ซังหนี่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่ที่นั่นเธอคลุมเสื้อโค้ตของเย่จื่อหลาน และถือแก้วชาร้อนที่คนตรงข้ามเพิ่งรินให้เธอแต่ถึงอย่างนั้น ร่างกายของเธอก็ยังสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้เย่จื่อหลานก็โดนทำร้ายไม่น้อยฝ่ายตรงข้ามมีคนมาก ตอนเริ่มต้นเขาได้เปรียบ แต่เมื่อคนของฝ่ายนั้นล้อมเข้ามา เขาก็เสียเปรียบทันทีซังหนี่อยากจะเดินขึ้นไปข้างหน้า แต่เขาก็ขวางเธอไว้ให้อยู่ข้างหลังถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่ของศูนย์เกมเข้ามาระงับเหตุการณ์ไว้ได้เร็ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ก็ไม่มีใครบอกได้“คุณไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่เป็นไร”เย่จื่อหลานยังอยู่ในนั้นกำลังให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ เมื่อเห็นสภาพของซังหนี่ เขาก็รีบยื่นมือไปจับมือของเธอซังหนี่ถึงได้เงยหน้าขึ้นเดิมทีเธออยากจะพูดอะไรกับเย่จื่อหลาน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นในตอนนี้ เธอเหมือนเห็นภาพที่น่ากลัวมาก ๆ ใบหน้าที่ขาวซีดอยู่แล้วกลับขาวขึ้นไปอีก และปลายนิ้วของเธอก็เย็นเฉียบไปหมด!เย่จื่อหลานรู้สึกแปลกใจ กำลังจะหันไปมอง แต่ก็มีมือหนัก ๆ วางบนไหล่ของซังหนี่“สวัสดีครับ ผมมาที่นี่เพื่อประกันตัวเธอ”น้ำเสียงของผู้ชายทุ้มเย็น ใบหน้าที่หล่อเหลาแฝงไปด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ด
ประกอบกับซังหนี่ที่อยู่ข้างๆสวีเหยียนคิดว่าตัวเองเหมือนจะรู้ความลับสำคัญอะไรบางอย่างแล้วในใจเต็มไปด้วยความคิดมากมาย แต่สวีเหยียนก็ต้องกัดฟันและเดินหน้าเข้าไป “ประธานฟู่...” ฟู่เซียวหานเหลือบมองเข้าไปข้างในสวีเหยียนเข้าใจในทันที “คุณวางใจได้ ผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ” ฟู่เซียวหานไม่พูดอะไรอีก แล้วดันซังหนี่เข้าไปข้างในรถก่อน จากนั้นยกมือขึ้นและโยนตุ๊กตาตัวนั้นทิ้งลงในถังขยะที่อยู่ข้างๆซังหนี่อยู่บนรถ เห็นการกระทำทุกอย่างของเขาอย่างชัดเจนเธออ้าปากราวกับอยากที่จะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรฟู่เซียวหานรีบขึ้นรถทันทีความเร็วที่เร็วมากของรถทำให้หัวใจของซังหนี่เต้นแรงขึ้นมาทันที แล้วเธอก็รีบหันไปรัดเข็มขัดนิรภัยอย่างรวดเร็วฟู่เซียวหานไม่แม้แต่จะมองเธอด้วยซ้ำภาพบรรยากาศบนถนนกำลังเคลื่อนไปอย่างต่อเนื่อง และก็เริ่มไม่คุ้นตาขึ้นเรื่อย ๆซังหนี่ขมวดคิ้วและกำลังจะถามเขาว่าที่นี่คือที่ไหน แต่จู่ ๆ ฟู่เซียวหานกลับเหยียบเบรกรถแรงเฉื่อยที่รุนแรงเกือบจะทำให้ซังหนี่กระเด็นออกไป โชคดีที่เข็มขัดนิรภัยสามารถดึงตัวเธอกลับมาได้อย่างรวดเร็ว แต่ท้ายทอยของเธอกระแทกกับเบาะที่นั่งด้านหลั
“เขาเป็นเพื่อนของฉัน ฉันแค่...ไม่อยากให้คุณพูดให้เขาเสียหาย” ซังหนี่กัดริมฝีปาก แล้วพูดว่า “และคืนนี้เขาก็ต้องมาเจ็บตัวเพราะฉัน ฉัน...” “ฮ่าฮ่า”ฟู่เซียวหานกลับหัวเราะออกมาทันทีรอยยิ้มเย็นชานั้นราวกับมีดกรีดลงบนใบหน้าของซังหนี่ “ซังหนี่ คุณลืมไปหรือเปล่าว่าก่อนหน้านี้เราทำข้อตกลงอะไรกันไว้”“ฉันก็บอกแล้วไงว่า ฉันกับเขาเป็นแค่เพื่อนกัน ฉัน...”“ในเมื่อเป็นเพื่อนกัน แล้วทำไมต้องโกหกด้วยล่ะ”น้ำเสียงของฟู่เซียวหานกลับยิ่งเย็นชามากขึ้น และจ้องมองมาที่เธอซังหนี่อยากพูดว่าเธอไม่ได้โกหกแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด ฟู่เซียวหานก็พูดตัดบทว่า “เมื่อสัปดาห์ก่อน คืนนั้นที่คุณมาสายเพราะคุณอยู่กับเขาสินะ?”ทันใดนั้นเสียงของซังหนี่ก็หายไปฟู่เซียวหานหันไปมองที่เธอ “ถ้าผมจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนนั้นคุณยังอาบน้ำก่อนที่จะไปบ้านพักป๋อซีหยวนด้วย”“พวกคุณทำอะไรกันถึงต้องอาบน้ำ”“พวกเราแค่เดินเที่ยวตลาดกลางคืนเท่านั้น!”“อ่อ ที่แท้ก็อยู่กับเขาจริง ๆ ด้วย” ฟู่เซียวหานยิ้มเยาะออกมาอีกครั้งเสียงของซังหนี่ขาดหายไปชั่วขณะ!ฟู่เซียวหานเห็นปฏิกิริยาของเธอ รอยยิ้มมุมปากเย็นชามากขึ้นทันทีจากนั้นเขาก็ห
“แล้วคุณทำได้ไหม”“ครั้งก่อนที่งานเต้นรำยังไม่สนุกพออีกเหรอ? ตลาดกลางคืน? ร้านเกม? ยังมีสิทธิทางสังคมอะไรอีก?”ฟู่เซียวหานพูด พร้อมกับยิ้มเยาะขึ้นมา “ซังหนี่ คุณคิดจริงๆ เหรอว่าไม่มีใครแทนที่คุณได้?” หลังจากที่รู้จักกันมาตั้งนาน นี่เหมือนว่าจะเป็นคำพูดที่เธอได้ยินเขาพูดบ่อยที่สุดแต่ทุกคำที่พูดราวกับคมมีดที่ทิ่มแทงไปที่กลางใจของซังหนี่ซังหนี่รู้มาตลอดว่าเขาเป็นคนสูงศักดิ์และเย่อหยิ่งแต่เมื่อก่อนเขายังซ่อนมันไว้ได้บ้างแต่ตอนนี้สิ่งที่ถูกซ่อนไว้พวกนั้นก็ถูกเปิดเผยออกมาหมดแล้วสายตาเหยียดหยามและ...รังเกียจของเขา ทุกอย่างช่วยเตือนซังหนี่ว่า ระหว่างพวกเราสองคน...ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ดังนั้นเธอไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะคบเพื่อนเธอเป็นเพียงแค่สิ่งของของเขาเท่านั้นตอนนี้สิ่งของนั้นถูกทำให้ “สกปรก” แล้ว เขาจะไม่ต้องการอีกต่อไปก็เป็นเรื่องธรรมดา “ลงรถ ไม่ต้องให้ผมพูดเป็นครั้งที่สี่”ฟู่เซียวหานพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากซังหนี่จ้องตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา แล้วพยักหน้า“อืม ก็ใช่”“ขอบคุณประธานฟู่ที่เตือนฉันเรื่องนี้ ก็นับ
นี่เป็นครั้งแรกที่ซังหนี่เห็นฟู่เซียวหานเป็นแบบนี้จะว่าไปแล้ว ท่าทางของเขาในตอนนี้ กลับดูสดใสขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เขานิ่งเงียบมากและในตอนนี้เอง ซังหนี่ถึงพบว่า ที่แท้ที่อารมณ์ของเขากระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเป็นเพราะเธอสดใสมากแต่ก็จริงอยู่ที่คำพูดของเธอเมื่อครู่ ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ชายคนอื่นได้ยินก็อาจจะโมโหแต่ในทางกลับกัน ตอนนี้อารมณ์ของซังหนี่นิ่งสงบมากหลังจากเธอสบตากับเขาสักพัก ก็ถามกลับว่า “เมื่อกี้ที่ฉันพูดยังไม่ชัดเจนพออีกเหรอ? ฉันบอกว่า...”เธอยังพูดไม่จบ ทันใดนั้นฟู่เซียวหานก็ยกมือขึ้นมา!ท่าทางนั้น ซังหนี่คุ้นเคยดีเพราะตั้งแต่เล็กจนโต เธอเคยมีประสบการณ์มาหลายครั้งแล้วดวงตาของเธอหลับลงโดยไม่รู้ตัว เพื่อรอให้เขาตบลงมาแต่ความเจ็บปวดอย่างที่คาดหวังกลับไม่เกิดขึ้นซังหนี่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาฝ่ามือของฟู่เซียวหานยังคงนิ่งอยู่ในอากาศไม่ขยับแต่คิ้วของเขายังขมวดแน่น จนมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหน้าผาก ขณะที่ซังหนี่กำลังจ้องมอง เส้นเลือดนั้นยังคงเต้นอย่างเบาๆ ซังหนี่จ้องมองเขา แล้วยิ้มเยาะออกมา “ตบสิ คุณทำไมไม่ตบ?”ผู้ชายคนหนึ่ง คิดจะตบผู้หญิง กับคนที่ตบผู้หญิงไปแล้วมันแ
เดิมทีฟู่เซียวหานเองก็ไม่ถนัดใช้วิธีแบบนี้ยิ่งไปว่านั้นสำหรับซังหนี่...เธอไม่สมควรได้รับมันแต่ตอนนี้เขามองดูปฏิกิริยาของเธอ จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจมากเธอกับเย่จื่อหลานเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานถ้าข้อมูลของเขาไม่ผิดล่ะก็ พวกเขาน่าจะเจอกันครั้งแรกที่งานเต้นรำครั้งก่อนความรู้สึกลึกซึ้งขนาดนั้นเลยเหรอ?เมื่อกี้เธอยังพูดอะไรอีกนะ?เย่จื่อหลานเอาใจใส่และใส่ใจมากกว่าเขางั้นเหรอ?ช่าง...น่าขำสิ้นดีฟู่เซียวหานไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้ของตัวเอง จะมีคนเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นแบบนี้เย่จื่อหลานงั้นเหรอ?บอกตามตรง เมื่อกี้ฟู่เซียวหานแม้แต่จะมองเขาก็รู้สึกขยาดสายตาแต่ตอนนี้ ซังหนี่กลับบอกว่าเขาเทียบไม่ได้กับเย่จื่อหลานงั้นเหรอ?ท่าทางของซังหนี่ในตอนนี้ เหมือนกับกระต่ายร้อนรนตัวหนึ่ง ที่พร้อมจะกัดบนตัวเขาได้ทุกเมื่อและคนที่เธอกำลังปกป้องอยู่นั้น...คือเย่จื่อหลานฟู่เซียวหานยิ่งคิดยิ่งรู้สึกน่าขำขณะนั้น จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของซังหนี่ก็ดังขึ้นมาทั้งสองคนหันกลับไปมองพร้อมกันเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ท่าทีของทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปซังหนี่รีบเอื้อมมือออกไปเพื่อกดตัดสาย แต่
“ต้องขอโทษด้วยนะคุณเย่ ตอนนี้เธอไม่มีเวลารับโทรศัพท์ของคุณ” ฟู่เซียวหานออกมาจากใต้กระโปรงของเธอขณะที่เขากำลังปลดเข็มขัดด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถือโทรศัพท์แล้วพูดกับคนในสายว่า “แต่คุณสบายใจได้ ตอนนี้เธอ...สบายดีมาก” ในขณะที่พูด สายตาของฟู่เซียวหานก็จ้องไปที่ซังหนี่หลังจากเสียงนั้น เธอดูเหมือนจะยอมจำนน และจ้องไปที่หลังคารถอย่างเหม่อลอยสำหรับสายตาของฟู่เซียวหาน เธอก็ไม่ได้ตอบสนองแต่อย่างใดเย่จื่อหลานตอบกลับมาว่าอะไร เธอก็ไม่ได้ยินแล้วเมื่อพูดประโยคนั้นจบ ฟู่เซียวหานก็กดตัดสายโทรศัพท์ และโน้มตัวลงมาทับซังหนี่อย่างไม่ลังเลรูปร่างที่เหมาะสม จนถึงตอนนี้ก็ยังเข้ากันได้อย่างลงตัวแม้ว่าสายตาขอวฟู่เซียวหานเมื่อครู่จะหม่นหมอง แต่ตอนนี้กลับเผยให้เห็นถึงความสุขอยู่บ้าง ขอบดวงตาแดงระเรื่อแฝงไปด้วยความเร่าร้อนอย่างเหลือล้นซังหนี่ไม่ต่อต้านอีกต่อไป เดิมทีมือที่ถูกฟู่เซียวหานจับไว้ก็ค่อยๆ คลายลงเวลานี้ฟู่เซียวหานเอนตัวเข้ามา เตรียมที่จะจูบริมฝีปากของเธอแต่ซังหนี่กลับหันหน้าหนีอย่างรวดเร็วการกระทำนั้นทำให้ฟู่เซียวหานหยุดชะงักไปชั่วขณะแต่เขารีบจับคางของเขาไว้แล้วจูบเธอ
คืนนี้เอง เขาได้สูญเสียความอดทนและการควบคุมตัวเองไปจนหมดสิ้นส่วนซังหนี่ก็ไม่อยู่แล้วเช่นกันเธอไม่แม้แต่จะจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเอง และกอดอกเดินลงไปอย่างนั้นประตูรถปิดลง ฟู่เซียวหานก็เหยียบคันเร่งทันทีรถยนต์มาเซราติสีดำคันนั้นหายไปอย่างรวดเร็วในความมืด และซังหนี่ก็รู้ดีว่า นี่อาจจะเป็น...การพบกันครั้งสุดท้ายของพวกเขา ……ฟู่เซียวหานกลับไปที่เถาหรานจวีเขาไม่ได้กลับมาพักที่นี่นานมากแล้วช่วงเวลาสองเดือนนี้ แม้ว่าซังหนี่จะไม่ได้ไปที่นั่น แต่เขาก็เคยชินกับการไปพักที่บ้านพักป๋อซีหยวนแล้วตอนนี้จู่ๆ เขาก็กลับมา แน่นอนว่าป้าคังต้องดีใจเป็นธรรมดา“คุณกินข้าวมาหรือยังคะ? ต้องการให้ป้าช่วย...” “ไม่ต้อง” ฟู่เซียวหานตอบตัดบท พร้อมกับเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาขึ้นมาถึงชั้นบน กลับพบว่าประตูห้องที่อยู่ตรงสุดทางเดินถูกเปิดไว้นั่นเป็นห้องเดิมของซังหนี่ตอนที่เธอหย่า เธอเอาไปเพียงแค่สิ่งของของตัวเอง ส่วนเครื่องประดับและเสื้อผ้าส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่นั่นฟู่เซียวหานเองก็ไม่ได้ให้ใครทำความสะอาด เพียงแค่ล็อกประตูไว้เท่านั้นแต่วันนี้...ป้าคังเดินตามเขามาด้านหลัง และเมื่
ซังหนี่มองจี้อวี้หยวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ “ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่อยู่เป็นเพื่อนฉันแบบนี้...ก็พอแล้ว”พอเธอพูดจบ จี้อวี้หยวนก็ยื่นมือออกไป โอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแรงกอดของเขาไม่แน่นนัก แต่กลิ่นหอมอ่อน ๆ บนตัวเขากลับอบอวลเข้าสู่ปลายจมูกของซังหนี่ในทันทีซังหนี่ไม่ต่อต้านอีกต่อไป ค่อย ๆ ยื่นมือออกไป โอบรอบเอวของเขาไว้“อาการของคุณอาเป็นยังไงบ้าง?” จี้อวี้หยวนเอ่ยถาม“เส้นเลือดในสมองตีบเฉียบพลัน” ซังหนี่พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่ช่วยไว้ได้ทัน หมอบอกว่าถ้าเขาฟื้นขึ้นมาก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”“อืม งั้นคุณกลับไปพักก่อนดีไหม? ผมจะเป็นคนเฝ้าให้เอง”“ไม่ต้องหรอก ฉันกลับไปก็นอนไม่หลับอยู่ดี คุณไม่เห็นเหรอว่าโทรศัพท์ฉันไม่หยุดดังเลย?”จี้อวี้หยวนไม่พูดอะไรอีกซังหนี่ไม่แน่ใจว่าเขากำลังรู้สึกผิดที่ช่วยอะไรเธอไม่ได้หรือเปล่า เลยพูดขึ้นมาก่อนว่า “งานแต่งไม่ต้องเลื่อนนะ คุณตาของคุณรอวันนี้มานานมากแล้ว จะทำให้ท่านผิดหวังไม่ได้”“แต่ว่า…”“ไม่ต้องห่วง แค่วันเดียวฉันยังพอจัดการได้ อีกอย่างตอนนี้ซังอวี๋อยู่ในช่วงสำคัญ ถ้าคุณเลื่อนงานแต่งออกไป คนอื่นอาจคิดว่าคุณเตรียมตัวหนีแล้วก็ได้”พูดจบ ซ
ดังนั้นเมื่อก่อนเขามักเป็นฝ่ายออกคำสั่งต่อหน้าซังหนี่เสมอเขาไม่จำเป็นต้องปรึกษาซังหนี่ และไม่มีวันยอมให้เธอขัดขืนแต่ตอนนี้ เขากลับดูเหมือนเด็กคนหนึ่งที่สับสนหมดหนทาง เอ่ยถามซังหนี่ ว่าควรทำอย่างไร?ซังหนี่หลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “ตอนนี้มีใครรู้เรื่องนี้อีก?”พูดจบ เธอก็รู้ตัวทันทีว่าถ้อยคำของตัวเองผิดไป จึงรีบแก้ว่า “ไม่ว่าจะมีใครรู้เรื่องนี้หรือไม่ ต้องปิดข่าวทันที! ถ้าพรุ่งนี้ตลาดหุ้นเปิดเมื่อไหร่ ซังอวี๋คงได้จบสิ้นกันจริง ๆ!’ซังหลินไม่พูดอะไร นั่งนิ่งอย่างเหม่อลอย“ครอบครัวของเกาต๋าล่ะคะ? พวกเขายังอยู่ที่นี่ใช่ไหม? ตอนนี้คุณให้คนไปติดต่อพวกเขาทันที! ถ้าเกาต๋าติดต่อกลับมา แจ้งตำรวจเดี๋ยวนั้นเลย! คุณได้ยินไหม?!”คำพูดสุดท้ายของซังหนี่ ทำให้ซังหลินได้สติกลับมา เขาค่อย ๆ เอื้อมมือที่สั่นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาซังหนี่ไม่มองเขาอีก หันหลังเดินออกไปทันทีแต่ด้านหลังกลับเงียบสนิทเมื่อซังหนี่รู้สึกแปลกใจและหันกลับไปมอง เธอเห็นโทรศัพท์ของซังหลินตกอยู่บนพื้น ส่วนตัวเขากลับฟุบลงไปกับเก้าอี้และหมดสติไปแล้ว……ซังหนี่รีบติดต่อสำนักข่าวใหญ่ เพื่อปิดข่าวเกี่ยวกับซังหลินไว้แต่ในย
คำพูดของซังหนี่ก็กลายเป็นจริงอย่างรวดเร็วเพียงแค่วันรุ่งขึ้นหลังจากที่โครงการถูกส่งมอบให้เกาต๋า ทางจื้อเหอก็แจ้งให้เริ่มงานใหม่ทันทีแม้ว่างานของซังหนี่จะถูกส่งต่อให้เกาต๋าแล้ว แต่เธอก็ยังเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทลูก บางกระบวนการยังต้องผ่านเธออยู่ดีสองวันผ่านไป เกาต๋าบอกว่ามีงานที่ส่งต่อบางเรื่องยังไม่ชัดเจน พอดีว่าช่วงนี้ซังหนี่ลาพักเพื่อเตรียมงานแต่ง เขาจึงขอให้เจิ้งชวนไปช่วยงานแทนซังหนี่ไม่ได้ขัดข้องอะไรเพราะสุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นโครงการของบริษัท ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น เธอเองก็ต้องรับผิดชอบไปด้วยเจิ้งชวนถูกเรียกตัวไปช่วยงานทันทีผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ เหลือเวลาอีกเพียงสองวันก่อนถึงวันแต่งงานของซังหนี่กับจี้อวี้หยวน ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัด โทรศัพท์ของซังหนี่ดังขึ้น ปลายสายคือเจิ้งชวน“แย่แล้วครับประธานเสี่ยวซัง ติดต่อประธานเกาไม่ได้เลย!”ซังหนี่สะดุ้งตื่นจากความฝันอย่างฉับพลัน สมองยังมึนงงเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?”“ประธานเกาหายตัวไปครับ!” เจิ้งชวนพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนนี้ติดต่อไม่ได้เลย พวกเราลองไปที่บ้านเขาแล้ว แต่ครอบครัวเขาก็บอกว่าติดต่อไม่ได้เช่นกัน”
“เข้าใจแล้ว”เมื่อได้ยินคำตอบ ฟู่เซียวหานจึงกดวางสายไป ก่อนจะหันไปมองออกไปนอกหน้าต่างในเงาสะท้อนของกระจกรถ เขากลับมองเห็นแก้มที่แดงก่ำของตัวเองอย่างชัดเจนเขายกมือขึ้นเช็ดเบา ๆมันก็เจ็บอยู่บ้าง แต่เขาผ่านเรื่องที่เจ็บกว่านี้มาแล้ว แผลเล็กแค่นี้ ไม่เป็นอะไรเลยสักนิดคิดได้ดังนั้น เขามองรอยฝ่ามือบนแก้ม แล้วกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ……จื้อเหอและซังอวี๋ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เรื่องที่เกาต๋าเข้ามารับช่วงต่อโครงการรู่โจวก็ถูกประกาศภายในบริษัทในเวลาไม่นานทันทีที่ข่าวนี้เผยออกมา ทุกคนต่างประหลาดใจไม่น้อยแม้ว่าตอนนี้ซังหนี่ยังคงเป็นผู้จัดการบริษัทสาขาเมืองอิ๋น แต่ถ้าเกาต๋าถูกย้ายกลับไป คนที่นั่นทั้งหมดก็เป็นลูกน้องเก่าของเขาอยู่ดี แบบนี้ซังหนี่จะต่างอะไรกับผู้นำที่ไร้อำนาจกันล่ะ?แน่นอนว่าซังหนี่ไม่มีทางยอมมอบผลงานของตัวเองให้ใครง่าย ๆแต่ฟู่เซียวหานตั้งใจจะทำให้เธอเสียหน้า และเหมือนที่ซังหลินพูดไว้ เขาเป็นฝ่ายว่าจ้าง โครงการใหญ่อย่างรู่โจว เขาแค่ขอเปลี่ยนผู้รับผิดชอบเท่านั้น ซังอวี๋ที่เป็นฝ่ายถูกเลือกทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องยอมตามดังนั้น เอกสารที่ซังหนี่ตรวจทานซ้ำแล้วซ้ำเ
ฟู่เซียวหานถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่แววตาที่มองซังหนี่กลับไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆมีเพียงแค่...ความเย็นชาเท่านั้นมันเป็นสายตาของนักล่าที่จ้องมองเหยื่อ และยิ่งไปกว่านั้น มันคือสายตาของผู้ที่อยู่เหนือกว่ามองคนเบื้องล่างด้วยความเหยียดหยามร่างกายของซังหนี่สั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว!เขาแสร้งทำต่อหน้าเธอมานานเกินไปแล้วจนถึงตอนนี้ ซังหนี่เพิ่งนึกขึ้นได้——เขาไม่ใช่สุนัขที่เชื่อง แต่เป็นหมาป่าที่กระหายเลือดและเนื้อ!แต่ซังหนี่ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “ฟู่เซียวหาน คุณเป็นถึงผู้จัดการใหญ่ของจื้อเหอ แต่กลับใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ ไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะหรือไง!?”“ไม่เป็นไร ยังไงตอนนี้ก็ไม่มีใครคานอำนาจผมได้แล้ว” ฟู่เซียวหานพูดช้า ๆ “อีกอย่าง โครงการรู่โจวใหญ่ขนาดนี้ จะให้คุณรับผิดชอบมันไม่ปลอดภัย ผมมีเหตุผลมากพอที่จะทำให้พวกเขาเชื่อ”ซังหนี่ไม่พูดอะไร แต่มือที่วางอยู่บนเข่ากลับค่อย ๆ กำแน่นขึ้น“แล้วไงต่อล่ะ?”ในที่สุด เธอก็เปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง ถามว่า “คุณคิดว่าคำสั่งนี้จะหยุดฉันไม่ให้แต่งงานกับจี้อวี้หยวนได้เหรอ?”“ฉันบอกไว้เลยว่า ไม่มีทาง ตอนนี้ฉันยิ่งต้องแต่งงา
ซังหนี่มองดูท่าทางสงบนิ่งของเขาแล้วกลับหัวเราะออกมา “ที่แท้เป็นแบบนี้เอง นี่เป็นแผนที่คุณกับฟู่เซียวหานร่วมมือกันเหรอ?”“ไม่ใช่แน่นอน”ซังหลินขมวดคิ้วก่อนจะพูดต่อ “ซังหนี่ เธอทำงานที่บริษัทมานานพอสมควรแล้ว คงรู้ดีว่าผลประโยชน์ของบริษัทต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัว เข้าใจไหม?”ซังหนี่ไม่พูดอะไร แต่เธอกลับกัดฟันแน่นขึ้นจากนั้น ซังหลินก็เรียกอีกคนเข้ามาทันทีคนนั้น...ซังหนี่เองก็ไม่ได้รู้สึกแปลกหน้า——เกาต๋า อดีตผู้จัดการทั่วไปของบริษัทลูกเมืองอิ๋นเกาต๋ามีเครือข่ายอยู่ที่เมืองอิ๋นเป็นหลัก ดังนั้นตอนที่เขาถูกย้ายกลับสำนักงานใหญ่ ก็นับว่าเป็นการถูกลดบทบาทไปโดยปริยายแต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เขาหมดอิทธิพลในบริษัท ยังคงก้าวหน้าและเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดีโครงการครั้งนี้ ทางจื้อเหอก็ระบุให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงซังหนี่รู้ดีว่า ฟู่เซียวหานทำแบบนี้ก็แค่ต้องการยั่วโมโหเธอ“ประธานเสี่ยวซัง ไม่เจอกันนานเลยนะ”เกาต๋ายิ้มบาง ๆ แล้วเดินตรงไปหาซังหนี่ ก่อนจะยื่นมือออกมาแต่ซังหนี่กลับเมินเฉยไม่สนใจเธอเพียงแค่เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป“ถ้าสองวันนี้เธอไม่ยุ่งก็เข้
บางทีอาจจะเพราะท่าทีของซังหนี่ที่ดูสับสนมากเกินไป จี้อวี้หยวนจึงอดไม่ได้ที่จะมองด้วยรอยยิ้มจากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงพร้อมจุมพิตเธอเบา ๆ ที่ริมฝีปากสัมผัสนั้นราวกับแมลงปอต้องน้ำ เพียงพริบตาเดียวก็จากไปแล้วก็ยื่นมือมาลูบศีรษะเธออีกครั้ง “เอาล่ะ เข้าไปเถอะครับ”ซังหนี่ยังคงสับสนอยู่บ้างเล็กน้อยแต่เธอก็ยังคงไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่มองเขาก่อนจะหันหลังลงจากรถไปซังหลินกำลังรอเธออยู่ในห้องทำงานหลังจากที่ซังหนี่เข้ามา สิ่งแรกที่เขาถามแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับโครงการรู่โจว“ฉันยังไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่ เพราะอย่างไรเสียฉันก็แค่ได้รับการแจ้งเตือนจากอีกฝ่ายมาฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่ประธานซังไม่ต้องกังวลไปนะคะ ฉันจะตรวจสอบให้ชัดเจนและให้คำตอบที่น่าพอใจกับคุณแน่นอนค่ะ”คำตอบซังหนี่เป็นทางการเป็นอย่างมากซังหลินจ้องมองเธออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยว่า “เธอไม่ได้ติดต่อกับคนของจื้อเหอกรุ๊ปเลยหรือ?”“ยังไม่ได้ติดต่อเป็นการชั่วคราวค่ะ แต่ฉันจะ…”“นี่เป็นอีเมลที่ฉันเพิ่งได้รับมา เธอมาดูสิ”ซังหลินกลับเอ่ยขัดจังหวะการพูดของเธอโดยตรง พร้อมโยนเอกสารในมือของเขาไปยังซังหนี่ซังหนี
เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรอยู่บนนั้น แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าบริเวณนั้นคันยุบยิบเล็กน้อยราวกับโดนขนของลูกแมวซุกไซร้คลอเคลีย และยังเหมือนกับตอนที่เขาสัมผัสเส้นผมของซังหนี่และในขณะที่ฟู่เซียวหานกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง “ขอโทษที่ปล่อยให้ประธานฟู่รอนานนะครับ”เมื่อได้ยินเสียงนั้น ฟู่เซียวหานก็เงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มบางเบา “ไม่เจอกันนานนะครับประธานเกา”……เรื่องที่โครงการรู่โจวโดนระงับการดำเนินการ ซังหนี่นับว่าเป็นคนที่ได้รับการแจ้งเป็นคนสุดท้ายในเวลานั้นเธอและจี้อวี้หยวนกำลังคุยกับคุณเยว่ เมื่อได้ยินเสียงจากคนที่อยู่ปลายสายเธอยังรู้สึกไม่ทันตั้งตัว “อะไรนะคะ?”“เป็นทางฝั่งจื้อเหอกรุ๊ปที่ระงับการดำเนินการครับ โดยบอกว่ามีปัญหาบางอย่างภายในทีมงานก่อสร้าง และพวกเขาจำเป็นต้องตรวจสอบให้ละเอียดก่อน”“ปัญหาอะไร?”“ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ทางจื้อเหอกรุ๊ปบอกเรามาเพียงเท่านี้”“ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาในทีมก่อสร้าง แต่ขั้นตอนอื่น ๆ ก็ยังสามารถดำเนินการไปก่อนได้ หรือถ้ายังไม่สามารถทำได้ ตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของโครงการ เราสามารถเปลี่ยนทีมวิ
เมื่อฟู่เซียวหานยังเป็นเด็ก ครั้งหนึ่งเขาเคยเจอแมวจรจัดในโรงเรียนของพวกเขาลูกแมวตัวนั้นอาจเพิ่งคลอดได้ไม่นานแต่ไม่มีแม่แมวอยู่เคียงข้าง มีเพียงมันตัวเดียวที่นอนอยู่บนพื้นหญ้าและส่งเสียงร้องอย่างอ่อนแรงฟู่เซียวหานเพียงเหลือบตามองมันแต่เขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจที่เปี่ยมล้น ดังนั้นหลังจากเหลือบมองครั้งหนึ่งเขาก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วแต่เขาไม่คาดคิดว่าลูกแมวตัวนั้นจะเดินตามหลังเขามาฝีเท้าของเขาไม่ได้นับว่าก้าวเดินช้า ทั้งที่ลูกแมวตัวนั้นยังไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงแต่ยังคงยืนหยัดเดินตามเขามาทีละก้าวและในขณะที่ฟู่เซียวหานกำลังจะเดินไปถึงหน้าประตูโรงเรียน ในที่สุดเขาก็หยุดฝีเท้าลงจากนั้นก็หมุนตัวเดินไปที่ร้านของชำด้านข้าง พร้อมซื้อไส้กรอกมาหนึ่งชิ้นลูกแมวตัวน้อยกินอย่างมีความสุขดังนั้นนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฟู่เซียวหานจะเจอมันทุกครั้งหลังเลิกเรียนมันเป็นฝ่ายริเริ่มเข้ามาหาเขาก่อน หลังจากซุกไซร้เข้ากับฝ่ามือของเขาแล้วจึงรอให้เขาป้อนอาหารด้วยความเชื่อฟังและนับตั้งแต่นั้น ฟู่เซียวหานก็มักจะเตรียมขนมไว้ในกระเป๋านักเรียนของเขาเสมอในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาแม้กระทั่งตั้