ชายร่างสูงกำยำสองคนตรงเข้ามาช่วยกันแก้ผ้าที่ผูกติดสองร่างออกและปลดมือของหยางฮูหยินที่คล้องอยู่ยังลำคอของผู้เป็นนายออก เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น หลิวเจินเจินก็นอนอยู่ในรถม้าที่ปูรองด้วยขนสัตว์หนานุ่ม“นอนพักเถอะเจ้าค่ะ ท่านจะปลอดภัย ข้าให้สัญญา” ดวงตากลมโตมีแววอ่อนโยนต่างจากท่าทางของนางยิ่งนัก ทุกทวงท่ามันดูองอาจมิเหมือนสตรี แต่เมื่อพิศใบหน้าที่ถูกเช็ดล้างด้วยผ้าเปียก มันช่างราวกับเทพธิดาจำแลงกายมาก็มิปาน ความงามที่มิแพ้โม่ไป๋หลาน สะใภ้รักของนาง เพียงแต่หญิงสาวมีสีผิวที่เข้มกว่ามาก ถึงอย่างนั้นผิวสีน้ำผึ้งนี่กลับดึงดูดสายตาของผู้พบเห็นให้ตะลึงงันได้มิยากเลยทีเดียว“ท่านเมี่ยวจ้าน…เราใกล้จะถึงประตูเมืองแล้วขอรับ” เสียงรายงานจากคนขับรถม้า“อืม! ทุกคนมากันครบหรือยัง”“ครบแล้วขอรับ”ไม่มีการสนทนาใดอีก ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบอีกครั้งเมี่ยวจ้านยังคงนั่งนิ่งต่อไปเพราะภายในใจของนางกำลังลิงโลดยิ่งกว่าได้ของล้ำค่ามาไว้ในครอบครองเพราะคนที่นอนอยู่ตรงหน้านางในตอนนี้มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด และไม่มีอะไรมาทดแทนได้เช่นกัน ตอนนี้ พวกนางยังอยู่ในเขตเมืองหลวง ยังมิอาจวางใจอะไรได้ทั้งนั้นจนกว่าจะออกพ้นป
จวนแม่ทัพหยางซานซินปัง! เสียงทุบโต๊ะน้ำชากลางห้องจนแตกออกเป็นสองส่วน ใบหน้าของคนที่ลงมือดุดันราวปีศาจ หยางซานซินกวาดมองทหารและบ่าวไพร่ภายในจวนด้วยความกรุ่นโกรธเป็นที่สุดเพียงแค่ก้าวพ้นประตูจวนเข้ามาก็ได้รับรายงานว่าฮูหยินของตนได้หายตัวไปพร้อมสาวใช้นางหนึ่งที่เป็นผู้รับช่วงดูแลนายหญิงของบ้าน ตัวเขาเองก็ติดพันเรื่องงานที่อยู่ก็เกิดเรื่องภายในกรมจนเขาต้องเข้าร่วมแก้ไข จนล่วงเลยมาเสียมืดค่ำ มือหนากำหมัดแน่น ใครกันที่กล้าต่อกรกับเขา เพียงสาวใช้ตัวเล็ก ๆ หรือที่จะลักพาตัวภรรยาของเขาหนีออกไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ หรือเจ้าเฒ่าหลิวไห่กันที่ส่งคนมาชิงตัวลูกสาวกลับไปสิ่งสำคัญคือมีจดหมายลับหายไป รวมทั้งหัวหน้าพ่อบ้านที่ไม่กลับมาที่จวนอีกเลยนับตั้งแต่ไปส่งอาหารยังจวนอ๋องน้อย จนบัดนี้ก็ไม่มีใครพบเห็นพ่อบ้านของจวนเขาอีกเลย แม้จะส่งคนออกสืบหาแต่ก็ยังไร้วี่แวว คนของเขาที่แฝงอยู่ในจวนอ๋องน้อยแจ้งเพียงว่าพ่อบ้านเกากลับออกไปหลังจากนำอาหารเข้าไปมอบแด่ท่านอ๋องน้อยเพียงไม่นาน‘คิดท้าทายข้าอย่างนั้นใช่ไหม ความตายคือคำตอบที่ข้ามีให้’คำสั่งจากใครบางคนให้กำจัดหลิวเจินเจินก่อนที่นางจะนำความลับของพวกเขาไปสู่
ลับหลังเมี่ยวจ้านแค่เสี้ยวเวลา เสียงม้าจำนวนมากก็โผล่พ้นโค้งด้านหลังมิไกลนัก ทำให้คนที่เหลือจัดการทุกอย่างเพื่อถ่วงเวลาให้ผู้เป็นนายหนีรอดไปได้ พวกเขาไม่มั่นใจนักว่ากลุ่มผู้มาใหม่จะทันเห็นเส้นทางหลบหนีของเจ้านายตนหรือไม่ฮี้ ๆ ม้าหลายตัวยกขาขึ้นสูงด้วยความตกใจที่อยู่ ๆ ถูกดึงบังเหียนอย่างกะทันหัน แสงจันทร์ที่ส่องรำไรทำให้เห็นว่ามีรถม้าจอดขวางทางอยู่พร้อมกลุ่มคนราวสามสี่คนกำลังพากันทำบางสิ่งกันอยู่ เสียงนกกลางคืนดังขึ้นเป็นระยะ ทำให้ชายหนุ่มทั้งสี่ที่แสร้งรถม้าพังและพากันซ่อมแซมต่างพากันเริ่มระวังตัวเมื่อสัญญาณที่ได้รับจากเพื่อนซึ่งแอบซุ่มอยู่ในป่าข้างทางทางด้านหยางซานซินเองก็รับรู้ได้ว่าไม่ได้มีแค่ชายชาวบ้านที่อยู่ข้างรถม้า แต่ยังมีบางส่วนแอบซ่อนอยู่ ตอนนี้ ม้าสงบลงแล้วและความเยียบเย็นเข้ามาแทนที่ ทั้งสองฝ่ายต่างหยั่งเชิงกันระหว่างนักรบผู้กรำสงครามกับขุนพลวัยหนุ่มจากต่างแคว้นต่างพากันนิ่งเงียบ เป็นการประเมินฝีมือกันอยู่นั้นเอง จนในที่สุด…“พวกเจ้าเป็นใคร ไยดึกดื่นแล้วมาอยู่กลางป่าเช่นนี้” คนของแม่ทัพใหญ่เอ่ยถามออกมาด้วยความฉุนเฉียวที่มีคนมาขวางทาง ซ้ำอีกฝ่ายยังไม่ยอมพูดจา เอาแต่ก้ม
เมี่ยวจ้านมิคิดหันกลับไปมอง หญิงสาวแก้ผ้าที่ผูกติดกับหลิวเจินเจินออก ก่อนจะกระชิบบอกให้คนด้านหน้าระวังตัวจากการปะทะที่กำลังจะเกิดขึ้น มือบางนำแส้ทองออกมากำไว้ในมือข้างที่มิได้จับบังเหียน ความองอาจเยี่ยงบุรุษของคนที่โอบนางอยู่ทำให้หลิวเจินเจินสะเทือนใจยิ่งนัก นางเคยคุ้มครองผู้อื่นมาตลอด แต่มาวันนี้ กลับเสมือนคนไร้ค่าที่ต้องรอคอยการปกป้องจากผู้อื่น หยางซานซินทำให้นางกลายเป็นเพียงคนป่วยใกล้ตายเท่านั้นในเวลานี้“หมอบลงท่านแม่ อย่าทำให้ข้าต้องกำพร้าอีก”หลิวเจินเจินขนลุกซู่ไปทั้งร่างกับเสียงกระซิบเบา ๆ จากคนด้านหลังที่เวลานี้ได้เอาบังเหียนม้าใส่ไว้ในมือนางอย่างแผ่วเบาก่อนความรู้สึกโหวงเหวงในหัวใจจะเข้ามาครอบงำ เนื่องจากคนที่โอบนางเอาไว้ได้หายไปจากหลังม้าเสียแล้วเมี่ยวจ้านเหินตัวลงจากหลังม้าพร้อมผู้ติดตาม มือบางยื่นออกไปรับคันธนูจากชายหนุ่มด้านข้างก่อนจะยกคันศรขึ้นน้าวจนสุดแขน ระยะที่ชายใจอำมหิตกำลังตามมานั้นยังไกลอยู่มาก หากนางยังหนีต่อไป ไม่นานม้าย่อมหมดแรง นั่นถือเป็นภัยกับหยางฮูหยินและนางจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด นางจะขอเผชิญหน้ากับเขาสักครั้ง‘ท่านเคยคิดสังหารข้ามาแล้วครั้ง
หลิวเจินเจินพยายามกัดฟันควบม้าตรงไปด้านหน้าด้วยหัวใจที่เรียกว่าแทบสลายเลยทีเดียว เมื่อคำว่า ‘แม่’ ก้องอยู่ในหูมิจางหาย แม้อยากกลับไปช่วยแต่ร่างกายนั้นไร้เรี่ยวแรง หากนางย้อนไปก็เท่ากับนางกลายเป็นตัวถ่วงของเมี่ยวจ้าน ชื่อนี้นางมิอาจลืมเลือนแม้ต้องสิ้นลมไปตอนนี้ คำว่าแม่ที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจมันสร้างรอยเจ็บลึกมิต่างจากการดิ่งลงเหวที่ไร้ก้นเปลวไฟที่มองเห็นอยู่มิไกลทำให้นางเริ่มตื่นกลัวขึ้นมาอยู่บ้าง ซึ่งถ้าหากเป็นคนดีก็แล้วกันไป แต่ถ้าไม่ นางก็คงมิอาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้ด้วยสภาพร่างกายที่พร้อมจะสิ้นลมได้ทุกเมื่อเช่นนี้ คงยากที่จะปกป้องตนเองให้รอดพ้นจากอันตรายเบื้องหน้าได้หากเป็นเมื่อก่อนนางจะมิกังวลเลยสักนิด แต่เวลานี้คงได้แต่ยอมรับในชะตากรรมของตนเอนเท่านั้น ดวงตาเริ่มปรือลงทุกขณะจนแทบจะลืมไม่ขึ้น แต่หลิวเจินเจินคงยังกัดฟันเร่งความเร็วม้าให้เลยกลุ่มคน ซึ่งนางมิรู้ว่าเป็นผู้ใดให้ได้เสียก่อน สตรีเดินทางเพียงลำพังมิอาจปลอดภัยได้ แต่ก็ไม่เป็นดั่งที่คาดหวังเสียแล้วเมื่อม้าควบผ่านเลยจุดพักแรมของนักเดินทางไปได้เพียงเล็กน้อย ร่างบางกลับร่วงลงจากหลังม้าด้วยอาการของพิษที่กำเริบเสียจนไม่อาจฝืนทนต่อ
เสียงเข่าข้างหนึ่งกระแทกกับพื้นดิน หยางซานซินถึงกับเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าเมื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวดของตนเอง แต่เขาไม่อาจให้ศัตรูรู้ถึงมันได้เป็นอันขาด เพราะขนาดบาดเจ็บเจียนตาย หญิงสาวผู้นี้ยังมีพิษสงหลงเหลืออยู่อีก‘ข้าประมาทเจ้าไม่ได้เลยสินะ’หยางซานซินจึงได้ซัดฝ่ามือเข้ากลางอกของชายหนุ่ม พร้อมปล่อยมือที่บีบลำคอแกร่งออกจนร่างของชายหนุ่มที่บอบช้ำไปทั้งร่างกระเด็นออกไปไกลพอสมควร หยางซานซินรวบจับแส้ที่พันรอบข้อเท้าเอาไว้แล้วออกแรงดึงจนร่างบางกลิ้งหลุน ๆ เข้ามาอยู่แทบเท้าแม่ทัพใหญ่ได้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนยกเท้าวางไปบนหน้าอกของหญิงสาว เมี่ยวจ้านจับรวบข้อเท้าของอีกฝ่ายไว้แน่น‘ข้ายอมตาย…หากแม่ของข้ารอดพ้นจากคนเช่นเจ้า หยางซานซิน’รอยยิ้มงดงามปรากฏบนใบหน้าที่เขียวช้ำพร้อมดวงตาหงส์หลับลงช้า ๆ นางคอยเฝ้ามองมารดาอยู่ห่าง ๆ มานานหลายปีในฐานะสาวใช้หน้าตาอัปลักษณ์ วันนี้แค่ได้โอบกอดผู้ให้กำเนิดเพียงชั่วเวลาสั้น ๆ ก็สุขใจมากแล้ว ถึงแม้ว่านางจะเก่งกาจเพียงใด นางก็ยังเป็นสตรี และประสบการณ์มิมากพอที่จะต่อการกับคนเจ้าเล่ห์เช่นคนผู้นี้ ชายผู้ทำให้นางมีชีวิตและเป็นชายที่สั่งปลิดชีวิตนางเช่นกัน หาก
บ้านหมอหญิงจูซือเหนียงหลายวันมานี้ ทุกคนเอาแต่คอยจ้องมองโม่ไป๋หลานมิวางตาหลังจากพาพ่อแม่ของนางมาพบพร้อมด้วยชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาขี้ริ้ว ในความคิดของหมิงจงเป่า ถงเหยียนเจี๋ยถูกพิษที่ไม่มียารักษา กับหมาตัวเท่าหมีมาด้วย ใบหน้าของผู้เป็นอาจารย์บ่งบอกชัดเจนว่าไม่ชอบใจชายหนุ่มเท่าใดนัก ต่างกับคนอื่น ๆ ที่รู้สึกกระอักกระอ่วนในการรักษาถงเหยียนเจี๋ยที่หมอหญิงจูได้บอกแก่พวกเขาหลายวันก่อนตอนที่โม่ไป๋หลานกำลังลุกเดินออกกำลังเพื่อให้ไม่เกิดอาการอ่อนแรงอยู่นั้น เสียงบ่นของอาจารย์ก็ดังเข้ามาก่อนตัวเสียอีก ตอนที่ทุกคนได้พากันเข้ามาในตัวเรือนนางยังสับสนว่าผู้มาใหม่เป็นใคร ไยหรู่อี้ถึงได้วิ่งไปคุกเข่าร้องไห้อยู่ต่อหน้าชายหญิงคู่นั้น เมื่อจับใจความได้จึงรู้ว่าทั้งสองคือบิดามารดาของโม่ไป๋หลาน หญิงสาวจึงได้ค่อย ๆ เผยตัวออกไปยืนเผชิญหน้าผู้เป็นพ่อและแม่อ๋องเจ็ดและพระชายาถึงกับยืนนิ่งเสมือนถูกแช่แข็งไปอยู่พักหนึ่งก่อนที่พระชายาจะวิ่งตรงเข้าสวมกอดธิดาเพียงคนเดียวด้วยความดีใจที่ไป๋หลานยังมีชีวิตอยู่ มันเหมือนความฝันที่ไม่อยากตื่นสำหรับคนเป็นแม่จากนั้นก็ได้เกิดความชลมุนและโต้เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายระหว
“มะ…มีลูก เจ้าคิดจะให้ศิษย์หลานของข้าเกิดมาอัปลักษณ์ ไม่ ข้ามิยอม” พูดจบร่างสูงก็เดินตึง ๆ ออกจากห้องไปโดยมิวายหันไปทำหน้าตาดุดันใส่ชายหนุ่มที่เอนกายอยู่บนเตียง“ฮา ๆ ๆ” เสียงหัวเราะประสานขึ้นไล่หลังหมิงจงเป่าไปติด ๆ โดยเฉพาะจูซือเหนียงที่ดูจะพอใจเป็นพิเศษ“ทำดีมากไป๋หลาน คนเช่นอาจารย์เจ้าต้องมีคนขัดบ้างถึงจะดี” จูซือเหนียงเอ่ยขึ้นในที่สุดหลังจากหยุดหัวเราะได้แล้ว“ซือเหนียง…อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้ากำลังใช้เจ้าขี้ริ้วนั่นเป็นหนูทดลองยาของเจ้า” มิวายยังมีเสียงจากคนด้านนอกดังเข้ามาอยู่นั่นเองทุกสายตาหันมองที่หมอหญิงเป็นตาเดียวกันเมื่อสิ้นคำพูดของหมิงจงเป่า“อย่ากังวลไปเลย ข้ามั่นใจว่ายาถอนพิษที่ข้าปรุงขึ้นจะช่วยเร่งการขับพิษของคุณชายถงได้แน่นอน แต่ยานี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าถอนพิษได้หมดก่อนเจ็ดวัน ดังนั้นจึงต้องอาศัยเจ้าไป๋หลาน ตำราที่มาของพิษวิวาห์สลายของนางมารไร้ใจอยู่ในห้องหนังสือ เผื่อเจ้าอยากรู้ที่มา”จูซือเหนียงหมุนกายออกจากห้องไปด้วยใบหน้าหม่นหมองกว่าที่เคย จึงทำให้ทุกคนมิคิดเอ่ยปากรั้งนางเอาไว้ วันต่อมา…เพื่อรักษาเกียรติของโม่ไป๋หลาน จูซือเหนียงจึงได้เสนอให้ทั้งคู่ยกน้ำช
“ให้เข้ามาได้” ฮ่องเต้ทรงตรัสอนุญาต แม้จะทรงข้องพระทัยอยู่ไม่น้อย ที่อยู่ ๆ ผู้เป็นอาของพระองค์ก็เสด็จมาหา“ท่านอ๋องเชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” ลู่กงกงก้าวออกไปยังหน้าประตู ก่อนทูลเชิญเสด็จจิ้นอ๋องจิ้นอ๋องเสิ่นหลีก้าวเข้ามาอย่างองอาจ แม้วัยจะล่วงเลยไปมากแล้วก็ตามที แต่ยังคงความสง่าเช่นราชนิกุลผู้มีสายเลือดมังกรอยู่มิเสื่อมคลาย ใบหน้าที่อ่อนโอน และอบอุ่นเสมอสำหรับคนในครอบครัว แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” จิ้นอ๋องประสานมือก่อนจะโค้งตัว ทำความเคารพโอรสมังกร ผู้ที่นั่งส่งยิ้มมาให้ตนเอง“ตามสบายเถอะ เสด็จอา วันนี้ทรงมีเรื่องสำคัญอันใดหรือไม่ จึงได้มาหาข้าเช่นนี้”ฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา มิทรงอ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อย เพราะทรงรู้จักนิสัยของผู้เป็นอาดี ว่าหากไม่มีเรื่องสำคัญใด ๆ คนผู้นี้มักจะขลุกอยู่กับโคลงกลอน และการออกตรวจเยี่ยมราษฎร ตามหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อแบ่งเบาหน้าที่ของพระองค์เอง“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเพียงมาเยี่ยมเยียน พระองค์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าช่วงนี้ทรงมิค่อยสบายพระทัยนัก จึงอยากที่จะมาชวนฝ่าบาท ร่วมดื่มสุราชั้นยอด จากเมืองฉินเส่าสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้โม่เหยีย
แต่ยังไร้เสียงร้องขอความเมตตา ออกจากปากของสองพี่น้อง โม่หยวนฟางพยายามยกหน้าไม้ขึ้น เขาทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงตัดสินใจกดยิงออกไป ระยะประชิดเช่นนี้ มีหรือจะพลาดเป้า ลูกดอกพุ่งเข้าบริเวณสีข้างของคนร้าย ด้วยอารามตกใจ ชายสวมหน้ากากจึงเหวี่ยงหยวนฟาง ไปยังทิศทางเดียวกับโม่คังปึก! ตุบ! ร่างเด็กชายกระแทกเข้ากับตัวของพี่ชายที่รวบรวมพลังทั้งหมด พุ่งรับร่างผู้เป็นน้องชาย ก่อนจะตกสู่พื้นไปพร้อม ๆ กัน เป็นภาพที่สะเทือนใจขององครักษ์บางคนที่ยังหายใจอยู่ แต่ไร้สามารถที่จะลุกขึ้นปกป้องนายได้แล้วเช่นกันเลือดสีแดงฉาน ทะลักออกมาจากปากของโม่คัง เด็กชายยังคงพลิกตัวนอน ทาบทับเอาร่างบังน้องชายเอาไว้ภายใต้กายโชกเลือดของตนเอง ซึ่งเขาเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ อาการหายใจไม่ทั่วช่องท้อง เริ่มมีบ้างแล้วหยวนฟางดึงปี่ออกจากเชือกที่ร้อยติดกับสายคาดเอว ก่อนจะนำมาใส่ปากออกแรงเป่าอยู่อย่างมิท้อถอย ชายสวมหน้ากากเดินเข้ามาเหยียบลงบนหลังของโม่คัง ค่อย ๆ กดน้ำหนักลงไป เด็กชายไร้แรงต้านทานใด ๆ ได้อีกสองแขนที่พยายามค้ำยันเอาไว้ เพื่อไม่ให้ทับน้องชายแรงเกินไป ถึงกับสั่นระริก ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส มันคือการทรมานจากศ
หลายปีก่อน ระหว่างทางไปวัดฉุ่ยอิงนอกเมืองหลวงเพล้ง! ฮี้ ๆ เสียงกระทบกันของอะไรสักอย่าง รวมทั้งเสียงม้าที่แตกตื่น ทำให้เด็กน้อยทั้งสาม ซึ่งนั่งอยู่ภายในรถม้า รับรู้ถึงเรื่องผิดปกติ“เกิดอะไรขึ้น”เด็กชายวัยสิบขวบเอ่ยถามองครักษ์ด้านนอก แม้ตัวเขาพอเดาได้ไม่ยากว่าเกิดจากอะไร“อย่าออกมาพ่ะย่ะค่ะ มีคนร้าย”คำตอบจากหนึ่งในองครักษ์ ที่ได้อยู่คุ้มกันขบวนรถม้านำเสด็จองค์รัชทายาทโม่คังในวัยสิบชันษาเพื่อไปยังนอกเมือง ซึ่งตอนนี้ อยู่ ๆ รถม้าได้หยุดลงกะทันหัน โดยภายในมีขันทีวัยใกล้เคียงกันได้ตามเสด็จพร้อมทั้งพระญาติ คือท่านอ๋องน้อยโม่หยวนฟางเมื่อได้ยินคำตอบจากองครักษ์ เด็ก ๆ ต่างพากันเตรียมพร้อมรับมือ เสียงลูกดอกกระทบรถม้า และทะลุเข้ามายังด้านใน ทำให้โม่คังรีบคว้าตัวน้องชายเข้ามากอดเพื่อปกป้อง ก่อนจะหยิบเอาแส้อสรพิษที่นำติดตัวมาด้วยเอาไว้ในมือ แล้วพาน้องชาย รวมทั้งขันทีคนสนิทลงจากรถม้า องครักษ์คุ้มกันได้ล้อมเข้าเพื่อป้องกันเจ้านายทั้งสองอ๋องน้อยด้วยวัยเพียงห้าขวบที่หวังตามพระเชษฐาออกมาเที่ยวนอกวังนั้นยังมิประสาอะไรมาก ฝีมือการต่อสู้ก็เพียงเล็กน้อยยังมิถึงขั้นชำนาญ ในมือยังคงถือหน้าไม้ที่ฮ่องเต้
ชายหนุ่มเดินยืดตัวตรง ช่างดูสง่าผ่าเผย จนมิเหมือนบ่าวรับใช้สักเท่าใดนัก ร่างสูงหยุดยืนกะทันหัน เมื่อเผชิญหน้ากับแม่ทัพใหญ่หยางซานซินโดยบังเอิญ บุรุษต่างวัยยืนจ้องตากันดุจมังกรปะทะพยัคฆ์ก็ว่าได้ ก่อนรอยยิ้มของผู้อ่อนวัยกว่า จะยกขึ้นช้า ๆ เมื่อมองเห็นเสือเฒ่า ปิดดวงตาเอาไว้ข้างหนึ่ง‘สมกับเป็นแม่ทัพใหญ่ แม้บาดเจ็บหนักยังลุกขึ้น ออกมาเดินไปทั่วค่ายได้’ นับว่าเสือเฒ่าตัวนี้ร้ายมิใช่เล่นแต่จงอย่าลืมว่าแม่ทัพเพียงสองคน มิอาจล้มฮ่องเต้ได้โดยไร้ผู้หนุนหลัง และคนผู้นั้นต่างหากที่เขาต้องการตัว มากกว่าคนตรงหน้า โม่คังเดินเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่าย แต่เท้าของหยางซานซิน ยังมิทันขยับก้าวกลับเป็นโม่คังที่ก้าวออกไปก่อน ไม่คิดรั้งรอที่จะเอ่ยปากอันใดกับหยางซานซิน“หยุดก่อน! เจ้าเป็นใคร เห็นข้าแล้วยังไม่รู้จักอ่อนน้อม รึเห็นข้าเป็นเพียงก้อนหินหรืออย่างไรกัน เป็นชาวบ้านไร้การอบรมสิ้นดี”โม่คังหยุดเดินก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่าย คนพวกนี้ช่างเจ้ายศกันเสียจริง เขาเป็นถึงองค์ชาย ยังไม่เคยเรียกร้องให้คนมาก้มหัวให้ ชายหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แววตาเสมือนไร้ความรู้สึกใด ๆ เมื่อเขาต้องมองหน้าคนอย่างหยางซานซิน
หยางซานหลางได้คว้ามือไปหยิบหน้ากากมาสวมเพื่อปิดบังรอยแผล“ข้าน้อยเยว่คัง คารวะท่านแม่ทัพหยาง”ชายหนุ่มได้ยื่นตะกร้าให้แก่ทหาร ก่อนจะกล่าวแนะนำตัวและประสานมือ ทำความเคารพแม่ทัพหนุ่ม โม่คังแอบซ้อนสายตาเหลือบมองคนที่นั่งอยู่‘เล่อเล่อ! น้องเบามือเกินไปแล้ว หยางซานหลางยังนั่งหน้าตาย อยู่ได้ มันไม่สาแก่ใจพี่เท่าใดนัก’ ชายหนุ่มแอบตำหนิน้องสาวอยู่ภายในใจทหารที่เป็นผู้รับตะกร้าอาหารไป ได้ทำการทดสอบพิษเสียก่อน ที่จะนำมาให้แก่ผู้เป็นหัวหน้าของตนได้ดื่มกิน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงได้นำออกมาวางยังโต๊ะ รวมกับอาหารของหญิงสาว ซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว จีกวานฮวาถึงกับใบหน้าชา เสมือนถูกตบอย่างแรง เมื่อต้องมองอาหารที่สตรีอื่น นำมาให้คนรักของตนต่อหน้าเช่นนี้“แม่นางฟางเล่อสบายดีหรือ ข้านั้นเสียมารยาทมากนัก ที่มิได้เข้าไปกล่าวทักทาย ต้อนรับนางเลย ช่างเสียมารยาทนัก”“หามิได้ขอรับท่านแม่ทัพ นายหญิงให้เรียนท่านแม่ทัพว่า เมื่อวานเห็นท่านแม่ทัพ ไม่ได้เข้าไปร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวเซียนอี้ วันนี้จึงได้มอบหมายให้ข้าน้อย นำของกำนัลมาให้ยังค่ายแทนขอรับ หวังว่าท่านแม่ทัพหยางคงมิรังเกียจของพื้น ๆ เช่นนี้นะขอรับ”โม่
“เป็นเพียงบ่าวรับใช้ มินอนหน้าเตียงของข้าเสียเลยล่ะขอรับ” หยวนฟางประชดคนเป็นพี่“เช่นนั้นก็ได้ เอาตามนี้ก็ดี ปะ! ไปนอนกันเถอะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว เราควรพักผ่อน” โม่คังยกยิ้มมุมปาก เมื่อกลั่นแกล้งผู้เป็นน้องได้ จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดีโม่คังอยากหัวเราะดัง ๆ กับท่าทางประชดประชันของน้องชาย อายุมิใช่น้อย แต่พอเขาที่แก่กว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ เจ้านั่นก็กลายร่างเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ทันที ยังมีอีกคนพรุ่งนี้ น้องสาวสุดที่รักจะยังจำพี่ชายคนนี้ได้อยู่รึไม่ คราแรกตอนได้ยินข่าวการตายของนาง เขาแทบตรงดิ่งเข้าเมืองหลวง เพื่อฆ่าอดีตน้องเขยด้วยมือของตนเอง แต่เพราะคำว่าเพื่อบ้านเมือง เขาจะปรากฏตัวให้ใครรู้มิได้ว่ายังไม่ตาย‘ใกล้ถึงเวลาที่พวกแก ต้องชดใช้แล้วกบฏทั้งหลาย’หยวนฟางแทบอยากผูกคอตาย เมื่อผู้เป็นพี่ชายมานอนร่วมห้อง เป็นเขาที่ต้องนอนหน้าเตียง เมื่อทนไม่ได้กับการนอนดิ้นของพี่ชาย จึงต้องหอบหมอนและผ้าห่ม ลงมานอนข้างล่างแทน“ฝากไว้ก่อนท่านพี่ อย่าเผลอก็แล้วกัน ข้าจะเอาคืนให้สาสม”เสียงบ่นเบา ๆ ของคนด้านล่าง ทำให้คนบนเตียงยิ้มกว้าง ที่แกล้งน้องชายได้สำเร็จ พวกเขาหยอกล้อกันเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อเสียงน้อ
“ได้! ปล่อยข้าก่อน”หรู่อี้รู้สึกว่าใบหน้าของนางร้อนผ่าว เมื่อลมหายใจของคนตัวใหญ่ เป่าลดลงบนหน้าผากของนาง เมื่อร่างบางได้เป็นอิสระแล้ว หรู่อี้รีบพุ่งลงจากเตียง ไปยืนอยู่ข้างเมี่ยวจ้านในทันที เยว่คังยังคงตีสีหน้าเศร้าสร้อย ก่อนจะค่อย ๆ คลานลงจากเตียง ไปยืนตัวสั่นอยู่ข้าง ๆ ผู้เป็นนาย“เอาละ! ข้าจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกันเอาไว้ หรู่อี้ชายผู้นี้มีนามว่าเยว่คัง เป็นคนของฝ่าบาท ส่วนเจ้าเยว่คัง นางคือหรู่อี้ผู้ติดตาม คนสนิทของท่านหญิงโม่ฟางเล่อ ส่วนนั่นคือองค์หญิงเมี่ยวจ้าน คนรักของข้าเอง”พอแนะนำว่าเมี่ยวจ้านคือผู้ใดเสร็จ รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา เยว่คังค้อมศีรษะให้แก่สตรีทั้งสองนาง ก่อนจะชำเลืองมองไปทางโม่หยวนฟาง‘ร้ายนักเจ้าน้องชาย หมายจะทิ้งบ้านเมือง ไปเป็นเขยต่างแคว้น’ โดยคนเป็นน้องชายก็มิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน“ท่านพี่จะรีบทำให้ไก่ตื่นไปไย อย่างไรเสียนกน้อยของท่านก็มิหนีหายไปไหนได้อยู่แล้ว” หยวนฟางกระซิบเบา ๆ กับเยว่คัง“แม่นางหรู่อี้! เยว่คังผู้นี้จำต้องขออภัยที่ได้ล่วงเกินแม่นาง แต่อย่างไรเสีย เรื่องที่ท่านทำให้ข้าต้องมีมลทินนั้น ข้าคงมิอาจนิ่งเฉยได้”ทุกสายตาหันไปมองยังหรู่อี้
ชายหนุ่มได้หายออกจากเก้าอี้ไปนั่งอยู่บนเตียง โดยที่หรู่อี้มิอาจตามได้ทัน ความรวดเร็วว่องไวดุจสายลม ช่างน่ากลัวยิ่งนักหากคนผู้นี้คือศัตรู คงต้องบอกว่าหนักมือสำหรับนางไม่น้อยเลย หรู่อี้พุ่งเข้าหาคนบนเตียง ด้วยความเร็วดุจพายุก็มิปาน แต่คนที่นั่งอยู่กลับไม่ได้ขยับไปไหน เพียงเอี้ยวตัวหลบเล็กน้อย มือแกร่งรวบจับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ออกแรงเพียงเล็กน้อย ร่างบางกลับไปนั่งอยู่บนตักของชายหนุ่ม กระบี่ในมือตกอยู่ข้างลำตัวแทนไม่เพียงแค่กอดรัด ขณะที่หรู่อี้กำลังจะอ้าปากต่อว่า“อื้อ! อ่อย! ฮา! อะ!”หรู่อี้ทำได้แค่เพียง ส่งเสียงอู้อี้ออกมา มิใช่เพียงแค่ปากประกบลงบนกลีบปากนุ่มของหญิงสาวเท่านั้น ลิ้นของชายหนุ่มได้สอดล่วงล้ำ เข้าไปในโพรงปากของหญิงสาวอีกด้วย หรู่อี้ถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เมื่อถูกรุกราน นางยังมิเคยต้องมือบุรุษใดมาก่อนชายหนุ่มลอบยิ้มในใจ กับความใสซื่อและอ่อนประสบการณ์ของคนในอ้อมแขน หรู่อี้ถึงกับน้ำตาซึม ก่อนจะค่อย ๆ ไหลลงสู่แก้มนวล ชายหนุ่มรู้สึกได้กับน้ำอุ่น ๆ สัมผัสใบหน้าของตนซึ่งแนบชิดกับอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะถอนริมฝีปากออก“นี่อย่างไรล่ะ เขาเรียกว่าเล่นลิ้นสาวน้อย”
‘มิเจียมตนเลยเมี่ยวจ้าน’ หญิงสาวพร่ำบ่นตนเองอยู่ภายในใจ“เจ้ายังมิรู้ตัวอีกหรือเมี่ยวจ้าน ว่าตนเองมีความผิดเรื่องใดบ้าง”โม่หยวนฟางยกยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน และยังคงพูดจา ให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยมากขึ้นอีก เขารู้ตั้งแต่คนของเขาส่งสัญญาณมาก่อนแล้วว่า พวกนางมาถึงหอร้อยราตรีแล้ว เขาจึงเริ่มปล่อยให้หญิงคณิกาผู้นั้นรุกหนัก โดยยอมหญิงงามผู้นั้นขึ้นคร่อมบนตัว เสมือนเขาเป็นม้าและคณิกาคนงามเป็นผู้ขี่ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาเดียวกัน กับที่เมี่ยวจ้านปรากฏตัวขึ้น ด้วยใบหน้านิ่งสนิท แต่การกระทำกลับมินิ่งเสมือนใบหน้า สร้างความพอใจให้แกเขายิ่งนัก สิ่งที่ชอบในตัวนางคือ ความตรงไปตรงมา นางชัดเจนเสมอในสิ่งที่ลงมือกระทำ สมแล้วที่เป็นถึงรัชทายาทแห่งจิ้งหนาน‘ข้าอยากเห็นขุนพลผู้เกรียงไกร พ่ายต่อใจตนเองนัก’“เจ้าเห็นร่างกายภายใต้เสื้อผ้าของพี่จนหมดสิ้นแล้ว มิเว้นแม้แต่ส่วนลับ เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบ”โม่หยวนฟางพูดด้วยน้ำเสียง เหมือนกำลังจะร้องไห้ พร้อมใบหน้าเริ่มหม่นหมองลงทีละนิด“ห๊ะ! ขะ…ข้าหรือ” เมี่ยวจ้านอุทานออกมา ด้วยความตกใจปนสับสนโม่หยวนฟางเริ่มตีหน้าเศร้า เอามือลูบตามเนื้อตัวของตน เพื่อแสดงให้หญิ