ชายศีรษะล้านสูญเสียแขนข้างหนึ่งไปทำให้เขาไม่สะดวกจะถือค้อนยักษ์เช่นนี้ ทว่าเขาก็ไม่อาจจะชะล่าใจได้ การโจมตีของค้อนยักษ์แทรกผ่านอากาศ ก่อนมุ่งตรงไปที่เฟนด์และให้ความรู้สึกกดดันอย่างมาก "ฮึ่ม!" เฟนด์ส่งเสียงในลำคออย่างเย็นชาขณะโจมตีออกไป เขากำดาบในมือแน่นและถ่ายพลังฉีเข้าไปฟาดฟันกับค้อนยักษ์ ฟุ่บ! ทันใดนั้น พลังฉีอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งฟาดฟันค้อนยักษ์ของฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง เสียงระเบิดดังอึกทึกขึ้นในขณะที่การโจมตีอันทรงพลังของทั้งสองปะทะกัน โจเอลยืนดูเหตุการณ์อยู่ข้าง ๆ ด้วยความประหลาดใจ หัวใจของเขาแทบจะหล่นลงไปที่ตาตุ่ม หากเฟนด์ตัดหัวชายศีรษะล้านคนนี้ได้สำเร็จ เฟนด์คงจะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน แม้ว่าชายศีรษะล้านจะทรงพลัง แต่ตอนนี้เขาก็ได้รับบาดเจ็บ เมื่อเทียบกับการโจมตีด้วยสองมือ การใช้มือเดียวเหวี่ยงค้อนใส่เฟนด์นั้นแตกต่างกันมาก นอกจากนี้ แม้ว่าเฟนด์จะไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับชายศีรษะล้าน เขาก็ยังสามารถทำให้อีกฝ่ายช้าลงได้ นั่นจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเฟนด์ที่จะทำเช่นนั้น เพราะเขาเองก็เป็นนักสู้ที่ทรงพลัง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ระดมพลังฉีของเขา และพุ่งตรงไปในระ
“ในที่สุดเขาก็ตายเสียที!” เมื่อมองไปที่ซากศพบนพื้น ในที่สุดเฟนด์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก หากเฟนด์ไม่แอบโจมตีอีกฝ่ายและทำให้เขาบาดเจ็ลอย่างรุนแรงก่อนการต่อสู้ เขาเกรงว่าการจะฆ่าชายศีรษะล้านคนนี้ลงได้คงไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากถอดแหวนยุทธของชายศีรษะล้านแล้วเฟนด์ก็หันหลังกลับและเดินไปหาเซเลน่าซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ทว่าในขณะที่เขาก้าวขาออกไป ชายศีรษะล้านก็ลืมตาขึ้น รูปกะโหลกสีดำลอยออกมาจากร่างของชายศีรษะล้านและพุ่งตรงไปที่เฟนด์ ร่างกายของชายศีรษะล้านดีดดิ้นเล็กน้อย ทว่ากลับดูไร้ชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง “เฟนด์ ระวัง!” ทั้งเซเลน่าและแนชต่างตกตะลึงเมื่อเห็นกะโหลกสีดำเล็ก ๆ นั้น พวกเขาตะโกนเตือนเฟนด์ด้วยความตื่นตระหนกในทันที เฟนด์ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองขยับตัวหลบในพริบตา หลังจากที่เขาเบี่ยงไปด้านข้าง กะโหลกสีดำก็พุ่งไปข้างหน้าเร็วขึ้นและในชั่วพริบตาเดียวมันก็ไปปรากฏตรงหน้าเซเลน่า ก่อนที่เซเลน่าจะทันได้รู้สึกตัว กะโหลกสีดำเล็ก ๆ ก็พุ่งเข้าใส่แก้มซ้ายของเธอ ดวงตาของเซเลน่าเบิกกว้าง “อะไรกัน?” เฟนด์ตกตะลึง เขาไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร เขามองย้อนกลับไปที่ชายศีรษะล้านที่นอนไร้
“มีวิธีแบบนั้นจริง ๆ เหรอ? ที่รัก คุณไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม?” เมื่อได้ยินคำพูดของเฟนด์ รอยยิ้มอันขมขื่นฉาบอยู่บนใบหน้าของเซเลน่า เธอกลัวว่าเฟนด์จะโกหกเพื่อปลอบใจเธอ "อื้ม มันมีวิธีแก้คำสาปอยู่ เราต้องสร้างโอสถเม็ดขั้นกลางระดับสี่เพื่อถอนคำสาป และ…และเราต้องการของล้ำค่าจากเผ่าผลึกเมฆา” เฟนด์ยิ้มแห้ง ๆ และเพื่อให้เซเลน่าเชื่อคำพูดของเขา เขาจึงยื่นหนังสือให้เซเลน่าดูเนื้อหาที่เขียนในหนังสือ “โอสถเม็ดขั้นกลางระดับสี่… เราสามารถหาของสิ่งนี้ได้ภายในหนึ่งปีเหรอ? ยังมีเผ่าเผ่าผลึกเมฆาอีก เราไม่เคยได้ยินชื่อเผ่านี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ! พวกเขาจะยอมยกของล้ำค่าให้มาช่วยเราได้ยังไง? อีกอย่างชนพื้นเมืองที่นี่ต่างก็อดใจรอจะฆ่าพวกเราที่บุกรุกที่ทางของพวกเขาแทบไม่ไหว พวกเขาจะช่วยพวกเราได้ยังไง?!” คิ้วของเซเลน่าขมวดเข้าหากัน หัวใจของหล่นวูบไป “ไม่ต้องกังวลที่รัก ตราบใดที่ยังมีหนทาง เราก็ยังมีความหวัง และเราควรพยายามให้ถึงที่สุด!” เฟนด์จับมือและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ก็ได้ มาดูกันเถอะว่าในแหวนยุทธของชายศีรษะล้านมีอะไรอีกบ้าง?!” เซเลน่าผงกศีรษะ จากนั้นเธอก็ชี้ไปที่แหวนยุทธและเตือนเฟนด์
เฟนด์ยิ้มอย่างเสียไม่ได้ เขาหันไปหาเซเลน่าแล้วพูดว่า “เราต้องหาวิธีลบล้างคำสาปให้เซเลน่าโดยเร็วที่สุด ผมหวังว่าเวลาหนึ่งปีจะเพียงพอสำหรับเรา ตอนนี้เราต้องแข่งกับเวลาแล้ว!” “ที่รัก อย่ากดดันตัวเองเกินไป พยายามให้เต็มที่ก็พอ ต่อให้คุณจะทำไม่ได้ ฉันก็ไม่โทษคุณหรอก บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตาของฉัน!” เซเลน่ากัดริมฝีปากล่างสีชมพูระเรื่อของตัวเองแล้วพูดกับเฟนด์ด้วยน้ำเสียงปลอบโยน "โชคชะตาเหรอ? ผมจะไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาแน่! ชายศีรษะล้านคนนี้เป็นคนทำแบบนี้กับคุณ และผมจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน! ถ้าผมแข็งแกร่งขึ้นเมื่อไหร่ ผมจะทำให้เผ่ากระหายเลือดเวรนี่ต้องชดใช้!” เฟนด์ตะโกนด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด เขากำหมัดแน่น ในอีกด้านหนึ่ง เมโลดี้ที่ได้กินโอสถที่เฟนด์มอบให้ ก็ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะยังไม่หายดี แต่ก็สามารถลุกขึ้นยืนและเดินเหินได้บ้างแล้ว ผลการรักษาจากโอสถของเฟนด์นั้นเกินความคาดหมายของเธอ เธอไม่คิดเลยว่าผลการรักษาจะดีขนาดนี้ “เฮ้อ! เขาก็ออกไปนานมากแล้ว ทำไมยังไม่กลับมาอีก มีอันตรายเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า? ไม่นะ! ถ้าเขาตาย แล้วตระกูลวู๊ดรู้ว่าฉันเป็นส่งเขาไปส
หัวหน้าผู้พิทักษ์ของตำหนักอินทรีทะยานพูด และกำลังจะเอื้อมมือไปปลดผ้าคลุมหน้าของเมโลดี้ เมโลดี้ตกใจกับพฤติกรรมของเขา เธอถอยหนีไปสองสามก้าวทันที เพื่อหลบมือสกปรกของอีกฝ่าย และตะโกนด้วยความโกรธว่า “คุณกล้าดียังไง?! ฉันเป็นถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักเทพยดา และจะขึ้นเป็นเจ้าตำหนักในอนาคต ผู้พิทักษ์แสนมัวหมองอย่างคุณกล้าดียังไงมาทำให้ฉันไม่พอใจ! คุณไม่รู้หรือว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจเปิดผ้าคลุมหน้าของเธอได้จนกว่าเธอจะได้กลายเป็นเจ้าตำหนัก” “ฮิ ฮิ ฮิ! แน่นอนว่าผมรู้! และผมรู้ว่าถ้าผ้าคลุมถูกเปิดออกก่อนที่คุณจะได้เป็นเจ้าตำหนัก คุณจะต้องฆ่าคนที่บังอาจแตะต้องมัน โอ้ใช่! การเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักก็หมายความว่าคุณไม่สามารถเพลิดเพลินไปกับความสัมพันธ์ที่แสนโรแมนติกได้ตลอดชีวิตใช่ไหม?” ชายวัยกลางคนหัวเราะอย่างชั่วร้าย เขาออกบิน ในชั่วพริบตา เขาก็มาปรากฏตัวที่ทางเข้าถ้ำและกั้นมันไว้ “แต่วันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะต้องได้ดู 'ใบหน้าอันแสนศักดิ์สิทธิ์' ของคุณ! ผมอยากเห็นนักว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักเทพยดาเป็นอย่างไร!” “คุณกล้าเหรอ?” ความโกรธแล่นผ่านไปทั่วร่างเมโลดี้ราวกับลาวาขณะ
เมโลดี้โกรธมากจนต้องเข้าไปหาเฟนด์และเอ่ยปากว่า “นายน้อยเฟนด์ ได้โปรดช่วยฉันฆ่าไอ้ส*รเลวคนนี้ที!” ในตอนนั้นเองแนช และเซเลน่าเข้าไปในถ้ำ และเดินไปยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา “นายท่านวู๊ด เซเลน่า พวกคุณก็อยู่ที่นี่ด้วย!” ดวงตาของเมโลดี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นทั้งสองเข้าไปในถ้ำ "ใช่ ต้องขอบคุณเฟนด์! ที่เขาฆ่าชายศีรษะล้านให้ ไม่เช่นนั้นเราคงไม่มีโอกาสรอดชีวิต!” แนชพยักหน้า จากนั้นเขาก็หันไปหาผู้พิทักษ์ของตำหนักอินทรีทะยานและพูดว่า “เราอยู่นอกถ้ำและได้ยินเรื่องเลวร้ายที่คุณพูดกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักเทพยดาเมื่อครู่นี้ทั้งหมด จุ๊จุ๊จุ๊ ผู้พิทักษ์ของ ตำหนักอินทรีทะยาน? หนึ่งในสี่ชนเผ่าโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด? หน้าด้านจริง ๆ!” ใบหน้าของผู้พิทักษ์เริ่มดูน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อย ๆ และมุมปากของเขาก็กระตุกหลายครั้ง เขากำหมัดแน่น เหวี่ยงหมัดนั้นพุ่งเข้าหาแนช และพยายามที่จะหนีออกจากถ้ำไป ระดับพลังยุทธของเขาอยู่ในขั้นกลางของระดับเทพแท้จริงเท่านั้น เขาเทียบกับแนชไม่ได้เลย! แนชผลักหน้าอกของผู้พิทักษ์ กระแทกเขากลับไปด้านหลังและเหวี่ยงเขาลงกับพื้น ผู้พิทักษ์กำลังดิ้นพล่าน เขาไม่อาจลุกขึ
ในไม่ช้าทั้งสี่ก็ออกจากถ้ำและก้าวไปข้างหน้า “ชายศีรษะล้านฆ่าเจ้าวิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ช่างดีจริง ๆ!" แนชหัวเราะเบา ๆ ขณะที่เขานึกถึงฉากนั้น “สิ่งเดียวที่ผมเสียดายคือการปล่อยให้ตาเฒ่าโจเอลคนนั้นหนีไปได้!” เขาพูดกับอีกสามคนที่เหลือ รอยยิ้มอันขมขื่นผุดขึ้นบนใบหน้าของเฟนด์เมื่อได้ยินคำพูดของแนช “ไม่ว่าสองคนนั้นจะตายหรือมีชีวิตอยู่ พวกเขาไม่ใช่ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเราในตอนนี้คือผู้ที่มีความแข็งแกร่งในระดับเทพแท้จริงที่ได้เข้ามาในสถานที่แห่งนี้! เพราะนั่นหมายความว่ากองกำลังของพวกเขากำลังแทรกซึมอยู่ในสถานที่แห่งนี้แล้ว! และถ้าพวกเขาสามารถทะลวงไปสู่ระดับเทพสูงสุดได้เร็วกว่าเรา นั่นต้องเป็นปัญหาแน่!” “ฮิฮิฮิ!” อย่างไรก็ตามเมโลดี้เอามือปิดปากและหัวเราะคิกคัก “พวกเขาคงไม่รู้ว่าแม้พวกเขาจะทะลวงไปสู่ระดับเทพสูงสุดได้ พวกเขาก็ยังห่างชั้นกับคุณใช่ไหม? เพราะเมื่อวานนี้คุณฆ่านักสู้ในระดับเทพสูงสุดไปุถึงสองคน ยิ่งกว่านั้นทั้งสองนั้นก็อยู่ในระดับเทพสูงสุดอยู่ก่อนแล้วและพลังของพวกเขาก็คงมั่นคงมาก แต่พวกเขากลับถูกคุณฆ่า เพราะฉะนั้นคนที่เพิ่งทะลวงเข้าสู่ร
ถัดจากศิษย์พี่มู มีสมาชิกชายจากตำหนักนภายืนอยู่ คิ้วของเขาขมวดเป็นปมและดูคล้ายจะไม่พอใจที่ศิษย์พี่มูพูดออกไปเช่นนั้น “บอกมาเลย! เงื่อนไขของคุณคืออะไร?” ผู้พิทักษ์ของตำหนักเทพยดาถามอีกฝ่าย เธอกัดริมฝีปากสีชมพูของตัวเอง ชายที่คนอื่นเรียกว่าศิษย์พี่มูตะคอกอย่างเย็นชาก่อนที่จะพูดเงื่อนไขของเขา “ไม่ยาก นอกจากนังอ้วนนั่น ผู้หญิงทุกคนจะต้องถอดเสื้อผ้าออกแล้วเต้นต่อหน้าพวกเรา! แล้วเราจะไว้ชีวิตพวกเธอ แล้วยังไงล่ะ” “อ๊ะ! ศิษย์พี่มู ความคิดเข้าท่าดี! ฮ่าฮ่าฮ่า! ดีเลย! ผมก็อยากเห็นเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหญิงสาวผู้สูงศักดิ์และเย่อหยิ่งจากตำหนักเทพยดาเหล่านี้ คงจะสนุกดีถ้าได้เห็นพวกเธอส่ายสะโพกไปมาด้วย ฮ่าฮ่า!” ชายจากเมื่อก่อนหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อได้ยินข้อกำหนดและเงื่อนไขของศิษย์พี่มู ความตื่นเต้นและความคาดหวังกำลังลุกโชนในดวงตาของเขา “ฝันไปเถอะไอ้ส*รเลว! พวกเราสมาชิกของตำหนักเทพยดายอมตายดีกว่าทำเช่นนี้!” ผู้พิทักษ์หญิงโกรธมากหลังจากได้ยินเงื่อนไขที่ทำให้ใบหน้าถอดสี เงื่อนไขของลาโง่เหล่านี้มันมากเกินไป “เราไม่ทำหรอก! ฉันรู้มาตลอดว่าสาวกของตำหนักนภานั้นหน้าด้านและไร้ศักดิ์ศรี แต่ไม่เ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ