ห้องครัว ณ เซียนอี้เสียงทำอาหารภายในห้องครัวส่วนตัวเล็ดลอดออกมาให้คนที่แอบอยู่ด้านนอกได้ยินกันถ้วนหน้า หมิงจงเป่าได้สั่งให้คนของตนเองมาคอยสอดแนมดูว่า หญิงสาวได้เปลี่ยนแปลงรายการอาหารหรือไม่ เพราะเกรงว่าฟางเล่อจะจับได้ว่าอาหารที่จะขึ้นโต๊ะในคืนนี้มิใช่ฝีมือของนาง“เรียนนายหญิง นายท่านและท่านอ๋องน้อย ผู้ติดตามเยว่คัง พร้อมทั้งคุณหนูเมี่ยวจ้านกลับมาแล้วขอรับ”“งั้นเร็วเข้า พวกเจ้าทยอยนำอาหาร ขึ้นไปจัดเตรียมยังห้องรับรอง ป่านนี้คงพากันหิวแย่ ปลาของข้าได้รึยัง เสร็จแล้วเอามาตรงนี้ ข้าจะปรุง”เมื่อได้ยินว่าพี่ชายและสามี รวมถึงว่าที่พี่สะใภ้กลับมาแล้ว ฟางเล่อเร่งลงมือกับวัตถุดิบตรงหน้า โดยมีเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมช่วยจัดเตรียมข้าวของช่วยอีกแรง มือบางที่ยังเผยให้เห็นรอยฟกช้ำจากการต่อสู้เมื่อกลางวัน แต่หญิงสาวหาได้ใส่ใจไม่ อาหารคือสิ่งจำเป็นในชีวิต ยิ่งในสงคราม หากทหารมิอิ่มท้อง ต่อให้เก่งเทียมฟ้าก็ต้องพ่ายแพ้หากไร้ซึ่งอาหารมาสร้างกำลังให้แก่ตนเองนับตั้งแต่แต่งงาน มีแค่มิกี่ครั้งที่นางลงมือปรุงอาหารให้แก่สามีและครอบครัว วันนี้นับว่าเป็นโอกาสของนางอีกคราที่จะได้แสดงความสามารถด้านนี้ให้ทุกคนไ
เพียงพริบตา ร่างสูงไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดกายได้ยืนกางแขนเอาหลังดันประตูเอาไว้ด้วยอาการตื่นตกใจ มิแพ้กับร่างบางที่พันกายห่อตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่ม“ข้ากำลังจะออกไปขอรับ ท่านพี่นำไปก่อนเลยขอรับ ประเดี๋ยว ข้าจะรีบตามไปนะขอรับ พอดีเล่อเล่อ...นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่”เจ้าของห้องรีบละล่ำละลักบอกคนด้านนอกก่อนที่อีกฝ่ายจะบุกเข้ามาด้านใน“อ้อ…เช่นนั้น ข้ามิกวนพวกเจ้าแล้ว”โม่คังลากเสียงยาว ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่เสมือนเขารู้ว่าแท้จริงคนด้านในกำลังทำสิ่งใดกันอยู่ก็มิปานคำพูดของโม่คังเมื่อครู่ยิ่งทำให้สองสามีภรรยาแทบอยากละลายกลายเป็นไอหายไปยิ่งนัก หากผู้ใดมาเห็นสภาพของทั้งคู่ โดยเฉพาะถงเหยียนเจี๋ย ก็คงอดขำมิได้กับการที่ชายหนุ่มยืนตัวแดงก่ำเสมือนกุ้งต้ม ซ้ำยังไร้อาภรณ์ติดกาย ยืนขวางประตูเอาไว้อย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันการบุกรุกจากพี่ชายของหญิงสาวบนเตียงถงเหยียนเจี๋ยจัดการตรวจสอบอีกครั้งว่าได้ลงสอดไม้ขัดประตูไว้อย่างดีแล้ว ก่อนที่รางสูงจะก้าวเร็ว ๆ กลับขึ้นไปบนเตียงนอน ร่างแกร่งคว่ำหน้าลงทาบทับคนที่กำลังชุกซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่“จะรักษาต่อให้เสร็จ หรือจะตามพี่ชายเจ้าออกไปกัน หืม!”“ต้องถามตัวท่
ถงเหยียนเจี๋ยกำลังพยายามปรับสีหน้าของตนเองอยู่ในที ด้วยเวลานี้ เขามั่นใจว่าตนเองนั้นกำลังมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน รู้สึกได้จากอาการร้อนผ่าวที่มิยอมคลายลงเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างภรรยา“ถงเหยียนเจี๋ย คารวะท่านพ่อตา ท่านแม่ยายทั้งสี่ขอรับ”“ฟางเล่อคารวะ ท่านลุง ท่านป้า ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ”“ไม่ต้องมากพิธีหลานรัก มา ๆ นั่งข้าง ๆ ลุงนี่มา”ยังคงเป็นโม่เหยียนเฉาที่เอ่ยปากออกมาเช่นเคย เขาเองมิขัดข้องกับการพูดกับลูกหลาน แต่มันดูจะเอาเปรียบเขาเกินไปหรือไม่ น้องชายก็เอาแต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มิใคร่พูดจา หรือเพียงเพราะเขาอายุมากสุด เลยต้องเป็นเขาที่จำต้องรับหน้าไปเสียทุกอย่างกระนั้นหรือ“เจ้าค่ะ ท่านลุง”โม่ฟางเล่อก้าวอ้อมไปนั่งด้านข้างของผู้เป็นลุง ก่อนจะส่งยิ้มละมุนให้กับทุก ๆ คน กิริยาของหญิงสาวช่างอ่อนหวานงดงามทำให้ทั้งผู้เป็นลุง ป้าและบิดามารดาชื่นมื่นกันทุกคน“เอาละ มากันครบแล้ว เราลงมือกินข้าวกันเลยดีรึไม่”ในที่สุด โม่เหยาก็ได้ฤกษ์ที่จะส่งเสียงออกมาเสียทีทำให้ผู้เป็นพี่ชายส่งสายตาคาดโทษไปให้จ้าวเหลียนมองชายหนุ่มที่ยังยืนนิ่งอยู่ห่างออกไ
แต่ใช่ว่าเขาจะมิเฝ้าติดตามสตรีตรงหน้าเสียเมื่อไหร่กัน เขาคอยแอบสอดส่องดูแลปกป้องนางอย่างลับ ๆ เสมอมา หากมีสิ่งใดล้ำค่า เขาจะฝากผู้เป็นบิดา นำไปมอบแก่นางมิเคยขาด“ท่านแม่ ลูกอกตัญญูนักที่ทำให้ท่านมีน้ำตาอีกครั้งในวันนี้”โม่คังเงยหน้าสบตามารดาอีกครั้ง ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมไปเช็ดหยดน้ำที่หลุดร่วงจากหน่วยตางามคู่นั้นมือบางของจ้าวเหลียนถึงกับสั่นระริกด้วยมิอาจความคุม ความตื่นเต้นดีใจผสมปนเปไปด้วยความสับสนอยู่ไม่น้อย นางได้เอี้ยวใบหน้าหันมองทุกคนอีกครั้ง ก่อนที่ครอบครัวของนางจะพยักหน้าเบา ๆ เป็นการยืนยัน ว่าชายหนุ่มตรงหน้าของนางในตอนนี้คือบุตรชายที่ตายไปแล้วหนหนึ่ง เมื่อในอดีตครั้งที่ชายหนุ่มยังวัยเยาว์ร่างระหงอ้าแขนออกกว้าง เพื่อรอรับร่างสูงที่นางเฝ้าคะนึงหามาแสนนาน โม่คังขยับเข้าใกล้ผู้เป็นแม่ ก่อนจะสวมกอดตอบอ้อมแขนที่เขาคิดถึงจนสุดหัวใจทุกห้วงเวลาเลยก็ว่าได้โม่เหยียนเฉาใช้มือตบหหนัก ๆ ลงบนหลังของชายหนุ่ม เป็นการย้ำเตือนตนเองด้วยว่าบุตรชายเพียงเดียวของเขายังคงอยู่เคียงข้าง มิได้หายไปจากเขาอย่างที่ผู้คนทั่วแคว้นกล่าวถึง“เอาละ…น้องหญิง วันนี้ เด็ก ๆ เหนื่อยมามากแล้ว เจ้าก็อย่าได้ร้องห่
อี้กงกงที่มองเจ้าของตำหนักอยู่ก่อนแล้วลอบกระหยิ่มอยู่ภายในใจ หากสิ้นฮองเฮาไปจริง ตำแหน่งสูงสุดจะต้องตกเป็นของเจ้านายคนใหม่ของเขาอย่างแน่นอน“กระหม่อมเต็มใจอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะที่จะรับใช้พระนางจนชีวิตจะหาไม่ ทูลพระนาง แต่ครั้งนี้ มิใช่กระหม่อมที่เป็นผู้เสาะหาสมุนไพรล้ำค่า มาในวันนี้พ่ะย่ะค่ะ”“หือ! มิใช่ท่าน แล้วเป็นผู้ใดกันเล่า”“ทูลเชิญองค์หญิงแห่งแคว้นตง เข้าเฝ้าฮองเฮาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อกล่าวจบ อี้กงกงยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปยังหน้าประตู เพียงครู่เดียวก็ปรากฏร่างระหงของหญิงสาววัยแรกแย้มในชุดหรูหรา แต่ทว่า เสื้อผ้าบนกายของผู้มาใหม่กลับเปิดเผยเสียจนน่ากลัวว่า อาภรณ์เหล่านั้นจะหลุดร่วงออกมากองอยู่บนพื้นเสียให้ได้เสียงกำไลข้อมือและข้อเท้าของหญิงสาวเมื่อกระทบกันเป็นระยะฟังแล้วช่างเสนาะหูยิ่งนัก หญิงสาวก้าวเข้ามาด้านในอย่างช้า ๆ ด้วยท่าทางประดุจนางหงส์ ดวงตากลมโตสดใสปานลูกแก้วล้ำค่า กลิ่นกายหอมฟุ้งกระจายเมื่อร่างบางก้าวขยับเข้ามาใกล้ เรียวปากอวบอิ่มได้รูป เหยียดออกแต่พองาม หญิงสาวผู้นี้มีความงดงามสมวัยยิ่งนักผู้เป็นเจ้าของตำหนักจำต้องขยับกายขึ้นนั่งตัวตรงเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่แขกผู้ม
เมื่อฮองเฮาเป็นผู้เปิดโอกาสให้แก่นางด้วยตนเอง มีหรือที่นางจะไม่รีบคว้าเอาไว้ในมือ แน่นอนว่าสักวัน อำนาจที่ถูกวางมาไว้ในมือนางจะมีค่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมฮองเฮาจ้าวเหลียนยิ้มอ่อนโยน แววตาไร้จริตมารยาส่งให้แก่ผู้เป็นภรรยาอีกคนของพระสวามี คำเรียกขานที่เปลี่ยนจากห่างเหินเป็นสนิทสนมขึ้นนั้นย่อมมีที่มาที่ไปเสมอ แต่มิจำเป็นต้องเล่าให้ผู้ใดรับรู้“น้องกั๋วเชียง เห็นอี้กงกงบอกว่า เจ้านำสิ่งใดมาให้พี่รึ”เวลาล่วงเลยมาเกินความจำเป็นที่จะสนทนากับแขกต่อไปให้ยืดเยื้อ เจ้าของตำหนักจึงเอ่ยถึงเรื่องอื่นเสีย เพื่อที่จะได้ดึงเข้าสู่การจบบทสนทนาในวันนี้ลง“จริงสิเพคะ กั๋วเชียงได้นำรากบัวหิมะต้มน้ำแกงสามรส มาถวายฮองเฮาด้วยนะเพคะ กั๋วเชียงได้ยินมาว่า พระนางทรงมีสุขภาพมิค่อยแข็งแรง เลยให้อี้กงกงนำรากบัวหิมะจากแคว้นตงนำไปต้มถวายเป็นเครื่องบำรุงมาให้เสวยเพคะ”พระสนมคนใหม่ได้เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มสดใสดั่งพระอาทิตย์ยามเช้าให้แก่ภรรยาเอกของพระสวามี ก่อนจะเอี้ยวกายไปยังด้านของกงกงผู้ดูแล โดยขณะนี้ ในมือของอี้กงกงได้มีถ้วยหยกขาววางอยู่บนถาดสีทองรออยู่แล้ว“ขอบใจเจ้ามาก น้องกั๋วเชียง ลำบากเจ้าแล้วจริง ๆ ไหนจะเดินทางม
โรงเตี๊ยมเซียนอี้ ณ ห้องหนังสือส่วนตัวของโม่ฟางเล่อ“ฮา ๆ ๆ ข้านึกว่าพวกเจ้าจะลุกไม่ขึ้นเสียอีก ศึกเมื่อคืนหนักมากหรือเจี๋ย พวกเจ้าถึงได้ตื่นเอาป่านนี้”โม่หยวนฟางพูดไป ดวงตาก็จับจ้องใบหน้าแดงก่ำของฟางเล่อและถงเหยียนเจี๋ย ด้วยใบหน้าซับสีเลือดของทั้งคู่ทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ หลังจากปรับความเข้าใจกับเมี่ยวจ้านเรื่องความเข้าใจผิดเมื่อคืนที่ผ่านมา ก่อนที่เขาและหญิงสาวจะเข้ามารวมตัวกันกับน้องสาวและสหายรักภายในห้องนี้ ชายหนุ่มขบขันกับท่าทางของทั้งคู่ที่เอาแต่ก้มหน้ามองถ้วยชา“เจ้าคิดถึงไหนกัน หยวนฟาง”ถงเหยียนเจี๋ยเองก็ไม่คิดว่าเขาและภรรยาจะตื่นสายถึงเพียงนี้จนเป็นที่ล้อเลียนของคนรอบข้าง นี่ยังเหลืออีกสองคนซึ่งยังมิกลับจากไปทำภารกิจยังค่ายทหาร เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า หากพี่ใหญ่ของสกุลโม่กลับมาคงมิแคล้วต้องมีคำพูดล้อเลียน ไม่ต่างจากคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามในตอนนี้อย่างแน่นอน ทว่า…“น้องรัก…พวกเจ้ากำลังนินทาพี่ชายผู้นี้อยู่รึ หืม!”‘เสียงมาก่อนตัวเสียอีก’ ฟางเล่อบ่นอยู่ในใจ นางมิเคยพบญาติผู้พี่มาก่อน ดีที่โม่หยวนฟางได้บอกนางก่อนแล้วเมื่อครู่ ว่านางนั้นยังมีพี่ชายอีกคนซึ่งโม่ไป๋หลานตัวจริงน
ครั้งที่ฟางเล่อพาเมี่ยวจ้านไปกลั่นแกล้งและทดสอบฝีมือของพ่อลูกสกุลหยางนั้น บอกได้เป็นอย่างดีว่าพ่อลูกสกุลหยางไม่ได้แสดงฝีมือเต็มที่นัก หากเอาจริงขึ้นมาคงหนักมือน้องของเขาอยู่มิน้อยหยางซานหลางแม้จะดูมิฉลาดในหลาย ๆ เรื่อง แต่ฝีมือของเขานั้นไม่เป็นรองผู้ใดเช่นกัน เพียงแต่ความมุทะลุและจิตใจคับแคบของหยางซานหลางเท่านั้นที่เป็นจุดด้อยในตำแหน่งแม่ทัพ เรื่องฝีมือการรบถือว่ายอดเยี่ยม เช่นเดียวกันกับผู้เป็นพ่อ หยางซานชินที่นับว่าเป็นยอดขุนพลน่าเสียดายที่สองพ่อลูกกลับหลงมัวเมาในอำนาจและสตรีจนมองข้ามความถูกผิดที่ได้กระทำลงไป พวกเขาจำต้องรอบคอบให้มากในทุก ๆ การเคลื่อนไหว มิเช่นนั้นจะกลายเป็นหมากในกระดานโดยถูกคนพวกนั้นคุมเกมแทนที่จะเป็นฝ่ายเขา การทำศึก ก้าวพลาดเพียงครั้งจะเปลี่ยนฝ่ายผู้กุมชัยในสนามรบทันทีห้องอาหาร…โรงเตี๊ยมชั้นล่างร่างสูงของเจิ้งถงนั่งดื่มสุราด้วยใบหน้านิ่งเรียบ เขาคอยจับสังเกตถึงสิ่งผิดปกติของคนในร้าน โดยเฉพาะบรรดาเสี่ยวเอ้อร์และคนดูแลโรงเตี๊ยม อีกทั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาได้ออกติดตามหาร่องรอยผู้คุ้มกัน และศิษย์พรรคโลกันต์ กว่าจะกลับไปยังค่ายทหาร เรื่องมากมายก็เกิดขึ้นก่อนแล้ว
เมื่อฮองเฮาเป็นผู้เปิดโอกาสให้แก่นางด้วยตนเอง มีหรือที่นางจะไม่รีบคว้าเอาไว้ในมือ แน่นอนว่าสักวัน อำนาจที่ถูกวางมาไว้ในมือนางจะมีค่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมฮองเฮาจ้าวเหลียนยิ้มอ่อนโยน แววตาไร้จริตมารยาส่งให้แก่ผู้เป็นภรรยาอีกคนของพระสวามี คำเรียกขานที่เปลี่ยนจากห่างเหินเป็นสนิทสนมขึ้นนั้นย่อมมีที่มาที่ไปเสมอ แต่มิจำเป็นต้องเล่าให้ผู้ใดรับรู้“น้องกั๋วเชียง เห็นอี้กงกงบอกว่า เจ้านำสิ่งใดมาให้พี่รึ”เวลาล่วงเลยมาเกินความจำเป็นที่จะสนทนากับแขกต่อไปให้ยืดเยื้อ เจ้าของตำหนักจึงเอ่ยถึงเรื่องอื่นเสีย เพื่อที่จะได้ดึงเข้าสู่การจบบทสนทนาในวันนี้ลง“จริงสิเพคะ กั๋วเชียงได้นำรากบัวหิมะต้มน้ำแกงสามรส มาถวายฮองเฮาด้วยนะเพคะ กั๋วเชียงได้ยินมาว่า พระนางทรงมีสุขภาพมิค่อยแข็งแรง เลยให้อี้กงกงนำรากบัวหิมะจากแคว้นตงนำไปต้มถวายเป็นเครื่องบำรุงมาให้เสวยเพคะ”พระสนมคนใหม่ได้เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มสดใสดั่งพระอาทิตย์ยามเช้าให้แก่ภรรยาเอกของพระสวามี ก่อนจะเอี้ยวกายไปยังด้านของกงกงผู้ดูแล โดยขณะนี้ ในมือของอี้กงกงได้มีถ้วยหยกขาววางอยู่บนถาดสีทองรออยู่แล้ว“ขอบใจเจ้ามาก น้องกั๋วเชียง ลำบากเจ้าแล้วจริง ๆ ไหนจะเดินทางม
อี้กงกงที่มองเจ้าของตำหนักอยู่ก่อนแล้วลอบกระหยิ่มอยู่ภายในใจ หากสิ้นฮองเฮาไปจริง ตำแหน่งสูงสุดจะต้องตกเป็นของเจ้านายคนใหม่ของเขาอย่างแน่นอน“กระหม่อมเต็มใจอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะที่จะรับใช้พระนางจนชีวิตจะหาไม่ ทูลพระนาง แต่ครั้งนี้ มิใช่กระหม่อมที่เป็นผู้เสาะหาสมุนไพรล้ำค่า มาในวันนี้พ่ะย่ะค่ะ”“หือ! มิใช่ท่าน แล้วเป็นผู้ใดกันเล่า”“ทูลเชิญองค์หญิงแห่งแคว้นตง เข้าเฝ้าฮองเฮาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อกล่าวจบ อี้กงกงยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปยังหน้าประตู เพียงครู่เดียวก็ปรากฏร่างระหงของหญิงสาววัยแรกแย้มในชุดหรูหรา แต่ทว่า เสื้อผ้าบนกายของผู้มาใหม่กลับเปิดเผยเสียจนน่ากลัวว่า อาภรณ์เหล่านั้นจะหลุดร่วงออกมากองอยู่บนพื้นเสียให้ได้เสียงกำไลข้อมือและข้อเท้าของหญิงสาวเมื่อกระทบกันเป็นระยะฟังแล้วช่างเสนาะหูยิ่งนัก หญิงสาวก้าวเข้ามาด้านในอย่างช้า ๆ ด้วยท่าทางประดุจนางหงส์ ดวงตากลมโตสดใสปานลูกแก้วล้ำค่า กลิ่นกายหอมฟุ้งกระจายเมื่อร่างบางก้าวขยับเข้ามาใกล้ เรียวปากอวบอิ่มได้รูป เหยียดออกแต่พองาม หญิงสาวผู้นี้มีความงดงามสมวัยยิ่งนักผู้เป็นเจ้าของตำหนักจำต้องขยับกายขึ้นนั่งตัวตรงเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่แขกผู้ม
แต่ใช่ว่าเขาจะมิเฝ้าติดตามสตรีตรงหน้าเสียเมื่อไหร่กัน เขาคอยแอบสอดส่องดูแลปกป้องนางอย่างลับ ๆ เสมอมา หากมีสิ่งใดล้ำค่า เขาจะฝากผู้เป็นบิดา นำไปมอบแก่นางมิเคยขาด“ท่านแม่ ลูกอกตัญญูนักที่ทำให้ท่านมีน้ำตาอีกครั้งในวันนี้”โม่คังเงยหน้าสบตามารดาอีกครั้ง ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมไปเช็ดหยดน้ำที่หลุดร่วงจากหน่วยตางามคู่นั้นมือบางของจ้าวเหลียนถึงกับสั่นระริกด้วยมิอาจความคุม ความตื่นเต้นดีใจผสมปนเปไปด้วยความสับสนอยู่ไม่น้อย นางได้เอี้ยวใบหน้าหันมองทุกคนอีกครั้ง ก่อนที่ครอบครัวของนางจะพยักหน้าเบา ๆ เป็นการยืนยัน ว่าชายหนุ่มตรงหน้าของนางในตอนนี้คือบุตรชายที่ตายไปแล้วหนหนึ่ง เมื่อในอดีตครั้งที่ชายหนุ่มยังวัยเยาว์ร่างระหงอ้าแขนออกกว้าง เพื่อรอรับร่างสูงที่นางเฝ้าคะนึงหามาแสนนาน โม่คังขยับเข้าใกล้ผู้เป็นแม่ ก่อนจะสวมกอดตอบอ้อมแขนที่เขาคิดถึงจนสุดหัวใจทุกห้วงเวลาเลยก็ว่าได้โม่เหยียนเฉาใช้มือตบหหนัก ๆ ลงบนหลังของชายหนุ่ม เป็นการย้ำเตือนตนเองด้วยว่าบุตรชายเพียงเดียวของเขายังคงอยู่เคียงข้าง มิได้หายไปจากเขาอย่างที่ผู้คนทั่วแคว้นกล่าวถึง“เอาละ…น้องหญิง วันนี้ เด็ก ๆ เหนื่อยมามากแล้ว เจ้าก็อย่าได้ร้องห่
ถงเหยียนเจี๋ยกำลังพยายามปรับสีหน้าของตนเองอยู่ในที ด้วยเวลานี้ เขามั่นใจว่าตนเองนั้นกำลังมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน รู้สึกได้จากอาการร้อนผ่าวที่มิยอมคลายลงเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างภรรยา“ถงเหยียนเจี๋ย คารวะท่านพ่อตา ท่านแม่ยายทั้งสี่ขอรับ”“ฟางเล่อคารวะ ท่านลุง ท่านป้า ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ”“ไม่ต้องมากพิธีหลานรัก มา ๆ นั่งข้าง ๆ ลุงนี่มา”ยังคงเป็นโม่เหยียนเฉาที่เอ่ยปากออกมาเช่นเคย เขาเองมิขัดข้องกับการพูดกับลูกหลาน แต่มันดูจะเอาเปรียบเขาเกินไปหรือไม่ น้องชายก็เอาแต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มิใคร่พูดจา หรือเพียงเพราะเขาอายุมากสุด เลยต้องเป็นเขาที่จำต้องรับหน้าไปเสียทุกอย่างกระนั้นหรือ“เจ้าค่ะ ท่านลุง”โม่ฟางเล่อก้าวอ้อมไปนั่งด้านข้างของผู้เป็นลุง ก่อนจะส่งยิ้มละมุนให้กับทุก ๆ คน กิริยาของหญิงสาวช่างอ่อนหวานงดงามทำให้ทั้งผู้เป็นลุง ป้าและบิดามารดาชื่นมื่นกันทุกคน“เอาละ มากันครบแล้ว เราลงมือกินข้าวกันเลยดีรึไม่”ในที่สุด โม่เหยาก็ได้ฤกษ์ที่จะส่งเสียงออกมาเสียทีทำให้ผู้เป็นพี่ชายส่งสายตาคาดโทษไปให้จ้าวเหลียนมองชายหนุ่มที่ยังยืนนิ่งอยู่ห่างออกไ
เพียงพริบตา ร่างสูงไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดกายได้ยืนกางแขนเอาหลังดันประตูเอาไว้ด้วยอาการตื่นตกใจ มิแพ้กับร่างบางที่พันกายห่อตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่ม“ข้ากำลังจะออกไปขอรับ ท่านพี่นำไปก่อนเลยขอรับ ประเดี๋ยว ข้าจะรีบตามไปนะขอรับ พอดีเล่อเล่อ...นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่”เจ้าของห้องรีบละล่ำละลักบอกคนด้านนอกก่อนที่อีกฝ่ายจะบุกเข้ามาด้านใน“อ้อ…เช่นนั้น ข้ามิกวนพวกเจ้าแล้ว”โม่คังลากเสียงยาว ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่เสมือนเขารู้ว่าแท้จริงคนด้านในกำลังทำสิ่งใดกันอยู่ก็มิปานคำพูดของโม่คังเมื่อครู่ยิ่งทำให้สองสามีภรรยาแทบอยากละลายกลายเป็นไอหายไปยิ่งนัก หากผู้ใดมาเห็นสภาพของทั้งคู่ โดยเฉพาะถงเหยียนเจี๋ย ก็คงอดขำมิได้กับการที่ชายหนุ่มยืนตัวแดงก่ำเสมือนกุ้งต้ม ซ้ำยังไร้อาภรณ์ติดกาย ยืนขวางประตูเอาไว้อย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันการบุกรุกจากพี่ชายของหญิงสาวบนเตียงถงเหยียนเจี๋ยจัดการตรวจสอบอีกครั้งว่าได้ลงสอดไม้ขัดประตูไว้อย่างดีแล้ว ก่อนที่รางสูงจะก้าวเร็ว ๆ กลับขึ้นไปบนเตียงนอน ร่างแกร่งคว่ำหน้าลงทาบทับคนที่กำลังชุกซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่“จะรักษาต่อให้เสร็จ หรือจะตามพี่ชายเจ้าออกไปกัน หืม!”“ต้องถามตัวท่
ห้องครัว ณ เซียนอี้เสียงทำอาหารภายในห้องครัวส่วนตัวเล็ดลอดออกมาให้คนที่แอบอยู่ด้านนอกได้ยินกันถ้วนหน้า หมิงจงเป่าได้สั่งให้คนของตนเองมาคอยสอดแนมดูว่า หญิงสาวได้เปลี่ยนแปลงรายการอาหารหรือไม่ เพราะเกรงว่าฟางเล่อจะจับได้ว่าอาหารที่จะขึ้นโต๊ะในคืนนี้มิใช่ฝีมือของนาง“เรียนนายหญิง นายท่านและท่านอ๋องน้อย ผู้ติดตามเยว่คัง พร้อมทั้งคุณหนูเมี่ยวจ้านกลับมาแล้วขอรับ”“งั้นเร็วเข้า พวกเจ้าทยอยนำอาหาร ขึ้นไปจัดเตรียมยังห้องรับรอง ป่านนี้คงพากันหิวแย่ ปลาของข้าได้รึยัง เสร็จแล้วเอามาตรงนี้ ข้าจะปรุง”เมื่อได้ยินว่าพี่ชายและสามี รวมถึงว่าที่พี่สะใภ้กลับมาแล้ว ฟางเล่อเร่งลงมือกับวัตถุดิบตรงหน้า โดยมีเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมช่วยจัดเตรียมข้าวของช่วยอีกแรง มือบางที่ยังเผยให้เห็นรอยฟกช้ำจากการต่อสู้เมื่อกลางวัน แต่หญิงสาวหาได้ใส่ใจไม่ อาหารคือสิ่งจำเป็นในชีวิต ยิ่งในสงคราม หากทหารมิอิ่มท้อง ต่อให้เก่งเทียมฟ้าก็ต้องพ่ายแพ้หากไร้ซึ่งอาหารมาสร้างกำลังให้แก่ตนเองนับตั้งแต่แต่งงาน มีแค่มิกี่ครั้งที่นางลงมือปรุงอาหารให้แก่สามีและครอบครัว วันนี้นับว่าเป็นโอกาสของนางอีกคราที่จะได้แสดงความสามารถด้านนี้ให้ทุกคนไ
“ท่านไม่ควรทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่อันตรายเกินไปแล้วที่วางใจศัตรู เพราะต่อให้ท่านมิลงมือสังหารข้า ท่านจะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าจะไม่ทำร้ายท่าน อย่าได้ทำเช่นนี้อีก อะ…องค์…”ชายหนุ่มกลืนคำพูดทั้งหมดลงไปในลำคอ เมื่อช่วงที่ต่อสู้กันนั้น เขาไม่มีโอกาสเห็นบุรุษตรงหน้าได้ชัดเจนนัก แม้คราแรกที่สบตาหลังจากเขาฟื้นขึ้นมาหลังจากตกเป็นเชลย ในตอนนั้นจะตกใจอยู่มาก แต่ทว่า เขาก็ยังไม่แน่ใจเท่าใดนัก ทว่าเวลานี้ เขาเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นแม้จะเป็นยามค่ำคืนก็ตามที สิ่งสำคัญคือเขามั่นใจแล้วนั่นเองว่าชายหนุ่มคือใคร“ช่างเป็นศิลปะที่งดงามยิ่ง”“อะไร…ท่านหมายถึงสิ่งใดกันพี่ชาย”“ตัวอักษร ‘เยว่’ บนอกของท่านอย่างไรเล่า แม้เห็นเพียงรำไร มันก็ดูงดงามยิ่งใหญ่นัก”ถงเหยียนเจี๋ยยกมือขึ้นลูบกลางแผ่นอกของตนเอง เสื้อที่ภรรยาเลือกให้สวมใส่ในวันนี้ใช่ว่าจะปิดไม่มิด แต่เพราะการต่อสู้กับคนตรงหน้าทำให้มันถูกคมอาวุธจนเปิดออก เผยให้เห็นแผ่นอกของเขา รอยสักนี้ ทุกคนเคยเห็นมาแล้ว และมันมิได้สำคัญอันใดที่จะต้องปกปิด มันดูธรรมดามากสำหรับตัวเขาและสหาย คนตรงหน้ากลับบอกว่ามันงดงาม“ท่านมิใช่คนชีเป่ยรึถึงอ่านคำนี้ออก รอยสักเช่นนี้ ผู้ใดก
“เจ้าจัดการเถอะ หากเมื่อใดคิดว่าเขามิปลอดภัยสำหรับเราก็จงจัดการเสีย”“ท่านพ่อโปรดวางใจ คืนนี้ เราต้องพาเมิ่งชีไปยังฐานใหญ่ให้ได้เสียก่อน”ราชครูหลิวได้แต่เมินหน้าไปอีกทาง เขาไม่พร้อมที่จะเห็นบุตรสาวในตอนนี้ เขาอยากที่จะปลดปล่อยความเจ็บปวดออกมายิ่งนัก แต่จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ภายในหยางซานซินมิใช่คนที่เขาควรต่อกรในเวลานี้ คนผู้นี้อันตรายเกินกว่าที่เขาคาดการณ์นัก คิดจะเก็บศัตรูไว้ข้างกายเพื่อหลอกใช้คนเช่นชูถง ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลานัก แต่เขามิอาจพูดอันใดได้มากกว่านี้เพราะตอนนี้หยางซานซินเสมือนกับมิใช่คนที่เขาเคยรู้จัก หากพูดมากไป ตัวเขาเองก็คงมิพ้นถูกกำจัดเช่นกัน ไร้บุตรสาว ตัวเขาก็เสมือนไร้เขี้ยวเล็บ ด้วยอำนาจในราชสำนักเริ่มเสื่อมถอยตามวัยของเขา“ข้าจะไปเตรียมตัว เจ้าควรให้หมอมาดูแผลสักหน่อยนะ”“ท่านพ่อ กลับไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคืนนี้เถอะขอรับ ทางนี้ ข้าจัดการเอง”ราชครูหลิวลุกขึ้น เดินตรงไปยังหน้ากระโจมด้วยหัวใจอันร้าวราน ทุกย่างก้าวมันช่างหนักอึ้งจนแทบขยับมิได้เลยทีเดียวหยางซานซินมองตามบิดาคนรัก ไปด้วยสายตายากที่จะอ่านออก สิ่งที่เขาต้องทำยังมีอีกมาก จะมามัวเสียเวลากับคนแก
ค่ายทหารเจียงไห่ราชครูหลิวเดินวนไปมาอยู่ภายในกระโจมบัญชาการด้วยความร้อนใจอย่างที่สุด การหายตัวไปของหยางซานซิน เขาเองก็สงสัยมากพออยู่แล้ว ซ้ำเวลานี้ บุตรสาวก็ยังไร้วี่แววว่าจะกลับมา เขาจะทำอย่างไรดี“ท่านราชครู ท่านเสนาบดีและท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาแล้วขอรับ”ฟึบ!ยังมิทันได้ก้าวออกไปด้านนอก ร่างสูงของเสนาบดีหนุ่มก็ก้าวเข้ามาพร้อมห่อผ้าสีดำขนาดใหญ่ ตามมาด้วยหยางซานซินที่มีรองแม่ทัพซ้ายคอยพยุงเอาไว้“เป่าชุน เจ้าจัดการให้เรียบร้อยตามที่ข้าบอก ห้ามให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด”“ขอรับท่านเสนาบดี ข้าจะรีบจัดการในทันที”“อะไรกัน มันเรื่องอะไรกัน ท่านเสนาบดี ท่านแม่ทัพใหญ่ เกิดอะไรขึ้น ละ…แล้วนี่...มันคือสิ่งใด”ราชครูหลิวถามคนทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงร้อนรนยิ่งนัก ก่อนจะชี้นิ้ว มายังสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของเสนาบดีหนุ่มชูถงเดินไปยังด้านในโดยมีหยางซานซินเดินนำไปก่อน พร้อมทั้งกวาดสิ่งของทั้งหมดออกจากโต๊ะตัวใหญ่ของหยางซานหลาง ก่อนที่ชูถงจะวางห่อผ้าลงอย่างเบามือ“ท่านราชครู ข้าขอให้ท่านทำใจสักหน่อย อีกเรื่องก็คืออย่าได้แพร่งพรายถึงสิ่งที่อยู่ในห่อผ้านั่นออกไปให้ผู้ใดรับรู้อีกเป็นอันขาด มิใช่ข้าที