ไม่จำเป็นจะต้องเปิดโอกาสให้เธอหัวเราะเยาะเขาไปมากกว่านี้แต่ในเวลานี้ ฟู่เซียวหานยังคงควบคุมมันไม่ได้หลังจากสบตาเขาสักพัก ซังหนี่ก็ตอบว่า “เรื่องการแต่งงานเราได้ตัดสินใจกันไปเรียบร้อยในเมื่อสองวันก่อนหน้านี้ค่ะ”“สำหรับเมื่อกี้…ประธานฟู่ที่มีประสบการณ์และความรู้กว้างขวางถึงเพียงนี้ หรือว่าคุณจะไม่รู้ว่าบนโลกนี้มีคำศัพท์อย่างคำว่าทำรักครั้งสุดท้ายเพื่อสิ้นสุดความสัมพันธ์งั้นหรือคะ? อีกอย่างไม่ว่าจะควรพูดหรือไม่ แต่ในช่วงที่ผ่านมานี้คุณได้ช่วยเหลือฉันไว้เยอะมากจริง ๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสมควรที่ฉันจะตอบแทนคุณเพียงเพื่อให้คุณมีความสุขขึ้นมาบ้าง”ซังหนี่อธิบายเปี่ยมด้วยความจริงจังและจริงใจฟู่เซียวหานมองเธอพร้อมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ดังนั้นเมื่อกี้คุณ…ก็แค่อยากให้ผมมีความสุข?”“ใช่สิคะ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้วคุณคิดว่าอะไรล่ะ?”มือของฟู่เซียวหานที่จับเธอไว้ปล่อยออกแทบจะในทันที แม้แต่ดวงตาที่จับจ้องมาราวกับจะฉีกเธอเป็นชิ้น ๆ เมื่อกี้นี้เองก็ลดสายตาลงเช่นกันสภาพเช่นนั้น ราวกับเขาอ่อนแรงไปอย่างกะทันหันอย่างไรอย่างนั้นเดิมทีซังหนี่คิดว่าเขายอมรับเรื่องนี้ได้แล้ว แต่วินาทีถัดมา ฟู่เ
“คุณหมายความว่าอะไร?”ฟู่เซียวหานถามเสียงต่ำซังหนี่ดึงเค้กก้อนนั้นกลับมาอีกครั้ง ในมือถือส้อมไว้แต่ไม่ได้ขยับ เธอเพียงเอ่ยถามเสียงเบาว่า “ปัญหาของทางจื้อเหอกรุ๊ปคุณจัดการแล้วหรือคะ?”ฟู่เซียวหานคาดไม่ถึงว่าจู่ ๆ เธอจะถามถึงเรื่องนี้ก่อนที่จะคิดได้ว่าควรตอบไปอย่างไร ซังหนี่ก็กล่าวเสริมขึ้นมา “วิกฤตการณ์ทางธุรกิจของจื้อเหอกรุ๊ปในปีที่แล้ว จริง ๆ แล้วเป็นเพียงระเบิดควันที่คุณวางไว้ใช่ไหมคะ?”“ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกฉันว่าจื้อเหอกรุ๊ปก่อตั้งมานานหลายสิบปี ซึ่งนั่นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นที่รู้จักกันดีทั่วประเทศ มีทั้งชื่อเสียงทั้งรากฐานที่ยึดแน่น”“ข้อเสียคือในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ความกระตือรือร้นของพนักงานมากหน้าหลายตาล้วนถูกขัดเกลาจนแทบไม่หลงเหลือความรู้สึกนั้นอยู่ โดยเฉพาะเหล่าญาติสนิทมิตรสหายของผู้ถือหุ้นหลายราย แต่คุณรู้อยู่แก่ใจถึงการกระทำที่ไม่เอาการเอางานของพวกเขาดี ทว่ากลับไม่สามารถกำจัดทั้งหมดออกไปได้ เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นผู้ถือหุ้นเก่าแก่ที่ร่วมทำงานหนักตรากตรำกันมากับคุณพ่อของคุณ หรือแม้แต่กับคุณปู่คุณด้วยซ้ำ หากคุณจะลงมือ มันก็คง
เขาก็อาจมีความรู้สึกต่อเธออย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่รีบร้อนขนาดนั้นเวลาที่เธอมีเรื่องแต่ความรู้สึกนี้มีอยู่เท่าไหร่กันนะ?เป็นสิ่งที่ต่อท้ายจากผลประโยชน์ของเขา เป็นสิ่งที่หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น เขาก็พร้อมจะใช้เธอเป็นไพ่ที่สามารถนำมาใช้งานได้อย่างไม่ลังเลและการเหนี่ยวรั้งเธอไว้ตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่ตรงตามจังหวะขั้นตอนเพราะอย่างไรเสียเรื่องของจื้อเหอกรุ๊ปก็ได้รับการแก้ไขแล้ว เขาได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการมาแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงหันมองย้อนกลับมานึกถึงไพ่ที่เขาทิ้งไปด้วยตัวเองตั้งแต่แรก?ถึงตอนนี้เขาจะเหนี่ยวรั้งไว้แล้วอย่างไร?ท้ายที่สุดก็โดนเขา…ทิ้งไปอยู่ดีซังหนี่ไม่คิดกล่าวโทษเขาเพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นนักธุรกิจคนหนึ่งอีกอย่างเธอรู้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา คนอื่น ๆ ต่างเห็นความรุ่งโรจน์ของเขา ทว่าจริง ๆ แล้วการจะมาถึงจุดนี้นั้นช่างแสนลำบาก ตอนนั้นคุณพ่อของเขาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน เขาเองก็ยังอายุน้อยอยู่มาก ลับหลังล้วนมีแต่คนจับจ้องผลประโยชน์ตาเป็นมันดังนั้นการที่เขาจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์มาเป็นอันดับแรกจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ซังหนี่เกลียดภาพที่เขาแสดงออกมาว่
ทันทีที่คำพูดนี้ของฟู่เซียวหานหลุดออกจากปาก ซังหนี่พลันตกตะลึงจากนั้นเธอก็หัวเราะออกมา “จริงหรือคะ? แล้วนับว่าคุณชนะหรือเปล่า?”ฟู่เซียวหานไม่ตอบคำถามของเธอ ราวกับรู้สึกว่าคำถามนี้ไม่มีความจำเป็นต้องตอบเขาจึงเดินถือสัมภาระออกไปทั้งอย่างนั้นเสียงปิดประตูไม่ดังไม่เบา ไม่เจือไปด้วยอารมณ์ใด ๆ ซังหนี่เองก็ไม่ได้เหลือบมองไปฝั่งนั้นเลยด้วยซ้ำกล่าวตามตรง เดิมทีเธอไม่คิดจะพูดถ้อยคำเมื่อกี้ไปสักนิดเพราะมัน…ไม่มีความหมายอะไรอย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็จบลงแล้ว การที่จะไปขุดคุ้ยอารมณ์จากเรื่องราวในอดีตขึ้นมาอีกครั้งช่างเป็นเรื่องที่ไม่มีความจำเป็นมันก็เหมือนกับผลไม้เน่าเสียที่แค่ต้องโยนทิ้งลงถังขยะไปก็เท่านั้น ทำไมต้องปอกเปลือกออกทีละชั้นเพื่อหาว่าตรงไหนกันที่เน่าเป็นจุดแรก?ท้ายที่สุดแล้ว บนมือก็หลงเหลือเพียงแกนกลางผลไม้ที่เน่าเปื่อยถึงจะยอมรับได้ในที่สุดว่า ——มันผิดมาตั้งแต่แรกแต่ซังหนี่เองที่อดใจไม่ไหวคำถามต่าง ๆ วนเวียนอยู่ในสมองของเธอ นับตั้งแต่เจิ้งชวนบอกกล่าวให้เธอฟังเกี่ยวกับเรื่องของจื้อเหอกรุ๊ป นับตั้งแต่เธอรู้เรื่องว่าคุณนายฟู่ได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้วไม
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง ความอบอุ่นภายในห้องถึงได้จบสิ้นลงจริง ๆ สักทีมีเสียงน้ำดังลอยมาจากในห้องอาบน้ำ หลังจากที่ซังหนี่พักอยู่ไม่กี่นาที ในที่สุดก็ลุกขึ้นจากเตียงนอน เดินไปหยิบเสื้อผ้าบนพื้นด้วยสองขาที่สั่นระริกวันนี้การกระทำของชายหนุ่มรุนแรงไปหน่อย ถึงขนาดที่ตอนนี้ในหัวสมองของเธอยังคงว่างเปล่าอยู่เล็กน้อย ติดกระดุมชุดนอนอยู่หลายครั้งก็ยังติดไม่ได้ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องอาบน้ำรูปร่างของเขาสูงชะลูด เครื่องหน้าดุดันแต่หล่อเหลา ในเวลานี้เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ จึงมีผ้าขนหนูพผืนหนึ่งพันอยู่รอบเอว หยดน้ำที่ยังไม่แห้งกำลังไหลลงมาตามกล้ามหน้าท้องของเขาตอนที่พบว่าซังหนี่ยังอยู่ หว่างคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยทันทีซังหนี่เองก็ไม่ได้มองเขาอีก เพียงก้มหน้าพยายามสู้รบกับกระดุมของตนต่อไป“พรุ่งนี้ซังฉิงก็จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว”ชายหนุ่มเดินผ่านข้างตัวเธอไป จู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่า “คุณไปรับเธอที่โรงพยาบาลหน่อย ผมรับปากคุณแม่ของคุณเอาไว้แล้วว่า จะให้เธอพักอยู่ที่นี่สักระยะ”มือที่กำลังติดกระดุมของซังหนี่หยุดชะงักลงทันทีหลังจากนั้น เธอก็หันหน้ากลับไปมองคนที่อยู่ด้านหลังนั่น
ผู้พูดคือหยวนโหรวเพื่อนสนิทของซังฉิง ซึ่งเป็นคุณหนูของกลุ่มบริษัทหนึ่งด้วยเช่นกันหยวนโหรวกับซังฉิงเติบโตมาด้วยกัน ก่อนหน้านี้ก็หวังว่าฟู่เซียวหานกับซังฉิงจะลงเอยกันด้วยดีตอนนี้ถูกซังหนี่แย่งตำแหน่งคุณนายฟู่ไปครองแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่เธอย่อมไม่ชอบขี้หน้าซังหนี่รวมถึงตอนที่เธอพบว่าซังหนี่ยืนอยู่ที่หน้าประตู บนใบหน้าของเธอไม่มีความอึดอัดหรือไม่สบายใจใด ๆ เลยกลับเป็นซังฉิงที่ร้องเรียกเธอ “พี่ พี่มาแล้วเหรอ?”ซังหนี่พยักหน้า “พี่มารับเธอกลับบ้าน เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”“เรียบร้อยแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”ท่าทางของซังฉิงดูเชื่อฟังมาก กลับเป็นหยวนโหรวที่อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “คุณนายฟู่ แล้วประธานฟู่ล่ะ? วันนี้ฉิงฉิงออกจากโรงพยาบาล เขาไม่มารับเหรอ?”“อืม เขาไปที่บริษัทแล้ว”“อ่อ ดูท่าเขาคงยุ่งมากสินะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขายุ่งจริง ๆ จนปลีกตัวมาไม่ได้ หรือว่าคุณนายฟู่ไม่ให้เขามากันแน่?”เมื่อเธอพูดจบ ซังฉิงก็รีบพูดเสียงเบา “หยวนโหรว เธอเลิกพูดได้แล้ว”หยวนโหรวกลับกล่าวเสียงเย็นชา “ทำไมจะพูดไม่ได้? มีใครบางคนร้อนตัวเหรอไง?”ซังหนี่ไม่ได้โต้เถียงเธอ เพียงแต่เลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มือถ
เวลาหนึ่งทุ่ม ฟู่เซียวหานกลับมาถึงคฤหาสน์ตรงเวลาตอนนั้นซังฉิงอยู่ที่ห้องรับแขกพอดี หลังจากเห็นเขา ก็รีบก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว “พี่เขย! พี่กลับมาแล้วเหรอคะ?” ฟู่เซียวหานยิ้มบาง ๆ ให้เธอทีหนึ่ง แล้วเหลือบตามองหลังซังหนี่เม้มปากทีหนึ่ง ก็ก้าวมาข้างหน้าเพื่อรับเสื้อคลุมของเขา แล้วเอ่ยปากพูด “ทานข้าวได้แล้วค่ะ”“ขอโทษด้วยนะคะพี่เขย ฉันรบกวนพี่กับพี่สาวแล้วใช่ไหมคะ?บนโต๊ะอาหาร ซังฉิงมองซังหนี่ แล้วพูดเสียงเบา “ที่จริงฉันเคยบอกหม่ามี๊แล้วว่า ฉันอยู่คนเดียวได้ แต่เธอก็ไม่วางใจ...”“ไม่เป็นไร” ฟู่เซียวหานตอบ “เธออยู่ที่นี่ได้ตามสบาย ต้องการอะไรก็บอกมาได้ตลอด”“แบบนี้...ได้เหรอคะ? จะเป็นการรบกวนมากเกินไปไหมคะ?”“ไม่หรอก”“คุณหนูซังฉิงอยู่ที่นี่สิคะถึงจะดี” ป้าคังวางอาหารลงบนโต๊ะพลางพูด “ที่นี่ไม่ได้คึกคักขนาดนี้มานานแล้วค่ะ!”เมื่อเธอพูดจบ ตะเกียบในมือของซังหนี่ก็หยุดชะงักไปทันทีแต่ว่าคำพูดประโยคนี้ของป้าคังไม่ผิดเธอมีนิสัยเงียบขรึม สู้ซังฉิงที่มักจะทำให้ผู้คนมีความสุขไม่ได้จริง ๆ ไม่เพียงแค่พวกป้าคังเท่านั้น แม้แต่ฟู่เซียวหาน เธอก็เคยได้ยินเขาพูดแบบนี้มาหลายครั้งแล้วเช่นกัน
ร่างกายของซังหนี่แข็งทื่อไปเธอเบิกตากว้างทันที มือออกแรงผลักเขาออกแต่ฟู่เซียวหานกลับทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลย เพียงพลิกมือแล้วจับข้อมือของเธอเอาไว้ กดตัวเธอเข้ากับกำแพงการกระทำของเขายังคงแข็งแกร่งเหมือนเคยซังหนี่อยากจะคราง แต่เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เธอพยายามกลืนเสียงกลับเข้าไปอีกครั้งเสียงน้ำจากฝักบัวยังคงดำเนินต่อไปประกอบกับมีประตูกั้นเอาไว้ ซังฉิงที่อยู่ด้านนอกเหมือนว่าจะไม่สังเกตเห็นอะไรเธอถามขึ้นอีก “พี่เขย?”ซังหนี่หันหน้ากลับไปมองฟู่เซียวหานไม่รู้ว่าเป็นเพราะโมโหหรือเพราะเหตุผลอื่น สีหน้าของเธอในเวลานี้แดงระเรื่อ ดวงตาทั้งสองข้างจ้องเขม็งเมื่อเทียบกับท่าทางที่เงียบขรึมในเวลาปกติ ไม่รู้ว่าดูมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นกี่เท่าฟู่เซียวหานจ้องมอง การกระทำก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับกำลังระบายบางอย่างออกมาร่างกายที่สมบูรณ์แบบ ส่งซังหนี่ขึ้นสวรรค์ได้อย่างง่ายดายซังฉิงที่อยู่ด้านนอกเหมือนกำลังพูดอะไรบางอย่างอยู่ แต่ซังหนี่ฟังไม่ชัดเจนเลยแม้แต่ประโยคเดียวตอนที่ฟู่เซียวหานกดเธอลงไปอีกครั้ง สุดท้ายเธอก็ครางออกมาอย่างอดไม่อยู่แล้วจากนั้น คนที่อยู
ทันทีที่คำพูดนี้ของฟู่เซียวหานหลุดออกจากปาก ซังหนี่พลันตกตะลึงจากนั้นเธอก็หัวเราะออกมา “จริงหรือคะ? แล้วนับว่าคุณชนะหรือเปล่า?”ฟู่เซียวหานไม่ตอบคำถามของเธอ ราวกับรู้สึกว่าคำถามนี้ไม่มีความจำเป็นต้องตอบเขาจึงเดินถือสัมภาระออกไปทั้งอย่างนั้นเสียงปิดประตูไม่ดังไม่เบา ไม่เจือไปด้วยอารมณ์ใด ๆ ซังหนี่เองก็ไม่ได้เหลือบมองไปฝั่งนั้นเลยด้วยซ้ำกล่าวตามตรง เดิมทีเธอไม่คิดจะพูดถ้อยคำเมื่อกี้ไปสักนิดเพราะมัน…ไม่มีความหมายอะไรอย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็จบลงแล้ว การที่จะไปขุดคุ้ยอารมณ์จากเรื่องราวในอดีตขึ้นมาอีกครั้งช่างเป็นเรื่องที่ไม่มีความจำเป็นมันก็เหมือนกับผลไม้เน่าเสียที่แค่ต้องโยนทิ้งลงถังขยะไปก็เท่านั้น ทำไมต้องปอกเปลือกออกทีละชั้นเพื่อหาว่าตรงไหนกันที่เน่าเป็นจุดแรก?ท้ายที่สุดแล้ว บนมือก็หลงเหลือเพียงแกนกลางผลไม้ที่เน่าเปื่อยถึงจะยอมรับได้ในที่สุดว่า ——มันผิดมาตั้งแต่แรกแต่ซังหนี่เองที่อดใจไม่ไหวคำถามต่าง ๆ วนเวียนอยู่ในสมองของเธอ นับตั้งแต่เจิ้งชวนบอกกล่าวให้เธอฟังเกี่ยวกับเรื่องของจื้อเหอกรุ๊ป นับตั้งแต่เธอรู้เรื่องว่าคุณนายฟู่ได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้วไม
เขาก็อาจมีความรู้สึกต่อเธออย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่รีบร้อนขนาดนั้นเวลาที่เธอมีเรื่องแต่ความรู้สึกนี้มีอยู่เท่าไหร่กันนะ?เป็นสิ่งที่ต่อท้ายจากผลประโยชน์ของเขา เป็นสิ่งที่หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น เขาก็พร้อมจะใช้เธอเป็นไพ่ที่สามารถนำมาใช้งานได้อย่างไม่ลังเลและการเหนี่ยวรั้งเธอไว้ตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่ตรงตามจังหวะขั้นตอนเพราะอย่างไรเสียเรื่องของจื้อเหอกรุ๊ปก็ได้รับการแก้ไขแล้ว เขาได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการมาแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงหันมองย้อนกลับมานึกถึงไพ่ที่เขาทิ้งไปด้วยตัวเองตั้งแต่แรก?ถึงตอนนี้เขาจะเหนี่ยวรั้งไว้แล้วอย่างไร?ท้ายที่สุดก็โดนเขา…ทิ้งไปอยู่ดีซังหนี่ไม่คิดกล่าวโทษเขาเพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นนักธุรกิจคนหนึ่งอีกอย่างเธอรู้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา คนอื่น ๆ ต่างเห็นความรุ่งโรจน์ของเขา ทว่าจริง ๆ แล้วการจะมาถึงจุดนี้นั้นช่างแสนลำบาก ตอนนั้นคุณพ่อของเขาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน เขาเองก็ยังอายุน้อยอยู่มาก ลับหลังล้วนมีแต่คนจับจ้องผลประโยชน์ตาเป็นมันดังนั้นการที่เขาจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์มาเป็นอันดับแรกจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ซังหนี่เกลียดภาพที่เขาแสดงออกมาว่
“คุณหมายความว่าอะไร?”ฟู่เซียวหานถามเสียงต่ำซังหนี่ดึงเค้กก้อนนั้นกลับมาอีกครั้ง ในมือถือส้อมไว้แต่ไม่ได้ขยับ เธอเพียงเอ่ยถามเสียงเบาว่า “ปัญหาของทางจื้อเหอกรุ๊ปคุณจัดการแล้วหรือคะ?”ฟู่เซียวหานคาดไม่ถึงว่าจู่ ๆ เธอจะถามถึงเรื่องนี้ก่อนที่จะคิดได้ว่าควรตอบไปอย่างไร ซังหนี่ก็กล่าวเสริมขึ้นมา “วิกฤตการณ์ทางธุรกิจของจื้อเหอกรุ๊ปในปีที่แล้ว จริง ๆ แล้วเป็นเพียงระเบิดควันที่คุณวางไว้ใช่ไหมคะ?”“ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกฉันว่าจื้อเหอกรุ๊ปก่อตั้งมานานหลายสิบปี ซึ่งนั่นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นที่รู้จักกันดีทั่วประเทศ มีทั้งชื่อเสียงทั้งรากฐานที่ยึดแน่น”“ข้อเสียคือในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ความกระตือรือร้นของพนักงานมากหน้าหลายตาล้วนถูกขัดเกลาจนแทบไม่หลงเหลือความรู้สึกนั้นอยู่ โดยเฉพาะเหล่าญาติสนิทมิตรสหายของผู้ถือหุ้นหลายราย แต่คุณรู้อยู่แก่ใจถึงการกระทำที่ไม่เอาการเอางานของพวกเขาดี ทว่ากลับไม่สามารถกำจัดทั้งหมดออกไปได้ เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นผู้ถือหุ้นเก่าแก่ที่ร่วมทำงานหนักตรากตรำกันมากับคุณพ่อของคุณ หรือแม้แต่กับคุณปู่คุณด้วยซ้ำ หากคุณจะลงมือ มันก็คง
ไม่จำเป็นจะต้องเปิดโอกาสให้เธอหัวเราะเยาะเขาไปมากกว่านี้แต่ในเวลานี้ ฟู่เซียวหานยังคงควบคุมมันไม่ได้หลังจากสบตาเขาสักพัก ซังหนี่ก็ตอบว่า “เรื่องการแต่งงานเราได้ตัดสินใจกันไปเรียบร้อยในเมื่อสองวันก่อนหน้านี้ค่ะ”“สำหรับเมื่อกี้…ประธานฟู่ที่มีประสบการณ์และความรู้กว้างขวางถึงเพียงนี้ หรือว่าคุณจะไม่รู้ว่าบนโลกนี้มีคำศัพท์อย่างคำว่าทำรักครั้งสุดท้ายเพื่อสิ้นสุดความสัมพันธ์งั้นหรือคะ? อีกอย่างไม่ว่าจะควรพูดหรือไม่ แต่ในช่วงที่ผ่านมานี้คุณได้ช่วยเหลือฉันไว้เยอะมากจริง ๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสมควรที่ฉันจะตอบแทนคุณเพียงเพื่อให้คุณมีความสุขขึ้นมาบ้าง”ซังหนี่อธิบายเปี่ยมด้วยความจริงจังและจริงใจฟู่เซียวหานมองเธอพร้อมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ดังนั้นเมื่อกี้คุณ…ก็แค่อยากให้ผมมีความสุข?”“ใช่สิคะ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้วคุณคิดว่าอะไรล่ะ?”มือของฟู่เซียวหานที่จับเธอไว้ปล่อยออกแทบจะในทันที แม้แต่ดวงตาที่จับจ้องมาราวกับจะฉีกเธอเป็นชิ้น ๆ เมื่อกี้นี้เองก็ลดสายตาลงเช่นกันสภาพเช่นนั้น ราวกับเขาอ่อนแรงไปอย่างกะทันหันอย่างไรอย่างนั้นเดิมทีซังหนี่คิดว่าเขายอมรับเรื่องนี้ได้แล้ว แต่วินาทีถัดมา ฟู่เ
ฟู่เซียวหานไม่อยากจะเชื่อเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน พวกเขาสองคนยังแนบชิดกันอยู่เลย แต่ตอนนี้ ซังหนี่กลับพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งว่าให้เขาออกฟู่เซียวหานนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะหัวเราะออกมา “คุณล้อผมเล่นใช่ไหม? ซังหนี่ คุณ……”“คุณกับโจวหลินทำข้อตกลงอะไรกัน?”ฟู่เซียวหานเดิมทีถอดถุงมือออกแล้วกำลังจะไปกอดเธอ แต่ซังหนี่กลับหลบเลี่ยงการกระทำของเขา แล้วถามเขาต่อสีหน้าจริงจังนั้น ทำให้มือของฟู่เซียวหานชะงักค้างกลางอากาศ สุดท้าย ก็ต้องค่อยๆ เก็บกลับไปแม้จะไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เธอพูดกับตัวเองตอนนี้ แต่ฟู่เซียวหานก็ตอบกลับไปว่า “เขามีปัญหาบางอย่างเรื่องการเงินที่ต่างประเทศ และผมเป็นคนช่วยจัดการให้เขา”“อืม ไม่น่าล่ะ”ซังหนี่พยักหน้าฟู่เซียวหานขมวดคิ้ว “ทำไมเหรอ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”“เปล่าค่ะ ตรงกันข้าม เพราะคุณช่วยเอาไว้ โครงการของเราถึงดำเนินไปอย่างราบรื่น เงินทุนก็ถูกโอนเข้ามาวันนี้แล้ว ไม่อย่างนั้น อาจต้องรอเป็นเดือนกว่าจะได้ข้อสรุป”ฟู่เซียวหานฟังแล้วกลับยิ่งไม่เข้าใจในเมื่อทุกอย่างราบรื่น แล้วทำไม…ราวกับรู้ว่าเขากำลังสงสัยอะไร ซังหนี่จึงพูดขึ้นทันทีว่า “เพราะฉะนั้นฟู่เ
ฟู่เซียวหานยังคงกังวลเกี่ยวรอยแดงบนผิวของซังหนี่ เมื่อตอนนี้อารมณ์ของทั้งคู่เริ่มเย็นลง เขากำลังจะปล่อยเธอไป แต่จู่ๆ ซังหนี่กลับคว้าตัวเขาไว้ “ฟู่เซียวหาน”จากนั้น เธอก็โน้มริมฝีปากไปกระซิบข้างหูเขา เบาๆ สองคำถ้อยคำที่ตรงไปตรงมาและเร่าร้อนทำให้ร่างกายของฟู่เซียวหานตึงเครียดขึ้นมาทันที และจ้องมองเธอด้วยสายตาเคร่งขรึมซังหนี่ยิ้มให้เขา ปลายนิ้วของเธอยังถือเนคไทที่เพิ่งถอดออกจากตัวเขา เวลานี้ผืนผ้านุ่มนั้นกำลังลื่นไหลผ่านปลายนิ้วของเธอจากนั้น เธอก็ขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง และแตะปลายลิ้นลงบนริมฝีปากของเขาเบา ๆเศษเสี้ยวของสติที่เหลืออยู่อันน้อยนิดในหัวของฟู่เซียวหานขาดสะบั้นลงในทันที!เขาไม่ลังเลอีกต่อไป จากนั้นจับท้ายทอยของซังหนี่ไว้แน่น แล้วจูบเธอลงไปอย่างเร่าร้อนในตอนนี้ พวกเขาราวกับปลาสองตัวที่ถูกซัดขึ้นฝั่ง เพราะกำลังขาดออกซิเจน จึงมีเพียงกันและกันเท่านั้นที่จะทำให้มีชีวิตรอด พวกเขาพัวพันกันแน่นหนาราวกับไม่อาจแยกจาก ราวกับได้พบเจออีกครึ่งหนึ่งของชีวิตที่ตัวเองตามหากลัวจะสูญเสียไปอีกครั้ง กลัวจะพลาดจากกันไปอีก จึงทำได้เพียงกอดกันไว้แน่นอยู่อย่างนั้นเมื่อทุกอย่างจบลง ซังหนี่
ก็เหมือนกับที่เจิ้งชวนพูดไว้ การตรวจสอบที่โจวหลิงพูดถึง จริงๆ แล้วก็แค่พูดเป็นพิธีเท่านั้นใช้เวลาไม่ถึงห้าวันทำการ เงินทุนที่ซังหนี่ต้องการก็ได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้วแต่การได้เงินมาเป็นเพียงแค่ก้าวแรก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ซังหนี่จึงต้องไปตรวจสอบไซต์ก่อสร้างด้วยตัวเองในวันนี้ตอนนี้เมืองอิ๋นเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการแล้ว ซังหนี่สวมหมวกนิรภัย และในเมื่อเธอไปตรวจงาน ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมาแสร้งถือร่ม ดังนั้นตลอดทั้งวัน แขนและคอของเธอจึงโดนแดดจนแดงไปหมดระหว่างทางกลับบ้าน เธอจึงแวะซื้อยามาด้วยพอกลับถึงบ้านและกำลังเตรียมจะทายา ฟู่เซียวหานก็กลับมาพอดีคืนนี้เขามีงานเลี้ยง แต่ดูเหมือนจะแอบหนีกลับออกมาก่อน เวลานี้มือของเขายังหิ้วถุงอาหารที่ห่อกลับมาฝากซังหนี่ และที่สะดุดตาที่สุดคือเค้กชิ้นเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆซังหนี่ชะงักไปเล็กน้อยขณะนั้นเองฟู่เซียวหานก็เพิ่งสังเกตเห็นแขนของเธอ “เป็นอะไร?”“ไม่มีอะไรค่ะ แค่โดนแดดเผา”ซังหนี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ พอดีกับที่เธอทายาตรงต้นคอด้านหลังเองไม่ได้ เธอจึงยื่นหลอดยาให้เขา ให้เขาช่วยทาแทนฟู่เซียวหานรับยาไปทันที แต่เมื่อเห็นสภา
เมื่อเทียบกับเมื่อคืนนี้ ท่าทีของโจวหลินในวันนี้กลับดีขึ้นไม่น้อยหลังจากสอบถามไปสองสามคำ เขาก็บอกว่าจะรีบพิจารณา และจะให้คำตอบกับซังหนี่ภายในหนึ่งสัปดาห์ความเร็วระดับนี้ในแวดวงธุรกิจถือว่าเร็วมากแล้ว ซังหนี่เดาว่าฟู่เซียวหานคงทำอะไรบางอย่างแน่ แต่เธอก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้กับใคร เพียงแค่ยิ้มแล้วบอกว่าครั้งหน้าจะเลี้ยงข้าวโจวหลินโจวหลินหัวเราะพลางตอบรับขณะออกจากตึก แม้แต่เจิ้งชวนยังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นว่า “ผู้จัดการธนาคารโจวคนนี้ดูเหมือนจะพูดง่ายกว่าที่ข่าวลือกันเยอะเลยนะ อีกอย่างคำพูดของเขาก็ดูจะเป็นเพียงมารยาทเท่านั้น เขาเป็นถึงผู้จัดการธนาคาร โครงการจะผ่านหรือไม่ขึ้นอยู่กับเขาพูดคำเดียวไม่ใช่เหรอ?”“แต่กระบวนการก็ยังต้องดำเนินไปตามขั้นตอนอยู่ดี”ตอนนั้นซังหนี่ กำลังดูข่าวในโทรศัพท์ เลยตอบกลับเจิ้งชวนไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนักจนกระทั่งพูดจบ เธอถึงได้รู้ว่าตอนนี้บรรยากาศในรถเงียบสงัดซังหนี่เงยหน้าขึ้นมาด้วยความสงสัย แต่กลับพบว่าเจิ้งชวนกำลังมองเธออยู่ “ประธานเสี่ยวซัง ทำไมคุณถึงดูมั่นใจขนาดนี้ล่ะ? ก่อนหน้านี้คุณบอกเองว่านี่เป็นงานหิน ไม่รู้ควรจะจัดการยังไงไม่ใช่เหรอ?”“หรือว่าเ
ซังหนี่เอนศีรษะพิงโซฟาไฟในห้องนั่งเล่นยังเปิดอยู่ เวลานี้แสงสีขาวสว่างนั้นจ้าจนแสบตา ทำให้น้ำตาไหลออกมาจากหางตาของเธอโดยไม่รู้ตัว จากนั้นมือกำแน่น แต่กลับไม่รู้ว่าจะคว้าอะไร สุดท้าย ทำได้เพียงลดมือลง และจับเส้นผมของฟู่เซียวหานไว้อย่างไม่มีทางเลือกสูญเสียการควบคุมในทันทีแต่ซังหนี่ยังไม่ลืมเรื่องสำคัญ เมื่อฟู่เซียวหานลุกขึ้นและอุ้มเธอไว้ ซังหนี่ดึงสติกลับมา และเขาว่า“คุณคิดจะช่วยฉันยังไง?”ฟู่เซียวหานไม่ตอบ แต่ฝีเท้ากลับไม่หยุดซังหนี่เริ่มร้อนใจ มือกำคอเสื้อของเขาแน่น “ฟู่เซียวหาน คุณกำลังหลอกฉันอยู่รึเปล่า?”ฟู่เซียวหานโยนเธอลงบนเตียงในห้องนอน และโน้มตัวกดไว้ข้างบน “ซังหนี่ คุณใจร้อนเกินไปหรือเปล่า?”“บอกให้คุณเอาใจฉันเพื่อข้อแลกเปลี่ยน แต่ตอนนี้เธอยังไม่ทำอะไรก็หวังจะได้ผลประโยชน์แล้วงั้นเหรอ?”น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยคำเตือนแต่ตอนนี้ซังหนี่กลับไม่กลัวเขาเลยสักนิด เพียงจ้องตาเขม็ง “ถ้าคุณเกิดเปลี่ยนใจทำไม่รู้จักฉันขึ้นมาล่ะ? ถ้าแบบนั้นจะทำยังไง?”“ก็คิดซะว่าคุณโชคร้ายไง”“คุณ...”ซังหนี่ยังพูดไม่จบ ฟู่เซียวหานก็โน้มตัวลงมาจูบริมฝีปากของเธอพอคิดถึงสิ่งที่เขาเพิ่งทำไป