การโจมตีของเฟนด์ที่อยู่ข้าง ๆ ทำให้ดาร์ซีและคนอื่น ๆ ตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฟนด์และคนอื่น ๆ จะสามารถฆ่านักสู้ที่ทรงพลังอย่างสูงจากเผ่ากระหายเลือดได้แบบนั้น นอกจากนี้ยังไม่มีศัตรูหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว“สุดยอดไปเลยนายท่าน นี่มันสุดยอดมาก ไม่คิดเลยว่าเราจะรอด เรานึกว่าเราจะไม่ได้พบคุณอีกแล้ว!”สมาชิกในตระกูลคาเบลโลเหาะไปและพูดคุยกับอเล็กซานเดอร์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น“ใช่ครับนายท่าน ดีเหลือเกินที่เราได้พบกับนายท่าน ดูจากคุณในตอนนี้ คุณต้องก้าวเข้าสู่ระดับเทพสูงสุดแล้วใช่ไหม? แล้วอีกอย่าง ทำไมพวกคุณถึงมีแค่นี้ล่ะ? คนอื่นอยู่ที่ไหนกันหมด คุณหนูลำดับที่หนึ่งกับคนอื่น ๆ ไปอยู่ที่ไหนกัน คุณได้พบกับพวกเขาบ้างไหม?”สมาชิกตระกูลคาเบลโลคนอื่น ๆ ต่างกระหน่ำยิงคำถามใส่อเล็กซานเดอร์ ที่นี่ประกอบไปด้วยสมาชิกตระกูลคาเบลโลเพียงร้อยกว่าคน และพวกเขาก็ไม่ได้พบกับสมาชิกตระกูลคาเบลโลคนอื่น ๆ เลย“พวกเขาสบายดี ผมมีเรื่องต้องบอกคุณเดี๋ยวนี้ เหาะไปทางนั้นแล้วไปรวมตัวกันที่ยอดเขา!”อเล็กซานเดอร์พาคนสองสามคนเหาะขึ้นไป จากนั้นเขาก็ชี้ไปในทิศทางที่ถูกกำหนดไว้ เขาอธิบายสถานการณ์ให้อีกฝ่ายฟังอย่างรวดเ
ศิษย์อีกคนกล่าวเสริม “ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าพิจารณาจากสถานการณ์ในวันนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่ามีเสียงของการต่อสู้เบาบางลงกว่าเดิม แล้วศิษย์ของเราก็ยังรายงานมาอีกด้วยว่า พวกเขาไม่เห็นผู้คนจากดินแดนรกร้างมากนัก ดูเหมือนว่าพวกที่เข้ามาจะเหลือกันน้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน บางทีสัตว์อสูรอาจฆ่าพวกนั้นไปมากแล้วก็ได้ หรือบางทีพวกนั้นหลายคนอาจตายในขณะที่แย่งชิงหญ้าวิญญาณกันก็เป็นได้!” “เห็นได้ชัดว่าเสียงการต่อสู้เบาลงกว่าเดิม นั่นหมายความว่าเราได้ฆ่าพวกมันไปมากมายและยังเหลือกันอีกแค่ไม่กี่คนเท่านั้น แต่ว่าจะต้องเป็นฝีมือของคนจากกองทัพทั้งเก้าแน่ที่สามารถฆ่าศิษย์ขั้นที่ห้าในระดับเทพสูงสุดได้ ผมหวังว่าผู้อาวุโสลำดับที่สี่จะสามารถกำจัดคนเหล่านั้นออกไปได้!”เมื่อพูดจบเอ็ดเวิร์ดก็กำหมัดแน่นและจ้องมองไปยังทิศทางที่กองทัพทั้งเก้าตั้งอยู่ “ฮึ่ม! พวกเขากล้าส่งคนไปช่วยคนเหล่านั้นอย่างลับ ๆ งั้นเหรอ? ได้เลย เราจะทำให้แน่ใจว่าคนที่พวกเขาส่งไปจะไม่มีใครรอดกลับมา!”"ฮ่าฮ่า ผ่านไปสองวันแล้วนายท่าน ยังไม่มีคนของกองทัพทั้งเก้าออกมาเลย ซึ่งก็หมายความว่า อย่างน้อยพวกเขาก็กลัวเราและไม่กล้าเผชิญหน้ากับเราโดยตรง อันที่จริงมั
หวือ!เมื่อเสียงของแนชดังขึ้น ออร่าของดาบก็พุ่งเข้าหาพวกเขาจากอีกด้านด้วยความเร็วที่รวดเร็วมากเฟนด์สัมผัสได้ถึงการโจมตีในทันทีและรีบพลิกฝ่ามือของเขา เขาถือดาบไว้ในมือและเหวี่ยงรัศมีของดาบออกไปปัง!ในตอนที่รัศมีดาบอันน่าสยดสยองทั้งสองปะทะกันและปล่อยระเบิดที่นาาหวาดหวั่นออกมา รัศมีดาบของเฟนด์ยังลอยไปได้ไม่ไกลเลยด้วยซ้ำ“แกค่อนข้างมีฝีมือดีนี่ไอ้ส*รเลว ปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วเช่นนี้ ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของแกจะไม่ธรรมดา!”ไม่ไกลกันนัก ศิษย์จากเผ่ากระหายเลือดราวเจ็ดหรือแปดคนกำลังมองดูเฟนด์และคนอื่น ๆ ด้วยสีหน้าขบขัน ชายที่พูดเมื่อคู่สวมเสื้อผ้าสีแดงและถือดาบสีเขียวไว้ในมือ“ศิษย์พี่ เจ้าสารเลวนั่นต้องมาจากกองทัพทั้งเก้าแน่ ในที่สุดเราก็พบเขาหลังจากค้นหามานาน ถ้าเขาไม่ใช่คนจากกองทัพทั้งเก้า เขาคงป้องกันการโจมตีของคุณไม่ได้ง่ายอย่างนี้ และเขาคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วขนาดนี้ด้วย!”ศิษย์หญิงในชุดสีเขียวยืนอยู่ข้างชายในชุดสีแดง เธอมองเฟนด์ด้วยสายตาเอาเรื่องทว่าชายในชุดสีแดงกลับยิ้มอย่างไม่แยแส “จะกลัวอะไร? ฉันเป็นถึงนักสู้ขั้นที่เจ็ดระดับเทพสูงสุด นอกเหนือจากผู
เห็นได้ชัดว่าคู่ต่อสู้ของเขาในครั้งนี้ลงมืออย่างรวดเร็ว เขาใช้ทักษะยุทธระดับสองในทันที และรูปลักษณ์ของพลังฉีที่ดูคล้ายกับนกเหยี่ยวก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา มันพุ่งไปข้างหน้าด้วยรัศมีอันน่าสะพรึงกลัว“ระวังนะเฟนด์ ออร่าที่มาจากชายคนนั้นแข็งแกร่งเกินไป!”เมื่อแนชสัมผัสได้ถึงออร่าอันทรงพลังของชายคนนั้น ในขณะที่เขาเหาะออกไปจัดการกับเหล่าศิษย์จากเผ่ากระหายเลือด เขาก็อดไม่ได้ที่จะเตือนเฟนด์“ไม่ต้องห่วงครับพ่อ ผมจะไม่ปล่อยให้เขาฆ่าผมได้ง่าย ๆ หรอก!”เฟนด์กำด้ามดาบแน่นและปล่อยพลังฉีในกายของเขาให้ไหลลงสู่ดาบทันทีชวิ้ง!เมื่อพลังฉีไหลเข้าไปในดาบ เสียงแหลมคมก็ดังขึ้น ในขณะเดียวกัน ออร่าของเฟนด์ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน“นั่นเป็นดาบที่ค่อนข้างดี มันช่วยเพิ่มพลังการต่อสู้ให้กับคุณ ดูเหมือนจะเป็นอุปกรณ์วิญญาณระดับสูงสุด”ดวงตาของไซม่อนเป็นประกายเล็กน้อยเมื่อได้เห็นดาบในมือของเฟนด์เขาสังเกตเห็นอย่างอื่นได้อย่างรวดเร็วและร้องออกมาว่า “ไม่ เดี๋ยวก่อน แกอยู่ในขั้นที่สี่ในระดับเทพสูงสุดเท่านั้น ไม่ใช่ขั้นที่เจ็ด!”ตาของไซม่อนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า ในการโจมตีของเขาก่อนหน้านี้เป็นการซุ่มโจมตี ดังนั
“พวกขยะไร้ค่า! เราเพิ่งเริ่มเองนะ และพวกนายทนต่อไปอีกหน่อยไม่ได้หรือไง?”ไซม่อนโกรธจัด เขาคิดว่าการฆ่าเฟนด์จะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากแต่ตอนนี้เขาตระหนักได้แล้วว่า การโจมตีของเฟนด์สามารถต่อกรกับการโจมตีของเขาได้ ราวกับว่าพวกเขามีฝีมือสูสีกันอย่างไรอย่างนั้น"ไม่มีทาง นี่คือทักษะยุทธระดับสอง แต่ถึงอย่างนั้นทักษะยุทธของเขาก็สามารถรับมือได้ ที่สำคัญกว่านั้น ระดับพลังยุทธของเขายังต่ำกว่าของฉันมาก!”ตอนนี้ไซม่อนรู้สึกว่าความหยิ่งทะนงของเขาถูกเหยียบย่ำอย่างรุนแรง เขาเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่ง ผู้คนมากมายชื่นชมและเคารพเขา มีแม้กระทั่งศิษย์หญิงมากมายที่ตามกรี๊ดเขาสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง อีกทั้งเขายังอายุไม่มากนัก เขาเชื่อว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขาจะสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับทะลวงวิญญาณได้ เมื่อถึงตอนนั้น ในการเลือกผู้นำกลุ่มคนต่อไป ทุกสายตาจะต้องจับจ้องมาที่เขา ไซม่อน กรีนแต่เพียงผู้เดียวเขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่ง เด็กหนุ่มที่อยู่ในขั้นที่สี่ในระดับเทพสูงสุดจะสามารถใช้ทักษะยุทธของเขาโจมตีต่อกรกับเขาได้ มันทำให้เขารู้สึกราวกับว่าถูกใครตบห
คำพูดของเฟนด์ทำให้ไซม่อนโกรธจนแทบจะกระอักเลือด “หมัดมังกรคู่!”เฟนด์กลั้นหายใจเบา ๆ ก่อนที่หมัดพลังฉีขนาดใหญ่สองข้างจะพุ่งตัวออกไปพวกมันกลายเป็นหัวมังกรที่โปร่งแสงและปล่อยเสียงคำรามที่น่าสะพรึงกลัวออกมา จากนั้นก็พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับออร่าที่น่าสะพรึงกลัวของมังกร“อย่างกับฉันจะยอม!”ใบหน้าของไซม่อนซีดราวกับรู้สึกถึงความตายเป็นครั้งแรก เขากัดฟันแน่นหลังจากที่เห็นการโจมตีที่น่ากลัวของเฟนด์ เขาใช้ทักษะยุทธที่เขาภาคภูมิใจที่สุดปัง!เสียงระเบิดขนาดใหญ่ดังขึ้น ทักษะยุทธที่ไซม่อนภาคภูมิใจที่สุดนั้นอ่อนปวกเปียกเหลือทน ในตอนที่มันปะทะเข้ากับการโจมตีของเฟนด์มันก็ถูกระงับอย่างรวดเร็วและแหลกละเอียดกลายเป็นผุยผง"ไม่!"ขณะที่ไซม่อนซึ่งอยู่ในขั้นที่เจ็ดในระดับเทพสูงสุดร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง หน้าอกของเขาก็ปรากฏรูขนาดใหญ่ที่ทะลุร่างออกไป จากนั้นเขาก็ลอยถอยหลังและร่อนลงบนพื้นตายนิ่งสนิท“สหายผู้นี้มีทักษะยุทธที่น่าทึ่งมาก!”เฟนด์เหาะไปด้านข้างของเขาและหยิบแหวนยุทธของเขาขึ้นมา จากนั้นเขาก็บอกอเล็กซานเดอร์และคนอื่น ๆ ว่า “ไปกันเถอะ ถึงเราจะไม่ได้สู้กันนานนัก แต่เสียงก็ดังเกินไป มันจะดึงดูด
คำพูดของผู้อาวุโสลำดับที่สี่ทำให้ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งตกใจ จู่ ๆ เขาก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ ศิษย์ของเขาสองสามคนได้เข้าป่าไปฆ่าผู้คนที่บุกเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ถ้าผู้อาวุโสลำดับที่สี่พูดเช่นนี้ ก็แปลว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นกับศิษย์คนหนึ่งของเขาเขายืนขึ้นมาในทันที “ศิษย์คนหนึ่งของผมตายที่นั่นหรือ ผู้อาวุโสลำดับที่สี่?” เขาถามผู้อาวุโสลำดับที่สี่พยักหน้า “ไซม่อนน่ะ ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นศพเขาในวันนี้!”"อะไรนะ! ทำไมต้องเป็นเขา?"ผู้อาวุโสหนึ่งหายใจกระชั้น เขาเกือบจะเป็นลมเพราะความโกรธ ข่าวนี้เป็นดังสายฟ้าฟาดในยามฟ้าใส มันอยู่เหนือความคาดหมายของเขา"ไม่มีทาง"ผู้อาวุโสลำดับที่หกถึงกับลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “ไซม่อนเป็นศิษย์ที่ดีที่สุดของผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่ง และเขาก็ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นที่เจ็ดของระดับเทพสูงสุดไปแล้ว ทำไมเขาถึงตายได้? คุณแน่ใจหรือว่าคุณไม่ได้จำเขาสลับกับใคร บางทีคุณอาจมองผิดไป”"ใช่แล้ว ผู้อาวุโสลำดับที่สี่ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะ!”ผู้อาวุโสลำดับที่สามพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าทุกคนไม่กล้าที่จะเชื่อว่านี่เป็นความจริง“ถ้าไซม่อนตายจริง นั่นหมา
"ถูกต้อง ตอนนี้เฟนด์อยู่ในขั้นที่สี่ในระดับเทพสูงสุดแล้ว ถ้าเขาทะลวงต่อไปได้อีกสามขั้น เขาจะอยู่ในขั้นที่เจ็ดของระดับเทพสูงสุด ผมคิดว่าเขาน่าจะฆ่าคนที่อยู่ในขั้นที่เก้าของระดับเทพสูงสุดได้ไม่ยากเมื่อเทียบกับทักษะยุทธที่บ้าคลั่งของเขา และหากเขาสามารถฆ่าหัวหน้าเผ่ากระหายเลือดได้มันคงจะดีไม่น้อย!”เวสตันรู้สึกตื่นเต้นมากเช่นกัน"เอาล่ะ ทุกคน ฉวยโอกาสนี้ในการฝึกฝนตัวเอง สร้างความก้าวหน้าให้ได้ในคืนนี้!”เฟนด์พยักหน้ากับทุกคน พวกเขาใช้เวลาทั้งบ่ายบินลึกเข้ามาในป่า เนื่องจากกลัวว่าคนจากเผ่ากระหายเลือดจะพบพวกเขา หลังจากที่พวกเขาสามารถรักษาระยะห่างระหว่างพวกเขากับเหล่าศิษย์จากเผ่ากระหายเลือดได้มากพอ เฟนด์ก็เลือกถ้ำที่ซ่อนตัวอยู่อย่างดีสำหรับคืนนี้หลังจากที่เขาพูดอย่างนั้น ทุกคนก็หยิบโอสถขั้นกลางระดับสามออกมา และใส่มันเข้าไปในปากก่อนกลืนลงไปโอสถขั้นกลางระดับสามนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าโอสถขั้นต้นระดับสามอย่างเห็นได้ชัด สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเฟนด์เต็มไปด้วยความคาดหวังหลายวันมานี้ จักระในร่างกายของเขาช่วยให้พลังชีถูกดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้เข้าสู่ขั้นที่ห้าในระ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ