“เหอะ! ถ้าจำไม่ผิด ทั้งสองคนควรจะเป็นผู้พิทักษ์ของตระกูลวู๊ดสินะ ใช่ไหม?”เฟนด์ยิ้มหวาน เขามองอย่างท้าทาย “ผู้พิทักษ์สองคนของตระกูลวู๊ดมาที่นี่เพื่อฉันเลยนี่ แน่นอนว่านายไม่ได้มาที่นี่เพื่อทักทายแน่ เป็นไปได้ว่าพวกนายมาที่นี่เพื่อฆ่าฉันสินะ ใช่ไหม?” เฟนด์มองทั้งคู่อย่างไม่แยแส"ฉลาดจริง ๆ ! คุณฉลาดมากสินะ? ถึงรู้ว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไร!”ดีนเย้ยอย่างเย็นชา “พวกเราคือลาโกริโอ เราไม่มีทางเลือก นายหญิงลำดับหนึ่งแนะนำเราให้รู้จักกับตระกูลวู๊ดและให้เราทำงานเป็นผู้พิทักษ์ เราต้องตอบแทนความเมตตาของนายหญิงลำดับหนึ่ง นอกจากนี้ ผลประโยชน์ที่เราจะได้ มันน่าสนใจมาก อย่างไรก็ตาม เราควรฆ่าคุณซะ”“ฮ่าฮ่าฮ่า! ที่มากกว่านั้น พวกนายเกลียดฉัน หรือไม่ถูกกับฉัน ใช่ไหมล่ะ?”เฟนด์พูดแทรกขึ้นมา และพูดประโยคของดีนจนจบ “แต่มันดีจริง ๆ ที่พวกนายมาบอกฉัน ว่านายหญิงลำดับหนึ่งจ้องจะเล่นงานฉัน? นายไม่กลัวฆ่าฉันไม่ได้แล้วฉันก็หนีไปหลังจากนั้นสักหน่อยเลยเหรอ?” เฟนด์พูดต่อ“ไม่ ถึงเราจะไม่พูด คุณก็รู้ดีว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ นอกจากนี้แล้ว เราทั้งคู่เป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งระดับเทพแท้จริง ไม่ยากเลยที่เราจะฆ่า
เฟนด์ยิ้ม “ไม่คิดเลยว่าจะเป็นอย่างนี้ ไม่คิดเลยว่าผู้พิทักษ์จะเข้าข้างเราในคราวนี้ เธอทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ของตระกูลวู๊ด!”โยลันดาเก็บดาบในมือของเธอแล้วก้มหัวลงให้เฟนด์ “ฉันอยู่ในสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกมานานมาก สุดท้ายฉันก็ฆ่าคุณไม่ลง เพราะฉะนั้น นายน้อยเฟนด์คะ ฉันหวังว่าคุณจะฝึกหนักกว่านี้ แล้วก็แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ แล้วอย่าทำให้ฉันเสียใจในการตัดสินใจครั้งนี้ล่ะ!”เฟนด์พยักหน้า ก่อนจะมองผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขาอย่างละเอียด เธอรู้ถูกผิด และเลือกข้างที่ถูกได้ “อย่าห่วงเลย ผมจะไม่ปล่อยให้แผนการทรยศของพวกเขาสำเร็จแน่!”เฟนด์หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “อืม…แต่ตอนนี้คุณทำภารกิจที่ลิลลี่มอบหมายไม่สำเร็จสินะ!”โยลันดาคิดเรื่องนี้มาก่อนแล้ว “ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำแบบนี้ หลังจากที่ฉันกลับไปหาเธอ ฉันจะบอกเธอว่าคุณฝึกถึงช่วงแรกของระดับเทพแท้จริงแล้ว และคุณก็แข็งแกร่งกว่าเราทั้งคู่ ดีนประมาทและใจง่ายเกินไป เขาเลยถูกฆ่า ส่วนฉัน ก็แทบจะหนีไม่พ้น ฟังดูเป็นไงล่ะ?" เธอแนะนำก่อนที่เฟนด์จะพูดขึ้นมา โยลันดาก็พูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เร่งรีบ “แต่ถ้าฉันรายงานกับเธอแบบนี้ นายน้
มันเป็นช่วงบ่ายที่อบอุ่น ลิลลี่กำลังเตรียมตัวที่จะพักทันใดนั้นเอง โยลันดาก็บุกเข้ามาในห้องของเธอด้วยความเร็วสูง“โยลันดา? มาทำอะไรที่นี่? ฉันบอกให้เธอรอซุ่มโจมตีเฟนด์และคนอื่น ๆ บนยอดเขาไม่ใช่รึไง? มีอะไรรึเปล่า? อย่าบอกนะว่าเธอไม่พอใจกับหญ้าวิญญาณชั้นยอดสามต้นน่ะ?”เมื่อลิลลี่เห็นว่าโยลันดาบุกเข้ามา เธอเลยตะคอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอย่างไรก็ตาม เมื่อเธอพูดจบ เธอก็เห็นว่าสภาพโยลันดาดูไม่ได้เลย “เป็นอะไร? เธอบาดเจ็บรึเปล่า?” ลิลลี่ร้องลั่นโยลันดาหายใจหอบเสียงดังราวกับปอดของเธอแตก ในที่สุดเธอก็สงบสติ ก่อนจะนั่งลง แล้วพูดว่า “ฉันเกือบตายแล้ว เรากำลังรอเฟนด์อยู่ และเขาก็ปรากฏตัวขึ้นไม่นานหลังจากนั้น…”หน้าของลิลลี่เป็นประกายทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “แล้วเฟนด์ล่ะ? มันตายรึยัง? เธอบาดเจ็บระหว่างต่อสู้เพราะมันแข็งแกร่งมากสินะ? ดีนอยู่ที่ไหนล่ะ? ทำไมเธอกลับมาคนเดียวล่ะ?” ลิลลี่ยิ้มอย่างมีความสุขโยลันดา เงยหน้าขึ้น และเผชิญหน้ากับลิลลี่ เธอพูดออกมาด้วยท่าทีมืดมน “นายหญิงลำดับแรก ดีน…ดีนจะไม่ได้กลับมาแล้ว เพราะเฟนด์ฝึกถึงขั้นแรกของระดับเทพแท้จริงแล้ว! เราไม่คิดเลยจริง ๆ ! ดีนตาย เพราะปร
“เฮ้อ! น่าเสียดายที่ครั้งนี้ฉันไม่สามารถจบชีวิตเขาได้ ฉันขอตัวไปรักษาแผลก่อนนะ!” โยลันดาคำนับลิลลี่แล้วหมุนตัวเตรียมที่จะออกไป“รอเดี๋ยว!” ลิลลี่เรียกโยลันดาไว้ หัวใจของโยลันดาเต้นรัวเมื่อเธอได้ยินลิลลี่เรียก เธอพูดอะไรที่ไม่สอดคล้องกันแล้วลิลลี่รู้งั้นเหรอ? ทำไมลิลลี่ถึงเรียกเธอไว้? แต่โยลันดาก็ต้องประหลาดใจ ลิลลี่พลิกมือแล้วหญ้าวิญญาณชั้นยอดระดับหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเธอ เธอหันมาเผชิญหน้ากับโยลันดา และบอกให้โยลันดาเธอหยิบหญ้าวิญญาณนี้ไป “แม้ว่าเราจะมีข้อตกลงกันมาก่อนว่า เธอจะไม่ได้รับหญ้าวิญญาณหากเธอทำภารกิจไม่สำเร็จ แต่ครั้งนี้เธอได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นฉันจะให้หญ้าวิญญาณกับเธอ ฉันหวังว่าเธอจะพัฒนาได้เร็วขึ้นและไปถึงระดับเทพแท้จริงขั้นกลางในไม่ช้า เธอเป็นคนมีความสามารถ เมื่อเธออยู่ในระดับเทพแท้จริงขั้นกลางแล้ว ฉันจะหาโอกาสเลื่อนตำแหน่งให้เธอเป็นผู้อาวุโส!” “ขอบคุณมากค่ะ นายหญิงที่หนึ่ง!” โยลันดาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขขณะที่เธอหยิบหญ้าวิญญาณมา จากนั้นเธอก็ออกจากที่เกิดเหตุไป หลังจากออกจากบ้านของลิลลี่แล้ว โยลันดาก็เดินเล่นอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเธอก็ถอนหายใจออ
“เข้าใจแล้ว ลิลลี่คงจะโกรธแทบตายแน่ถ้าเธอรู้ว่าคนที่เธอส่งมาฆ่าคุณกลับอยู่ฝั่งเดียวกับคุณ!” เซเลน่าหัวเราะออกมาหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฟนด์ “เพราะงั้นลิลลี่จะต้องไม่รู้เรื่องพวกนี้! ถ้าเธอรู้เข้า โยลันดาต้องตกอยู่ในอันตรายใหญ่แน่!” เฟนด์กับเซเลน่าหัวเราะออกมาพร้อมกัน จากนั้นเขาก็คลายอ้อมแขนออกแล้วปล่อยเซเลน่า เขาเดินไปที่โต๊ะกาแฟ รินน้ำชาให้ตัวเองแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ ๆ “โยลันดาเป็นคนจิตใจดีและซื่อสัตย์ ในอนาคตเราสามารถพึ่งพาเธอได้อย่างแน่นอน อีกอย่าง ผมคิดว่าน่าจะมีหลายคนในตระกูลลาโกริโอที่ทำงานให้ตระกูลวู๊ดและซื่อสัตย์ต่อตระกูลวู๊ด เพราะยังไงซะ นิสัยเจ้าเล่ห์ของลิลลี่และกลอุบายสกปรก ๆ ของเธอก็ทำให้คนในตระกูลลาโกริโอบางคนผิดหวัง” เฟนด์พูดพลางจิบชา เซเลน่าพยักหน้าเห็นด้วย เธอนั่งลงข้างเฟนด์และพูดว่า “นั่นก็จริง แต่ในอนาคต คุณจะแยกได้ยังไงว่าพวกไหนอยู่ข้างคุณ และพวกไหนเป็นคนของลิลลี่ มันยากนะที่จะรู้จิตใจของคนอื่น!” เฟนด์ก็ขมวดคิ้วเหมือนกัน “อันที่จริง มันก็ยากที่จะรู้จิตใจของคนอื่น แต่เมื่อถึงตอนนั้น เราค่อยถามเรื่องนี้กับโยลันดาก็ได้ และถ้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้
“สุดยอด! สุดยอดมาก!” เฟนด์พยักหน้าอย่างพอใจ “ถ้าเป็นอย่างนี้ เรามาพยายามไปให้ถึงระดับปรมาจารย์ขั้นสูงกันเถอะ! คุณจะถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งและทรงพลังก็ต่อเมื่อคุณก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดนี้ไปได้!” “สำหรับฉันเรื่องเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นสูง ฉันคิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่การก้าวข้ามไปสู่ระดับกึ่งเทพ ฉันเกรงว่าคงจะต้องใช้เวลามากพอสมควร เพราะฉันพบว่ามันง่ายที่จะฝึกฝนและพัฒนาในช่วงแรก ๆ แต่ยิ่งระดับสูงมากขึ้นเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งยากมากขึ้นและก้าวข้ามผ่านไปได้ช้าลงมากเท่านั้น!” เซเลน่าขมวดคิ้วเข้าหากันขณะที่เธอพูดออกมา เฟนด์ยิ้มกลับไปอย่างขมขื่น “นั่นคือความจริง ระดับความยากในการฝึกฝน ระหว่าง ปรมาจารย์ขั้นสูงกับผู้ฝึกยุทธระดับสูงสุดนั้นห่างไกลกันมาก ทว่าในเวลาเดียวกัน ความแข็งแกร่งและพลังที่ปรมาจารย์ขั้นสูงครอบครองไว้นั้นก็มีมากกว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสูงสุดมากมายนัก เมื่อคุณไปถึงระดับปรมาจารย์ขั้นสูง คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับพลังฉี แต่การควบคุมมันนั้นไม่ง่ายเลย ดังนั้นมันจึงนับว่าโหดหินมากในการเพิ่มระดับต่อ เมื่อคุณอยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นสูงแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่พรสวรรค์เท่านั้นที่คุ
“ที่รัก ที่นี่คึกคักและมีชีวิตชีวามาก มันเหมือนเมืองสมัยโบราณเลย ทุกที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายและบรรยากาศแบบสมัยโบราณ! ฉันเริ่มหลงรักเมืองนี้แล้ว!” เซเลน่าเดินไปตามถนนในเมืองและอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาถึงความงดงามอันเก่าแก่ของเมืองนั้ ผู้คนต่างเดินเท้าบนถนน พ่อค้าแม่ค้า ลูกค้า และคนอื่น ๆ สามารถเจอได้บนท้องถนนที่เต็มไปด้วยคนพลุกพล่าน บางคนสวมชุดโบราณแต่ก็ดูหรูหรา ผู้ชายบางคนก็ตั้งใจไว้ผมยาว ถ้าไม่ใช่เพราะบางคนแต่งตัวแบบสมัยใหม่และถือโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือ เฟนด์กับเซเลน่าคงคิดว่าพวกเขาได้ย้อนเวลากลับไปซะแล้ว “ที่รัก ถ้าคุณสวมชุดโบราณพวกนั้น คุณต้องสวยมากแน่!” เฟนด์เห็นร้านขายเสื้อผ้าโบราณอยู่ไม่ไกลนัก เขาจึงดึงเซเลน่าเข้าไปในร้าน “ที่รัก ลองใส่ดูสิ!” “อืมม...ก็ได้ แต่มันก็เขินอะ!” แก้มของเซเลน่าเปลี่ยนเป็นสีชมพู ถึงอย่างนั้นเธอก็เลือกเสื้อผ้าสองสามชุดแล้วลองสวมดู “โอ้...ที่รัก คุณงดงามมากจริง ๆ! ถ้าคุณเกิดในสมัยโบราณ คุณก็ยังคงเป็นราชินีแห่งความงามแน่!” เมื่อมองดูเซเลน่าที่สวมชุดโบราณอย่างมีความสุข เฟนด์ก็พยักหน้าอย่างพอใจ “หน้าไม่อาย! เรามีลูกโตขนาดนี้แล้ว! คุณยังจะมาชมฉันแบ
ชายร่างท้วมขมวดคิ้วเข้าหากัน บ่งบอกถึงความลังเลใจ ผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าชายคนนนั้นลังเล เธอจึงไม่มีความสุข เธอบีบติ่งหูของเขาและตะโกนใส่เขาอย่างโมโห “คุณต้องเอาชุดนั้นมาให้ฉัน ได้ยินไหม? อย่าลืมนะว่าคุณเป็นแค่ลูกเขยนอกคอกของตระกูลเรา อย่าบังอาจมาขัดคำสั่งของฉัน! ถ้าฉันบอกพ่อว่าคุณรังแกฉัน คุณอาจจะตายได้ในไม่ช้า!” ชายคนนั้นกลัวจนใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อได้ยินคำขู่นั้น เขากลัวมากจนต้องตอบกลับไปแทบจะในทันทีว่า “โอเคที่รัก โอเค ปล่อยหูผมได้แล้ว ผมจะไปเอาชุดนั้นมาให้คุณ!” หลังจากฉากนั้นลง ชายคนนั้นก็เดินเข้ามาหาเฟนดกับเซเลน่าพร้อมภรรยาของเขาและคนอีกกลุ่มหนึ่ง เฟนด์ไม่ได้เตรียมตัวว่าสถานการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น เขากำลังจะไปทานอาหารค่ำที่ร้านบาร์บีคิวใกล้ ๆ แต่พวกเขากลับถูกกลุ่มคนหยุดเอาไว้ก่อนที่จะได้เข้าไปในร้านอาหาร “หื้ม? มีอะไรงั้นเเหรอ? มีอะไรผิดปกติเหรอ? ฉันคิดว่าไม่เคยเจอพวกคุณมาก่อนนะ!” เฟนด์ยิ้มอย่างเย็นชาเมื่อมองไปที่กลุ่มคนตรงหน้าเขา เขาเป็นผู้ฝึกยุทธระดับเทพแท้จริงและเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลวู๊ด ถ้าคนพวกนี้อยากมาหาเรื่อง คนพวกนี้คงอยากตายมากแน่ ๆ แต่ถึงอย่างนั
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ