สีหน้าของแมทธิวเปลี่ยนเป็นซีดเผือดด้วยความกลัวขณะที่เขาหันไปมอง การโจมตีของ เฟนด์นั้นทรงพลังกว่าครั้งก่อนมาก แถมความเร็วในการโจมตีของเขาก็มากเกินไป เฟนด์ตามเขาทันและเร็วกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด“คลื่นฟินิกซ์เพลิง!” เมื่อตระหนักว่าเฟนด์อยู่ใกล้จุดอันตราย เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันกลับและถ่ายโอนพลังฉีของเขาเข้าไปในอุปกรณ์วิญญาณระดับสูงในมือ ก่อนจะฟันดาบนั้นออกไปผู้คนที่อยู่ในระยะของการโจมตีก็หยุดและเริ่มโต้ตอบกลับไปเช่นกัน“อ๊าก!” นกฟีนิกซ์ยักษ์ที่สร้างจากพลังฉีปรากฏตัวต่อหน้าแมทธิว ก่อนที่มันจะพุ่งไปข้างหน้า ระลอกคลื่นอันน่าสยดสยองตามติดมันไปตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!ดาบบินของเฟนด์โจมตีนกฟีนิกซ์ที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงอย่างต่อเนื่อง กระทั่งคลื่นที่ตามมาด้านหลังจะถูกทำลายลงจนสิ้น ถึงอย่างนั้นดาบบินของเฟนด์ก็ยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าและจัดการการโจมตีอื่น ๆ ที่ยังเหลืออยู่แม้ว่าพวกมันจะมลายหายไป แต่พลังโจมตีของดาบบินในทุกครั้งก็สูงอย่างน่าอัศจรรย์ ขณะที่คลื่นดาบบินยังเหลืออยู่จำนวนมาก พวกมันก็กระจัดกระจายไปยังอีกห้าคนที่เหลือในพริบตา“เราโชคดีที่เจ้าวิหารซื้อเวลาให้!” เมื่อผู้ที่บินไปไก
เมื่อเห็นเฟนด์เก็บของรางวัลที่ได้จากการต่อสู้อยู่บนพื้น หญิงวัยกลางคนจากวิหารทวยเทพและราชา ก็เอ่ยปากขึ้นว่า “ผู้ชายคนนี้ไม่แข็งแกร่งเกินไป มีผู้คนมากมายโอบล้อมและโจมตีเขา แต่เขาก็ยังฆ่าพวกนั้นไปได้มากกว่ายี่สิบคนโดยไม่มีรอยขีดข่วนปรากฏบนร่างกาย ถ้าแมทธิวและคนอื่น ๆ ช้ากว่านี้อีกนิดเดียว พวกเขาคงไม่รอด!”“เราไม่อาจหาเรื่องผู้ชายคนนี้ได้ เราคงต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาด้วยซ้ำ เราโชคดีที่ทำอ่อนน้อมถ่อมตนและไม่เคยทำให้เขาขุ่นเคือง! เพราะถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริง แต่พลังการต่อสู้ของเขาก็เหนือกว่าระดับพลังยุทธของเขามานานแล้ว ฉันยังสงสัยว่าพลังยุทธของเขาอาจเทียบได้กับพลังยุทธในระดับเทพสูงสุด แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นคนที่อยู่ในระดับเทพสูงสุดมาก่อนหรอก!” แฮร์รี่ถอนหายใจยาว การที่เขาได้เห็นสองกระบวนท่าสุดท้ายที่เฟนด์ปล่อยออกมา มันได้ฝังลึกลงในจิตใจของเขาผู้อาวุโสลำดับแรกของวิหารแห่งทวยเทพและราชาพยักหน้าขณะที่เขาพูด “ใช่ และผมเกรงว่าผู้ที่มาจากตำหนักนภาและตระกูลลาโกริโอจะเจอปัญหาเข้าแล้ว ฮ่า ๆ! พวกเขาทำให้ตระกูลวู๊ดขุ่นเคือง ย่อมไม่ต่างอะไรกับการก้าวไปสู่ประตู
แมทธิวและคนอื่น ๆ วางแผนที่จะหาที่พักก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อ พวกเขาเตรียมจะไปสังเกตการเคลื่อนไหวของกองกำลังบนบกทั้งหมดนอกเหนือจากนั้น พวกเขายังส่งคนสองคนกลับไปที่วิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อที่พวกเขาจะได้พาปรมาจารย์ในระดับเทพแท้จริงและกึ่งเทพบางคนมาเพิ่ม พวกเขาวางแผนให้ปรมาจารย์เหล่านั้นอยู่บนเกาะใกล้แผ่นดินใหญ่ เพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นกำลังเสริมในเวลาที่พวกเขาต้องการกำลังคนในอีกด้านหนึ่งเฟนด์ แฮร์รี่ และคนอื่น ๆ ไปที่ห้องโถงใหญ่“เอาล่ะ เจ้าวิหารแฮร์รี่ เรามาพูดกับตามตรงเลย ผมได้รับหนึ่งในลูกบอลหินเหล่านี้มาแล้ว แต่หลังจากศึกษามันมาเป็นเวลาสองวันก็ยังไม่พบอะไรเลย ผมรู้ว่าคุณเองก็ได้ศึกษามามาระยะหนึ่งแล้ว คุณได้อะไรจากมันบ้างไหม?” เฟนด์หัวเราะและเสริมว่า “ถ้าคุณเจออะไรจากมันบ้าง บางทีคุณอาจแบ่งปันข้อมูลกับผมสักหน่อย!”“ฮ่าฮ่า! คุณเป็นคนที่ตรงไปตรงมามาก!” แฮร์รี่อ้าปากค้างเพราะความตกตะลึง “มีหลายคนมาหาผมเพื่อถามเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็อ้อมค้อมไม่เลิก พวกเขาพูดเรื่องไม่เข้าท่า แถมบางคนยังยกยอผมอยู่พักหนึ่งกว่าจะเข้าประเด็น แต่คุณไม่เหมือนใคร เพราะแทงเข้ากลางปล้องในทันที!”
เฟนด์ยิ้มอย่างขมขื่น “ผมเพิ่งได้รับมันเมื่อหลายวันก่อน ผมศึกษามันมาเพียงสองวันและได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่ได้ศึกษามันมากเท่ากับที่คุณทำ ผมก็ได้ข้อสรุปไม่ต่างไปจากพวกคุณหรอก!”แฮร์รี่และคนอื่น ๆ ไม่แปลกใจกับคำตอบของเฟนด์ เพราะพวกเขาได้ศึกษาลูกบอลหินมาหลายวันแล้ว และพวกเขาทั้งหมดก็มีประสบการณ์ ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังไม่ได้รับอะไรเลย กับเฟนด์เพิ่งได้รับลูกบอลหินมาเพียงลูกเดียวเช่นนี้ ก็ถือเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่กล้าเผาหรือทำอะไรกับมันเพราะกลัวว่าจะทำลายมันไปโดยที่ไม่ต้องการกลับกัน แฮร์รี่และคนของเขามีลูกบอลหินถึงสามลูก พวกเขาสามารถนำมันไปทดสอบและดูมันถูกทำลายได้ง่ายหรือไม่แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่า หลังจากที่เฟนด์เงียบไปครู่หนึ่งเขาจะเอ่ยปาก “ผมมีความคิดบ้า ๆ อยู่นะ”"ยังไงล่ะ?" แฮร์รี่และคนอื่น ๆ ถามทันทีเฟนด์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และพูดว่า “ผมคิดว่าเราจะไม่ได้อะไรเลยถ้าเรายังคงศึกษามันแบบนี้ แต่ถ้าเราสามารถนำลูกบอลหินทั้งเจ็ดออกมาพร้อมกันได้ ผมสงสัยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราวางพวกมันไว้ด้วยกัน? คุณคิดว่าไง?"“เอาทั้งเจ็ดลูกมารวมกันงั้นเหรอ?” แฮร์ร
“ฮ่าฮ่า!” แฮร์รี่หัวเราะออกมาขณะที่เขาเอ่ยเสริมว่า “โจเอล เจ้าพังพอนเฒ่าตัวนั้นเจ้าเล่ห์มาก เขาอยากได้ลูกบอลหินไม่ว่าจะด้วยวิธีได้ ถ้าเขาก็ยังไม่ได้มันไป ดังนั้นคุณควรระวังเขาให้ดี เขาคงไม่กล้าขโมยมันจากสามชนเผ่าโบราณ แต่ผมไม่แน่ใจว่ากับตระกูลวู๊ดของคุณจะเป็นเช่นไร หากเขาไม่ได้ล่วงรู้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของคุณ”“ฮึ่ม! ขอให้เขาไม่มา เพราะหากเขากล้ามาหาตระกูลวู๊ดของเรา ผมจะทำให้เขาเสียใจ!” เฟนด์เย้ยหยัน เขามั่นใจในความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาเป็นอย่างมากแฮร์รี่พยักหน้าอย่างใช้ความคิดและตอบว่า “ใช่ และผมได้ยินมาว่าตำหนักนภาได้สูญเสียปรมาจารย์ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงไปถึงหกคน ในตอนที่พวกเขาเดินทางผ่านพื้นที่อันตราย พวกเขาพบกับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งจำนวนมากและต่อสู้กับชนเผ่าโบราณอีกสองกลุ่ม ตำหนักนภาประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุด พวกเขาคงไม่กล้ามาเผชิญหน้ากับตระกูลวู๊ดของคุณหรอก”“นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ถึงผมจะไม่กลัวพวกเขา แต่ตระกูลวู๊ดจะต้องทนทุกข์ทรมานมากหากพวกเขาคิดจะเผชิญหน้ากับเรา และผมเองก็ไม่ต้องการให้คนของเราถูกสังเวยด้วย ตระกูลวู๊ดของเราเติบโตอย่างรวดเร็ว เ
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้น โจเอลพึมพำว่า “ตำหนักนภาของผมคงไม่เดือดร้อนขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ”เมื่อลิลลี่ได้ยินอย่างนั้น เธอก็เริ่มฟาดงวงฟาดงาใส่โจเอลอย่างโกรธเกรี้ยว “โจเอล คอลลินส์ คุณหมายความว่ายังไง?” เธอขู่ฟ่อ “คุณจะโทษฉันแบบนี้ได้ยังไง? ใครจะรู้ล่ะว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งพวกนั้นจะปรากฏตัวขึ้นขณะที่คุณส่งผู้อาวุโสทั้งหกคนไปซุ่มโจมตีพวกตระกูลวู๊ดและถูกสัตว์อสูรฆ่าจนหมด คุณมาโทษฉันได้ยังไง? ฉันไม่ใช่สัตว์อสูรพวกนั้นเสียหน่อย!”ดวงตาของลิลลี่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำจากความโกรธ ขณะที่เธอยังพูดต่อ “อีกอย่าง ฉันไม่ได้บังคับให้คุณไปที่เขาเหมันต์กระจ่าง แล้วจะมาโทษฉันได้ยังไงในเมื่อพวกคุณเป็นคนตัดสินใจเอาเอง? ฉันแค่ขอให้คุณช่วยฉันฆ่าเฟนด์และพวกพ้องของเขา…”สายตาของลิลลี่ที่มีน้ำตาไหลออกมาทำให้หัวใจของโจเอลอ่อนระทวย เขาเริ่มเกลี้ยกล่อม “เอาล่ะ ไม่เป็นไร… ทุกอย่างเป็นความผิดของผมเอง เข้าใจไหม? ผมจะไม่โทษคุณอีก”โจเอลหยุดไปชั่วขณะก่อนที่จะคร่ำครวญต่อ “ถึงกระนั้น พวกเราก็ประสบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ และผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงสามก็เสียชีวิตที่นั่น เราเหลื
“นายหมายความว่าตระกูลลึกลับอื่น ๆ ที่ไปเขาเหมันต์กระจ่างพร้อมกับตระกูลฮันท์ก็ไม่ได้รับลูกบอลหิน และไม่มีใครรู้ว่าตระกูลใดได้รับมันไปงั้นเหรอ?” ข่าวนี้ทำให้โจเอลตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ความยินดีจะปรากฏในใจ “ถ้าไม่ใช่ตระกูลลึกลับชั้นหนึ่ง มันอาจอยู่ในมือของใครบางคนจากตระกูลลึกลับชั้นสองหรือชั้นสาม ถ้าอย่างนั้น… ฮ่า ฮ่า! นี่เป็นข่าวดี! เรายังมีโอกาสที่จะสืบหาและหากเรื่องนั้นถูกเปิดเผย ทันทีที่เรารู้ เราก็จะไปแย่งชิงจากใครก็ตามที่มีลูกบอลหินนั้นอยู่ในมือ!”โจเอลครุ่นคิดและถามว่า “ว่าแต่ ตระกูลวู๊ดเป็นอย่างไรบ้าง? พวกเขาไปพื้นที่อันตรายใด ได้ข่าวอะไรเกี่ยวพวกเขาบ้างไหม?”“สมาชิกจากตระกูลวู๊ด ตระกูลคาเบลโล ตระกูลซีเมเนส ตระกูลแลงคาสเตอร์ และตระกูลเล็ก ๆ หลายตระกูลไปที่เกาะวายุมืดด้วยกัน ผมคิดว่าตระกูลวู๊ดไม่ต้องการเข้าไปในพื้นที่อันตรายเดียวกันกับตระกูล ฮันท์ เพราะที่เหล่านั้นอันตรายเป็นอย่างมาก และพวกเขาคงจะต้องประสบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหากพวกเขาต้องต่อสู้แย่งชิงกับตระกูลฮันท์ ดังนั้นพวกเขาจึงไปที่เกาะวายุมืดแทน” สาวกอีกคนรายงานขณะที่เขาแสดงท่าทางด้วยมือของเขา“พวกเขาไปที่เ
ทันใดนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งจากตระกูลวู๊ดก็รีบเข้ามาและรายงานว่า “นายท่าน นายน้อยเฟนด์มีคนหลายคนกำลัง...รออยู่ข้างนอก พวกเขาต้องการจะเข้าพบพวกคุณ”“ใครมาเยี่ยมตระกูลวู๊ดของเราในเวลานี้?” แนชขมวดคิ้วก่อนจะถามชายหนุ่มที่มารายงาน “พวกเขามากันแค่ไม่กี่คนเหรอ?”“ใช่ พวกเขามากันแค่ห้าหรือหกคนเท่านั้นครับ แต่พวกเขากลับทำตัวลึกลับเหลือเกิน!” ตอบชายคนนั้นด้วยรอยยิ้มเคอะเขินเฟนด์ขมวดคิ้วขณะที่เขาถามต่อทันที “ลึกลับเหรอ? หมายความว่ายังไง?"“พวกเขาสวมเสื้อคลุมที่ทำจากไม้ไผ่ และทุกคนก็สวมหมวกปิดบังตัวตน ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่อยากเปิดเผยตัวเองเท่าไหร่นัก” ชายคนนั้นอธิบายจากนั้นแนชก็โบกมือ “ไปพาพวกเขาเข้ามา”เมื่อคนที่รายงานเดินออกไป ผู้อาวุโสลำดับแรกก็พูดทันทีว่า “ต้องเป็นคนจากตระกูลอื่นที่ต้องการสอบถามเกี่ยวกับลูกบอลหินแน่ พวกเขาต้องมาที่นี่เพื่อถามว่า นายน้อยเฟนด์ได้ข้อมูลอะไรจากมันบ้างหรือไม่”“ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอก ถ้าเป็นกรณีนั้น พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวเองขนาดนี้หรอก” เฟนด์ตอบอย่างยิ้มแย้มครู่ต่อมา คนเหล่านั้นก็ถูกพาเข้ามาพวกเขาถอดเสื้อกันฝนและหมวกไม้ไผ่ออกหลังจากผ่านเข้าประตูมาได
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ