แองกัสซึ่งอยู่ในขั้นที่สองของระดับเทพสูงสุดแล้วถูกเฟนด์ฆ่าตายด้วยการชกเพียงครั้งเดียว ภาพเบื้องหน้านี้ทำให้ทุกคนตกใจมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเฟนด์สามารถทำสิ่งนี้ได้โดยไม่ต้องใช้พลังฉีด้วย นี่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพลังยุทธของชายคนนั้นน่ากลัวเพียงใด“พ่อหนุ่มนี่อยู่ในขั้นที่สามระดับเทพสูงสุดไม่ใช่หรือ? ดูเหมือนว่าพลังยุทธของเขาจะเทียบได้กับระดับเทพสูงสุดเทพขั้นที่ห้าหรือหกเลยทีเดียว!” อเล็กซานเดอร์มองไปที่เฟนด์และมองไปที่กำปั้นของเขาอีกครั้ง พลังยุทธของเฟนด์ดูเหมือนจะเกินความคาดหมายของเขาไปไกล เขาเกิดข้อสงสัยว่าทักษะยุทธที่เฟนด์กำลังฝึกฝนอยู่นั้นจะเป็นระดับที่สูงกว่ามากเมื่อเทียบกับทักษะของพวกเขา"หนีเร็ว! แม้แต่ผู้อาวุโสแองกัสก็ยังไม่รอดเลย!” สมาชิกของวิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หวาดกลัวจนหัวหด พวกเขาตื่นตระหนกและวิ่งหนีไปรอบ ๆตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!ทว่าเฟนด์และคนอื่น ๆ มีพลังยุทธที่แข็งแกร่งมาก การโจมตีพุ่งตรงไปที่กลุ่มคนที่กำลังพยายามหลบหนี เมื่อรวมกับความจริงที่ว่ามีเหล่าปรมาจารย์ในขั้นที่สามของระดับเทพสูงสุดหลายคน จำนวนคนที่หลบหนีจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง และในไม่ช้าพวกเขาเกือบทั้งหมดก็ตาย
แฮร์รี่พูดอย่างมีความสุข “ผมแค่สงสัยว่าทำไมบริเวณนี้ถึงอุดมไปด้วยพลังฉีถึงเพียงนี้ นอกจากนี้ยังมีทักษะยุทธบางอย่าง และผมรู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีในการค้นหาสิ่งของมีค่า สิ่งที่ผมกังวลที่สุดคือพวกที่เข้ามาในพื้นที่นี้ตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต แม้ว่าพวกเขาจะตายไปแล้ว แต่ก็คงจะยังมีเหล่าปรมาจารย์จำนวนมากในปัจจุบัน เพราะพวกเขาย่อมมีทายาทมากมาย ว่าไหม? หากเราเผชิญหน้ากับพวกเขาเข้า พวกเขาจะทำร้ายเรารึเปล่า? เพราะเราก็ไม่ใช่คนของที่นี่!”แนชยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ฉันต้องบอกคุณเกี่ยวกับบางอย่างของพื้นที่นี้…”ในไม่ช้าแนชก็แจ้งให้แฮร์รี่และคนอื่น ๆ ทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมดสีหน้าของแฮร์รี่และคนอื่น ๆ มืดลงหลังจากได้ยินสิ่งที่แนชพูด พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าพื้นที่แห่งนี้จะมีกองกำลังอย่างกองกำลังภาคี ซึ่งมีหน้าที่ดูแลพื้นที่และต่อต้านผู้คนจากภายนอกที่เข้ามาในพื้นที่นี้แต่สมาชิกของกองกำลังภาคีได้ลดการป้องกันลงเนื่องจากไม่มีใครเข้ามาในพื้นที่นี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นั่นเป็นเหตุผลที่สมาชิกที่ถูกส่งมาเฝ้าทางเข้าทั้งสองคนมีทักษะยุทธอยู่ในขั้นที่หนึ่งและขั้นที่สองของระดับเทพสูงสุดเท่านั้น
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ แนชก็ยังไม่ได้รับปากกับอีกฝ่ายในทันที เขากลับพูดว่า “ต้องขออภัย เจ้าวิหารเยเกอร์ ผมต้องปรึกษาเรื่องนี้กับลูกชายของผมก่อน คุณเองก็รู้ว่าเขามีพลังยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ ไม่เพียงแต่สมาชิกในตระกูลวู๊ดเท่านั้นที่เชื่อมั่นในตัวเขาอย่างมาก แต่แม้แต่สมาชิกในตระกูลคาเบลโล เองก็ยังเชื่อฟังเขาด้วย!”“ถูกต้อง...ถูกต้อง เช่นนั้นผมจะปล่อยให้คุณไปปรึกษากัน ขอบคุณมาก!” ในขณะที่แฮร์รี่พูด เขาก็แสดงความเคารพด้วยมือของเขาอย่างสุภาพทันทีแนชรีบเดินไปคุยกับเฟนด์ก่อนจะบินกลับมา “เจ้าวิหารเยเกอร์ เรามีการปรึกษาหารือกันแล้ว และลูกชายของผมก็เห็นด้วย!”ในไม่ช้าทุกคนก็รวบรวมรางวัลเข้าด้วยกันเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทุกคนยอมให้เฟนด์เลือกก่อน เพราะเขาต้องเลือกหญ้าวิญญาณหรือส่วนผสมที่ต้องใช้ในการบ่มเพาะโอสถเฟนด์ไม่เกรงใจนัก เพราะเขาเองก็สังหารคนไปได้มาก พวกเขาได้รับหญ้าวิญญาณจำนวนมากพอสมควร แม้ว่าจะมีหญ้าวิญญาณระดับสี่เพียงต้นเดียว แต่เฟนด์ก็ดูค่อนข้างพอใจเฟนด์ปล่อยให้สมาชิกของตระกูลคาเบลโล และตระกูลวู๊ด แบ่งปันทรัพยาอื่น ๆ ระหว่างกัน อย่างน้อยมันก็เพียงพอสำหรับทุกคนใ
เอลล่าขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงการต่อสู้ในป่าด้านหลังเธอ “ฉันสัญญากับพวกเขาไว้ว่าจะไม่บอกใครว่าพวกเขาเข้ามาในป่านี้ได้อย่างไร แต่ป่าแห่งนี้ไม่เคยอึกทึกเช่นนี้มาก่อน หากสมาชิกจากป้อมปราการอื่น ๆ ของกองทัพทั้งเก้ามาที่นี่เพื่อค้นหาสิ่งของล้ำค่า เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงการต่อสู้ในป่า พวกเขาจะต้องสงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นแน่!”ยังไงซะ เฟนด์ก็ช่วยชีวิตเธอไว้ เอลล่าจึงกังวลเกี่ยวกับพวกเขาเล็กน้อยในขณะนี้“ไม่เป็นไร...ช่างมัน ฉันแค่ต้องทำเป็นว่าฉันไม่รู้อะไรทั้งสิ้นและไม่เคยเห็นหน้าคนพวกนั้นมาก่อน!” ในที่สุด เอลล่าก็ส่ายหัวใส่ความคิดและเตรียมพร้อมที่จะบินไปยังป้อมปราการของเธอทว่าเธอกลับพบเข้ากับคนหนุ่มสาวเจ็ดถึงแปดคนจากป้อมปราการอีกแห่งหลังจากบินไปได้ครู่หนึ่ง“แหม นี่เอลล่าคนสวยของเราไม่ใช่เหรอ? เธอไปเก็บหญ้าวิญญาณในป่ามาเหรอ? ได้อะไรบ้าง?” ชายหนุ่มในชุดขาวถามด้วยรอยยิ้มหลังจากที่เขาเห็นเอลล่าเอลล่าขมวดคิ้วเมื่อเห็นพวกเขา คนเหล่านี้ไม่ใช่คนจากป้อมปราการของเธอและเป็นสมาชิกของป้อมปราการวิตต์มอร์ป้อมปราการวิตต์มอร์เป็นที่รู้จักในชื่อป้อมปราการวิตต์มอร์เพราะมีสมาชิกของตระกูลวิตต์มอ
สกาย แลนสันไม่สามารถพูดอะไรได้ แม้ว่าจะไม่พอใจเอลล่าก็ตาม ดังนั้นเธอจึงพูดกับอาเธอร์ด้วยรอยยิ้มว่า “นายน้อยอาเธอร์ เราควรไปกันต่อได้รึยัง? เธอกลับมาจากการค้นหาของล้ำค่าแล้ว และเรายังมือเปล่าอยู่เลย”ทว่าอาเธอร์แสร้งทำราวกับไม่ได้ยินที่เธอพูด เขาพูดกับเอลล่าอย่างยิ้มแย้มว่า “มาเถอะ เอลล่า ทำไมไม่เข้าร่วมกับเราและเข้าไปในป่าด้วยกันอีกสองสามวัน? หลังจากกลับมานี่เธอก็ไม่ได้มีธุระอะไรที่ไหนแล้วใช่ไหม? ถ้าเธอเข้าร่วมกับเราจะไม่ทำให้คุณปลอดภัยขึ้นหรือ? เราจะแบ่งปันสิ่งของที่เราได้รับกับเธออย่างเท่าเทียมกัน!”ชายร่างอ้วนที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้และรีบเตือนอาเธอร์ว่า “นั่นไม่เข้าท่าเลยนายน้อยอาเธอร์ เธอไม่ใช่สมาชิกของป้อมปราการของเรา ยิ่งไปกว่านั้น คุณยังอยู่ในขั้นที่สี่ระดับเทพสูงสุด แม้ว่าทักษะยุทธของเธอจะค่อนข้างน่าประทับใจ แต่เธอจะแบ่งปันอะไรกับคุณอย่างเท่าเทียมกันได้อย่างไรในเมื่อเธอมีพลังยุทธเพียงแค่ขั้นที่สองของระดับเทพสูงสุดเท่านั้น”สีหน้าของอาเธอร์ชะงักงัน เขาพูด “เจ้าอ้วน นายพูดอะไรแบบนั้นได้ยังไง? นายไม่ได้อยู่ในขั้นที่สองของระดับเทพสูงสุดเหมือนเธองั้นเหรอ? ฉันเค
“ฮ่าฮ่า… ไปดูกันเถอะ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เมื่อเราไปถึงที่นั่นเราก็จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็ถือเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ และพวกเราทุกคนก็อยู่ในระดับเทพสูงสุด เราต้องกลัวอะไรอีก” อาเธอร์หัวเราะเสียงดังและดูไม่แยแสอะไรเท่าไหร่พวกเขาอยู่ในระดับเทพสูงสุดและถือว่าโดดเด่นในหมู่คนรุ่นเยาว์ พวกเขาสามารถเอาชนะผู้คนได้มากมายแม้ว่าเมื่อเทียบกับอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่แท้จริงแล้ว พวกเขาจะยังตามหลังคนเหล่านั้นอยู่เล็กน้อย แต่พวกเขาก็ยังสามารถเอาชนะพวกที่เยาว์วัยดว่าได้ 80% ถึง 90% เลยทีเดียวความกังวลก่อตัวในใจของเอลล่าเมื่อเธอได้ยินการสนทนาของพวกเขา หลังจากใคร่ครวญแล้ว เธอก็หันไปหาอาเธอร์และพรรคพวก “ฉันมาคิดดูแล้วนะนายน้อยอาเธอร์ ถึงฉันกลับบ้านไปฉันก็ไม่มีอะไรให้ทำ ฉันว่าฉันตามพวกคุณเข้าไปในป่าดีกว่า”คำตอบของเธอสร้างความยินดีให้กับอาเธอร์ผู้ซึ่งรู้สึกพอใจอยู่ลึกเมื่อคิดว่าเสน่ห์ของเขาเอาชนะใจเธอได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เธอละทิ้งความเขินอายและเอ่ยปากออกมาอย่างกล้าหาญ“ไม่ใช่ปัญหา ฮ่า ๆ! ยิ่งไปกันเยอะ ๆ ก็ยิ่งสนุก ไปกันเถอะ!" อาเธอร์หัวเราะเสียงดัง เขาพอใจกับตัวเองมาก จากนั้นเขาก็คิดถึงวิธีท
สกายโกรธมาก ด้วยพลังยุทธที่สูงส่งของเธอ เธอคิดจะมุ่งหน้าเข้าไปในป่าด้วยตัวเธอเองเพราะความโกรธ อย่างไรเสีย เธอก็อยู่ในขั้นที่สามของระดับเทพสูงสุด และพลังยุทธของเธอก็สูงกว่าเอลล่า เอลล่ายังกล้าที่จะเข้าไปในป่าคนเดียวเลย เธอเองก็กล้าที่จะทำเช่นนั้นไม่ต่างกันจากนั้นเธอก็นึกไปถึงว่าเอลล่าจอมเจ้าเล่ห์คนนี้จะหว่านเสน่ห์ใส่อาเธอร์ได้อย่างไรหากเธอเข้าไปในป่าเพียงลำพัง ขนาดสกายอยู่ด้วยอาเธอร์ก็ยังคล้อยตามเอลล่าได้ขนาดนี้ แล้วถ้าว่าเธอไม่อยู่ล่ะ?เธอกำหมัดแน่นแล้วพูดว่า “เอาล่ะ กลับกับเอลล่ากันเถอะ!”ทว่าสิ่งที่อาเธอร์และคนอื่น ๆ ไม่คาดคิดก็คือหลังจากส่งมอบสิ่งของที่เธอได้รับจากป่า เอลล่าก็ขอให้พวกรุ่นเยาว์จากตระกูลของเธออีกสามคนตามพวกเขาเข้าไปในป่าด้วย ซึ่งนั่นทำให้อาเธอร์ผิดหวังอย่างมากหากสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลลาวีนอยู่ด้วย มันจะไม่สะดวกสำหรับเขาที่จะทำอะไรกับเอลล่า ยิ่งไปกว่านั้น พี่ชายคนโตของเอลล่าก็มาร่วมเดินทางไปกับพวกเขาด้วย และเฮนดริก ลาวีนก็อยู่ในขั้นที่สี่ระดับเทพสูงสุด แม้ว่าเขาจะเพิ่งทะลวงมาได้ แต่พลังยุทธของเขาก็เกือบจะเทียบเท่ากับของอาเธอร์อาเธอร์และพรรคพวกเดินนำหน้า ขณะที่
เอลล่าเตือนเฮนดริกอย่างรวดเร็วเพราะเธอกลัวว่าคนที่เหลือจะสังเกตเห็นสีหน้าตกตะลึงของเขา “เฮนดริก พูดเบา ๆ อย่าให้คนอื่นได้ยินเรา ตอนนี้เราควรทำอย่างไร? ฉันก็หมดหนทางเหมือนกัน ฉันกลัวว่าอาเธอร์และคนอื่น ๆ จะเจอคนพวกนี้เข้า ฉันเลยตั้งใจซื้อเวลาให้พวกเขา ฉันขอให้พวกพี่มาเข้าร่วมกับเราก็เพราะเรื่องนี้… ฉันสัญญากับพวกเขาไปแล้วด้วยว่าจะไม่บอกคนอื่นว่าพวกเขาเข้ามาในพื้นที่นี้แล้ว แต่ตอนนี้ฉันไม่มีทางเลือก!”หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เฮนดริคก็ตั้งสมมติฐานว่า “แม่เจ้า เธอล้อเล่นหรือเปล่า? เธอโดนคนอื่นหลอกมาหรือเปล่า? ลองคิดดูสิ ผู้คนจากโลกข้างนอกนั้นจะมีระดับพลังยุทธที่สูงได้ยังไง? ฉันแน่ใจว่ายังไม่มีใครทะลวงเข้าสู่ระดับเทพสูงสุดได้หรอก จริงไหม? หากเป็นกรณีนี้แล้วพวกเขาจะช่วยเธอที่อยู่ในขั้นที่สองของระดับเทพสูงสุดได้ยังไง?”“จะเป็นไปได้ยังไง? ฉันเห็นกับตาว่าคนเหล่านั้นไม่ได้มีระดับพลังยุทธสูงนัก!” เอลล่าเริ่มขมวดคิ้ว เธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และพูดว่า “อีกอย่าง พวกเขาไม่มีป้ายของตระกูลไหนที่เราคุ้นเคย ดังนั้นพวกเขาต้องมาจากโลกข้างนอกนั่นไม่ใช่เหรอ? ป่าแห่งนี้ยังมีทักษะยุทธและของล้ำค่าอื่น ๆ อยู่
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ