มนสิชารอไม่นานนักนายแพทย์ท่านหนึ่งก็ออกมาแจ้งอาการของผู้ป่วย
“หมอคะ ยายของฉันเป็นยังไงบ้างคะ” หญิงสาวถามด้วยความร้อนใจ
“ยายของคุณมีอาการน้ำท่วมปอดอาจจะต้องให้นอนโรงพยาบาลเพื่อให้ยาขับปัสสาวะจากนั้นก็ต้องประเมินดูอีกทีหนึ่งว่าหัวใจเป็นยังไงบ้าง”
“แล้วเรื่องที่จะต้องทำบอลลูนล่ะคะ”
“เรื่องนั้นเราค่อยดูกันอีกทีครับ ตอนนี้เราต้องรีบรักษาภาวะหัวใจวายเฉียบพลันก่อน เดี๋ยวเราจะย้ายยายของคุณไปนอนบนวอร์ดก่อนเพื่อรักษาอาการต่อครับ”
“หมอคะยายจะไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ”
“หมอยังให้คำตอบไม่ได้เพราะร่างกายของคนไข้ค่อนข้างอ่อนแออีกครั้งโรคต่างๆ ก็รุมเร้าตอนนี้ท่านยังตรวจเจอเบาหวานอีกด้วย”
“อะไรนะคะ ยายเป็นเบาหวานเหรอคะ” มนสิชาตกใจเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
“ครับระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก คงต้องตรวจละเอียดอีกครั้งถึงจะรู้ ระหว่างนี้จนถึงเช้าอย่าเพิ่งให้ยายคุณทานอะไรนะครับ จนกว่าจะเจาะเลือดในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้”
“ได้ค่ะคุณหมอ แล้วมันจะอันตรายมากไหมคะ”
“ผมไม่รู้ว่าท่านเป็นมานานหรือยังนะ”
“ยายไม่เคยบอกเลยค่ะว่าเป็นเบาหวาน”
“แต่เท่าที่ตรวจวันนี้ระดับน้ำตาลในเลือกสูงมาก และถ้าระดับน้ำตาลสูงมากๆ มันก็อาจจะทำให้ท่านหมดสติได้ ถ้าตรวจแล้วท่านเป็นโรคเบาหวานจริงๆ พยาบาลจะให้คำแนะนำคุณเองว่าควรดูแลท่านยังไงบ้าง”
“ค่ะ คุณหมอ ขอบคุณมากๆ นะคะ”
ถ้ามนสิชารู้สึกว่าตัวเองนั้นผิดมากที่ทิ้งให้ยายของตนเองอยู่ตามลำพัง เธอคิดว่าถ้าอยู่ดูแลยายที่นี่อย่างใกล้ชิด สุขภาพของยายคงไม่แย่ขนาดนี้
หลังจากแพทย์เจ้าของไข้ออกไปแล้วพยาบาลกับพนักงานก็เข็นร่างของยายที่ยังหลับสนิทออกมาจากห้องฉุกเฉิน มนสิชารีบเดินเข้าไปหาทันที
“เดี๋ยวญาติเดินตามมาทางนี้นะคะ เราจะพาคนไข้ไปวอร์ดอายุรกรรมค่ะ”
“ขอโทษนะคะ ที่นี่มีห้องพิเศษไหมคะ” มนสิชาถามพยาบาล
“มีค่ะ แต่อาการของคนไข้ยังไม่คงที่หมอเลยอยากให้อยู่ห้องผู้ป่วยรวมไปก่อนค่ะ ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือทันค่ะ” พยาบาลประจำห้องฉุกเฉินบอกกับมนสิชา
เมื่อมาถึงวอร์ดพยาบาลก็แจ้งระเบียบการสำหรับการเฝ้าผู้ป่วยและการเยี่ยมให้กับมนสิชาและพ่อเลี้ยงทิศเหนือที่ขอเดินตามมาด้วยทราบ
“เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงถึงจะหมดเวลาเยี่ยม ผมว่าคุณไปทานข้าวและเตรียมของใช้ที่จำเป็นสำหรับมานอนเฝ้ายายดีกว่าไหม”
“ฉันห่วงยาย ถ้าท่านตื่นมาแล้วไม่เจอฉันกลัวท่านเสียใจ”
“ผมจะอยู่เป็นเพื่อนท่านเอง หมอก็บอกแล้วว่าท่านอาจจะหลับถึงเช้าเพราะยาที่ท่านได้จะทำให้ท่านได้นอนพักอย่างเต็มที่”
“คุณจะกลับก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันจะโทรตามน้าสายหยุดมาเอง”
“คุณจะเฝ้าเองหรือให้น้าสายหยุดเฝ้าล่ะครับ”
“ฉันจะเฝ้าเองค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องให้น้าสายหยุดมาหรอก กว่าจะมาถึงก็หมดเวลาเยี่ยมกันพอดี คุณรีบไปเถอะ”
“ขอบคุณนะคะพ่อเลี้ยง ฉันไปไม่นานฝากยายด้วยนะคะ ถ้ามีอะไรด่วนคุณต้องรีบโทรหาฉันนะคะ”
หญิงสาวจึงรีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมของใช้ที่จำเป็นสำหรับการนอนเฝ้าและของใช้สำหรับยายช่อเอื้องซึ่งพยาบาลบอกแล้วว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง เธอกลับมาถึงโรงพยาบาลก็เกือบจะสองทุ่ม
“ผมขอตัวกลับก่อนนะ ถ้ามีอะไรก็โทรมาตามผมได้ตลอด” พ่อเลี้ยงทิศเหนือบอกกับมนสิชาที่ดูแล้วยังวิตกกังวลกับอาการป่วยของยายช่อเอื้องจนเห็นได้ชัด
“แค่นี้ฉันก็เกรงใจคุณมากแล้ว ถ้าไม่ได้คุณไม่รู้ว่ายายจะเป็นยังไงบ้าง”
“อย่าคิดมากเลยตอนนี้ยายคุณก็อยู่ใกล้หมอแล้ว อย่าลืมนะ มีอะไรโทรหาผมได้ตลอด”
“ค่ะ พ่อเลี้ยง”
พ่อเลี้ยงทิศเหนือออกจากโรงพยาบาลแล้วก็แวะทานข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งด้านหน้าโรงพยาบาลก่อนตรงกลับบ้านของตนเอง
พอมาถึงแม่เลี้ยงบุปผาที่นั่งดูทีวีอยู่ก็รีบถามถึงการไปทานอาหารกับมนสิชาทันที
“เป็นยังไงบ้าง หนูน้ำปิงน่ารักไหม คุยสนุกหรือเปล่า แม่ว่าเราคงไม่ทำเฉยชาใส่เธอนะ แล้วนัดครั้งต่อไปเมื่อไหร่ล่ะ”
“ใจเย็นสิครับแม่” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผู้เป็นมารดา
“แม่อยากรู้ว่าเรากับหนูน้ำปิงพอจะมีโอกาสได้คบหาดูใจกันไหม”
“ผมว่าเรื่องนั้นเธอคงยังไม่คิดกรอกครับ”
“อ้าว! ทำไม หรือลูกทำให้เธอไม่พอใจอะไรหรือเปล่า”
“ที่ผมบอกว่าเธอคงยังไม่คิดอะไรเพราะตอนนี้เธอมีเรื่องให้ต้องคิดเยอะครับ ยายช่อเอื้องเพิ่งจะเข้าโรงพยาบาลเมื่อกี้นี้เอง”
“ตายจริง แล้วยายแกเป็นอะไรเยอะไหม หมอว่ายังไงบ้าง”
“หมอว่ายายมีน้ำท่วมปอดจากภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน แล้วก็ระดับน้ำตาลในเลือดสูงครับ”
“อยู่โรงพยาบาลไหน พรุ่งนี้แม่จะได้ไปเยี่ยมแต่เช้า”
“โรงพยาบาลให้เข้าเยี่ยมได้แค่เที่ยงบ่ายโมงแล้วก็หกโมงเย็นถึงสองทุ่มครับแม่”
“ทำไมเยี่ยมได้นิดเดียว”
“มันเป็นโรงพยาบาลรัฐบาลนะครับแม่ เขาต้องกำหนดเวลา”
“หนูน้ำปิงเฝ้าคุณยายเองหรือให้สายหยุดเฝ้าล่ะ”
“เธอเฝ้าเองครับ”
“เธอคงลำบากแน่เลยนะ แม่เคยไปเฝ้าพ่อของเราอยู่เป็นเดือนต้องปูเสื่อนอนตรงพื้นระหว่างเตียงปวดเนื้อปวดตัวไปหมดเลยแหละ ถ้ายังไงแม่ว่าหนูน้ำปิงคงต้องหาคนมาเปลี่ยนเธอเฝ้าบ้าง”
“พรุ่งนี้แม่ก็ลองคุยกับเธอสิครับ”
“เหนือจะไปกับแม่ไหม”
“ถ้าว่างก็จะไปครับ” เขาตั้งใจจะไปอยู่แล้วเพราะรู้สึกเห็นใจมนสิชา แต่ถ้าตอบมารดาไปก็ไม่วายว่ามารดาจะรีบจับคู่ให้เขากับเธอซึ่งเขายังไม่คิดกับเธอไกลขนาดนั้น
“ว่างไม่ว่างก็ควรจะไปนะ หนูน้ำปิงกับยายช่อเอื้องไม่มีญาติที่ไหนเลย เราควรไปเยี่ยมนะ เธอคงกำลังเสียขวัญ”
“แล้วญาติคนอื่นๆ ละครับ ผมว่าเธอคงแจ้งข่าวไปทั่วแล้ว”
“เท่าที่แม่รู้ยายช่อเอื้องไม่เหลือญาติที่ไหนแล้วล่ะ เธอมีกันแค่สองคน ตั้งแต่เธอย้ายมาทำงานเป็นครูที่นี่ก็ไม่เคยเห็นเธอติดต่อกับใครอื่นเลย”
แม่เลี้ยงบุปผาเล่าเรื่องในอดีตของยายช่อเอื้องที่ย้ายมาทำงานเป็นครูที่นี่เมื่อ 26 ปีก่อน เธอมาพร้อมกับลูกสาวที่กำลังตั้งครรภ์ ไม่เคยมีใครเห็นว่าสามีของลูกสาวเป็นใคร พอชาวบ้านถามเธอก็บอกว่าพ่อของเด็กในท้องตายไปแล้ว และหลังจากคลอดลูกสาวได้ไม่กี่วันแม่ของมนสิชาก็กินยาฆ่าตัวตาย จากนั้นยายช่อเอื้องก็เลี้ยงหลานมาตามลำพัง
พอได้ฟังเรื่องครอบครัวของหญิงสาวความเห็นใจที่มีต่อมนสิชาก็มีมากขึ้นก็มากขึ้น
“ถ้างั้นผมจะเคลียร์งานให้เสร็จแล้วเราไปเยี่ยมด้วยกันตอนเที่ยงก็ได้”
“แม่จะทำอาหารไปให้ยายช่อเอื้องด้วย”
“ไม่ต้องหรอกครับแม่ ผมว่ายายไม่น่าจะทานอาหารปกติได้”
“งั้นเราเอาไปให้หนูน้ำปิงก็ได้”
“แล้วแต่แม่เลยครับ”
พอถึงเวลาเที่ยงแม่เลี้ยงบุปผากับพ่อเลี้ยงทิศเหนือก็มาเยี่ยมยายช่อเอื้องซึ่งเป็นเวลาที่มนสิชากำลังให้อาหารทางสายยางกับยายของเธอเสร็จพอดี“สวัสดีค่ะแม่เลี้ยง พ่อเลี้ยง” หญิงสาวยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าดีใจมากแค่ไหนที่เห็นคนมาเยี่ยมคุณยายของเธอ“หมอบอกว่าเป็นยังไงบ้างล่ะยาย” แม่เลี้ยงถามด้วยความห่วงใย“เป็นหลายอย่างเลยล่ะแม่เลี้ยง” ยายช่อเอื้องพยายามจะตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง“หมอบอกว่ายายมีอาการหัวใจวายเฉียบพลันค่ะ แล้วก็ระดับน้ำตาลในเลือดสูงค่ะ” มนสิชาตอบคำถามแม่เลี้ยงแทนคุณยายที่ยังดูเหนื่อยจนต้องให้ออกซิเจนทางจมูก“หนูไม่ต้องกังวลหรอกนะ ถึงมือหมอแล้ว”“หนูกลัวค่ะแม่เลี้ยง ยายไม่เคยป่วยเลย พอป่วยทีหนึ่งก็เป็นหลายโรคเลย”“เดี๋ยวป้าจะนั่งคุยกับยายหนูเองนะ หนูไปพักหน่อยดีไหม ป้าทำกับข้าวมาให้”“ขอบคุณนะคะ” มนสิชาไม่ปฏิเสธน้ำใจของแม่เลี้ยงเพราะตอนนี้เธอไม่มีใครอื่นให้พึ่งพาเลย น้าสายหยุดเองก็กำลังยุ่งเรื่องของตนเองเพราะสามีของเธอก็ประสบอุบัติเหตุจนต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจึงปลีกตัวมาดูแลยายของเธอไม่ได้“ไปนั่งทานตรงนู้นไหม มีที่นั่งสำหรับญาติอยู่นะ” พ่อเลี้ยงทิศเหนือเอ่ยชวน“หนูจะรีบไป
ตลอดเวลาที่ยายช่อเอื้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลก็มีเพื่อนๆ ที่พอทราบข่าวแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนอยู่ไม่ขาดสายแต่คนที่มาบ่อยที่สุดก็คือพ่อเลี้ยงทิศเหนือ มันเลยทำให้เธอกับเขาสนิทกันมากขึ้น เพราะมนสิชานั้นไม่ค่อยมีเพื่อนที่นี่เท่าไหร่ผ่านไปสองเดือนสิ่งที่หญิงสาวมาตลอดก็เกิดขึ้น ยายช่อเอื้องอาการทรุดลงและจากเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ มนสิชาเสียใจที่ตอนนี้เธอไม่เหลือใครอีกแล้ว แต่เธอก็ไม่เสียดายเลยเพราะรู้สึกว่าตนเองได้ใช้เวลาอยู่กับท่านอย่างเต็มที่ หญิงสาวอยู่ดูแลยายของเองทุกวันแม้ในวาระสุดท้ายยายของเธอจะพูดไม่ได้ แต่มนสิชาก็ใช่วิธีเขียนตัวหนังสือลงบนไวท์บอร์ดและให้ยายพยักหน้าแทนคำพูด เธอเอารูปภาพเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำของเธอและยายมาเปิดให้ท่านดู ก่อนนอนก็พากันสวนมนต์ทุกคืน จนกระทั่งยายของเธอนั้นได้จากไปอย่างสงบด้วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดวันนี้เป็นวันครบรอบการจากไปของยายช่อเอื้องหนึ่งร้อยวันมนสิชามาทำบุญที่วัดและไปมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนในโรงเรียนที่ยายของเธอเคยสอน ก่อนจะกลับมาที่บ้านของตนเองเพื่อเตรียมอบคุกกี้ไปฝากขายที่ร้านกาแฟซึ่งแม่เลี้ยงบุปผาเป็นคนแนะนำเนื่องจากท่านเคยได้ท
ถึงตอนนี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้วที่เธอคุยกับพ่อเลี้ยง หญิงสาวมองตารางงานของตนเองในโทรศัพท์ก่อนจะโทรไปหาพ่อเลี้ยงทิศเหนือเพื่อนัดทานอาหารเย็นตามที่ได้คุยกันไว้“สวัสดีครับน้ำปิง” ปลายสายตอบรับเกือบจะทันทีที่เธอกดโทรออก“สวัสดีค่ะพ่อเลี้ยง” มนสิชาทักทายไปก่อนแต่ยังไม่พูดถึงเรื่องทานอาหารเพราะถ้าเกิดเขาลืมขึ้นมาเธอก็กลัวจะหน้าแตก“ที่โทรหาผมวันนี้แสดงว่าคุณมีเวลาไปทานข้าวกับผมแล้วใช่ไหมครับ” “ค่ะ ฉันว่างเย็นวันจันทร์กับวันพุธ พ่อเลี้ยงสะดวกเวลาไหนคะ” “เอาเป็นเย็นวันจันทร์ก็ได้ครับ” “ค่ะ ส่วนจะไปทานร้านไหน ฉันคงต้องรบกวนพ่อเลี้ยงนะคะ เพราะฉันไม่รู้เลยว่าที่นี่ร้านไหนอาหารอร่อย” มนสิชามักจะฝากท้องกับร้านอาหารตามสั่งเพราะเธอทำอาหารไม่ค่อยเป็น “คุณอยากทานแบบไหนล่ะครับ ผมจะได้แนะนำถูก” “ฉันเป็นคนกินง่ายค่ะ อะไรก็ได้” “คุณกินอาหารเหนือไหมล่ะ” “กินค่ะ” “จะเป็นไรไหมถ้าผมจะชวนคุณมากินข้าวที่บ้านผม เพราะแม่ผมทำอาหารเหนืออร่อยมาก” พ่อเลี้ยงทิศเหนือไม่ได้พูดเกินจริงเพราะมารดาของนั้นทำอาหารเหนืออร่อยมาก แต่ก่อนท่านเคยเป็นแม่ครัวในร้านอาหารที่เชียงใหม่ แต่พอแต่งงานก็ลาออกและตามสามีมาอยู่ที่ลำพูน“
รุ่งเช้าของวันใหม่มนสิชาตื่นนอนมาเปิดประตูบ้านให้กับคนงานของแม่เลี้ยงบุปผาในเวลาเจ็ดโมงเธอต้องแปลกใจเพราะนอกจากคนงานสองคนแล้วพ่อเลี้ยงทิศเหนือยังตามมาอีกด้วย“พ่อเลี้ยงไม่น่าลำบากมาเลยนะคะ” “ไม่ได้ลำบากอะไรเลย ผมก็แค่อยากมาดูว่าเขาทำงานกันเรียบร้อยดีไหม ไม่อยากให้เสียชื่อน่ะ” เขาแก้ตัวไปแบบนั้นแต่แท้จริงแล้วตนเองก็อยากจะมาช่วยดูว่าทุกอย่างนั้นเป็นอย่างที่เขาอยากให้เป็นหรือเปล่า“ขอบคุณนะคะ ที่อุตส่าห์มาตั้งแต่เช้า” “ครับ ผมมาแต่เช้าจริงๆ นั่นแหละยังไม่ได้กินอะไรมาเลย” “ที่บ้านมีแต่กาแฟกับขนมปัง พ่อเลี้ยงกินได้ไหมคะ ฉันทำกับข้าวไม่เป็นค่ะ” “ได้สิ ผมกินง่าย” “แล้วคนงานสองคนนั้นล่ะคะ เขากินอะไรมากหรือยัง” “เขากินมาแล้วครับ เหลือแค่ผมคนเดียวที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย” “จะเข้าไปกินข้างในบ้านหรือจะให้ยกออกมากินที่ระเบียงดีคะ” “ข้างในก็ได้ครับ” พ่อเลี้ยงทิศเหนือเดินตามมนสิชาเข้าไปในบ้านชั้นเดียวพื้นยกสูงมีบันไดขึ้นเพียงแค่สามขั้นบ้านหลังนี้เขาเคยมาแล้วหลายครั้งแต่ยังไม่เคยเข้ามาถึงบริเวณห้องครัวเลยสักครั้งเพราะส่วนใหญ่ก็จะนั่งคุยกับยายช่อเอื้องที่หน้าบ้านหรือไม่ก็แค่ที่ห้องรับแขกเท่านั
ทิศเหนือพามนสิชามายังร้านอาหารกึ่งพับแห่งหนึ่งเขาสั่งอาหารทานเล่นมาให้เธอสองสามอย่างเพราะเมื่อครู่สังเกตว่าในร้านอาหารหญิงสาวทานข้าวไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น จากนั้นก็สั่งเครื่องดื่มสำหรับตนเองหนึ่งแก้วส่วนของมนสิชานั้นเธอเลือกดื่มค็อกเทลที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อ่อนๆ“บรรยากาศที่นี่ดีมากเลยนะคะ คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่” “ครับ ส่วนใหญ่เขาจะรับแค่สมาชิกถ้าคุณอยากมาครั้งต่อไปก็บอกเขาว่าเป็นเพื่อนผมเดี๋ยวผู้จัดการร้านเขาจะจัดการทุกอย่างให้เอง” “ฉันคงไม่กล้ามานั่งดื่มคนเดียวหรอกค่ะ” “นั่นสิครับ ผมลืมนึกไป เอาเป็นว่าถ้าคุณจะมาเราก็มาพร้อมกันก็ได้” “ดูเหมือนพ่อเลี้ยงจะว่างตลอดเลยนะคะ” “ก็ผมไม่มีธุระไปที่ไหนนี่ครับ กลางวันก็ทำงานส่วนกลางคืนก็เป็นเวลาพักผ่อน” “ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ มันอาจจะฟังดูเสียมารยาทไปหน่อย” “ถามมาสิครับ” “พ่อเลี้ยงมีครอบครัวหรือยังคะ” เพราะทุกครั้งที่ไปบ้านเขามนสิชาก็เจอแต่แม่เลี้ยงบุปผาและตัวเขาแต่เธอก็คิดว่าคนที่อายุประมาณพ่อเลี้ยงน่าจะมีครอบครัวอยู่แล้ว“แล้วคุณเคยเห็นคนในครอบครัวผมไหมล่ะ” “ที่ฉันถามก็เพราะฉันเจอแต่แม่เลี้ยงไงคะ ฉันก็เลยอยากจะรู้ว่าคุณมีครอบคร
มนสิชาตื่นนอนตั้งแต่เช้าเพื่อมารดน้ำต้นไม้และกุหลาบที่หน้าบ้าน ก่อนจะทำอาหารเช้าแบบง่ายๆ ทาน จากนั้นก็ลงมือทำคุกกี้เพื่อไปส่งยังร้านกาแฟซึ่งตอนนี้เธอมีลูกค้าที่ต้องส่งอยู่ถึงห้าร้านแต่ละร้านก็สั่งกันค่อนข้างมากจนเธอต้องแบ่งทำสัปดาห์ละสองครั้ง แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกเพลินมากกว่าที่จะเหนื่อยหญิงสาวอบคุกกี้เสร็จและยังไม่ทันจะแพ็คลงถุงเสียงออดที่หน้าประตูรั้วก็ดังขึ้น เธอมองนาฬิกาแล้วเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่นัดกับพ่อเลี้ยงทิศเหนือจึงลังเลว่าจะออกไปดูดีหรือเปล่าเพราะนอกจากเขาแล้วเธอก็ไม่ได้นัดใครมาที่บ้านเมื่อเดินมาถึงหน้าบ้านมนสิชาก็ทำหน้าเซ็งและถอนหายใจเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่นอกรั้ว“มอลลี่เปิดประตูให้ผมหน่อยสิ” “คุณจะมาทำไมคะอลัน ฉันว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ” “ผมรู้ แต่ผมอยากขอร้องว่าระหว่างที่ผมอยู่เมืองไทย ขอผมมาหาคุณได้ไหม ผมไม่รู้จักใครที่นี่เลยสักคน ผมอยากให้คุณพาเที่ยว” “ฉันไม่ว่างหรอกค่ะ ถ้าคุณอยากจะเที่ยวจริงๆ ก็ลองถามที่โรงแรมดูนะคะ ทางโรงแรมน่าจะมีบริการอยู่” “ผมจะกลับโรงแรมยังไงล่ะ” “แล้วคุณมายังไง” “ผมให้รถโรงแรมมาส่ง” “งั้นคุณก็เรียกให้เขามารับสิ ฉันไม่มีรถไปส่งคุณหร
มนสิชาเริ่มจะปวดหัวขึ้นเรื่อยๆ เพราะตลอดหลายวันมานี้อลันยังคงตามตื๊อเธอไม่เลิก เขาเช่ารถและขับมาหาเธอที่บ้านและตามไปที่ทำงาน แม้ว่าเธอจะไม่คุยด้วยแต่เขาก็ทำให้เธออึดอัดและเริ่มรู้สึกว่าเขาคุกคามมากจนเกินไป หญิงสาวรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยแม้ว่าพ่อเลี้ยงจะตามรับส่งแต่พอตกกลางคืนหลังจากพ่อเลี้ยงส่งเธอเสร็จอลันก็มักจะมาจอดรถอยู่ที่หน้ารั้วซึ่งเรื่องนี้เธอยังไม่ได้บอกกับพ่อเลี้ยง หญิงสาวเล่าเรื่องนี้ให้กับน้ำหวานหรือวาริสาเพื่อนสนิทสมัยมัธยมที่เพิ่งย้ายกลับมาจากกรุงเทพฟังถึงเรื่องของอลัน วาริสาจึงชวนให้เธอไปพักที่บ้าน แต่ก็มีเหตุจำเป็นที่เธอไปไม่ได้เพราะตอนนี้เธอเป็นไข้หวัดจึงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าจะไปพักที่บ้านของเพื่อนซึ่งมีทั้งเด็กเล็กและคนผู้สูงอายุที่สุขภาพไม่ค่อยจะแข็งแรง“จะเดินทางไปไหนเหรอน้ำปิง” พ่อเลี้ยงทิศเหนือถามเมื่อเห็นกระเป๋าเดินทางที่วางอยู่ในห้องรับแขก“ไม่ไปแล้วค่ะ” “ไม่ไปแล้ว หมายความว่าคิดจะไปเหรอครับ ไหนคุณว่าจะอยู่ที่นี่ไง” พ่อเลี้ยงหนุ่มรู้สึกใจหายถ้าหากเธอจะย้ายไปอยู่ที่อื่น เขาอดคิดไม่ได้ว่าบางทีเธอกับอลันจะกลับมาคืนดีกันแล้วก็ได้“ฉันก็แค่จะไปอยู่ที่บ้านเพื่อนชั่วคราวค่ะ
มนสิชายกเลิกการทำคุกกี้ไปส่งตามร้านกาแฟ เพราะไม่สะดวกที่จะต้องกลับไปทำที่บ้าน ช่วงเช้าที่ไม่มีสอนหญิงสาวจึงมีเวลาเรียนทำอาหารเหนือกับแม่เลี้ยงบุปผา“พี่น้ำปิงเก่งจังค่ะ แม่เลี้ยงสอนมะลิตั้งหลายครั้งยังไม่เก่งเท่าพี่น้ำปิงเลย” มะลิที่ตอนนี้สนิทกับมนสิชามากขึ้นจึงยอมเรียกเธอว่าพี่เอ่ยชมหญิงสาวที่วันนี้เป็นคนตำน้ำพริกอ่องเอง หลังจากที่แม่เลี้ยงสอนทำไปเมื่อวันก่อน“อย่าเพิ่งรีบชมสิมะลิ พี่ว่าลองชิมก่อนดีไหม”“แค่ดูหน้าตาหนูว่าก็น่ากินแล้วนะคะ”“แม่คะ หนูอยากให้แม่ลองชิม” แม่เบี้ยงบุปผาที่ยืนดูหญิงสาวทำทุกขั้นตอนยิ้มอย่างอบอุ่นก่อนจะตักน้ำพริกอ่องขึ้นมาทาน“อร่อยจ้ะ รสชาติไม่ต่างจากที่แม่ทำเลย”“จริงเหรอคะ”“ลองชิมฝีมือตัวเองดูสิ”มนสิชาและมะลิมองหน้ากันก่อนจะตักน้ำพริกอ่องเข้าปาก“อร่อยค่ะพี่น้ำปิง” มะลิชมจากใจจริง“จริงด้วย ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะอร่อย” มนสิชาที่ชิมฝีมือตัวเองแล้วยิ้ม“หนูเรียนรู้ได้ไวแบบนี้แม่ว่าอีกหน่อยก็คงทำได้หลายอย่าง แม่จะสอนให้เก่งเลย แต่งงานไปจะได้ทำให้สามีกิน”“แม่คะ หนูไม่คิดเรื่องแต่งงานกรอกค่ะ”“แม่รู้ แม่ไม่ได้หมายถึงตอนนี้ แม่หมายถึงในอนาคตน่ะ บางทีถ้าหนูได้เจอ
ตลอดบ่ายของวันนี้พ่อเลี้ยงทิศเหนือและมนสิชาทำตัวราวกับเป็นคู่รักที่มาออกเดต พวกเขาเดินซื้อของด้วยกันเสร็จก็ดูหลังกันต่อ ก่อนจะพากันมาทานอาหารเย็นที่ร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง“อาหารร้านนี้อร่อยมากค่ะ พ่อเลี้ยงนึกยังไงถึงพาฉันมากินสเต๊กล่ะคะ” “ผมเห็นคุณทานแต่อาหารไทยมานานก็เลยคิดว่าคุณน่าจะอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ร้านนี้เจ้าของเป็นคนฝรั่งเศสนะ แต่ที่ทำให้เราน่าจะเป็นรุ่นลูก” “พ่อเลี้ยงมากินบ่อยเหรอคะ” “แต่ก่อนมาบ่อยครับ แต่ช่วงหลังไม่ค่อยได้มาเพราะแม่มีร้านประจำอีกร้านที่เป็นเพื่อนของแม่ ผมเลยต้องเปลี่ยนร้านตามใจท่าน” แม้ชอบรสชาติอาหารร้านนี้มากแค่ไหนแต่เขาก็ยอมทำตามใจมารดา“ดูเหมือนว่าพ่อเลี้ยงไม่เคยขัดใจแม่เลยนะคะ” “ใช่ครับ เราเหลือกันแค่สองคนอะไรที่ทำให้ท่านสบายใจผมก็ยินดีทำ” “คุณจะทำตามท่านทุกอย่างเลยไหมคะ” มนสิชาถามเพราะถ้าเกิดว่าวันหนึ่งมารดาของเขาจะหาผู้หญิงมาให้เพราะเคยได้ยินแม่เลี้ยงบุปผาเปรยว่ายังไงปีนี้ลูกชายของแม่เลี้ยงจะต้องมีข่าวดีเรื่องคู่ครอง ซึ่งถ้าพ่อเลี้ยงตามใจมารดาขนาดนั้นมนสิชาก็คงไม่กล้าบอกความรู้สึกของตัวเองออกไป“ผมทำตามที่ท่านบอก ถ้านั่นมีเหตุผลพอครับ” พอได้ยินแ
มื้อเที่ยงของวันนี้นอกจากแม่เลี้ยงบุปผาแล้วที่บ้านของเธอยังมีผู้หญิงอีกคนนั่งอยู่ในห้องรับแขกซึ่งแม่เลี้ยงแนะนำว่าเธอเป็นลูกสาวของเพื่อนซึ่งวันนี้แวะมาหาพอดี“ที่คุณป้าบอกว่ามีลูกสาวคนใหม่ ภัทรก็นึกว่ายังเป็นเด็ก อีกนะคะ แบบนี้ไม่กลัวคนเข้าใจผิดเหรอคะ” “เข้าใจผิดยังไงล่ะภัทร” พ่อเลี้ยงถามณภัทราหญิงสาวที่เคยตามตื๊อเขาอยู่หลายครั้งแต่เขาไม่เล่นด้วยและวันนี้ตนเองก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นเธอมาที่นี่“ก็พ่อเลี้ยงยังโสดคนอื่นเขาอาจจะเข้าใจผิดเอาได้นะคะว่าพ่อเลี้ยงกับน้ำปิงอาจจะกำลังคบกัน” “ถึงคนอื่นจะเข้าใจผิดมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของผมนี่ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับคุณเลยนะ” “พ่อเลี้ยงไม่กลัวคนอื่นเข้าใจผิดเหรอคะ ทั้งไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดแล้วยังให้เธอมาค้างที่บ้านด้วย” “ผมยังโสดนี่ ไม่เห็นจะต้องกลัวใครเข้าใจผิดเลย” “แต่ให้คนอื่นเข้าใจผิดบ้างก็ดีนะ สาวๆ จะได้เลิกยุ่งกับลูกชายแม่” “แล้วแบบนี้เมื่อไหร่คุณป้าจะได้ลูกสะใภ้ล่ะคะ” “ป้าว่าไม่น่าจะเกินปีนี้หรอกจ้ะ หมอดูท่านว่าปีนี้พ่อเลี้ยงจะเจอเนื้อคู่ วันมะรืนนี้ป้าก็จะไปไหว้พระขอพรให้ทิศเหนือได้เจอเนื้อคู่ด้วย” “จริงสิคะ ภทัรเกือบลืมเลยว่าเราจะได้ไปเ
พ่อเลี้ยงมารับมนสิชาที่บ้านของเธอตั้งแต่เช้าก่อนจะพาไปทานอาหารเช้าที่ร้านเล็กๆ ซึ่งอยู่ติดกับโรงงานเฟอร์นิเจอร์ เขาสั่งกาแฟและครัวซองต์มาให้มนสิชากับตนเองคนละชิ้น“ผมชอบกินครัวซองต์ที่ร้านนี้มาก เขาทำสดใหม่ทุกวัน” “ถึงว่ากลิ่นหอมออกมาจากร้านเลยนะคะ พ่อเลี้ยงมากินบ่อยเหรอ” “ก็มากินเกือบทุกครั้งที่มาโรงงานครับ” รอไม่นานครัวซองต์หอมกรุ่นและกาแฟร้อนก็มาวางตรงหน้า มนสิชาชิมไปนิดก็รู้สึกว่ามันอร่อยอย่างที่เขาพูดจริง“ทั้งหอมทั้งอร่อยเลยค่ะ” “คุณชอบไหม” “ชอบค่ะ ฉันว่ามันอร่อยกว่าที่เคยกิน” “ถ้าคุณชอบเราก็มากินบ่อยๆ ก็ได้นะ หรือคุณจะถามสูตรเขาแล้วไปทำเองก็ได้” “ฉันไม่เสียมารยาทขนาดนั้นหรอกค่ะ อีกอย่างฉันก็ไม่เคยทำมาก่อนซื้อเขากินน่าจะง่ายกว่านะคะ” “เอาไว้เรามากินกันอีกก็ได้” “ปกติพ่อเลี้ยงเข้าโรงงานบ่อยไหมคะ” “ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็สัปดาห์ละครั้งครับ” “ไม่ที่คุณซื้อเอามาทำเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเลยเหรอคะ” “ครับ แต่ก่อนผมใช้ไม้จากปางไม้ แต่ตอนนี้ไม่เริ่มไม่พอก็เลยหันไปซื้อไม้เก่าแบบนั้น” “คุณโกรธฉันไหมเรื่องบ้านของตาสัก” มนสิชาอยากถามเขาเรื่องนี้มานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส“ไม่ครับ ผมดีใจด
“คุณว่าหมออาร์ตเป็นยังไงบ้าง” พ่อเลี้ยงทิศเหนือเอ่ยปากถามมนสิชาหลังจากที่ทั้งสองนั่งรถออกมาจากบริเวณบ้านได้ไม่นาน“คำถามกว้างไปค่ะ ขอแคบลงอีกนิดได้ไหมคะ” “ก็อย่างเช่นหน้าตา อาชีพนิสัยอะไรพวกนี้” “หน้าตาดีค่ะ ถือว่าหล่อเลยทีเดียวหน้าออกไปทางเกาหลีหน่อยๆ อาชีพก็ดีค่ะ แต่เรื่องนิสัยฉันตอบไม่ได้เพราะเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก แต่เท่าที่ดูก็คงไม่เลวร้ายอะไรหรอกนะคะ” มนสิชาตอบไปตามที่ตนเองเห็น“คุณชอบเขาไหม” “ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะคะ” “ก็ผมอยากรู้เพราะดูเหมือนว่าเขาจะชอบคุณมากนะ” “ขอไม่ตอบได้ไหมคะ” “ตอบมาเถอะน่า ผมไม่ว่าอะไรคุณหรอก คุณเองก็โสดมานานแล้ว ถ้าตอนนี้จะคบใครสักคนมันก็ไม่มีอะไรเสียหายเลย” “พ่อเลี้ยงอยากจะรู้คำตอบไปทำไมล่ะคะ” “ก็เราเป็นเพื่อนกัน ทำงานด้วยกันนี่ครับ” “แค่นั้นเหรอคะ” “ครับ” “นั้นสิคะเราเป็นเพื่อนกัน ฉันจะตอบคำถามของพ่อเลี้ยงก็ได้ค่ะ ฉันไม่ชอบหมออาร์ตเพราะฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว” “อะไรนะน้ำปิง คุณมีคนที่ชอบอยู่แล้วเหรอ เขาเป็นใคร ผมรู้จักไหม แล้วคุณกับเขาไปเจอกันตอนไหน” พ่อเลี้ยงถามด้วยความแปลกใจ เพราะเขาไปไหนมาไหนกับมนสิชามาตลอดหลายเดือนแถมเธอยังมานอนที่บ้านของเข
มนสิชากลับมาอยู่บ้านของตนเองได้สามวันแล้ว แม้จะรู้สึกเหงาที่ต้องอยู่คนเดียวแต่หญิงสาวก็พยายามทำตัวให้ชินเข้าไว้ การไปอยู่ที่บ้านของแม่เลี้ยงบุปผาและพ่อเลี้ยงทิศเหนือนานๆ นั้นมันไม่ดีเลย เพราะยิ่งใกล้ความรู้สึกที่มีให้เขาก็มากขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะความใกล้ชิดก็เป็นได้ที่มนสิชาถอยห่างออกมาก็เพื่ออยากจะทบทวนความรู้สึกของตัวเองว่าที่เธอรู้สึกกับพ่อเลี้ยงนั้นเป็นความรักหรือมันเป็นเพียงแค่ความใกล้ชิดแต่ตอนนี้ผ่านมาสามวันแล้วแต่มนสิชาก็ยังคิดถึงเขาอยู่และยิ่งคิดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคืนที่ผ่านหญิงสาวแทบจะนอนไม่หลับเพราะวันนี้เธอจะไปทำงานกับพ่อเลี้ยงเป็นวันแรก หลังจากที่ไม่ได้เจอเขามานานถึงสามวัน แม้ว่าเขาจะโทรหาแต่ความรู้สึกที่จะได้เจอหน้ามันก็ต่างกันตั้งแต่เธอไม่อยู่บ้านพ่อเลี้ยงก็ให้คนมาทำระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติทำให้มนสิชาไม่ต้องเสียเวลารดน้ำต้นไม้ เช้านี้เธอจึงมีเวลาทำบัตเตอร์เค้กให้กับพ่อเลี้ยงและมารดาของเขา แม้ว่าจะเป็นขนมธรรมดาแต่เธอก็อยากจะทำให้เสียงรถจอดที่หน้าบ้านทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าหัวใจตนเองเต้นจังหวะแปลกไปก
มนสิชาช่วยดูแลพ่อเลี้ยงทิศเหนือจนกระทั่งเขาได้รับอนุญาตให้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน ซึ่งพอดีกับแม่เลี้ยงกลับจากเชียงใหม่พอดี“เหนื่อยไหมน้ำปิง ลูกชายแม่ดื้อไหม”“ไม่ค่ะ แล้วแม่ล่ะคะ ไปเที่ยวมาสนุกไหม”“ไม่ค่อยได้เที่ยวเลยจ้ะ เน้นพูดคุยกันมากกว่าอีกอย่างเชียงใหม่แม่กับเพื่อนก็เที่ยวกันมาเยอะแล้ว เราเลยนัดกันว่าเดือนหน้าจะไปไหว้พระขอพรที่ฮ่องกงกันจ้ะ น้ำปิงไปกับแม่ไหม”“หนูอยากไปนะคะ แต่ตารางงานสอนของหนูกำหนดมาแล้วค่ะคงจะไปด้วยไม่ได้”“ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่ขอพรเผื่อนะ”“ขอบคุณค่ะแม่”“แม่ชวนแค่น้ำปิงเหรอครับ ไม่เห็นจะชวนผมบ้างเลย” พ่อเลี้ยงที่นั่งฟังสองคนคุยกันท้วงขึ้น“ก็แม่เคยชวนทิศเหนือไปเที่ยวไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งไม่เห็นจะสนใจ พอแม่ไม่ชวนล่ะทำมาเป็นบ่น เอาล่ะ ครั้งนี้แม่จะไปกับเพื่อนๆ ถ้าเหนืออยากไปเที่ยวจริงๆ ก็หาเวลาว่างไปกับน้ำปิงสองคนเถอะ” แม่เลี้ยงบุปผาพูดจบก็หันมามองหน้าลูกสาวคนเล็ก“หนูไม่อยากไปเที่ยวหรอกค่ะ”“แต่ผมอยากไป”“พ่อเลี้ยงอยากไปก็ไปคนเดียวสิคะ”“ผมไปคนเดียวจะสนุกได้ยังไงแล้วอีกอย่างการไปเที่ยวต่างประเทศมันก็ไม่ถนัดเลยสำหรับผม”“แม่ว่าน้ำปิงพาเขาไปเที่ยวหน่อยก็ดีเดี๋ยว
“น้ำปิง ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” พ่อเลี้ยงถามขึ้นหลังจากที่พยาบาลเดินออกไปแล้ว เขาจำได้ว่าตนเองนอนพักอยู่บนโซฟาในห้องทำงานของตนตัวเองหลังจากกลับออกมาจากโรงงาน“ฉันติดต่อคุณไม่ได้เลยโทรไปถามที่โรงงานค่ะ รปภ.บอกว่าคุณยังไม่ออกมาฉันคิดว่าคุณน่าจะไม่สบายมากจึงเข้าไปหา แล้วมันก็จริงอย่างที่คิดไว้เลย คุณตัวร้อนมาก ตอนที่ฉันกับรปภ.พาคุณมาขึ้นรถฉันคิดว่าคุณรู้สึกตัวแล้วนะคะ”“ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ นึกว่ากำลังฝัน”“แล้วตอนนี้ล่ะคะ รู้สึกยังไงบ้างคะ” เธอถามด้วยความเป็นห่วง“เพลียๆ ยังไงก็ไม่รู้ หมอบอกว่าผมเป็นอะไรแค่เป็นไข้ไม่น่าจะถึงขั้นนอนโรงพยาบาลนะครับ” เขามองตนเองที่นอนอยู่บนเตียงและยังมีสายน้ำเกลือติดอยู่ที่มือข้างซ้ายอีกด้วย“คุณเป็นไข้ค่ะแต่ไม่ใช่ไข้ธรรมดาเพราะคุณเป็นไข้เลือดออกค่ะ หมอเลยให้นอนโรงพยาบาลค่ะ”“เหรอครับ” พ่อเลี้ยงพยายามนึกว่าตนเองไปถูกยุงที่ไหนกัด“ค่ะ ตอนนี้ไข้คุณก็สูงมากเลยเดี๋ยวพยาบาลจะเข้ามาเช็ดตัวให้นะคะ”“คุณเช็ดให้ผมไม่ได้เหรอน้ำปิง ผมไม่อยากให้คนอื่นเช็ด” พ่อเลี้ยงไม่มีปัญหาว่าใครจะเป็นคนเช็ดตัวให้ แต่ถ้าเลือกได้อยากให้มนสิชาเป็นคนเช็ดให้มากกว่าและตอนนี้เขาก็ป่วยอยู่จึ
กว่ามนสิชาจะเลิกงานและกลับมาถึงบ้านก็เกือบทุ่มครึ่ง ปกติแล้วเธอจะเจอแม่เลี้ยงบุปผานั่งดูทีวีรออยู่กับมะลิแต่ปรากฏว่าวันนี้ที่ห้องรับแขกนั่นมีแค่มะลิอยู่คนเดียว“มะลิ แม่เลี้ยงไปไหนล่ะ ถึงได้ดูทีวีอยู่คนเดียว”“แม่เลี้ยงไปเชียงใหม่ค่ะ”“ไปเชียงใหม่ เมื่อเช้าแม่บอกมีนัดกับเพื่อนพี่ก็ถึงว่านัดกันที่นี่”“มะลิก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แม่เลี้ยงสั่งให้มะลิบอกพี่น้ำปิงว่าให้ช่วยดูแลพ่อเลี้ยงด้วย”“พ่อเลี้ยงของมะลิยังไม่กลับมาเลยนะ”“ปกติพ่อเลี้ยงไม่เคยกลับบ้านค่ำเลยนอกจากจะไปดื่มกับเพื่อน แต่ส่วนใหญ่ก็จะบอกไว้ตั้งแต่เช้านะคะว่าจะกลับดึก”“แต่พ่อเลี้ยงไม่ค่อยสบายพี่ว่าจะลองโทรถามดู มะลิว่าดีไหม”“ดีค่ะถามเลยค่ะ มะลิจะได้อุ่นราดหน้ารอ”“วันนี้มะลิทำราดหน้าเองเหรอ” มนสิชาถามด้วยความแปลกใจเพราะปกติแล้วมะลิจะทำอาหารไม่ค่อยเป็น“เปล่าคะ แม่เลี้ยงทำราดหน้าเอาไว้มะลิก็แค่เอามาอุ่นเองค่ะพี่น้ำปิง”“อย่าเพิ่งอุ่นนะ พี่ขอโทรถามก่อน”“พี่น้ำปิงกินข้าวจากข้างนอกมาอีกแล้วใช่ไหมคะ”“จ้ะ” เพราะกว่าตัวเองจะสอนเสร็จก็หนึ่งทุ่ม มนสิชาเลยเลือกที่จะทานอาหารจากข้างนอกก่อนจะกลับบ้านในวันอังคารถึงวันพฤหัสส่วนวันที่เหลื
เช้าวันรุ่งขึ้นมนสิชาไม่เห็นพ่อเลี้ยงมาทานอาหารเช้าก็คิดว่าเขาคงจะไม่สบายจนลุกไม่ขึ้น แต่พอถามแม่เลี้ยงถึงรู้ว่าชายหนุ่มเข้าที่โรงงานอบลำไยตั้งแต่เช้าเพราะเครื่องจักรมีปัญหา“เขาหายดีแล้วเหรอคะแม่”“แม่ว่ายังนะ แต่แม่ก็ไม่ทันได้คุยอะไรมาก เมื่อคืนเขามีไข้ไหม”“มีค่ะ หนูเข้าไปเช็ดตัวตอนเที่ยงคืน และคิดว่าเช้านี้จะให้กินยาต่อ ไม่คิดว่าพ่อเลี้ยงจะรีบไปทำงานขนาดนั้น”“แม่ก็ห่วงอยู่ แต่จะไปดูก็ไม่ได้เพราะวันนี้แม่นัดกับเพื่อนไว้” แม่เลี้ยงบุปผาไม่ได้นัดใครไว้แต่เธออยากให้มนสิชาไปที่โรงงาน เพราะอยากให้ได้รู้จักเอาไว้ อีกอย่างที่นั่นสาวๆ หลายคนที่สนใจลูกชายของเธออยู่ บางทีการไปของมนสิชาอาจจะทำให้บรรดาสาวๆ ที่อยากจะสมัครเป็นลูกสะใภ้ถอนตัวไปบ้างแม่เลี้ยงไม่ได้รังเกียจเลยถ้าพ่อเลี้ยงจะเอาลูกจ้างหรือคนงานในโรงงานมาเป็นภรรยา เพราะเธอไม่เคยกังวลเรื่องฐานะหรือชาติตระกูลแต่เพราะแม่เลี้ยงบุปผาดูออกว่าแต่ละคนนั้นเข้าหาพ่อเลี้ยงเพราะหวังในทรัพย์สินมากกว่าสิ่งอื่นใด“โรงงานอยู่ไม่ไกลไหมคะแม่”“ห่างจากนี่สิบกิโลจ้ะ”“ถ้าอย่างนั้นสายๆ หนูจะเข้าไปดูให้นะคะ แล้วค่อยไปทำงาน”“ขอบใจจะน้ำปิง เดี๋ยวแม่ว่าจะฝาก