พยัคฆ์ทมิฬรีบเดินเข้าไปทันที แต่ก็กลับเห็นว่าไป๋เถาลูกขึ้นยืนได้แล้ว นอกจากนี้สีหน้ายังดีขึ้นมากอีกต่างหาก ร่างกายเองก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก แถมยังรู้สึกว่าเขาในตอนนี้ดีกว่าก่อนหน้านี้อีกต่างหากเขาอดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรวจสอบดูอย่างละเอียด แต่เขาก็กลับไม่สามารถตรวจสอบพลังของไป๋เถาได้ และอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “พี่เถา พี่ในตอนนี้เหมือนจะดูดีกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะครับ?”“นั่นมันแน่อยู่แล้ว!”“ตอนนี้พลังของฉันกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้วยังไงล่ะ แถมพลังยังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับด้วยนะ จะไม่ดีได้อย่างไร” ขณะที่ไป๋เถาพูด เขาก็แทบจะเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่และเมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาจะได้เข้าไปรับช่วงต่อตระกูลไป๋ ในใจก็ยิ่งเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และรู้สึกตื่นเต้นในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้น หาเขาพึ่งแค่ตัวเอง ก็อาจจะยากเกินไปหน่อย แต่หากมีพยัคฆ์ทมิฬคอยช่วยล่ะก็ ทุกอย่างจะต้องราบรื่นอย่างแน่นอน“อะไรนะ!”“นี่มันจะเป็นไปได้ยังไง!”พยัคฆ์ทมิฬตกใจจนพูดไม่ออก เขาแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเองเลยด้วยซ้ำ จุดตันเถียนที่ถูกทำลายไปแล้ว มันแทบจะไม่มีทางฟื้นฟูกลับมาได้เลย
ในขณะที่ไป๋เทาอยู่ในอาการตกใจ เขาก็นึกถึงเรื่องการเอ่ยนามขึ้นมาได้คนที่มีพลังอันน่าสะพรึงกลัว และสถานะที่น่าเกรงขามอย่างบรรพจารย์เจวี๋ยฉิง ยังต้องเรียกท่านราชามังกรว่านายท่านแล้วตัวเขาเองนับว่าเป็นตัวอะไร เขายิ่งต้องคุกเข่าเรียกนายท่านด้วยความเคารพไม่ใช่รึไงแม้ว่าการเรียกเช่นนี้จะทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่หากแม้แต่บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงก็ยังเรียก แล้วตนจะมีเหตุผลอะไรที่เรียกไม่ได้กันไม่ได้ ครั้งหน้าหากได้เจอกับท่านราชามังกร ตนจะเรียกท่านว่าท่านราชามังกรอีกไม่ได้ จะต้องเรียกว่านายท่านเท่านั้นบรรพจารย์เจวี๋ยฉิงไม่ได้สนใจความตกใจของทั้งสองเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไป๋เถา ฟังให้ดีนะ ที่นายท่านให้ฉันมาที่นี่ ก็เพื่อต้องการถ่ายทอดคำสั่งให้กับแก”“บรรพจารย์เชิญพูดได้เลยครับ” ในใจไป๋เถารู้สึกตกตะลึง และสู้สึกเคารพอย่างมาก“เรื่องแรก สิ่งที่ควรชดเชยก็จะต้องชดเชย สิ่งที่ควรแก้ไขก็ต้องรีบแก้ไข”“เอ่อ......เรื่องนี้?”ไป๋เถารู้สึกงงนิดหน่อย ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรแต่บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงก็กลับไม่ได้สนใจขนาดนั้น ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ส่วนเรื่องที่สอง คนบางคนที่ควรจะชดใช้ก็ต้องให
แต่เรื่องดำมืดที่หัวหน้าใหญ่ไปเคยก่อเอาไว้ก็มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งแต่ละเรื่องก็ร้ายแรงมากพอที่จะเอาชีวิตของเขาได้เลย นอกจากนี้ยังมีเรื่องน่ากลัวที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้อยู่ด้วยอีกต่างหากในมือของหัวหน้าใหญ่ไป๋มีกลุ่มมือสังหารที่ฟังแค่หัวหน้าใหญ่ไป๋เพียงคนเดียวอยู่กลุ่มหนึ่ง แม้จำนวนคนจะมีไม่มาก แต่ก็เคยก่อกรรมทำชั่วกันมาไม่น้อยนอกจากหัวหน้าใหญ่ไป๋แล้ว เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์กรส่วนใหญ่ก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับเขาอยู่ไม่น้อย หากเรื่องเหล่านั้นถูกเปิดเผยออกไป แม้ว่าจะไม่ทำให้ตนถึงตาย แต่ชีวิตนี้ของตนก็คงต้องจบสิ้นแล้วเป็นแน่รวมถึงตัวของพยัคฆ์ทมิฬเองก็ด้วยสีหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจ คิดไม่ถึงเลยว่าภายในระยะเวลาอันสั้น ท่านราชามังกรจะสามารถเปิดโปงเรื่องราวอันดำมืดทั้งหมดในอดีตของพวกเขาออกมาได้นี่เขาจะต้องเป็นคนที่มีอิทธิพลและอำนาจที่น่ากลัวเพียงใดกันในเวลานี้ ทั้งสองก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของท่านราชามังกรมากขึ้น สัมผัสได้ถึงความกลัวที่กำลังกัดกินเข้าไปยังส่วนลึกในจิตใจของพวกเขาขณะเดียวกัน ทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน ก่อนจะเห็นความรู้สึกตกใจและความ
ทั้งสองเดินไปพร้อมกัน ไม่นานพวกเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าของไป๋หยางเนื่องจากอยู่ในโรงพยาบาลเดียวกัน จึงใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็ไปถึงตัวของอีกฝ่ายแล้วเมื่อเห็นว่าพยัคฆ์ทมิฬเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีรีบร้อน ไป๋หยางก็ยิ่งคิดว่าพยัคฆ์ทมิฬกำลังกลัวตนมาก เขาจึงหันไปมองสาวสวยที่กำลังคลอเคลียกับตนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงฮึดฮัดขึ้นมาว่า “ยังถือว่าโชคดีที่แกมาได้เร็ว เพราะไม่อย่างนั้นฉันก็คงต้องให้บทเรียนกับแกสักหน่อย”“ไป๋หยาง แกทำเกินไปแล้วนะ!” ไป๋เถาเดินตรงมาจากด้านหลัง และพูดขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มต่ำเมื่อไป๋หยางสังเกตเห็นไป๋เถา เขาก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาในทันที แต่ไม่นานก็นึกขึ้นได้ แม่ของตนเคยพูดเอาไว้ว่า ตอนนี้ไป๋เถาได้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปแล้ว จากนี้ไปก็ไม่ต้องไปสนใจเขาอีกยิ่งไปกว่านั้น เมื่อก่อนไป๋เถาคนนี้ชอบทำให้เรื่องดี ๆ ของตนต้องพังไม่เป็นท่าอยู่ตลอด แถมตอนนี้ยังกล้ามายั่วโมโหตนอีก เช่นนั้นก็ถือโอกาสคิดบัญชีไปพร้อมกันเลยก็แล้วกันเพราะเหตุนี้ สีหน้าของไป๋หยางจึงเปลี่ยนเป็นเย่อหยิ่งขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดเหน็บแนมออกไปว่า “ฉันกำลังคิดอยู่เลยว่าใครกัน ถึงได้กล้ามาตำหนิว่าฉันทำเกินไป
คนที่ฉันเผลอไปล่วงเกินงั้นเหรอ?จู่ ๆ ไป๋หยางก็นึกถึงเรื่องที่ตนเพิ่งเจอกับเย่เทียนหยู่ขึ้นมาได้ เขามักจะรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีของอีกฝ่ายอยู่เสมอ อีกฝ่ายหมายความว่ายังไงที่บอกว่าตนกำลังจะตายอยู่แท้ ๆ แต่กลับยังไม่รู้ตัว มักจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่ตอลดตอนนี้เหมือนว่าในที่สุดเขาจะเข้าใจทุกอย่างแล้วและในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้วด้วยเช่นกันบนโลกนี้ไม่มียาที่ช่วยรักษาความเสียใจ ทั้งสองมีอคติต่อตัวเขามากขนาดนั้น คงไม่คิดจะฆ่าตนหรอกใช่ไหม เขารู้สึกตกใจอย่างมาก ก่อนจะรีบตะโกนเสียงดังเพื่อขอความช่วยเหลือทันทีแต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ไป๋เถาก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก่อนจะใช้มือจับไปที่คอของไป๋หยางทันทีสีหน้าของไป๋หยางดูซีดเผือด เต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัว พลังของไป๋เถาฟื้นฟูกลับมาได้อย่างไร เขากลายเป็นพวกไร้ประโยชน์ไปแล้วไม่ใช่เหรอ“ทำตัวดี ๆ หน่อย ไม่แน่ว่าฉันอาจจะให้โอกาสรอดกับแกสักครั้งก็ได้ ขืนยังไม่เชื่อฟังล่ะก็ อย่าหวังว่าแกจะรอดพ้นคืนนี้ไปได้เลย” ไป๋เถาพูดอย่างเย็นชาไป๋หยางกลัวจนต้องพยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็วไป๋เถาค่อย ๆ ปล่อยม
ตระกูลเล็ก ๆ อย่างตระกูลหนานกงงั้นเหรอ?นอกจากนี้เขาก็เพิ่งจะตอนหนานกงเล่อแห่งตระกูลหนานกงจนเป็นขันทีไปแล้วด้วยหนานกลเล่อคือใคร นั่นมันคุณชายจากตระกูลหนานกงที่ไป๋หยางคอยประจบเอาใจอยู่ตลอดไม่ใช่รึไงไป๋เถาแทบช็อกไปเลยหมายความว่ายังไงที่บอกว่าตระกูลหนานกงก็แค่ตระกูลเล็ก ๆ ตระกูลหนึ่ง นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดแห่งอาณาจักรมังกรเชียวนะ แถมอนาคตอาจจะได้ขึ้นเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งอาณาจักรมังกรอีด้วยอำนาจที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ นายท่านกลับไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อยถึงขั้นทำให้คุณชายรองแห่งตระกูลหนานกงอย่างหนานกลเล่อเป็นขันทีไปแล้วอีกต่างหาก นี่ถือเป็นความอัปยศอย่างยิ่ง แต่ตระกูลหนานกงก็กลับไม่กล้าทำอะไรนายท่านนี่จะต้องเป็นความอหังการที่ยิ่งใหญ่เพียงใดกัน!จากมุมมองของไป๋เถา นักรบก็ยังคงเป็นนักรบอยู่วันยังค่ำ โลกใบนี้ถูกกำหนดให้ฟังคำสั่งของผู้ที่มีอำนาจ ต่อให้คุณจะเก่งมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็ยังคงมีผู้อารักขาเฟยหลงที่กุมอำนาจเหนือคุณอยู่ดีในสายตาของผู้คนมากมาย เป็นเพราะมีผู้อารักขาเฟยหลงคอยควบคุมเหล่านักรบทั่วโลกอยู่ จึงทำให้นักรบเหล่านั้นไม่กล้าทำอะไรที่เกิ
ในขณะเดียวกันนั้นเอง เขาก็นึกถึงเบอร์โทรศัพท์อีกเบอร์ขึ้นมาได้ ซึ่งคนผู้นั้นก็เป็นคนของคุณชายหนานกงด้วยเช่นกัน เพียงแต่อาจจะไม่ค่อยสนิทกันสักเท่าไหร่ ก่อนที่เขาจะรีบกดเบอร์โทรหาในทันทีถึงอย่างไร ตระกูลหนานกงก็เป็นเพียงที่พึ่งเดียวของเขาในตอนนี้ ต่อให้ต้องล่วงเกิน เขาก็อยากที่จะลองเสี่ยงดวงดูสักครั้งครั้งนี้สายได้มีการเชื่อมต่อแล้วจริง ๆ แต่เมื่ออีกฝ่ายได้ยินว่าไป๋หยางต้องการต่อสายหาหนานกงเล่อ เขาก็กลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า ตอนนี้หนานกงเล่อกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปแล้ว และหายไปจากตระกูลหนานกงแล้วด้วยเมื่อเรื่องเดินมาถึงจุดนี้ ไป๋หยางก็สามารถยืนยันเรื่องทุกอย่างได้ในที่สุดในเวลานี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจ ว่าตนได้เผลอไปล่วงเกินกับการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวเข้าให้แล้วและตอนนั้นเอง เขาก็นึกถึงคำพูดที่อีกฝ่ายพูดเอาไว้ในวันนี้ขึ้นมาได้ ที่บอกว่าเขากำลังจะตายอยู่แล้วแท้ ๆ แต่กลับยังไม่รู้ตัวอีกที่แท้ คนที่ถูกมองว่าเป็นตัวตลกก็คือตัวของเขานี่เองส่วนตระกูลไป๋ ในเมื่อได้ทำการมอบหมายให้ไป๋เถาดูแลต่อแล้ว เย่เทียนหยู่ก็ไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้อีก เขาจึงได้รออยู่ที่บ้าน
“ฮึ ๆ!”“ในห้องทำงานก็ยิ่งดีสิ จะได้เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศไปด้วยเลยไง”เย่เทียนหยู่หัวเราะเบา ๆ เขาเริ่มทำการพลิกตัว แล้วกดหลินหว่านหรูลงบนโต๊ะทำงานทันที ก่อนจะใช้มือขวาลูบไล้ไปยังส่วนนั้นของเธอว้าย!หลินหว่านหรูส่งเสียงครางออกมาเบา ๆ ร่างกายสั่นเทาจนเกือบจะควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ และต่อมาเธอก็ควบคุมร่างกายเอาไว้ไม่อยู่จริง ๆ เธอตกอยู่ในภวังค์โดยสมบูรณ์เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ทันได้สังเกตเลยด้วยซ้ำ ว่าหยางไฉ่อวิ๋นกำลังยืนอยู่ตรงประตูด้วยใบหน้าแดงก่ำ หัวใจเต้นแรงจนแทบกระโดดออกมาเลยทีเดียวนี่...... ประธานหลินชักจะใจกล้าเกินไปแล้วมั้งทำไมถึงได้ชอบทำเรื่องแบบนี้ในห้องทำงานอยู่เรื่อยเลยเนี่ย!แต่คุณเย่เองก็เก่งเหลือเกิน ผ่านมานานขนาดนี้กลับยังไม่เสร็จอีก หากตนได้ติดตามเขาล่ะก็ ตนคงตื่นเต้นจนเป็นลมไปเลยแน่ ๆไม่สิ ไม่ เราจะคิดแบบนั้นไม่ได้แล้วอีกอย่าง เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังพวกเขาด้วย หลัก ๆ ที่มาหาก็เพื่อต้องการให้ประธานหลินเซ็นเอกสารแต่ว่า คุณเย่เองก็หล่อมากจริง ๆ แถมอำนาจก็แข็งแกร่งมากอีกด้วย ทุกครั้งที่ได้พบเขา ก็มักจะทำให้ใจเต้นแรงไม่หยุด รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกหลังจ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป
“ช่างเถอะ เห็นแก่หน้าหว่านหรู ผมเองก็ไม่อยากจะเถียงกับคุณแล้วเหมือนกัน”เย่เทียนหยู่ส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และกำลังจะกดโทรออกแต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของโจวฉิงก็ดังขึ้น เธอก้มลงมองครู่หนึ่ง ก่อนที่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะรีบพูดออกไปว่า “มะ หม่าต้านโทรมาค่ะ”“โอ้ พอดีเลย จะได้ประหยัดค่าโทรศัพท์ด้วย!”เย่เทียนหยู่พูดด้วยท่าทีเรียบเฉย“......”โจวฉิงจึงรีบกดรับสายอย่างช่วยไม่ได้ และเพื่อให้เย่เทียนหยู่ได้ยินเนื้อหาบทสนทนา เธอจึงกดเปิดลำโพงทันทีที่รับสาย พร้อมกับพูดด้วยความสุภาพออกไปว่า “ค่ะ ประธานหม่า!”แต่หม่าต้านกลับไม่สุภาพเลยแม้แต่น้อย เขาส่งเสียงฮึดฮัดออกมา พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ประธานโจว คุณพิจารณาข้อเสนอที่เรามอบให้ไปถึงไหนแล้ว?”โจวฉิงเหลือบมองไปยังเย่เทียนหยู่ ก่อนจะพูดอย่างช่วยไม่ได้ออกไปว่า “ประธานหม่าคะ ข้อเรียกร้องของคุณค่อนข้างที่จะเข้มงวดเกินไป พวกเราไม่สามารถยอมรับได้จริง ๆ ค่ะ”“งั้นเหรอ หมายความว่าพวกคุณไม่ยินยอมสินะ?” หม่าต้านโกรธจัดโจวฉิงหันไปมองเย่เทียนหยู่อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร ในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา แต่ก็ย
เมื่อเห็นว่าโจวฉิงเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดสักเท่าไหร่ หลินหว่านหรูเองก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยออกมาว่า “โจวฉิง แค่เงินไม่กี่หมื่นล้าน สำหรับเทียนหยู่แล้ว มันแทบไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยด้วยซ้ำ!”“เอ่อ......”โจวฉิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย ที่เธอพูดออกมาว่าหลายหมื่นล้านนั้น เดิมทีก็เป็นคำพูดที่เกินจริงอยู่แล้ว แน่นอน เกี่ยวกับการสร้างโรงงาน รวมถึงการซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ เงินที่ต้องเตรียมเอาไว้ให้กับค่าใช้จ่ายจำนวนหมื่นล้านมันจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากเมื่อหลินหว่านหรูเห็นว่าโจวฉิงยังไม่ค่อยเชื่อ เธอจึงหยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะเปิดข้อความให้ดู พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบออกไปว่า “ไม่งั้น คุณก็ลองดูสิ่งนี้ก่อนสิ”โจวฉิงอึ้งไปชั่วขณะ เธอพยายามลองมองอย่างละเอียด ก่อนที่ต่อมาสีหน้าจะเต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจ และถามออกไปด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อขึ้นว่า “ห้าแสนล้านเหรอคะ?” ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยเห็นจำนวนเงินมหาศาลจนน่าตกใจมากขนาดนี้มาก่อน“นี่ เขาเป็นคนให้คุณเหรอคะ?”“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ พอเขาเห็นว่าฉันอยากจะลงทุนกับอุตสาหกรร
โจวฉิงรู้สึกสับสนนิดหน่อย ทำไมจู่ ๆ ถึงได้มาพูดเรื่องการร่วมมือได้ หรือว่าอีกฝ่ายจะสามารถแก้ปัญหาได้จริง ๆ เพียงแต่รอดูว่าตนจะสามารถให้ผลประโยชน์อะไรได้บ้างก็เท่านั้นใช่ จะต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน!เธอจึงรีบพูดออกไปว่า “คุณเย่คะ แล้วคุณคิดว่าเราควรจะร่วมมือกันในรูปแบบไหนถึงจะดีคะ?”“ผมว่าคุณเป็นคนเสนอจะดีกว่านะครับ” เย่เทียนหยู่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบโจวฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงขีดจำกัดที่พ่อเธอมี เธอจึงพูดออกไปว่า “หากเป็นไปได้ พวกเราก็หวังว่าจะได้รับเงินลงทุนประมาณสองพันห้าร้อยล้านค่ะ จากนั้นหุ้นให้พวกคุณถือหุ้นหกสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ว่า การบริหารและการดำเนินงานต่าง ๆ ให้อยู่ในความรับผิดชอบของพวกเราค่ะ”ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างพิเศษเช่นนี้ อันที่จริงเธอเองก็ไม่กล้าที่จะหวังอะไรมากเหมือนกัน“สองพันห้าร้อนล้านมันน้อยเกินไป ทำให้น้ำกระเซ็นยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”“งั้นเอาอย่างนี้นะ พวกเราจะมอบเงินลงทุนให้คุณหนึ่งหมื่นล้าน แลกกับหุ้นแปดสิบเปอร์เซ็นต์! และต้องให้หลินหว่านหรูเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการบริหารด้วย คุณคิดว่าแบบนี้เป็นไงบ้าง?”หนึ่งหมื่นล้านงั้นเหรอ?โจวฉิงรู้สึกตกใจ นี
โจวฉิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย นี่หลินหว่านหรูกำลังจะไปถามใครกันอย่างไรก็ตาม เธอเองก็ไม่ได้ถามอะไรมากนัก ทำได้เพียงรีบเดินตามไปเท่านั้น แม้เรื่องนี้จะเร่งด่วนมากก็ตาม แถมอีกฝ่ายยังกำหนดเวลาให้ถึงแค่ภายในวันนี้อีกต่างหาก ตำแหน่งที่เย่เทียนหยู่ทานข้าวก็อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลมากนัก ใช้เวลาเดินเพียงสามนาทีเท่านั้น ไม่นานทั้งสองก็เดินมาถึงด้านหน้าของห้องอาหารสุดหรูกันแล้วเห็นได้ชัดว่าราคาจะต้องแพงหูฉีกแน่นอน คนธรรมดาไม่มีทางมาทานข้าวในที่แบบนี้ได้ บรรยากาศด้านในเองก็ดีมากเช่นกัน ทั้งสะอาดเรียบร้อยทั้งสะดวกสบายตามห้องอาหารส่วนตัวที่เย่เทียนหยู่บอกเอาไว้ หลินหว่านหรูจึงได้เดินเข้าไปในทันทีโจวฉิงเองก็เดินตามหลังไปติด ๆ ทันทีที่เดินเข้าไป เธอก็เห็นชายหนุ่มอายุราว ๆ ยี่สิบกว่า ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ด้านในรูปลักษณ์ของเขานั้น ทั้งหล่อและมีเสน่ห์อย่างมาก รูปร่างเองก็ได้มาตรฐาน แค่มองแวบแรก ก็รู้ได้เลยว่าเขาจะต้องเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าสาว ๆ อย่างแน่นอนเขาคือใครกัน อย่าบอกนะว่าเขาคือแฟนของหลินหว่านหรู หลินหว่านหรูช่างตาดีเสียจริง แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถมากแค่ไหน คงไม่ได้เป็นแค่ผู้ชาย