“นายน้อยควินตันนี่มาจากตระกูลที่แข็งแกร่งหรือเปล่า?” เซเลน่ากังวลเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็คือคนของเมืองนางแอ่น เป็นไปไม่ได้เลยว่าพวกเธอจะไปเหยียบหางตระกูลที่มีอำนาจเร็วเกินไป ใช่ไหม?พนักงานมองทุกคนก่อนอธิบายอย่างนุ่มนวลว่า “จะให้พูดยังไงดีล่ะ... พวกเขาเคยเป็นครอบครัวเล็ก ๆ มาก่อน ไม่ค่อยมีอิทธิพลอะไรเสียเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ถือว่ามีอำนาจแข็งแกร่งในที่นี้” พนักงานหยุดก่อนพูดต่อ “อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ลุงรุ่นที่สองของนายน้อยควินตันกลับมาจากสนามรบ สถานะของตระกูลควินตันก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วตอนนี้ก็เป็นตระกูลชนชั้นสามแล้ว พวกเขาพัฒนาไปไกล เพราะลุงเขาเป็นราชาสงคราม!”“ราชาสงคราม?” เฟนด์ไม่กลัวเลย แต่กลับรู้สึกโกรธจัดแทนในฐานะราชาสงครามที่สง่างาม เขายอมให้หลานชายมาทำตัวเช่นนี้ในที่สาธารณะได้อย่างไร? ถ้าเป็นเฟนด์ จะไม่หยุดแค่ไม่ช่วยนายน้อยควินตันแน่... เฟนด์จะกระทืบแทน!“คุณจะบอกว่าราชาสงครามคนนี้ไม่รู้ถูกผิดแล้วรู้จักแค่ปกป้องหลานตัวเองเหรอ?” ลาน่าไม่พอใจหลังจากได้ยินคำอธิบายจากพนักงานเสิร์ฟ เธอถามกลับไปด้วยสีหน้าเย็นชา“ใช่ นายน้อยได้รับการสนับสนุน ก็เ
แล้วเฟนด์ก็กินด้วย ในขณะที่อาหารราคาแพง แต่รสชาติมันก็อร่อยจริง ๆ นอกจากนั้นก็พากันดื่มอะไรบางอย่างอีกด้วยสิบนาทีผ่านไป...“นี่ นายน้อยควินตันไม่ได้กลับมาแก้แค้น เหมือนจะแค่เห่าแต่ไม่กัดนะ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย!” ลาน่ายิ้มยกแก้วไวน์แดงขึ้นมา “พี่เฟนด์กับพี่สะใภ้ ดื่ม!”เซเลน่ายิ้มและพูดกับลาน่าว่า “แน่นอน! ตอนบ่ายดื่มไม่เยอะจะดีที่สุด เราจะได้ไม่เมา!”“ไม่ต้องห่วง ฉันกับพี่เฟนด์คุมแอลกอฮอลล์ได้ดี ไวน์ขวดหนึ่งไม่มีผลอะไรกับเราเลย” ลาน่าดื่มไวน์เข้าไปในครั้งเดียว รอยยิ้มไม่หายไปจากใบหน้าขณะมองเซเลน่า “แต่อย่าลืมนึกถึงตัวเองนะคะพี่สาว อย่าเมา!”“ฉันคุมได้ไม่เท่าพวกคุณหรอก แต่ขวดหรือสองขวดก็ไม่มีผลอะไรเหมือนกัน” เซเลน่ายิ้ม “สุดท้าย ฉันต้องดื่มตอนที่เริ่มทำงานให้กับตระกูลเทย์เลอร์ ก็เลยได้ฝึกมาบ้างแล้ว”“จริงเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว เอามาอีกขวด นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้ดื่มกับพวกคุณ!” ลาน่ายักไหล่ เธอค่อนข้างอิจฉาเซเลน่าสำหรับลาน่า เฟนด์เป็นเหมือนพระเจ้า เขาเป็นไอดอลของเธอ แข็งแกร่งและหล่อมากถ้าไม่รู้ว่าเฟนด์แต่งงานและซื่อสัตย์กับภรรยามากเธอเองก็อยากจะเป็นผู้หญิงของเขาถึ
“ลุงรุ่นที่สองเหรอ?” นายน้อยควินตันผงะกับคำถามนั่น เขาตกใจชั่วครู่ก่อนยิ้มขึ้นมา “แหม แหม! ผู้หญิงคนนี้หาประวัติฉันมาด้วย รู้เรื่องลุงด้วย!” นายน้อยควินตันหยุดก่อนพูด “แต่ไม่ต้องถึงมือคุณลุงหรอก แค่บอดี้การ์ดของตระกูลก็พอแล้ว!”บอดี้การ์ดหนึ่งก้าวมาข้างหน้าแล้วหัวเราะ “คุณผู้หญิงครับ ในเมื่อคุณรู้เรื่องคุณลุงของนายน้อยควินตันแล้ว ก็น่าจะรู้สิว่าเขาเป็นใครกัน นั่นราชาสงครามสามดาราเชียว ถ้าไม่ดื้อก็จะดีมากเลยนะ เราจะได้ไม่ต้องรุนแรงกัน ทุกอย่างจะไม่เป็นไร ตราบใดที่คุณขอโทษนายน้อยของเราและออกมากับเขา!”นายน้อยควินตันเข้ามาแจมทันทีหลังจากบอดี้การ์ดคนหนึ่งพูด “ไม่ได้ผลหรอก มีสาวสวยอีกคนในร้านอาหาร ทั้งคู่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ถ้าจะออกไป ทั้งคู่ต้องไปด้วยกัน!”ฮ่า ๆ! ไม่หล่อแล้วยังหวังสูงต้องการอะไรสูงอีก!” ลาน่ากัดฟันแสยะยิ้มหลังจากได้ยินเช่นนั้น“อาฮะ! ดูเหมือนคุณจะไม่อยากจากไปกับนายน้อยของเรา สาวสวย ให้ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนี้ทดสอบหน่อยว่าคุณเก่งแค่ไหน!”บอดี้การ์ดรีบวิ่งเข้าหาลาน่าโดยไม่ลังเลหวือ!ความเร็วเช่นนั้นเทียบได้กับความเร็วของพันตรี ความสามารถในการต่อสู้เขาถือว่ายอดเยี่
ผู้เฒ่าคือคนที่มีความสามารถเหนือกว่าบอดี้การ์ดและผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาและเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดตระกูลควินตัน"โจมตีพร้อมกัน!" หัวหน้าผู้บังคับบัญชาไม่เสี่ยงเมื่อเห็นความแข็งแกร่งของลาน่า เขาบอกทุกคนที่เหลือให้โจมตีพร้อมกัน"ฮ่า ๆ ! มาพร้อมกันสิยิ่งจบปัญหาไว!" ลาน่าขำเมื่อเห็นพวกนั้นวิ่งเข้ามา เธอมองครึ่งนึงของคนพวกนั้นอย่างเฉยชาปัง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!มีเสียงน่ากลัวดังขึ้นและบอดี้การ์ดตระกูลควินตันหลายคนก็ล้มลงไปกองกับพื้น มีแค่นายน้อยควินตันและนายน้อยรวย ๆ อีกสามคน ที่เคยดื่มโต๊ะเดียวกันกับพวกเขามาก่อนยืนมองอย่างตะลึงคนอื่น ๆ มองลาน่าด้วยความเกรงขามและเคารพ "เป็นไปได้ไง? เธอ... เธอแข็งแกร่งขนาดนั้น?"เมืองนางแอ่นเป็นที่รู้จักในนามเมืองแห่งศิลปะการต่อสู้ คนส่วนใหญ่ที่นี่เคารพเหล่าปรมาจารย์อย่างมากคนของตระกูลควินตันมักจะรังแกคนแถวนี้เสมอ และนายน้อยก็ป่าเถื่อน ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครคิดว่าจะได้เห็นสภาพเขาอย่างวันนี้ลาน่ามองคนทั้งสี่และยิ้มก่อนพูดอย่างเฉยเมย "พวกนาย ถึงเวลาที่ต้องสั่งสอนแล้ว!"นายน้อยควินตันร้องด้วยความตกใจ "อ อย่า...! คนสวย เราก็แค่คนอ่อนแอ ถ้าเกิดคุณฆ่าเราจะเป
“ฮ่าฮ่า! ยังจะกล้าขู่อีก!” ลาน่าหัวเราะและถามว่า “ว่าแต่ ราชาสงครามลุงของนายนี่ดารากี่ดวง?”เคเลบอับอาย ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้ว่าลุงเขาน่ากลัวขนาดไหน แต่ก็ยังจะมาบังคับให้เขาคุกเข่าเขามองและเยาะเย้ยอย่างหยิ่ง ๆ “ฮึ่ม! ลุงฉันไม่ใช่แค่ดาราหรือสองดารานะ แต่เป็นถึงสามดารา! รู้ยัง? กลัวเลยไหมล่ะ? ถ้ากลัวก็ปล่อยพวกเราไปซะ ถ้าไม่ พวกแกจะต้องเจอลุงฉันโกรธแน่!”“สามดารา? โอ๊ย กลัวมาก! ทำไมไม่บอกกันก่อน?” ลาน่าจงใจเปลี่ยนเป็นกลัว ก่อนที่จะค่อย ๆ นิ่งลง “คุกเข่า!” เธอตะคอก “ฉันจะกระทืบแกถ้าแกไม่ทำ!”เคเลบนึกได้ว่าเธอมาเยาะเย้ยเขา “เธอ... กล้าดียังไงมาทำกับฉันแบบนี้?”ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคุกเข่าและลาน่าก็มองอย่างเฉียบคม ขณะที่เขากัดฟันแน่น“โอเค ฉันจะไปกินอาหารแล้ว พวกแกค่อยออกไปหลังจากที่ฉันกินเสร็จ แล้วก็หลังจากที่ฉันออกไปแล้ว!” ลาน่าปรบมือและเดินเข้าไปในร้านอาหาร“ผู้หญิงคนนี้คือใคร? กล้าดียังไงมาทำกับเราแบบนี้!” นายน้อยคนหนึ่งส่งเสียงฮึมฮัมเมื่อลาน่าออกไป“ฮ่า ๆ ! ทำกับเราแบบนี้? แกคนแรกเลยนะที่คุกเข่า!” เคเลบไม่พอใจ สามคนนี้กระจอก แล้วก็คุกเข่าเร็วเกินไป อย่างน้อยเขา
คาเลบขมวดคิ้วกับคำพูดนั้น เขาคิดก่อนตัดสินใจว่า “หึ ฉันไม่สนใจหรอก! เราจะสั่งสอนพวกมัน ฉันจะขอให้ลุงทำร้ายผู้หญิงนั่น ตราบใดที่เธอบาดเจ็บสาหัสได้ อีกสองคนก็จะไม่เป็นอันตรายอะไร มันจะง่ายสำหรับฉันที่จะตามสามคนนี้ไปทีหลังแล้วค่อยกระทืบด้วยตัวเองหลังจากลุงออกไปแล้ว”ทุกคนพยักหน้าตามคำพูดของคาเลบในขณะเดียวกัน… “ทำไมพวกเขาถึงคุกเข่าอยู่กับพื้น?” ขณะเงยหน้าขึ้นมองเฟนด์ก็สังเกตว่าบอดี้การ์ดคุกเข่าอยู่ที่พื้นลาน่ามองตามไปและยิ้มอย่างสงบ “ฮ่า ๆ...! เขาคงจะไม่พอใจและเรียกลุงมาล่ะมั้ง ลุงราชาสงครามสามดารานั่นน่ะ! ฉันจะสั่งสอนให้!”“ปล่อยเขาไปเถอะถ้าเขาดี นั่นก็แค่การกระทำของหลานชาย สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นคนที่ทำเพื่อประเทศชาติ!” เฟนด์แนะนำหลังจากประเมิณสถานการณ์แล้ว “อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาพยายามปกป้องหลานชายแล้วทำตัวหัวแข็ง เอานิ้วเขามาหนึ่งนิ้ว”“โอเค” ลาน่าพยักหน้าและกินสเต็กต่ออย่างสบายใจบทสนทนาของพวกเขาทำให้เซเลน่าตกตะลึงทำไมเธอรู้สึกเหมือนเฟนด์สั่งเทพีสงครามลาน่าได้? ทำไมลาน่าฟังทุกอย่างที่เขาพูด?เพราะเฟนด์คือแพทย์เฉพาะของเก้ามหาเทพแห่งสงครามเหรอ? ไม่น่าใช่นะ ไม่ใช่หมอเหรอที่จะเป็นคนเ
“เหมือนว่าเขาจะเอาแต่ใจนะเนี่ย!” ลาน่ายิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น แล้วก็พูดกับเฟนด์และเซเลน่าว่า “เดี๋ยวดูเขาเสียนิ้วไปแล้วกันนะ!”“ลุง! ลุงสุดที่รักของผม! ในที่สุดก็มาแล้ว!” นายน้อยควินตันลุกขึ้นจากพื้นขณะที่ขาชาจากการคุกเข่า “เกือบตายใต้แสงแดดนี่เลยนะ มันช่วยไม่ได้เลยที่เราขายขี้หน้า คุกเข่าที่สาธารณะแบบนี้ด้วยนะ!”“ถูกต้อง ราชาสงครามฮันเตอร์ มัวร์ คนพวกน่ารังเกียจมาก! ไม่ใช่แค่กระทืบเรานะ แต่ยังบังคับให้เราคุกเข่าใต้แสงแดดนี่ด้วย!” นายน้อยคนหนึ่งช่วยอธิบายสถานการณ์“ถูกต้อง ราชาแห่งสงครามฮันเตอร์ มัวร์! ผู้หญิงคนนั้นกล้าพูดเลยว่าเธอไม่กลัวคุณแม้ว่าคุณจะมา!” นายน้อยอีกคนพูดขณะที่เขายืนขึ้นปัดหัวเข่า“คุณลุง ผู้หญิงที่สวมหน้ากากนั่น น่ารังเกียจสิ้นดี! ผมใจดีที่จะเลี้ยงอาหาร แต่กลับถูกปฏิเสธ แล้วก็มาบอกว่าผมไปล้อเลียนเรื่องที่พวกเขาจน เราทะเลาะกันเพราะพวกนั้นไม่เคารพตระกูลควินตัน!” คาเลบชี้ไปที่ทั้งสามคนนั้นและเล่าต่อ“ตกลง เข้าใจแล้ว” ฮันเตอร์พยักหน้าและเดินเข้าไปหา“พวกเธอกล้ามากนะ จะบอกอะไรให้ รู้ไหมว่านี่ใคร? นายน้อยตระกูลควินตัน และหลานชายฉัน พวกเธอไม่ใช่แค่กระทืบเขา แต่ยังให้คุ
ราชาแห่งสงครามหนึ่งดาราทำหน้าถมึง “ฮ่าฮ่า ไม่คิดเลยนะเนี่ย ว่าคุณจะเป็นราชาแห่งสงครามหนึ่งดารา ดูเหมือนว่าพวกคุณวางแผนที่จะช่วยนายน้อยควินตันโดยไม่มีเหตุผล และไม่ได้คำนึงถึงผลที่จะตามมาเลยสินะ ฮะ? ดูเหมือนว่าจะมีคนเปลี่ยนไปหลังจากที่กลับมาด้วยสินะ!” เฟนด์เอ่ยความคิดเห็น ขณะที่เขามองไปที่ชายคนนั้น พลางยิ้มอ่อน “ไอ้น้อง มันไม่ใช่เวลาที่นายจะมาพูดนะ นายโดนแน่ รอให้เราจัดการนังนี่เสร็จก่อน!” ฮันเตอร์ตะคอก ขณะที่เขาจ้องไปที่เฟนด์อย่างโกรธแค้น เคเลบ ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็พูดขึ้นมา “คุณลุง ผู้หญิงคนนี้ร้ายมาก ลุงต้องอัดมันให้น่วมเลยนะ ถ้าลุงจะไม่ฆ่ามัน ลุงก็ต้องสั่งสอนให้มันหลาบจำ ให้มันติดเตียงไปครึ่งเดือนเลย!” คาเลบเยาะเย้ยพวกเขาในใจ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ดูแข็งแรงไปกว่าราชาแห่งสงครามหนึ่งดาราเลยสักนิด และเธอสู้ลุงของเขาไม่ได้แน่นอน ตราบเท่าที่ลุงของคาเลบทำให้เธอหมดหนทางได้ พวกเขาจะได้ตามเธอทั้งคู่ไปได้ หลังจากที่ลุงของเขากลับไป พวกเขาจะได้พาทั้งคู่ไปเสพสมที่โรงแรม แล้วถ้าเป็นผู้ชายน่ะเหรอ? ง่าย ๆ เลยนะ ก็ฆ่าทิ้งไง “ฮ่าฮ่า! ครึ่งเดือนเลยเหรอ? แกฝันไปรึเปล่า? ” ลาน่ายิ้มอย่างเยือ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ