ในปัจจุบันแรนดัลล์ได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงแล้ว และเขาก็อยู่ห่างจากขั้นที่หนึ่งของระดับเทพสูงสุดเพียงขั้นเดียว เฟนด์จำได้ว่าในตอนที่เขาเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แรนดัลล์อยู่ในขั้นสูงของระดับเทพแท้จริงเท่านั้น เขาใช้เวลาไม่นานก็สามารถก้าวเข้าสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงได้แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เฟนด์ประหลาดใจที่สุดคือ การที่หัวหน้าตระกูลแลงคาสเตอร์รวมถึงผู้อาวุโสอีกหลายคนยังคงอยู่ที่ขั้นสูงสุดระดับเทพแท้จริง ยังไม่มีใครทะลวงไปถึงระดับเทพสูงสุดได้แม้แต่คนเดียว โชคดีที่พวกที่ไล่ล่าพวกเขาไม่ได้มีพลังยุทธสูงนัก พวกเขามีจำนวนคนน้อยกว่าและในกลุ่มของพวกเขา ก็มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เป็นนักสู้ในระดับเทพสูงสุด ดังนั้นแรนดัลล์และคนของเขาจึงสามารถต้านทานอยู่ได้ชั่วขณะหนึ่ง “แม่งเอ๊ย! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เราต้องเดือดร้อนแน่! เราไม่สามารถเอาชนะนักสู้ในระดับเทพสูงสุดสองคนนั้นได้เลย! อย่างมากที่สุดเราก็สามารถฆ่านักสู้ในระดับเทพแท้จริงและในระดับกึ่งเทพเท่านั้น!” หลังจากผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งใช้ทักษะการต่อสู้ เขาก็หันหน้าไปมองเชลบี้ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “นายหญิงแลงคาสเตอร
“ฮ่าฮ่า! รอดูเลยแล้วกัน!" เพราะว่าแนชดูสบายใจมาก เขาดูไม่กังวลเลยสักนิด เขายังหัวเราะและชี้ไปที่สนามรบและพูดอย่างสบาย ๆ เชลบี้หันตามไปมองในทันที สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้เธอตกใจ เช่นเดียวกับสมาชิกตระกูลแลงคาสเตอร์คนอื่น ๆ นักสู้ระดับเทพสูงสุดสองคนนั้นถูกเคนเนธและเวสตันฆ่าลงภายในไม่กี่นาที พวกเขาไม่อาจป้องกันตัวเองจากเคนเนธและเวสตันได้ด้วยซ้ำ “คุณพระคุณเจ้า! ตอนนี้พวกเขาอยู่ในระดับไหนกัน? ไม่ใช่แค่ขั้นหนึ่งหรอกใช่ไหม? พลังฉีของพวกเขาเป็นสีทอง! และหนาแน่นกว่าพลังฉีของอีกฝ่ายด้วย!” เชลบี้อ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น เธอมองไปที่เฟนด์ด้วยสายตาคาดหวัง ยิ่งไปกว่านั้น ไททัส อเล็กซานเดอร์ และคนอื่น ๆ ต่างก็แข็งแกร่งและทรงพลังอย่างเหลือล้นเช่นกัน! เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นนักสู้ในระดับเทพสูงสุด! จากนั้นเฟนด์ก็ยิ้มอย่างอบอุ่นและตอบว่า “พวกเขาล้วนอยู่ในขั้นที่สามของระดับเทพสูงสุด เมโลดี้อยู่ในขั้นที่สอง ส่วนผมเป็นขั้นที่สี่ของระดับเทพสูงสุด” "อะไรนะ? คุณอยู่ในขั้นที่สี่ในระดับเทพสูงสุดแล้วหรือ?” เสียงแหลมสูงของเชลบี้ดังขึ้นในทันที ด้วยความตกใจและตื่นเต้นในตัวเธอถาโถมราวกับกระแสน้ำ พวกเขาม
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ขอบคุณ นายน้อยเฟนด์!”เชลบี้พยักหน้า เธอรู้ดีถึงความรุนแรงของสถานการณ์ ช่องว่างระหว่างขั้นที่หนึ่งของระดับเทพสูงสุดกับขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงนั้นกว้างเกินไปไม่ใช่แค่ระดับการบ่มเพาะทั้งสองระดับจะต่างกันเท่านั้น แต่มีช่องว่างในแง่ของพลังยุทธมากเกินไปอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นพลังฉีของคนที่อยู่ในขั้นที่หนึ่งของระดับเทพสูงสุดนั้นต่างออกไป เพราะมันบริสุทธิ์อย่างยิ่งและมีสีทองอร่าม การระเบิดพลังของพลังฉีที่ขั้นสูงสุดระดับเทพแท้จริงไม่อาจเทียบได้ “ที่นี่มีคนไม่น้อยเลย! พระเจ้า การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว ไม่นึกเลยว่าคนของเราจะตายมากมายแบบนี้!”ในขณะนั้นเองกลุ่มศิษย์จากเผ่ากระหายเลือดก็เข้ามาเพิ่มอีกสี่หรือห้าร้อยคน และมีคนที่อยู่ในระดับเทพสูงสุดถึงสิบคน นอกจากนี้ยังมีผู้ที่อยู่ขั้นที่สองหรือสาม แถมตัวผู้นำยังอยู่ในขั้นที่ห้าของระดับเทพสูงสุดอีกด้วยเคนเนธและคนอื่น ๆ ที่รวบรวมสิ่งของที่ริบมาจากสงครามเสร็จแล้ว ก็มาหาเฟนด์และคนอื่น ๆ ทันที ทุกคนมองไปข้างหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง“พวกเขามีกันไม่น้อยเลย ดูเหมือนว่าจะมีคนที่ทะลวงเข้าสู่ระดับเทพสูงสุดอยู่หลายคน ไม่อย่างนั้น ศิษย์ในร
“พวกเขาเจ็ดคนคิดจะหยุดเรางั้นเหรอ? ไม่ไร้เดียงสาเกินไปหน่อยเหรอ?”หญิงวัยกลางคนที่อยู่ในขั้นที่ห้าระดับเทพสูงสุดยิ้มอย่างเย็นชา เมื่อเธอเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเหลือกันเพียงเจ็ดคนเท่านั้น ในพริบตาเดียวเธอรุดไปหาเฟนด์ “ดูเหมือนว่าระดับพลังยุทธ์ของนายจะค่อนข้างสูงนะ ไอ้เด็กเหลือขอ วันนี้ขอฉันทดสอบนายสักหน่อยแล้วกัน!”"บุก!"เฟนด์กวักมือและพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่เกรงกลัวหญิงวัยกลางคนแม้แต่น้อย“นายกล้าที่จะพุ่งเข้ามาหาฉันเองเลยงั้นเหรอ?”ดวงตาของหญิงวัยกลางคนประเมินฝ่ายตรงข้ามเมื่อเธอเห็นว่าเฟนด์มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ดี จากมุมมองของเธออย่างมากเฟนด์ก็อยู่ในขั้นที่สามของระดับเทพสูงสุด และเขาไม่ได้ทำให้เธอกังวลเลย"ไม่ เดี๋ยวก่อน ความเร็วของเขา มันเร็วมาก!”ในวินาทีต่อมาเฟนด์ก็อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว ความเร็วของเขาทำให้ผู้หญิงคนนั้นตกใจจนใบหน้าของเธอมืดมนลงทันทีเมื่อเธอเห็นว่าหมัดของเฟนด์เคลือบด้วยพลังฉีสีทองหนา หญิงวัยกลางคนก็ผงะไปเล็กน้อย “นายอยู่ในขั้นที่สี่ของระดับเทพสูงสุดจริงหรือ? เป็นไปได้ยังไง? หรือว่านายเป็นคนจากกองทัพทั้งเก้า?”หญิงวัยกลางคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากที่เธอมองเห
"หึ ไว้ชีวิตคุณ? คุณฆ่าคนของเราไปมากมาย ผมไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องบอกให้ตัวเองไว้ชีวิตคุณ! ถ้าตอนนี้เราเอาชนะคุณไม่ได้ ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะไว้ชีวิตพวกเราหรอก!”เฟนด์ยิ้มเย็นราวกับว่าเขากำลังฟังเรื่องตลก เขาพลิกฝ่ามือก่อนที่ดาบสีดำจะปรากฏขึ้นในมือของเขา เขาขว้างดาบออกไปฆ่าผู้หญิงคนนั้นทันที“จากนี้ไป ในตอนที่เรารวบรวมของที่ริบมาจากสงคราม เราต้องหาแหวนยุทธของผู้ที่อยู่ในระดับเทพสูงสุดเท่านั้น ถ้าไม่ได้มีของที่เราต้องการก็ไม่จำเป็นต้องเก็บมา ปกติแล้ว แหวนยุทธของคนในระดับเทพสูงสุดจะมีของมากกว่าอยู่แล้ว เราต้องใช้เวลาให้น้อยลงเพื่อจะได้ช่วยชีวิตผู้คนได้มากขึ้น!”หลังจากที่เฟนด์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็บอกทุกคนว่า “นอกจากนี้ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เผ่ากระหายเลือด ได้ส่งศิษย์เข้ามาในป่าแห่งนี้มากขึ้น หากเรามัวชักช้า อีกไม่นานจะมีศิษย์จากเผ่ากระหายเลือดมาหาเรามากขึ้นกว่านี้!”เคนเนธพูดด้วยรอยยิ้ม “เราต้องกลัวอะไรล่ะ? ถ้าพวกเขากล้ามาเราก็จะฆ่าพวกเขาซะ ฮิฮิ!"“แค่นั้นไม่พอหรอก เราจะประมาทไม่ได้ ถ้านักสู้ของเขาเจอพวกเราเข้าเราจะลำบาก” อเล็กซานเดอร์ กล่าว “แล้วถึงแม้ว่าเฟนด์จะมีพลังยุทธที่ยอดเยี่
อเล็กซานเดอร์รู้สึกยินดีเมื่อได้ยินสิ่งนี้"ใช่ และมีอีกหลายคนที่มาจากตระกูลเฮมเพอร์ลี ดาร์ซี เฮมเพอร์ลี, พอล เฮมเพอร์ลีและคนอื่น ๆ อยู่ในนั้นทั้งหมด ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่!”เฟนด์รีบพาทุกคนออกไปเมื่อเห็นสิ่งนี้แม้ว่าตระกูลเฮมเพอร์ลีจะเป็นเพียงตระกูลลึกลับชั้นสอง แต่ดาร์ซี พอลและคนอื่น ๆ ก็เป็นคนดีพอสมควร แต่ระดับการบ่มเพาะของพวกเขาไม่สูงมากนัก เฟนด์ไม่ได้เจอพวกเขามาหลายวัน และหลังจากได้พบเห็นศพของสมาชิกตระกูลเฮมเพอร์ลีตามทางมาเป็นจำนวนมาก เขาก็คิดว่าดาร์ซีและคนอื่น ๆ น่าจะตายไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าดาร์ซีและพอลจะยังมีชีวิตอยู่“พ่อ เราเป็นลูกไก่ในกำมือของพวกเขา เรามีผู้คนมากมาย แต่ศัตรูของเราแข็งแกร่งเกินไป!”ขณะที่พอลหลบหนี เขาพูดกับผู้เป็นพ่อ"ใช่ แม้ว่าในที่สุดเราจะเข้าสู่ขั้นสูงสุดระดับเทพแท้จริงได้ และแม้กระทั่งมีความเชี่ยวชาญในด้านศิลปะยุทธก็ตามที แต่น่าเสียดายที่เรากำลังจะต้องมาตายก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งของระดับเทพสูงสุด โธ่เอ๊ย! พ่อได้แต่รู้สึกเสียใจเพราะเรื่องนี้!”ดาร์ซีถอนหายใจ หัวใจของเขาไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา“นายท่าน นายท่าน นั่นนายน้อยเฟนด์!
การโจมตีของเฟนด์ที่อยู่ข้าง ๆ ทำให้ดาร์ซีและคนอื่น ๆ ตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฟนด์และคนอื่น ๆ จะสามารถฆ่านักสู้ที่ทรงพลังอย่างสูงจากเผ่ากระหายเลือดได้แบบนั้น นอกจากนี้ยังไม่มีศัตรูหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว“สุดยอดไปเลยนายท่าน นี่มันสุดยอดมาก ไม่คิดเลยว่าเราจะรอด เรานึกว่าเราจะไม่ได้พบคุณอีกแล้ว!”สมาชิกในตระกูลคาเบลโลเหาะไปและพูดคุยกับอเล็กซานเดอร์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น“ใช่ครับนายท่าน ดีเหลือเกินที่เราได้พบกับนายท่าน ดูจากคุณในตอนนี้ คุณต้องก้าวเข้าสู่ระดับเทพสูงสุดแล้วใช่ไหม? แล้วอีกอย่าง ทำไมพวกคุณถึงมีแค่นี้ล่ะ? คนอื่นอยู่ที่ไหนกันหมด คุณหนูลำดับที่หนึ่งกับคนอื่น ๆ ไปอยู่ที่ไหนกัน คุณได้พบกับพวกเขาบ้างไหม?”สมาชิกตระกูลคาเบลโลคนอื่น ๆ ต่างกระหน่ำยิงคำถามใส่อเล็กซานเดอร์ ที่นี่ประกอบไปด้วยสมาชิกตระกูลคาเบลโลเพียงร้อยกว่าคน และพวกเขาก็ไม่ได้พบกับสมาชิกตระกูลคาเบลโลคนอื่น ๆ เลย“พวกเขาสบายดี ผมมีเรื่องต้องบอกคุณเดี๋ยวนี้ เหาะไปทางนั้นแล้วไปรวมตัวกันที่ยอดเขา!”อเล็กซานเดอร์พาคนสองสามคนเหาะขึ้นไป จากนั้นเขาก็ชี้ไปในทิศทางที่ถูกกำหนดไว้ เขาอธิบายสถานการณ์ให้อีกฝ่ายฟังอย่างรวดเ
ศิษย์อีกคนกล่าวเสริม “ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าพิจารณาจากสถานการณ์ในวันนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่ามีเสียงของการต่อสู้เบาบางลงกว่าเดิม แล้วศิษย์ของเราก็ยังรายงานมาอีกด้วยว่า พวกเขาไม่เห็นผู้คนจากดินแดนรกร้างมากนัก ดูเหมือนว่าพวกที่เข้ามาจะเหลือกันน้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน บางทีสัตว์อสูรอาจฆ่าพวกนั้นไปมากแล้วก็ได้ หรือบางทีพวกนั้นหลายคนอาจตายในขณะที่แย่งชิงหญ้าวิญญาณกันก็เป็นได้!” “เห็นได้ชัดว่าเสียงการต่อสู้เบาลงกว่าเดิม นั่นหมายความว่าเราได้ฆ่าพวกมันไปมากมายและยังเหลือกันอีกแค่ไม่กี่คนเท่านั้น แต่ว่าจะต้องเป็นฝีมือของคนจากกองทัพทั้งเก้าแน่ที่สามารถฆ่าศิษย์ขั้นที่ห้าในระดับเทพสูงสุดได้ ผมหวังว่าผู้อาวุโสลำดับที่สี่จะสามารถกำจัดคนเหล่านั้นออกไปได้!”เมื่อพูดจบเอ็ดเวิร์ดก็กำหมัดแน่นและจ้องมองไปยังทิศทางที่กองทัพทั้งเก้าตั้งอยู่ “ฮึ่ม! พวกเขากล้าส่งคนไปช่วยคนเหล่านั้นอย่างลับ ๆ งั้นเหรอ? ได้เลย เราจะทำให้แน่ใจว่าคนที่พวกเขาส่งไปจะไม่มีใครรอดกลับมา!”"ฮ่าฮ่า ผ่านไปสองวันแล้วนายท่าน ยังไม่มีคนของกองทัพทั้งเก้าออกมาเลย ซึ่งก็หมายความว่า อย่างน้อยพวกเขาก็กลัวเราและไม่กล้าเผชิญหน้ากับเราโดยตรง อันที่จริงมั