เรือนพักของบรรดาผู้ดูแลเซียนอี้ทุกคนมองอาหารบนโต๊ะที่เลิศหรูและน่ากินเป็นอย่างมาก วันนี้ พวกเขาได้รับอาหารเหล่านี้มาจากท่านหมิงจงเป่าทำให้ทุกคนมีรอยยิ้มกว้างที่จะได้ชิมฝีมือนายหญิงสักครั้ง ใช่ว่าอาหารพวกเขาไม่ดี เพียงแต่วันนี้ มันพิเศษอยู่ตรงที่นายหญิงแห่งเซียนอี้เป็นผู้ลงมือปรุงด้วยตนเองตามความเป็นจริงแล้ว ชีวิตของพวกเขานั้นเรียกได้ว่าสุขสบายมิน้อย เงินเดือนของพวกเขามากพอ ๆ กับขุนนางขั้นกลางเลยทีเดียว การกินอยู่จะหาบ่าวบ้านไหนได้ลิ้มรสอาหารชั้นเลิศในทุก ๆ มื้อแบบพวกเขากันคงจะมีก็แต่นายท่านบ้านนี้เท่านั้นที่เลี้ยงดูบ่าวไพร่ประหนึ่งครอบครัว“จำที่ท่านจงเป่าสั่งกันได้รึไม่ ห้ามเหลือทิ้งเป็นขาด”‘ห้ามให้เหลือ รู้ไหม คิดถึงชาวบ้านที่อดอยากเข้าไว้ พวกเจ้าต้องเห็นคุณค่าของอาหารให้มาก’คำสั่งแกมปลอบโยนของท่านอาจารย์ของนายหญิง ทว่า หลายคนอยากที่จะตั้งคำถามอยู่เช่นกัน ว่าไยท่านหมิงจงเป่าจึงได้สั่งการมาเช่นนั้น พวกเขาเห็นทุกอย่างมาโดยตลอด นายหญิงปรุงอาหารได้อย่างคล่องแคล่ว วัตถุดิบชั้นเลิศ ละเอียดลออในทุก ๆ ขั้นตอนขนาดนั้น มิน่าจะมีสิ่งใดผิดพลาดได้“พี่ใหญ่…ไยท่านจงเป่าจึงได้กังวลกับอาหารพวก
“เจ้าชอบการเล่นไล่จับสินะ…”“นายท่านหมายถึง…อ่า! ข้ายังมิเคยผ่านบุรุษใดมาก่อน คงมิเหมาะกระมังเจ้าค่ะ”หรู่อี้เริ่มเล่นตามน้ำแล้วเช่นกัน รอยยิ้มเย้ายวนพร้อมดวงตาหวานหยาดเยิ้มเริ่มปรากฏให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้เห็น ใบหน้าที่คราแรกดูดุดัน บัดนี้มิต่างจากบุรุษผู้หลงมัวเมาทั่ว ๆ ไปนั่นเองต่างจากคนบนหลังคา เขาอยากจะควักลูกตาของคนในห้อง ออกมาบดขยี้ด้วยฝ่าเท้าให้สาสมกับที่บังอาจใช้มองหญิงสาว ผู้เป็นดวงใจของเขา‘หากเจ้ามิตายด้วยมือข้าก็อย่าเรียกข้าว่าโม่คังเลย’ทว่า ทุกอย่างก็ทำได้เพียงคิดเท่านั้น เพราะถ้าหากเขาลงมือโดยไม่ยั้งคิด แผนการทั้งหมดที่ทำมาก็จะเปล่าประโยชน์ในทันทีโม่คังเริ่มคิดหาวิธีจัดการทุกอย่างให้รอบคอบเพื่อจะมิให้หรู่อี้เดือดร้อน และแผนการทั้งหมดพังลง ก่อนริมฝีปากหนาจะคลี่ออก พร้อมดวงตาที่เป็นประกายจ้องมองไปยังบุคคลทั้งสองภายในห้อง“หากเจ้าตามใจข้า มิว่าสิ่งใด ข้าก็ให้เจ้าได้อย่างที่ใจเจ้าปรารถนา สาวน้อยของข้า”คำหวานที่พรั่งพรูออกจากปากของบุรุษที่คาดหวังเพียงเสพสุขอันหาความจริงใจมิได้นั้น ไม่ได้สร้างความปีติยินดีในใจของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย“จริงหรือเจ้าคะ”ก๊อก ๆทุกอย่างกลับต้องห
เมื่อออกมาอยู่กันตามลำพังในที่ลับตาผู้คนแล้ว โม่คังได้ถอดผ้าคลุมสีดำออก ก่อนนำไปวางทาบทับบนไหล่กลมกลึงของหรู่อี้ พร้อมกับดึงกระชับให้ผ้าคลุมผืนใหญ่ปิดบังเนินอกอวบอิ่มที่ล้นทะลักออกมาให้มิด ใบหน้าของชายหนุ่มภายใต้แสงจันทร์นั้นดูจะบึ้งตึงจนหญิงสาวมิกล้าแม้แต่จะเอ่ยปากทัดทานสิ่งที่เขากำลังทำต่อนางได้“อย่าให้ข้าเห็นเจ้าทำเช่นนี้อีก ชุดสวะนี่ก็อย่าแม้แต่จะคิดจับต้องมัน เข้าใจหรือไม่”“…”สิบกว่าปีมานี้ เขาเฝ้ามองนางอยู่ห่าง ๆ มาตลอด คำสัญญาสำหรับเด็กคนอื่นอาจเป็นเพียงแค่ลมปาก ทว่าสำหรับเขานั้น มันคือเรื่องจริงเสมอมา แม้ว่าตอนนี้ เขาจะใช้ชีวิตเสมือนเป็นเพียงภูตผีตนหนึ่งเท่านั้น“องค์ชายทรงน่ารักจังเพคะ”“ฮา ๆ อี้เอ๋อร์ น่ารัก เขามิใช้กับผู้ชายรู้หรือไม่”องค์ชายโม่คังในวัยสิบขวบกำลังนั่งมองญาติผู้น้องท่านหญิงโม่วัยสามขวบ และปากก็คุยกับเพื่อนเล่นตัวน้อยของนางไปด้วย หรู่อี้ หลานสาวพระนมของพระบิดาและเสด็จอาของเขา นางได้ถูกส่งตัวมาติดตามท่านหญิงโม่คู่กับสาวใช้อีกนางวัยใกล้เคียงกันนามชิงชิง ด้วยความน่ารักของเด็กน้อยในตอนนั้น เขาคิดเช่นไรมิรู้ถึงได้เอ่ยคำนั้นออกไป“อี้เอ๋อร์ หากเจ้าโตขึ้นจะเป็นฮ
ห้องประชุมลับเพียงเวลามิถึงครึ่งก้านธูป ทุกคนก็ได้มารวมตัวกันเพื่อหารือเรื่องสำคัญทุกสายตามองไปยังโม่คัง ซึ่งตอนนี้ ชายหนุ่มคว้ามือของผู้ติดตามน้องสาวไปยืนอยู่ข้างกายของตนเอง ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงขึ้นทันทีเมื่อสังเกตเห็นเนินอกอวบอิ่มของหญิงสาวอีกครั้ง ผ้าคลุมที่เขาสวมให้แก่นาง บัดนี้ มันเลื่อนไปอยู่ด้านหลังของหญิงสาวจนหมด มิได้ปกปิดส่วนที่เขาหวงแหนต่อสายตาผู้อื่นจนหมดสิ้นแล้วในตอนนี้โม่คังจับร่างบางให้หันใบหน้า เผชิญกับเขา ก่อนมือหนาจะกระตุกเชือกผ้าคลุมออก แล้วชายหนุ่มได้จัดการผูกมันใหม่อีกครั้ง แต่ทว่า มันยังไม่ได้ดั่งใจเขาอยู่ดี โม่คังหันมองหาสิ่งที่จะช่วยเขาได้ในตอนนี้ ก่อนจะใช้มือหนาลูบไปยังใบหูงามของหญิงสาว และสิ่งที่ติดมือของชายหนุ่มออกมาคือต่างหู หรู่อี้มองตามมือของชายหนุ่มที่กำลังใช้ส่วนโค้งงอของขาต่างหูกลัดผ้าทั้งสองฝั่งให้ติดกัน“ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว หรู่อี้ ว่าอย่าแม้แต่จะคิดที่จะให้ใครมองมัน”นิ้วของชายหนุ่มจิ้มลงเหนือเนินอกของหญิงสาว เป็นการตอกย้ำคำพูดของเขาว่าหมายถึงสิ่งใดที่เขาเคยตักเตือนหญิงสาวหรู่อี้ทำได้เพียงก้มหน้านิ่ง เวลานี้ นางแทบจะมุดลงไปแอบอยู่ใต้โต๊ะเสียให้
สำหรับโม่ฟางเล่อนั้น มิใช่ว่านางจะตัดสินใจวางแผนเพียงคำบอกเล่าของพี่ชายและคนสนิท แต่ทว่า ตัวนางเคยมาสำรวจกับผู้เป็นอาจารย์แล้วถึงสองครั้ง และยังทุกด้านของพรรคมารแห่งนี้อีกด้วยยุคที่นางจากมานั้นมีแหล่งให้ศึกษาหาความรู้อยู่มากมาย ทั้งยังไม่จำกัดเพศในการเรียนรู้ แม้ในมิตินี้จะมีอยู่บ้างที่ให้สตรีสามารถออกความคิดและเป็นผู้นำได้ไม่ต่างกับบุรุษ ทว่า การยอมรับนั้นถือว่ายังมีไม่มากเท่าที่ควร“ระวังตัวให้ดี จำไว้หากคิดว่าเราตกเป็นรองจนไม่อาจพลิกกลับสู่ชัยชนะได้ จงแยกย้ายกันหลบหนีในทันที เมื่อคำนวณแล้วเราไม่อาจล้มอีกฝ่ายลงได้ก็รู้จักที่จะถอยหลังสักหลายก้าวหน่อยเพื่อตั้งหลัก ข้าขอถามความสมัครใจของพวกท่านทั้งหลายอีกครั้ง ว่ามีผู้ใดคิดจะถอนตัวหรือไม่ ข้าจะไม่บังคับให้ผู้ใดให้ปีนขึ้นไปบนนั้นโดยมิเต็มใจ”ทุกถ้อยคำของหญิงสาวมิได้ลดทอนความฮึกเหิมของผู้ติดตามเลยแม้แต่น้อย ทว่ามันกลับตรงกันข้าม เพราะมันเป็นการสร้างกำลังใจให้กับคนในชุดดำทั้งหมด“นายหญิง ไม่มีวันใดที่พวกข้าคิดจะละทิ้งท่าน”“ขอบคุณพี่น้องของข้าทุก ๆ คน เช่นนั้น เราจะช้าอยู่ไย”เชือกเส้นใหญ่จำนวนมากได้ถูกนำมาผูกต่อเข้าด้วยกัน ทั้งยังมีตะขอ
โม่ฟางเล่อได้ล้วงเอาแท่งไฟอันใหม่ออกมาเป่า ก่อนจะคาบเอาไว้เช่นเดิม ซึ่งครั้งนี้ นางตามหลังผู้เป็นพี่ชายไปติด ๆ มิได้นำหน้าเหมือนในคราแรก สองพี่น้องจำต้องระวังให้มากขึ้น เพราะพวกเขาเข้าใกล้จุดหมายมากขึ้นทุกขณะถงเหยียนเจี๋ยถลาเข้าหาหน้าผาเมื่อเห็นแสงเล็ก ๆ ร่วงลงมายังด้านล่าง เขามิรู้ว่ามันเป็นของผู้ใด แต่ก็อยากให้มั่นใจว่ามิใช่ของภรรยา ชายหนุ่มตรวจสอบอาวุธและอุปกรณ์ทั้งหมดเพื่อเตรียมพร้อมที่จะปีนขึ้นไปด้านบน“เจี๋ย…อย่าคิดมากไป น้องเขยข้า พี่ใหญ่ของเราอยู่กับนาง”“ข้ารู้ หยวนฟาง แต่นางยังอ่อนประสบการณ์อยู่มาก ข้า…”“ข้าเข้าใจเจ้า สหาย”โม่หยวนฟางลอบมองไปยังหญิงสาวอีกคนที่กำลังยืนเยี่ยงบุรุษอยู่ตีนผาห่างออกไปไม่มาก ทุกท่วงท่าของนางช่างแตกต่างจากน้องสาวของเขายิ่งนัก ขนาดองครักษ์ข้างกายของน้องสาวอย่างหรู่อี้ก็ดูบอบบางกว่าเมี่ยวจ้านมากนัก หากเป็นนางอยู่บนนั้น และเขายังยืนอยู่ตรงนี้เหมือนกับถงเหยียนเจี๋ย สภาพจิตใจเขาก็คงมีอาการมิต่างกันเท่าใดนักบนผาสูงเมื่อใกล้ถึงที่หมาย แท่งไฟถูกดับในทันที โดยมีโม่คังเป็นผู้นำขึ้นไปด้านบนก่อน ชายหนุ่มดึงผ้าปิดพันใบหน้าเอาไว้ ก่อนจะค่อย ๆ โผล่ศีรษะพ้นขอบ
ตอนที่43หมิงจงเป่าหยุดยืนยังหน้าห้องตรงสุดทางเดิน ก่อนจะขมวดคิ้วเข้ม มองประตูเบื้องหน้าด้วยความระแวง มือหนาขึ้นสูงก่อนจะส่งสัญญาณให้คนด้านหลังเตรียมพร้อม เขามั่นใจว่าห้องที่มีทางเดินอันสุดแสนอันตรายเช่นนี้จะต้องเป็นของคนที่สำคัญมากอย่างแน่นอนตูม!หมิงจงเป่ายกแขนขึ้นกำบังใบหน้า พร้อมขยับถอยไปด้านหลังด้วยความรวดเร็ว เมื่อทุกอย่างสงบนิ่งลง ร่างสูงของบุรุษหน้าตาหล่อเหลายืนมองตรงมายังผู้บุกรุกด้วยแววตาอันเยือกเย็นไม่มีคำพูดใดหลุดออกจาปากของเจ้าบ้าน นอกจากกระบี่ที่พุ่งตรงเข้าหาแขกไม่ได้รับเชิญ และมิได้มีเพียงชายผู้นั้น ยังมีหญิงสาวในชุดสีอ่อนหวาน ผมยาวสลวยกลายเป็นสีขาวก้าวตามออกมาอีกคน และตรงไปยังโม่ฟางเล่อ ผู้เป็นศัตรูที่นางต้องการกำจัดมากที่สุด“เจ้ารนหาที่ตายจนได้สินะ พี่สาวข้า”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นให้เห็นอย่างเด่นชัด ดวงตาที่เคยสดใสราวลูกแก้ว บัดนี้ มันแดงก่ำไปด้วยสีเลือด ทางเดินที่เคยกว้างขวาง บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นดั่งสนามรบขนาดย่อมไปเสียแล้ว เมื่อสาวกพรรคมารได้เผยตัวออกมาล้อมกรอบผู้บุกรุกเอาไว้รอบด้าน“มันก็อาจเป็นเช่นนั้นน้องพี่ ทว่าอย่าได้มั่นใจอะไรจนเกินไป แม้ท่าทางของเจ้าในต
มือหยาบกร้านของเมี่ยวจ้านจับที่ข้อมือบางของคนพูด ก่อนจะจับจูงกันเดินออกจากความมืดเพียงก้าวพ้นที่กำบังกาย เมี่ยวจ้านจึงได้ปล่อยมือจากหรู่อี้ ภายใต้แสงสลัวนั้น เมี่ยวจ้านมิต่างจากบุรุษผู้องอาจเลยก็ว่าได้ หากมิถอดผ้าคลุมออก ยากที่ใครจะคิดว่านางคือสตรี“เชิญคุณชายและคุณหนูมาร่วมดื่มชากับข้าสักถ้วย”ผู้ติดตามที่ยังคงหลบซ่อนอยู่ในเงามืดต่างพากันขำขันอยู่ภายในใจ พวกเขาเดาไว้ไม่ผิดเลยว่าสตรีด้านในจะมองว่าคุณหนูเมี่ยวจ้านคือบุรุษ ยิ่งใบหน้าถูกปิดบังไปกว่าครึ่ง ยากที่ใครจะมองออกว่านางคือสตรี“อะ…แฮ่ม ขอบคุณแม่นาง”เมี่ยวจ้านปรับเสียงให้เข้มขึ้น ก่อนจะก้าวเข้าไปในกับดักที่เจ้าบ้านวางเอาไว้ พร้อมเชื้อเชิญพวกนางก้าวไปสู่ความตาย“ไยถึงได้มาเยือนเรือนข้ายามดึกดื่นเช่นนี้ จุดประสงค์ของคุณชายคงมิใช่…”หญิงสาวเจ้าของบ้านช่างงดงามเย้ายวนกว่าที่คาดเอาไว้มากที่เดียว นางหยุดคำพูดเอาไว้ให้เป็นปริศนาพร้อมส่งสายตาเชิญชวนให้แก่บุรุษชุดดำที่เปิดเผยให้เห็นเพียงดวงตาอันดุดัน ริมฝีปากบางเผยอขึ้นอย่างยั่วเย้า พร้อมชำเลืองมองไปยังหญิงสาวอีกคนในห้อง‘หรือว่านางมิใช่คนรักของชายผู้นี้’หรู่อี้ในชุดสีดำขับเน้นทรวดทรง ม
ภายในจวนสกุลเชี่ยดูจะสงบเงียบกว่าที่เคย แต่ถึงกระนั้นก็มิใช่เรื่องที่คนภายนอกจะรับรู้ได้ เจ้าของบ้านสองสามีภรรยากำลังดื่มด่ำกับการจิบชาชั้นยอด พร้อมการสนทนากันตามประสา ซึ่งทำให้แขกผู้มาเยือนถึงกับส่ายหน้าด้วยความเอือมระอากับลีลาการเฝ้ารอศัตรูของคนสกุลใหญ่ หากนางปรากฏกายต่อหน้าทั้งสองคนนั้น เพียงครู่คงมีทหารในจวนโผล่ออกมาล้อมรอบ‘หึ ๆ’ นางมีดีกว่านั้น“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เงียบ ๆ มันดูมิตื่นเต้นเท่าใดนัก พวกเจ้าช่วยปลุกพวกเขาให้ตื่นกันเลยจะดีกว่า”จบคำพูดจากการแฝงตัวในเงามืด เพื่อเฝ้ารอเวลาลงมือ กลับเปลี่ยนเป็นการลงมืออย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำวางกำลังไว้อีกชั้นเพื่อการเก็บกวาด“อ๊ากก!”เพียงครึ่งก้านธูป เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็เกิดขึ้น ทหารในจวนแท้จริงคือนักฆ่ารับจ้าง ทว่า จอมโจรผู้บุกรุกก็คือกลุ่มมือสังหารชั้นยอดเช่นกัน การมาปล้นในครั้งนี้ ผู้นำมิคิดที่จะนำคนมาเพียงหยิบมือเสียเมื่อไหร่กัน การจบหมากกระดานเล็กให้สิ้นซากก็คือทุบกระดานหมากให้แหลกคามือเท่านั้น“มิต้องเชิญข้า ใต้เท้าเชี่ย ฮูหยินเชี่ย ข้าดื่มกินมาอิ่มหนำสำราญมาจากบ้านแล้ว”“กำแหงนัก กล้าบุกรุกบ้านขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ช่างรนหาที่ตายโดยแท
“พวกเจ้ามันปีศาจ คนสกุลโม่ช่างไร้ความเมตตา ข้ามิทัน...อัก!”พูดได้เพียงเท่านั้น ลำคอกลับมีเลือดพุ่งออกมามากมาย โดยมิได้ถูกตัวหยวนฟางสักนิด ความเร็วดุจสายลมทำให้ร่างสูงออกมายืนอยู่ห่างพอสมควรโดยในมือมีบางสิ่งติดมาด้วย ก่อนที่ชายหนุ่มจะกางมือออก สิ่งนั้นจึงร่วงลงสู่พื้นดิน“คิดจะกลืนกินคนของข้า มิเจียมตน สกุลโม่หรือไร้เมตตา หึ! ไม่คิดบ้างหรือว่ากว่าจะทำให้แผ่นดินนี้เป็นปึกแผ่นได้ คนสกุลโม่ต้องแลกมาด้วยสิ่งใดบ้าง เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนทั้งแคว้นเอาไว้ ปู่ข้าต้องตายเพื่อปกป้องขอทานเพียงคนเดียว เพราะนั่นคือประชาชนของพระองค์ แล้วพวกเจ้าตายเพื่อปกป้องใครบ้าง”หนึ่งในคนร้ายถึงกับตาค้าง เพราะสิ่งที่ร่วงจากมือของโม่หยวนฟาง มันคือหลอดลมของชายชุดดำ คนร้ายที่ยังมีลมหายใจอยู่เพียงหนึ่งถึงกับตัวสั่นงันงก ด้วยความหวาดกลัว คนแรกว่าอำมหิตแล้ว แต่อ๋องน้อยผู้นี้มันปีศาจชัด ๆ ชายชุดดำขยับตัวหวังจะหลบหนีฉึก! ร่างสูงของคนร้ายทรุดลงกับพื้นก่อนจะทันได้ก้าวขา“คิดจะแทงข้างหลัง! คนเช่นโม่หยวนฟาง เจ้าควรคิดให้ดีก่อน”หากมีผู้ใดมาได้ยินคำพูดของโม่หยวนฟางคงอยากตายไปสักพันครั้ง คนร้ายคิดหนี แต่ท่านอ๋องน้อยกลับกล
“จะบุรุษหรือสตรี หากรู้จักการพลิกแพลงสถานการณ์ มิใช่เรื่องยากที่จะคว้าชัยในสนามรบ อ๊ะ!”โม่ฟางเล่อหมุนกายออกห่างจากคู่ต่อสู้ เมื่อรับรู้ถึงการจู่โจมจากทางด้านหลัง แม้จะเพียงเฉียดผ่าน ทว่ากระบี่ของศัตรูก็ได้ดื่มเลือดของนางเสียแล้ว โม่ฟางเล่อกลับมิได้สนใจบาดแผล หญิงสาวรีบล้วงขวดหยกใบเล็กออกมาจากอก ก่อนจะรีบกลืนสิ่งที่อยู่ในขวดลงไปอย่างรวดเร็ว นางยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องพิษ แต่การป้องกันเอาไว้ก่อนเป็นเรื่องที่ผู้เป็นอาจารย์คอยกำชับและย้ำเตือนนางอยู่บ่อยครั้ง“การที่มั่นใจเกินไป มันก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่รึท่านหญิงโม่ ฮา ๆ”“สุนัขก็ยังเป็นสุนัขอยู่วันยังค่ำ ต่อให้พยายามทำตัวดั่งราชสีห์ เจ้าก็มิอาจเป็นได้ดั่งใจหมาย”จากรอยยิ้มกลับกลายเป็นใบหน้าบึ้งตึงด้วยความขุ่นเคืองใจกับคำพูดของหญิงสาว“หลีกไป ข้าจะจัดการนางด้วยตนเอง”เชี่ยหยาโถวคว้าแขนของผู้คุ้มกันออกจากการบังเขาจากหญิงสาวตรงหน้า เขาถูกสตรีอ่อนแอหยามเกียรติจนไม่เหลือชิ้นดี อย่างไรเสียวันนี้ เขาจะพิสูจน์ให้นางได้เห็นว่าคำพูดพล่อย ๆ ของสตรีเช่นนางนั้นมิใช่ความจริง“มาจบเรื่องกันเถอะ คุณชาย อย่าถ่วงเวลาพวกข้าให้มากไปกว่านี้อีกเลย”มือบางใช
คล้อยหลังโม่หยวนฟางไปเพียงครู่เดียว ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดสีขาวได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของคนที่กำลังสั่นระริกไปทั้งร่างด้วยความรู้สึกอันหลากหลายที่ถาโถมเข้ามา เขาพ่ายแพ้ได้อย่างน่าอับอายเป็นที่สุด การต่อสู้เพียงแค่เวลาสั้น ๆ เขากลับกลายเป็นคนพิการ และรอเพียงเวลาถูกลงทัณฑ์จากผู้เป็นนายที่แท้จริง“หึ ๆ คนเก่งของท่านพ่อ ไยตอนนี้ถึงกลายมาเป็นเพียงคนไร้ค่าเช่นนี้ เจ้าก็ดีแต่ปาก หลงเป่า”“คนที่ดีแต่ปาก ข้าว่าน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า หึ ๆ นึกว่าผู้ใดกัน แท้จริงก็เป็นคุณชายขี้โรคจากสกุลเชี่ยนี่เอง เชี่ยหยาโถว”ขวับ! ชายหนุ่มในชุดสีขาว หันกลับไปตามเสียงในทันที ทว่ากลับไร้วี่แววของเจ้าของเสียง ก่อนจะหันกลับมายังร่างของหลงเป่าที่ตอนนี้ถูกจับตัวเอาไว้โดยโม่หยวนฟาง“เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เห็นทีคงมิอาจปล่อยท่านอ๋องน้อยให้มีลมหายใจต่อไปไม่ได้แล้วสินะ”“ฮา ๆ ปล่อยให้ข้ามีลมหายใจรึ ช่างกล้าพูดนะ คุณชายเชี่ย เจ้าไม่ใช่ตั้งใจจะกำจัดข้าอยู่ก่อนแล้วหรืออย่างไรกัน คนที่ขี้ขลาดแท้จริงคือตัวเจ้า อย่าได้โทษใครอื่นอีกเลย”“อย่าพูดให้มากความท่านอ๋องน้อย ข้ามาถึงขนาดนี้ย่อมต้องมีของพิเศษรอต้อนรับท่านอ๋องอยู่ก่อนแล
คนชุดดำไถลตัวลงมาจากต้นไม้อย่างรวดเร็ว พร้อมกระบี่ยาวชี้ตรงสู่กลางศีรษะของเมี่ยวจ้าน แม้จะสวมหมวกเอาไว้ แต่ทว่า ประสาทสัมผัสของนางนั้นเป็นเลิศมิแพ้ฝีมือเลยแม้แต่น้อย แส้ทองถูกสะบัดฟาด ไปด้านบนศีรษะด้วยกำลังภายในอันมหาศาลร่างของชายชุดดำที่กำลังคิดจะปลิดชีวิตของหญิงสาว มิอาจหลบได้ทัน ด้วยความเร็วที่ไม่ทันได้คาดคิดว่าจะถูกตอบโต้อย่างกะทันหันเช่นนี้ สำหรับเมี่ยวจ้านแล้ว นางไม่จำเป็นต้องมองขึ้นไปเลยด้วยซ้ำตุบ! ร่างของคนร้ายตกกระแทกพื้น โดยที่ศีรษะตกกลิ้งหลุน ๆ ไปอีกทาง ตอนนี้ธนูถูกวางลง อาวุธประจำกายถูกนำออกมาใช้แทน ทุกอย่างต้องทำให้เร็ว ด้วยจำนวนคนของฝ่ายนางมีน้อยกว่า ดังนั้นจำต้องจบทุกอย่างให้เร็ว หากยืดเยื้อมากไปกว่านี้รังแต่จะเสียเปรียบมากกว่าจะคว้าชัยมาอย่างปลอดภัย“ท่านเมี่ยวจ้าน”“อย่าแตกตื่นไป ท่านพี่ม่อตู เมี่ยวจ้านมิใช่เด็กน้อยแล้วนะ”ฟึบ!ม่อตูสะบัดผ้าคลุมกันอาวุธลับเพื่อมิให้ต้องกายผู้เป็นนาย ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของนายสาวของตนเอง สำหรับเขาแล้ว องค์หญิงเมี่ยวจ้านคือน้องสาวตัวน้อยที่เขาเฝ้าปกป้องมานับตั้งแต่พบเจอกัน เมื่อนางยังเป็นเพียงทารกจนเติบโตขึ้นมาเป็นผู้
‘โดยเฉพาะเจ้า โม่หยวนฟาง ข้าจะต้องทำให้เจ้าก้มหัวแทบเท้าข้าให้จงได้’โม่หยวนฟางซึ่งเบนหัวม้าให้ตนเองถอยกับมารั้งท้ายทุกคน โดยมีคนสนิทเคียงข้างกายอยู่เพียงสองคน ทั้งสามไม่เอ่ยวาจาใด ๆ ต่อกันแม้แต่ครึ่งคำ ทว่าแค่เพียงสบตาพวกเขาก็รู้ดีว่าต้องทำสิ่งใดชายหนุ่มมั่นใจในตัวของสหายรักว่าจะปกป้องน้องสาวของเขาได้เป็นอย่างดี โม่ฟางเล่อเล่อทำสิ่งที่ควรได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะพลาดพลั้งก็แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นั่นคือการระวังหลังซึ่งเขามั่นใจว่าสองสาวคงต้องการให้เป็นเขาที่ทำหน้าที่นี้แทนโม่หยวนฟางแอบชำเลืองมองไปยังคนรักของตนที่อยู่อีกฝั่งของถนน โดยมีองครักษ์คู่ใจของนางคอยประกอบข้างมิห่างกาย ชายหนุ่มทั้งห้าผู้มาจากจิ้งหนาน ซึ่งมีหัวหน้าองครักษ์ม่อตูเป็นผู้เอ่ยปากขอติดตามนายของตนมา มิเช่นนั้นจำต้องใช้อำนาจที่มีนำตัวหญิงสาวกลับสู่แคว้นในทันทีแต่ทว่าเวลาเช่นนี้ เขากลับรู้สึกอุ่นใจอย่างไรไม่รู้ที่มีคนคอยปกป้องนางเมื่อยามต้องเจอศึกที่มิอาจคาดเดาได้ว่าจะมีโอกาสรอดมากน้อยเพียงใด“ข้าอีกแล้ว ไยต้องมาลงที่ชายหนุ่มผู้น่ารักเช่นข้าตลอดเลย”เสมือนว่าคำพูดของโม่หยวนฟางเป็นการเปิดศึกในครั้งนี้ก็มิปาน เพียงจบคำพ
ส่วนด้านนอกรถม้า สองแม่ทัพสกุลหยางแทบไร้การพูดคุยกันเช่นในอดีต หยางซานซินยังคงทำตัวเป็นปกติ ทว่า สิ่งที่แตกต่างก็ฉายชัดออกมาอยู่นั่นเอง เมื่อเขาดูจะไม่ใยดีบุตรชายซึ่งอยู่บนหลังอาชาเคียงข้างเขาอยู่ในขณะนี้ฝั่งหยางซานหลางก็ไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย จากคนที่นิ่งขรึมมาตลอด บัดนี้เรียกได้ว่าตลอดทั้งร่างของชายหนุ่มนั้นปลดปล่อยแต่เพียงรังสีแห่งการฆ่าฟัน ซึ่งแตกต่างจากเมื่อครั้งก่อนหน้าที่ชายหนุ่มจะเก็บงำทุกอย่างเอาไว้ มิแสดงตัวตนของเขาออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้มากถึงเพียงนี้แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงของแม่ทัพทั้งสองจะสร้างความแปลกใจให้แก่ผู้ติดตามทั้งหมด ทว่าก็ไร้ซึ่งคำถามจากทุกคน เพราะถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของผู้นำ“ซานหลาง เจ้าจงเว้นระยะห่างกับพระนางกุ้ยเฟยให้มากขึ้นอีกสักหน่อยก็ดีนะ”แม้จะเป็นคำพูดที่ดูเรียบง่าย แต่กลับแฝงความนัยที่ทำให้ผู้ฟังขุ่นเคืองใจอยู่มากทีเดียว หยางซานหลางชำเลืองมองผู้ที่บัดนี้เขาต้องเรียกว่าบิดาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองตรง ๆ ตามเส้นทางอันยาวเหยียดพร้อมรอยยิ้มยังมุมปาก“ขอรับท่านพ่อ แต่ถ้าจะให้ดี ท่านพ่อเองก็ควรระวังใจของตนเองเอาไว้ให้มากเช่นกัน
‘คำว่าแพ้มีให้แก่คนอ่อนแอเท่านั้น และมันมิใช่ข้า’“ทูลพระนางเต๋อเฟย ลู่กงกงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”กั๋วเต๋อเฟยเหลือบขึ้นมองคนสนิท ก่อนจะพยักหน้าให้กับอี้ถิง หญิงสาวย่อกายให้แก่ผู้เป็นนาย ก่อนจะหมุนกายออกไปยังห้องด้านนอก เพื่อทำตามประสงค์ของเจ้าของตำหนักเมื่อมีผู้มาเยือน การเดินหมากของนางก็จำต้องยุติลง มือวางสะบัดมือเพียงครั้ง ผ้าผืนบางที่วางอยู่บนโต๊ะได้ปลิวสะบัดก่อนจะคลุมลงยังกระดานหมากบนโต๊ะ เสมือนมีคนจับวางก็มิปาน ร่างระหงลุกขึ้นก้าวเดินออกไปยังห้องรับรองชั้นนอกลู่กงกงรีบโค้งกายลงต่ำ เมื่อเจ้าของตำหนักเดินนวยนาดออกมาจากหลังม่านไข่มุก“ลู่เฟย ถวายบังคมพระนางเต๋อเฟยพ่ะย่ะค่ะ”“ตามสบายลู่กงกง วันนี้มาพบข้า ท่านคงมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ ว่ามาเถิด”“ทูลพระนาง กระหม่อมนำพระบัญชาของฝ่าบาทมาแจ้งแก่พระนางพ่ะย่ะค่ะ”“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งถึงข้ารึ”ใบหน้างามซับสีเลือดในทันที เมื่อนึกถึงบุรุษผู้องอาจผู้เป็นพระสวามีของนาง แม้ทรงมีพระชนม์มายุมากแล้ว ทว่ากลับยังคงความหล่อเหล่าเฉกเช่นวัยหนุ่มสาวก็มิปาน จากแต่เดิมที่นางท่องจำว่าเพราะหน้าที่กับการสมรสในต่างแดนครั้งนี้ กลับกลายเป็นว่านางปรารถนาที่จะเคียงคู่
วังหลวงบุรุษในชุดมังกรเดินวนไปมาเสมือนพยัคฆ์ติดบ่วง โดยมีร่างงามของสตรีในชุดสีแดงเพลิงปักลวดลายหงส์นั่งมองคนที่เดินไปมาด้วยความนึกขัน“จะทรงเดินอีกนานรึไม่เพคะ ฝ่าบาท”“จะให้ข้านิ่งนอนใจได้อย่างไรกันฮองเฮา ผู้อาวุโสมิรู้พากันสนุกสนานอยู่ที่ใดกัน ตอนนี้ กองทัพเคลื่อนพลสู่เมืองหลวงด้วยวิธีที่แยบยลนัก หึ ๆ เป็นข้าเอง ผิดที่ข้าฮองเฮา ข้าชักนำศึกเข้าเมืองเร็วเกินไป”ร่างสูงก้าวไปนั่งยังเก้าอี้ข้างฮองเฮา โดยที่พระนางยังคงสนใจในตำราหลังจากอีกฝ่ายนั่งลง“หากเป็นท่านผู้อาวุโสก็จะทำเช่นพระองค์เพคะ อย่าทรงโทษพระองค์เองไปเลยเพคะ ไม่ว่าอย่างไร คนพวกนั้นก็ต้องเคลื่อนไหวอยู่ดี การเดินเกมในบางครั้ง การปล่อยให้ศัตรูล่วงล้ำเข้ามาบ้างก็อาจเป็นผลดี”“ข้าไม่ถัดการวางแผนเช่นเจ้านี่ ภรรยาข้า หึ ๆ”“แต่ทรงเป็นนักรักที่เก่งกาจใช่ไหมเพคะ”“ฮา ๆ วางใจเถอะฮองเฮา จะไม่มีสตรีใดมาแทนที่เจ้าได้”เมื่อรู้ว่ามีผู้มาเยือนได้ก้าวเข้าสู่ห้องชั้นนอก สองสามีภรรยาจึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นหยอกล้อกันแทนห้องโถงรับรอง ตำหนักเหลียน“ลู่กงกง ท่านมาตามหาฝ่าบาทหรือเจ้าคะ”“เชียงเชียง เจ้าช่างรู้ใจข้ายิ่งนัก ฝ่าบาททรงมาแอบอยู่