่งแล้ว ฉันมีพรสวรรค์ในการเล่นแร่แปรธาตุ ดังนั้นฉันไม่สนใจกองกำลังหน้าใหม่อย่างพวกคุณหรอก ฉันตั้งใจจะหาใครสักคนที่อย่างน้อยก็ต้องเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับชั้นต้นระดับสามมาสอนฉัน มีเพียงนักเล่นแร่แปรธาตุในระดับนั้นเท่านั้นที่จะสามารถสั่งสอนฉันได้!”ดวงตาของเควินเป็นประกายเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ “กองกำลังของเราเหมาะกับเธอที่สุดเลย สาวน้อย” เขาพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ “ฉันอาจไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุระดับสาม แต่ในไม่ช้าฉันจะพัฒนาไปถึงขั้นนั้นได้ ฉันอยู่ห่างจากขั้นนั้นเพียงแค่เอื้อมมือ
เมื่อเฟนด์พูดขึ้น สายตาหลายคู่ก็หันไปทางเขาทันที เมืองสกายดูลล์เป็นจุดหมายปลายทางของนักเล่นแร่แปรธาตุ และมีนักเล่นแร่แปรธาตุมากมายมารวมตัวกันที่นี่แม้ว่าที่มาที่นี่จะไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุไปเสียทั้งหมด แต่พวกเขาก็ยังรู้เรื่องการค้ามากมาย ในตอนนี้มีคนเรียกตัวเองว่านักเล่นแร่แปรธาตุระดับสาม ทุกคนจึงพากันเย้ยหยันเขาชายหนุ่มคนนี้คิดว่าพวกเขางี่เง่าไร้การศึกษาหรืออย่างไร? นักเล่นแร่แปรธาตุชั้นยอดระดับสาม? ในเมืองสกายดูลล์แห่งนี้มีให้เห็นไม่ถึงสองคนด้วยซ้ำ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนดีเด่นอะไร แต่ก็ต้องปฏิบัติต่อนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นยอดระดับสามด้วยความสุภาพเสมอยิ่งไปกว่านั้น นักเล่นแร่แปรธาตุชั้นยอดระดับสามสามารถบ่มเพาะโอสถที่จะช่วยผู้ที่อยู่ในระดับทะลวงวิญญาณได้ นักเล่นแร่แปรธาตุเป็นอาชีพที่ได้รับความเคารพนับถือในโลกของการบ่มเพาะตัวเอง และนักเล่นแร่แปรธาตุชั้นยอดระดับสามก็ถือเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงเหนือคนอื่นผู้คนล้อมรอบเฟนด์อย่างแน่นหนาในชั่วพริบตา ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขามีแม้กระทั่งบางคนที่เริ่มพูดจาโหวกเหวกเสียงดัง ชายวัยกลางคนที่มีเคราแพะเล็ก ๆ พูดกับเฟนด์ว่า “หนุ่มน้อย นายคิดจะเล่
“เขาต้องทำเพราะอยากอวดอ้างตัวเองแน่ วิธีการปรุงส่วนผสมของไอ้สารเลวนั้นก็นับว่าดีอยู่และเขาก็หน้าจะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีระดับค่อนข้างสูง แต่เขาต้องไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุชั้นยอดระดับสามอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเขาไม่เตร็ดเตร่อยู่ตามถนนแบบนี้หรอก” ชายเคราแพะยืดคอออก และพูดจาเย้ยหยันการซุบซิบนินทาดำเนินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และทั้งหมดก็เข้าหูเควินและคีแรน พวกเขารั้งตัวเองไว้เพราะเห็นแก่การใหญ่ที่กำลังจะมาถึงแต่ประโยคสุดท้ายจากชายวัยกลางคนผู้มีเคราแพะพูดด้วยท่าทางหยิ่งยโสและเย้ยหยัน ไม่ใช่แค่การออกความคิดเห็นธรรมดาเควินส่งเสียงเย็นชาและจ้องไปที่ชายวัยกลางคนที่มีเคราแพะคนนั้น “เพียงเพราะคุณทำไม่ได้ ย่อมไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้ แค่รอดูก็แล้วกันว่าเขาจะทำสำเร็จหรือเปล่า? คุณเอาแต่พูดจาหาเรื่องไม่หยุด อยากจะมีเรื่องนักหรือไง?”เขาเคยหงุดหงิดผู้ชายคนนี้มาตั้งแต่แรก เขาพูดจายียวนมาตั้งแต่ต้น และยิ่งเขาพูด น้ำเสียงของเขาก็ยิ่งกระแนะกระแหนมากขึ้นระดับการบ่มเพาะของชายเคราแพะไม่สูงเท่าเควิน เป็นเรื่องปกติที่คนที่เชี่ยวชาญในการเล่นแร่แปรธาตุจะไม่สนใจเรื่องการบ่มเพาะระดับพลังยุทธ
โอสถเทพจำแลงนั้นไม่ซับซ้อนสำหรับเฟนด์ เขาเคยลองบ่มเพาะมันมาหลายครั้งแล้ว และเขาก็คุ้นเคยกับกระบวนการนี้จนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นนิสัย แม้ว่าเขาจะถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนกำลังจ้องจับผิดเขาอยู่ แต่กระบวนการบ่มเพาะโอสถของเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใดก่อนที่เวลาจะผ่านไป ครึ่งหนึ่งของโอสถก็แข็งตัวขึ้นอย่างช้า ๆ กลิ่นสมุนไพรโชยออกมาจากเตาและกระจายไปทั่วบริเวณ ทันใดนั้นทุกคนก็ตาโตแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดนะว่านี่เป็นโอสถชั้นยอดระดับสามจริงหรือไม่ แต่จากกลิ่นเพียงอย่างเดียว พวกเขาก็สามารถบอกได้ว่ามันไม่ใช่โอสถธรรมดา อย่างน้อยมันก็เป็นโอสถชั้นกลางระดับสาม!"มันจบแล้ว! จบแล้วจริง ๆ! โอ้พระเจ้า! ฉันนึกว่าเขาแค่คุยโม้อวด! ไม่คิดว่าเขาจะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสามอย่างแท้จริง!”"ถูกต้อง! ไม่คิดว่าอายุยังน้อยแล้วเขาจะเก่งได้ขนาดนี้! เราไม่สามารถหานักเล่นแร่แปรธาตุระดับสามได้ง่าย ๆ ในยุคนี้!”ฝูงชนแตกตื่นคุยกัน และเฟนด์ก็ยื่นมือไปรับเอาโอสถเทพจำแลงจากหม้อมาไว้ในฝ่ามือของเขาโดยไม่ยากเย็นอะไรนะ ราวกับว่าโอสถมีชีวิตจิตใจ มันหมุนรอบตัวชายหนุ่มเมื่อเฟนด์รับมัน นั่นทำให้ทุกคนร้อง
เฟนด์หัวเราะเบา ๆ นี่คือสิ่งที่เขากำลังมองหา ท้ายที่สุด เขาใช้เวลามากมายในการบ่มเพาะโอสถและแสดงให้ทุกคนเห็นไปแล้ว จุดประสงค์ของเขาคือการรับสมัครนักเล่นแร่แปรธาตุด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากเผ่าต้องการเติบโตและขยายตัว ความเชี่ยวชาญในการเล่นแร่แปรธาตุและการบ่มเพาะโอสถ โอสถนี้นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เขาหายใจเข้าลึก ๆ และลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังจากวางเม็ดยาลง จากนั้นเขาก็ยืดหลังตรงและจ้องมองฝูงชน ดวงตาของเขาปลดปล่อยความรู้สึกอดทนและดูราบเรียบออกมา "ถูกต้อง! ผมมาที่นี่เพื่อรับสมัครศิษย์!” ฝูงชนมองมาที่เขาด้วยสายตาคาดหวัง “ว้าว…” สีหน้าประหลาดใจของทุกคนในห้อง เขาต้องการรับศิษย์งั้นหรือ? นักเล่นแร่แปรธาตุระดับสามกำลังมองหาศิษย์! ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นสูงระดับสามคนไหนที่รับสมัครศิษย์ในเมืองสกายดูลล์! การมีนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีชื่อเสียงและมีความสามารถเป็นที่ปรึกษาย่อมดีกว่าการบ่มเพาะอยู่เพียงลำพัง เฟนด์ได้พิสูจน์ทักษะและความสามารถของเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องโฆษณาตัวเองอีกต่อไป วินาทีต่อมาหลังจากที่เฟนด์ประกาศความตั้งใจของเขาแล้ว ฝูงชนก็ตื่นเต้นเป็
กองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด! ช่างน่ายินดีเสียนี่กระไร! หากพวกเขากลายเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทุกคนจะโค้งคำนับพวกเขาทุกครั้งที่ได้พบกับคนอื่น ๆ เมื่อพวกเขาคิดถึงเรื่องนี้ พวกเขาก็รีบกลับไปยังที่พักของตนเองอย่างมีความสุขเพื่อบ่มเพาะตัวเองอย่างหนัก หลังจากที่เฟนด์กลับมาที่บ้านของเขา เขาก็พูดคุยอยู่กับเซเลน่าครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มดำเนินแผนการในทางปฏิบัติ เขาแนะนำให้นักเล่นแร่แปรธาตุเริ่มบ่มเพาะโอสถ นักเล่นแร่แปรธาตุเหล่านี้มีความสามารถที่แตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อเพิ่มระดับการเล่นแร่แปรธาตุให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อันดับแรกเฟนด์ได้สอนผู้อาวุโสลำดับที่เก้าและคนอื่น ๆ ถึงวิธีเพิ่มระดับของพวกเขา แล้วจึงส่งพวกเขาไปสอนนักเล่นแร่แปรธาตุที่เฟนด์นำกลับมาจากเมืองสกายดูลล์ ในอีกหลายวันผ่านไปเฟนด์ก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการเล่นแร่แปรธาตุ และระดับการเล่นแร่แปรธาตุของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด เขาได้ทะลวงพันธนาการของนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสาม และในที่สุดก็ก้าวเข้าสู่การเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสี่ เฟนด์เป็นเพียงนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นต้นระดับสี่ แต่แม้ว่าเขาจะอยู่แค่เพียงขั้นต้น แต่เขาก
นายท่านเซลเลอร์จ้องมองภาพการถูกทำลายล้างเบื้องหน้า ตำหนักคลื่นเมฆาที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองและทรงพลังพังทลายเสียจนไม่มีชิ้นดี “คุณคิดว่าเราควรไปที่กองทัพทั้งเก้าและดูสถานการณ์ของพวกเขาด้วยหรือเปล่า? ผมอยากไป เผื่อจะมีใครรอดชีวิตบ้าง” เขาถอนหายใจออกมาดัง ๆ ณ จุดนี้ นายท่านเซลเลอร์อับจนหนทาง เขาไม่รู้จะทำอย่างไรอีกต่อไป เขาเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของกองกำลังปฏิภาคีแต่คราวนี้เขากลับทำอะไรไม่ถูก คิ้วของปรมาจารย์ยาร์โบรห์ขมวดเข้าหากัน จากนั้นเขาก็ตบต้นขาและประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “ไปกันเถอะ! เราต้องไปดูเห็นกับตา! หากมีผู้รอดชีวิต เราต้องช่วยพวกเขา! บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้ถูกฆ่าไปจนหมดก็ได้ ใครจะไปรู้” นายท่านเซลเลอร์พยักหน้าเห็นด้วย ความคิดของนายท่านยาร์โบรห์ฟังดูมีเหตุผลและเข้าท่า แม้ว่าตำหนักคลื่นเมฆาจะจะเหลือเพียงความว่างเปล่า แต่จิตวิญญาณแห่งความสามัคคีและการช่วยเหลือผู้อื่นจะไม่ละลายหายไปด้วย ดังนั้นอย่างน้อยพวกเขาก็ต้องไปดูสถานการณ์ หลังจากที่ทั้งสองได้ตัดสินใจแล้ว พวกเขาก็เดินทางร่วมกันไปยังกองทัพทั้งเก้า พวกเขาเตรียมใจสำหรับสิ่งที่พวกเขาจะได้เห็นจากที่นั่นแล้ว พวกเขายั
“ในเวลานั้น นายท่านของเราอยู่ขั้นที่หนึ่งในระดับทะลวงวิญญาณ และเขาได้ต่อสู้กับนักสู้ชั้นยอดที่อยู่ในขั้นที่สามระดับทะลวงวิญญาณทั้งสองคนนั้นและสามารถเอาชนะพวกมันได้! เขาฆ่าพวกมันทั้งคู่! จากนั้นพวกคนที่ไม่ได้มีพลังยุทธสูงส่งในกองกำลังภาคีก็ถูกนักสู้ชั้นยอดของเผ่าเราจัดการ! แน่นอนว่าเราชนะการต่อสู้!” กรามของนายท่านยาร์โบรห์เกือบจะตกลงไปที่พื้นเมื่อได้ยินคำพูดของชายคนดังกล่าว สีหน้าของเขาดูไม่ต่างจากการได้ยินเรื่องประหลาด “นายท่านของนายทะลวงเข้าเข้าสู่ระดับทะลวงวิญญาณแล้วงั้นหรือ? นานเท่าไหร่แล้ว?" หลังจากได้ยินข่าว นายท่านยาร์โบรห์ก็ตกใจเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าจะต้องมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้อย่างไร และนายท่านเซลเลอร์ก็เช่นกัน ทั้งคู่สบตากันและรู้สึกว่าแทนที่จะถามสมาชิกของเผ่าอยู่อย่างนี้ที่นี่ พวกเขาควรพบกับเฟนด์แบบตัวต่อตัวหลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ ทั้งสองคนก็ไม่รอช้าและตรงไปยังที่พักของเผ่าเก้าเทพทันที ในเวลานี้เฟนด์ได้บ่มเพาะโอสถทะลวงวิญญาณเสร็จแล้วและได้กินมันเข้าไป พลังงานจำนวนมหาศาลถือกำเนิดขึ้นภายในร่างกายของเฟนด์และไหลผ่านเส้นลมปราณของเขา โอสถทะลวงวิญญาณนั้นมีประสิทธิภา
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ