อาเธอร์พูดไม่ออก แต่เขาก็ทำได้แค่เงียบลง"หึหึ ออสติน คุณนี่เสแสร้งต่อหน้าผมได้เก่งจริง ๆ คุณฆ่าศิษย์จากเผ่าของเราไปมากมาย แต่ยังมีหน้ามาปฏิเสธอย่างนั้นรึ?”เอ็ดเวิร์ดหัวเราะเบา ๆ “ถ้าคุณเป็นลูกผู้ชายพอ ก็มาสู้กันซึ่ง ๆ หน้าสิ” เขากล่าว “เผ่ากระหายเลือดไม่กลัวที่จะสู้กับใครหน้าไหนทั้งนั้น แต่การที่คุณแอบแทงข้างหลังเราแบบนี้มันมากเกินไป!”ออสตินพูดไม่ออก “หัวหน้าเผ่ากระหายเลือด คุณกล่าวหาผมทั้งที่ไม่มีมูลความจริงเลยด้วยซ้ำ” เขาอธิบายอย่างร้อนรน “ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนจากดินแดนรกร้างที่คุณพูดถึงเลยสักนิด มีคนแอบเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์? พวกเขาเข้ามากันมากน้อยเท่าไหร่? ถ้าคุณไม่บอก เราคงไม่รู้เรื่องนี้เลย ศิษย์ของคุณตายด้วยอย่างนั้นเหรอ? ไม่มีทาง พวกเขาเข้ามากันเยอะรึไง?”เอ็ดเวิร์ดขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาไม่คิดว่าออสตินจะยังทำตัวงี่เง่าใส่เขาไม่เลิกราผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งจากเผ่ากระหายเลือดไม่ทนได้อีกต่อไป เขาก้าวไปข้างหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงอาจมุ่งร้าย “ออสติน คุณจะหยุดแกล้งโง่ได้แล้วหรือยัง? ถ้าไม่ใช่เพราะคนของคุณ ศิษย์ขั้นที่สองและสามของระดับเทพสูงสุดของเราจะตายได้ยังไง?
“แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องจริง ถ้าผมโกหกแม้แต่นิดเดียวขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์อสุนีบาตใส่ผมมาได้เลย!”ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งกอดอกแน่น “คุณรอเดี๋ยวเถอะออสติน จะไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร แต่อีกเดี๋ยวเราจะเข้าไปในป่าและคนของเราจะจับคนที่ท่านส่งไปช่วยคนนอกพวกนั้น แล้วจะนำศีรษะของพวกเขากลับมาโยนใส่หน้าพวกคุณทุกคน ถ้าคนของคุณฆ่าศิษย์ของผม ฮึ่ม! เผ่ากระหายเลือดจะทำให้กองทัพทั้งเก้าราบเป็นหน้ากลอง!”"ดี ในเมื่อคุณพูดเช่นนั้น งั้นผมจะรอ!”ออสตินกำหมัดแน่นแล้วพูด "ไปกันเถอะ! เตรียมตัวเสียใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เลย คนที่คุณส่งไปที่นั่นจะต้องตายอย่างอนาถแน่นอน จะไม่มีใครรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!"ในที่สุดเอ็ดเวิร์ดก็โบกมือให้ทุกคนออกไป“หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง ทำไมเราถึงไม่ต่อสู้กับพวกเขาล่ะ พวกเขามาถึงหน้าประตูเราแล้ว พวกเขาไม่ได้นำคนมามากมายอะไรด้วย แถมกำลังต่อสู้ส่วนใหญ่ก็อยู่ในป่า ถึงพวกเขาจะรีบจากไปแต่ก็ยังต้องใช้เวลาอีกหลายนาที เรามีคนมากมายและเราได้เปรียบเรื่องจำนวน นี่ถือเป็นโอกาสที่ดี!”หลังจากที่พวกเขาออกไป ชายชราก็อดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าและพูดกับหัวหน้าป้อมปราการที่หนึ่ง “ไม่ช้าก็เร
หลังจากที่หัวหน้าป้อมปราการวิตต์มอร์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็พูดว่า “ดูจากความโกรธของพวกเขาในตอนที่เผชิญหน้ากับเราแล้ว ผมว่าเขาไม่ได้โกหกนะ แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องโกหก แล้วกองกำลังไหนช่วยพวกเขาอยู่ล่ะ? หรือว่ากองกำลังอื่น ๆ จากกองกำลังปฏิภาคีจะมาถึงที่นี่แล้ว? ถ้าอย่างนั้นการที่เราอยู่เฉย ๆ อย่างนี้ก็คงไม่ดีแล้วใช่ไหม?”สีหน้าของออสตินเปลี่ยนเป็นจริงจังเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า "ไม่มีทาง ฉันคิดว่าคงเป็นผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังทั่วไปที่บังเอิญเข้าไปค้นหาของล้ำค่าในนั้น แล้วก็เกิดปะทะกับผู้คนจากเผ่ากระหายเลือดและสังหารนักสู้ที่ทรงพลังที่สุดของพวกเขาไปแค่นั้น คนจากเผ่ากระหายเลือดคงเข้าใจผิดคิดว่าเราแอบส่งคนไป นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขามาหาเรา!”“หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง เสียงการต่อสู้ที่มาจากป่าลดลงแล้ว ทั้งที่เวลาผ่านไปเพียงสองวัน ก่อนหน้านี้ยังมีเสียงการต่อสู้มากมาย แต่พวกเขาก็เงียบหายไปมาก ผู้คนมากมายจากดินแดนรกร้างอาจเสียชีวิตไปแล้ว และเหลือกันอยู่เพียงไม่กี่คน หากเราวางเฉยจนทำให้พวกเขาตายมากเกินไป ตำหนักคลื่นเมฆาจะลงโทษเรา!”หลังจากที่เฮนดริกคิดเกี่ยวกับเร
ปัง! ปัง! ปัง! ในตอนนี้ เสียงต่อสู้ภายในป่ายังคงดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณ ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือเสียงของมันไม่ดังเหมือนเมื่อก่อน และสนามรบแต่ละแห่งก็กระจัดกระจายกันไปรอบ ๆ และอยู่ห่างกันพอสมควร “นายน้อยเฟนด์ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีระดับพลังยุทธที่สูงใช้ได้เลยนะ! ฮิฮิ! ครั้งนี้เราคงได้สู้กันให้หนำใจไปเลย!” บนเนินเขาเล็ก ๆ ขณะที่อเล็กซานเดอร์มองดูฝูงชนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ด้านล่าง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ที่นั่นกลุ่มศิษย์จากเผ่ากระหายเลือดกำลังไล่ตามสมาชิกจากตำหนักอินทรีทะยานบางคนและยังมีผู้คนกลุ่มเล็ก ๆ จากตระกูลที่พวกเขาไม่คุ้นเคยอยู่ด้วย ศิษย์จากเผ่ากระหายเลือดมีกันจำนวนหลายร้อยคน และในหมู่พวกเขา มีนักสู้สองคนที่อยู่ในขั้นที่เจ็ดของระดับเทพสูงสุด! “ปล่อยไอ้สารเลวที่อยู่ในขั้นที่เจ็ดสองคนนั้นไว้กับผม ส่วนพวกคุณไปจัดการคนอื่น ๆ ได้เลย!” ปากของเฟนด์โค้งเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จากนั้นเขาก็เหาะเข้าไปในสนามรบพร้อมกับพรรคพวกด้วยความเร็วดุจแสง “บ้าเอ้ย! เราตายแน่! เราตายแน่!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกรีดร้องและตะโกนออกมาในขณะที่พยายามปัดป้องคู่ต่อสู้ตรงหน้า ดวงตาของเขาเต็
หมัดอันทรงพลังของทั้งคู่ปะทะกัน ก่อให้เกิดการระเบิดดังสนั่น ในวินาทีถัดมา ชายชรากระเด็นออกไปไกลหลายเมตรและร่วงหล่นลงไปกับพื้นอย่างแรง เขากระอักเลือดสด ๆ ออกมา ก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจเฮือกสุดท้าย "นั่นมันบ้าอะไรกัน? ไม่มีทาง! แค่หมัดเดียวผู้ที่อยู่ในขั้นที่เจ็ดของระดับเทพสูงสุดก็ตายได้แล้วงั้นหรือ? ตายไปง่าย ๆ แบบนั้นเลยเนี่ยนะ?" ผู้อาวุโสจากตำหนักอินทรีทะยานตกตะลึง เสียงของเขาสั่นเครืออย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาของเขาปฏิเสธที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็น “ไม่มีทางหรอก! มันจะเป็นไปได้ยังไง?” ศิษย์หญิงอีกคนที่มีพลังในขั้นที่เจ็ดของระดับเทพสูงสุดหวาดกลัวเสียจนใบหน้าของเธอไร้สี เธอรู้ว่าภายในป่าลึกนี้ มีชายฉกรรจ์สองสามคนที่กำลังฆ่าคนของพวกเขา เพราะพวกเขาได้พบซากศพของศิษย์เผ่ากระหายเลือดที่อยู่ในขั้นที่สามในระดับเทพสูงสุดมาก่อน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก พวกเขาอยู่ไหนขั้นที่เจ็ดระดับเทพสูงสุด แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องกลัวด้วยล่ะ? พวกเขาถูกนับว่าเป็นหนึ่งในนักสู้อันดับต้น ๆ ในหมู่ศิษย์จากเผ่ากระหายเลือดเชียวนะ แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจก็คือ กลุ่มคนแปลกหน้าที่เข้ามานี้มีนักสู้สองสามคน
“เฟนด์แย่แล้ว! ตาเฒ่าหน้าเหี่ยวคนนี้อยู่ในขั้นที่เก้าของระดับเทพสูงสุดเชียวนะ!” แนชมองชายชราที่อยู่ตรงข้ามเขาอย่างระมัดระวัง และความกังวลพุ่งทะลุเส้นเลือดในทันทีเมื่อเขาสังเกตเห็นระดับพลังยุทธของชายชรา ดูเหมือนว่าในที่สุด พวกเขาก็ได้พบกับบุคคลสำคัญที่แท้จริงของเผ่ากระหายเลือดเข้าแล้ว “นายท่านวู๊ด ไม่เป็นไรหรอก แม้ว่าระดับพลังยุทธของเฟนด์จะไม่สูงเท่ากับตาเฒ่านี่ แต่เราทุกคนรู้ว่าพลังยุทธของเขานั้นอยู่คนละระดับ ไม่ต้องห่วงไปหรอก ครับ ตาเฒ่าหน้าเหี่ยวคนนี้อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาด้วยซ้ำไป!” ในทางกลับกัน อเล็กซานเดอร์หัวเราะอย่างไม่แยแส “เพราะเฟนด์ได้ทะลวงในระดับเทพสูงสุดได้ทีละหลายขั้น!” เขาเสริม จากนั้นแนชก็นึกถึงความสามารถของเฟนด์ที่สามารถฆ่าคนที่อยู่ในขั้นที่เจ็ดระดับเทพสูงสุดได้ด้วยตัวคนเดียวทั้ง ๆ ที่เขายังเป็นเพียงนักสู้ในขั้นที่สี่ของระดับเทพสูงสุด เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก "ที่คุณว่ามามันก็ถูก นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับคนที่มีระดับการต่อสู้สูงขนาดนี้ ผมก็เลยหวาดหวั่นเล็กน้อยน่ะ” “พ่อไม่ต้องห่วงผมหรอก ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของผมเอง พ่อไปบอกให
ผู้อาวุโสลำดับที่สี่ส่ายหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก ดวงตาของเขาตกตะลึงและไม่เชื่ออย่างที่สุด การที่คนในขั้นที่เจ็ดระดับเทพสูงสุดสามารถจัดการนักสู้ในขั้นที่เก้าได้ด้วยหมัดเดียวนั้นมันเกินกว่าที่เขาจะจินตานาการได้ เด็กสารเลวคนนี้ที่อยู่ต่อหน้าเขาอยู่ต่ำกว่าเขาถึงสองขั้น! ระดับการบ่มเพาะต่ำกว่ากันถึงสองขั้นเชียวนะ! ไอ้สารเลวนั่นจะผลักดันเขาออกไปได้ง่าย ๆ แบบนั้นได้ยังไง? "ไม่เลวเลย!" เฟนด์มองไปที่กำปั้นของเขาอย่างเฉยเมย ดูเหมือนว่าเขาจะค่อนข้างพอใจกับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ในตอนที่เขาอยู่ในขั้นที่สี่ในระดับเทพสูงสุด เขาสามารถฆ่านักสู้ในขั้นที่เจ็ดได้ และในเวลานั้น ความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็เทียบได้กับนักสู้ในขั้นที่แปดระดับเทพสูงสุด! ตอนนี้เขาระดับพลังยุทธของเขาเพิ่มขึ้นถึงสามขั้นในคราวเดียว และเขาก็สามารถเอาชนะนักสู้ระดับเก้าได้ สิ่งนี้ทำให้เฟนด์รู้สึกว่าบางทีเขาอาจจะสามารถต่อสู้กับนักสู้ในขั้นที่หนึ่งของระดับทะลวงวิญญาณได้เช่นกัน “ไอ้สารเลวนี่! แกคิดว่าจะชนะฉันได้แค่เพราะแกมีพละกำลังมากกว่างั้นรึ? อย่าลืมสิ ระดับพลังยุทธของฉันสูงกว่าและดีกว่าของแก! พลังฉีของฉันก็หนาแน่นและสมบูรณ์ก
“หมัดมังกรคู่! แกมีทักษะนี้? เป็นไปได้ยังไง?" ในขณะที่ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งและหัวหน้าเผ่ากระหายเลือดกำลังสับสนเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ ผู้อาวุโสลำดับที่สี่ก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน เขาคาดไม่ถึงว่าเด็กสารเลวตรงหน้าจะรู้และได้รับทักษะยุทธของเผ่ากระหายเลือดไปไว้ในครอบครอง! ยิ่งกว่านั้น หมัดมังกรคู่ที่บ้าคลั่งนี้จัดเป็นหนึ่งในทักษะที่ยากที่สุดที่พวกเขาส่วนใหญ่อยากจะมีไว้ในครอบครอง! “โถ่! ก็ไม่ยากอะไรนี่ ผมฆ่าคนของคุณและดึงตำรายุทธมาจากแหวนยุทธของเขา และแน่นอนว่าผมก็สามารถเรียนรู้และได้รับทักษะยุทธนี้มาได้ไงล่ะ!” เฟนด์หัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ไยดี น้ำเสียงและสีหน้าที่ไม่สะทกสะท้านของเขาทำให้ผู้อาวุโสลำดับที่สี่ตกตะลึงถึงขีดสุด ว่ากันตามที่เฟนด์พูด นั่นก็หมายความว่าเขาเพิ่งเรียนรู้และฝึกฝนทักษะนี้มาได้ไม่นานมานี้ไม่ใช่หรือ? เด็กสารเลวคนนี้เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะอย่างแน่นอน! “สารเลว แกเป็นใครกันแน่? ไม่มีทางที่จะมีอัจฉริยะเช่นนี้ในกองทัพทั้งเก้าแน่!” ผู้อาวุโสลำดับที่สี่กัดฟันและจ้องมองเฟนด์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทและความเกลียดชัง ถ้าไอ้สารเลวนี่มีชีวิตอยู่ต่อไป ในอนาคตคงไม่ม
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ