“เดาว่าคนจากตระกูลเชิร์ชได้กลายเป็นผู้ติดตามที่เชื่อฟังของตระกูลฮันท์ไปเต็มตัวแล้วล่ะ!” เฮเลน่าเหาะขึ้นไปด้วย แม้ว่าเธอจะไม่ได้ตามหลังเฟนด์ไป เพราะรู้ว่าเขาสามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างง่ายดายเพียงลำพังในการแข่งขันครั้งนี้ คนเดียวที่สามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างสูสีกันนั้น ก็มีแต่นายน้อยลำดับที่หนึ่งตระกูลฮันท์คลาวด์ ฮันท์แต่เพียงผู้เดียว!“ทุกคนเร็วเข้า เคลื่อนตัวให้เร็วกว่านี้! เร่งมือหน่อย! น่าจะมีสมาชิกของตระกูลวู๊ดอยู่ข้างหน้านี้แน่ เพราะนายน้อยเฟนด์ห้พวกเขารออยู่ที่นั่น เหาะต่อไปกันเถอะ เราจะรอดหากมีสมาชิกของตระกูลวู๊ดอยู่ข้างหน้า!” หญิงสาวที่บินอยู่ข้างหน้ามีทักษะในการต่อสู้ขั้นสูงสุดของระดับกึ่งเทพ มีทักษะในการต่อสู้เช่นนี้ถือได้ว่าน่ายกย่องแต่แขนของเธอเต็มไปด้วยเลือด ในขณะที่หน้าผากมีเหงื่อไหลโทรม เธอหน้าซีดเล็กน้อย เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเธอบาดเจ็บสาหัสและกำลังจะทรุดหนักมีคนเจ็ดถึงแปดคนอยู่ข้างหลังเธอ บางคนเป็นพวกแลงคาสเตอร์ ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่เหลือมาจากตระกูลวู๊ดที่ตามหลังพวกเขามาคือสมาชิกตระกูลฮันท์กว่า 20 ชีวิต ซึ่งเปิดการโจมตีพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างบ้าคลั่ง“จับพ
ไอเดนตกตะลึงเล็กน้อยและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน เขาคิดว่าหนึ่งในเพื่อนร่วมกลุ่มของเขาที่วิ่งหนีไปพร้อมกับคนอื่น ๆ หันกลับมาหาเขาเขารู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าคนผู้นี้โง่เขลา ทำอย่างนี้ไม่เท่ากับรนหาที่ตายรึอย่างไร?จนกระทั่งเขาสังเกตเห็นว่าร่างที่เข้ามาดูคุ้นเคยและแข็งแกร่งมาก“นายน้อยเฟนด์!” ในไม่ช้าเขาก็จำเฟนด์ได้และความสุขก็เอ่อล้นขึ้น เฟนด์เป็นมีทักษะในขั้นกลางของระดับเทพแท้จริง แม้ว่าเฟนด์จะไม่ได้ใช้ทักษะการต่อสู้ใด ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้เชี่ยวชาญอย่างเฟนด์ที่จะรับมือกับการโจมตีจากคนในขั้นสุดท้ายของระดับกึ่งเทพได้ตู้ม!แน่นอนว่าหลังจากเกิดเสียงระเบิดที่น่ากลัว เฟนด์ได้ทำลายหมัดพลังฉีจากอีกฝ่ายให้กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างง่ายดาย“แ*งเอ๊ย*! นั่นใครวะ?" เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น สมาชิกจากตระกูลเชิร์ชตกใจกลัวจนหยุดไล่ตามฝ่ายตรงข้ามทันทีสมาชิกของตระกูลวู๊ด และตระกูลแลงคาสเตอร์ที่หนีเอาชีวิตรอดก็หยุดลงเพราะพยายามกลั้นหายใจเช่นกัน“ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะเป็นนายน้อยของตระกูลวู๊ดนะ!” อัจฉริยะคนหนึ่งจากตระกูลเชิร์ชขมวดคิ้ว และสีหน้าของเขายังคงมืดมนหลังจากที่
“นายน้อยวู๊ด ที่นั่นมีคู่ต่อสู้มากมาย อีกอย่างนายน้อยของเราก็ยังอยู่ในขั้นกลางของระดับเทพแท้จริง และพวกเขาไม่ได้รีบร้อนที่จะเข้ามาปิดล้อมเขาด้วยซ้ำ คงเป็นเพราะตระกูลลาโกริโอมีสมาชิกในขั้นกลางของระดับเทพแท้จริงถึงสามคน และในพวกเขาก็มีไม่กี่คนที่อยู่ในขั้นต้นของระดับเทพแท้จริง ฉันเองไม่รู้ว่านายน้อยของเราจะอดทนได้นานแค่ไหน!”บนดาบบิน หญิงสาวจากตระกูลแลงคาสเตอร์แสดงความกังวลของเธอ เธอประทับใจกับการที่เฟนด์ กระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือนายน้อยของเธอ แต่มันคงหุนหันผลันแล่นเกินไปสำหรับเขาที่จะเร่งรัดไปเพียงลำพัง"ไม่ต้องห่วง ผมจะจัดการเอง เราจะเสียเวลาถ้าพาคนอื่นมาด้วย ผมเกรงว่าหากเรายังช้าไปกว่านี้อีก นายน้อยของคุณอาจจะเสร็จพวกมันไปแล้ว!”เฟนด์ยิ้มอย่างขมขื่น หลังจากบินไปได้สักพัก เสียงการต่อสู้ก็ดังขึ้น“อยู่ทางนั้นใช่ไหม?”เฟนด์ชี้ไปยังทิศทางของเสียง"ใช่ เราเกือบจะถึงแล้ว!”หญิงสาวผงกศีรษะ พลางเหลือบมองเฟนด์อย่างมีเลศนัย เขาดูมั่นใจมากเกินไป ราวกับว่าความสามารถในการต่อสู้ของเขาจะเหนือกว่าคนอื่น ๆ มาก“นายน้อย เราจบเห่แล้ว เราตายแน่!”ผู้คนที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลางยังคงต่อสู้เพื่อเอาชีว
“นายน้อย ดูนั่น ดูสิ! มีคนกำลังมา!”ทันใดนั้น ชายคนหนึ่งจากตระกูลแลงคาสเตอร์ก็สังเกตเห็นคนสองคนยืนอยู่บนยอดดาบบินซึ่งกำลังพุ่งตรงเข้าหาพวกเขาหัวใจของแรนดัลล์เต้นรัวด้วยความคาดหวังเมื่อเขาได้ยินว่ามีคนกำลังมา เมื่อเขาเห็นว่ามีเพียงสองคน รอยยิ้มของเขาก็ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้นทันที แค่สองคนจะทำอะไรได้?“บางทีพวกเขาอาจจะแค่ผ่านไป!”แรนดัลล์ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดด้วยน้ำเสียงที่โชคร้าย“นั่น… นั่นคือนายน้อยวู๊ด!”ชายอีกคนจำเฟนด์ได้อย่างรวดเร็ว เขาดูท่าทางดีใจ"จริง ๆ เหรอ? เยี่ยมมาก เขาอยู่ขั้นกลางของระดับเทพแท้จริง!”เมื่อเขาได้ยินว่านั่นคือเฟนด์ อารมณ์ที่ขุ่นมัวของแรนดัลล์ก็สลายกลายเป็นความตื่นเต้นในทันที“เขามีดาบบิน ถ้ามันพาเขาเข้ามาได้ เราอาจจะใช้มันหนีได้ คงจะดีมากหากพวกเราจะหนีไปได้สักครึ่งหนึ่ง!”หลังจากคิดเรื่องนี้ ผู้หญิงอีกคนมีความหวังขึ้นมา มุมปากของชายจากตระกูลเชิร์ชกระตุกเล็กน้อย “เขากล้ามาที่นี่จริงหรือ?”ตอนนั้นเองทีเขาหมัดและขว้างไปที่เฟนด์ “แต่ก็คงไม่พ้นต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่นั่นแหละ เพราะมาแค่คนเดียว นับเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับเราเลยล่ะ ที่จะได้ฆ่าแก!”กำ
เฟนด์อยู่ในขั้นกลางของระดับเทพแท้จริง แต่ในขณะนั้น ชายจากตระกูลเชิร์ชรู้สึกราวกับกำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ขั้นสูงของระดับเทพแท้จริง นั่นเป็นแรงกดดันมหาศาลจากมุมมองของผู้ยืนดู ทั้งสองใช้การโจมตีขั้นพื้นฐานสุด ๆ แต่เขากลับพ่ายแพ้อย่างเทียบไม่ติด“ไอ้บ้านี้แข็งแกร่งมา ผมจะช่วยคุณฆ่าเขา พวกที่เหลือไปฆ่าสมาชิกตระกูลแลงคาสเตอร์กับตระกูลวู๊ดซะ แรนดัลล์และคนอื่น ๆ บาดเจ็บสาหัส พวกเขาคงยืนอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว!”ชายอีกคนหนึ่งจากตระกูลเชิร์ช ซึ่งอยู่ในขั้นกลางของระดับเทพแท้จริงสัมผัสได้ว่าเฟนด์น่ากลัวเพียงใด เขาบินอยู่ข้างสหายของเขา“ไปพักข้าง ๆ ก่อน!”เฟนด์หันไปมองหญิงสาวจากตระกูลคาสเตอร์ที่อยู่ข้างหลัง แล้วบอกเธอ"เข้าใจแล้ว!"หญิงสาวผงะเล็กน้อย แต่ก็เป็นความจริงที่เธอบาดเจ็บหนักและใช้พลังฉีไปเกือบหมด เธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนที่จะบินไปด้านข้างและหยิบศิลาวิญญาณชิ้นเล็ก ๆ ออกมา เพื่อดูดซับพลังฉีจากพวกมันเพื่อเติมเต็มให้กับตัวเธอเองเฟนด์ย่อดาบบินให้เหลือขนาดปกติและพันนิ้วกำรอบดาบ “ฉันคิดว่านายคงอายุไม่ยืนหรอก!”“หึ.. มีเราสองคนนะ ไอ้สมองนิ่ม เราก็แค่ต้องอยู่ให้นานพอที่คนของเราจะฆ่า
"มหัศจรรย์ ฆ่าพวกเขาทั้งหมดเลย!"วิญญาณของแรนดัลล์ฟื้นกลับทันทีที่เขาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อนักสู้สองคนของพวกนั้นตาย ข้างคู่ต่อสู้มีเพียงหนึ่งคนที่อยู่ขั้นกลางของระดับเทพแท้จริงเท่านั้น และเขาจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน คราวนี้พวกเขาสามารถพลิกเกมส์ได้แล้ว!"ไม่มีทาง หากเป็นอย่างนี้ แผนของเราก็พัหมด!”ชายจากตระกูลลาโกริโอซึ่งอยู่ขั้นกลางของระดับเทพแท้จริงเห็นว่านักสู้ขั้นกลางอีกสองคนสู้กับเฟนด์ไม่ได้แม้แต่น้อย แถมยังถูกฆ่าตายอีก จู่ ๆ เขาก็รู้สึกกลัวและสังเกตเห็นว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพันธมิตรนั้นค่อย ๆ จางลง เขากัดฟันกรอดแล้วหันหลังเตรียมหนีแต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อเขาหันหลังไปอีกด้าน เขาจะได้เห็นว่าเฟนด์ยืนอยู่ต่อหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้าง“นายน้อยเฟนด์ ตระกูลลาโกริโอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลวู๊ดมาก่อน ถึงจะมีความขัดแย้งจะเกิดขึ้นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับนายหญิงลิลลี่ แต่คุณก็ไม่ควรลืมมิตรภาพของเราก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว และเขาพูดกับเฟนด์ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม“มิตรภาพของเราก่อนหน้านี้งั้นเหรอ?”เเฟนเกือบคิดว่ามันตลก เขาชี้ไปที่ศพของสมาชิกตระกูลวู๊ด
“ฮ่า คุณโลภเกินไป!”แรนดัลล์หัวเราะ “ผมพอใจที่เราได้ฆ่าพวกมันไปมากมายแล้ว เราคงตายแน่ถ้าคุณมาช้าเกินไป!”"ใช่ ขอบคุณพระเจ้าที่คุณมา นายน้อยเฟนด์ ไม่งั้นเราคงนอนตัวเย็นอยู่บนพื้นแทนพวกนั้น พวกมันจะไม่หยุดจนกว่าเราจะตาย!”อัจฉริยะจากตระกูลวู๊ดมีสีหน้าโล่งใจ"เอาล่ะ เราจะสะสางความยุ่งเหยิงก่อน จากนั้นผมจะใช้ดาบบินของผมพาพวกคุณไปยังที่ที่ตระกูลวู๊ด ตระกูลคาเบลโล และสมาชิกตระกูลแลงคาสเตอร์รวมตัวกันอยู่!”เฟนด์ยิ้มและบอกทุกคน“ตระกูลแลงคาสเตอร์เหรอ? มีพวกเขาอยู่กันมากแค่ไหน?”ดวงตาของแรนดัลล์เป็นประกายเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของเขาก็เต้นรัวด้วยความปิติ“ไม่มากเท่าไหร่! พวกเขากำลังรออยู่ในป่าที่เชิงเขา!”เฟนด์ตอบพร้อมพยักหน้า“ทุกคน มาเร็ว!”แรนดัลล์สั่งให้สมาชิกในตระกูลของเขาเข้ามาใกล้ และเขาก็คุกเข่าลงต่อหน้าเฟนด์ “ขอบคุณนายน้อยเฟนด์ ที่ช่วยเราไว้ เราจะไม่มีวันลืมสิ่งที่คุณทำเพื่อเราแน่!”“ขอบคุณนายน้อยเฟนด์ คุณมีบุญคุณกับเราอย่างที่สุด!”อัจฉริยะคนอื่น ๆ จากตระกูลแลงคาสเตอร์ต่างก็คุกเข่าลงและสรรเสริญเฟนด์"ลุกขึ้น! พวกคุณกำลังทำให้ฉันต้องอาย!”เฟนด์พูดไม่ออกอยู่ลึก ๆ เขาร
"เอาล่ะ เรื่องนี้ผมตัดสินใจแล้ว” แรนดัลล์ประกาศ “ต่อจากนี้ไปคุณคือพี่ใหญ่ของผม!”"ก็ได้ ไปกันเถอะ น้องชายแรนดัลล์!”เมื่อเห็นว่าทุกคนเก็บของที่ริบมาจากการต่อสู้เสร็จแล้ว เฟนด์ก็โยนดาบของเขาไปข้างหน้า มันขยายขนาดขึ้นทันทีและลอยต่อหน้าทุกคน"ไปกันเถอะ เราจะได้พักเมื่อไปถึงที่ที่คนอื่นอยู่!”แรนดัลล์และคนอื่น ๆ กระโดดขึ้นไปบนดาบก่อนจะทรงตัวยืนบนมัน “นี่เป็นดาบที่น่าทึ่งมาก พี่ใหญ่เฟนด์ มันสามารถบินได้และใช้เป็นอาวุธได้ด้วย ดูเหมือนว่ามันจะเพิ่มพลังในการต่อสู้ของพี่ใหญ่ได้ดีนะ อย่างน้อยมันก็ต้องเป็นอาวุธวิญญาณระดับกลาง ใช่ไหม?”ก่อนที่เฟนด์จะได้ตอบ หญิงสาวคนหนึ่งจากตระกูลวู๊ดก็ตัดบทขึ้นมาอย่างภูมิใจว่า “นายน้อยแรนดัลล์ ครั้งนี้คุณเดาผิดแล้วล่ะ ดาบบินของนายน้อยเฟนด์ไม่ใช่อาวุธวิญญาณระดับกลาง แต่เป็นอาวุธวิญญาณระดับสุดยอด!”“โอ้พระเจ้า ระดับสุดยอด?”แรนดัลล์และคนอื่น ๆ ต่างสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ สงสัยว่าพวกเขาได้ยินเธอพูดผิดไปหรือเปล่า พวกเขาได้ยินมาว่ามีเพียงตระกูลฮันท์เท่านั้นที่มีอาวุธระดับนั้นหนิ พวกเขาไม่คิดเลยว่าเฟนด์จะมีสมบัติเช่นนี้ด้วยเฟนด์พยกหน้านิ่ง ๆ เมื่อเห็นสีหน้าตะลึงง
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ