การที่สตรีวางแผนการจะทำลายชื่อเสียงอีกฝ่ายจะมีสักกี่วิธี หากไม่วางยาปลุกกำหนัดในของกินแล้วจับขังในห้องที่มีบุรุษ ก็แสร้งทำน้ำชาหกใส่แล้วพาไปเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนจะพาบุรุษสักคนตามไปคล้ายนัดพบกันในที่ลับตาคน หรือจะตีหัวให้สลบแล้วพาขึ้นเตียงกับบุรุษ ไม่ก็จะเป็นแสร้งตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ เอ่ยวาจายั่วยุผู้อื่นให้ลงมือทำร้ายตน แต่ดูจากวิธีการแล้วต่อจากนี้คงจะมีบุรุษสักคนเดินตามมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่างและคนผู้นั้นคงหนีไม่พ้นเจ้าซิวซือเย่ผู้ดีแต่ฉากหน้า เมื่อเดินมาถึงเรือนรับรองที่ดูเหมือนจะมีหลายห้อง สาวใช้คนสนิทของซิวลู่หลินก็ผลักประตูให้เปิดออกก่อนจะพาเข้าไปด้านใน “คุณหนูฟ่านรอบ่าวในห้องนี้ก่อนนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวบ่าวจะไปหยิบอาภรณ์ผืนใหม่ของคุณหนูมาให้” “อืม” เมื่อนางรับคำสาวใช้ผู้นั้นก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกับปิดประตูให้เรียบร้อย ‘ว่างเปล่าไม่มีใครซ่อนอยู่’ ฟ่านซีอิ๋งคิดหลังจากที่สาวใช้ผู้นั้นออกไปนางก็เดินสำรวจจนทั่วห้อง แต่ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นเรือนรับรองจริง ๆ เพราะไม่มีของใช้หรือสิ่งใดเลยเรียกได้ว่าเป็นห้องที่ว่างเปล
16แผนการยวนยางคืนสนอง “ซีอิ๋ง! เจ้าอยู่แถวนี้ใช่หรือไม่ พี่มาช่วยเจ้าแล้ว” เสียงทุ้มแสนคุ้นเคยของบุรุษดังขึ้น ‘พี่ซืออี้!’ “ซีอิ๋ง พี่มาช่วยเจ้าแล้ว” “ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ” นางค่อย ๆ แหวกพุ่มไม้คลานออกจากใต้สะพานด้วยท่าทางอิดโรย “ดีใจเหลือเกินที่เจ้าปลอดภัย” เขาเอ่ยก่อนจะหน้าถอดสีเมื่อเห็นบริเวณขาของนางมีรอยเลือดไหลซึม “ท่านช่วยพาข้าออกไปจากที่นี่ก่อนเถิดเจ้าค่ะ” มีเรื่องใดค่อยสนทนากันต่อจากนี้ “อืม” เขาตอบรับก่อนจะเข้าไปโอบอุ้มนางแล้วใช้วิชาตัวเบาออกจากจวนซิว ชินอ๋องซื่อจื่อพาสตรีในดวงใจไปที่ตำหนักอ๋องซึ่งอยู่ใกล้กว่าจวนฟ่าน เขาส่งเสียงเรียกหาหมอทันทีที่ถึงหน้าจวน “พี่ซืออี้ ท่านตัวเย็นเหลือเกิน” ฟ่านซีอิ๋งเริ่มเพ้อ “หากพี่ตัวเย็น เจ้าสัมผัสแล้วรู้สึกดีก็สัมผัสให้มาก” เขากล่าวเสียงอ่อนโยน เขารับรู้จากองครักษ์เงาขององค์รัชทายาทแล้วว่าคุณหนูฟ่านถูกพิษปลุกกำหนัด “เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะเจ้าคะ” นางกล่าวพลางลูบไล้มือผ่านอกเสื้อเข้าไปด้านในอาภรณ์ แต่คล้ายจะยั
“พี่ซืออี้รบกวนยกฉากกั้นมาบังได้หรือไม่ บริเวณที่ข้าเจ็บอยู่ค่อนข้างสูง เกรงว่าต้องเลิกอาภรณ์ขึ้น” “ได้ ๆ ยกฉากกั้นมาบังเตียง” เขารับคำนางก่อนจะหันไปสั่ง เมื่อเห็นทุกอย่างเตรียมพร้อมเขาก็หันไปโบกมือไล่คนพวกนั้นออกไปจากห้อง ส่วนตนเองยืนเฝ้ามองนางอยู่ข้างเตียง “ประเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะท่านหมอ” นางเอ่ยวาจาหยุดท่านหมอที่กำลังจะตรวจให้นาง “มีอันใด หรือเจ้ารั้งอาภรณ์ไม่สะดวก อยากให้พี่ช่วยหรือ” คังซืออี้เอ่ยถามน้องน้อยด้วยสีหน้าห่วงใย “พี่ซืออี้ได้โปรดไปอยู่หลังฉากกั้นด้านโน้นเจ้าค่ะ แล้วให้นางกำนัลมาช่วยเหลือข้าแทน” “แต่ว่า...” เป็นเขาช่วยไม่ได้หรือ เขาอยากเห็นว่าแผลของนางลึกหรือไม่ “แผลมันอยู่บริเวณต้นขา ข้าอายท่านเจ้าค่ะ” ดวงหน้าหวานซับสีระเรื่อ เจ็บก็เจ็บ ยังต้องมาเอ่ยวาจาบอกกล่าวเขาตามตรง “อีกไม่นานก็ตบแต่งกันแล้ว อย่าได้เขินอายเลย” “นะเจ้าคะพี่ซืออี้ ช่วยทำตามที่ข้าบอกเถิด ข้าเจ็บแผลมาก อยากให้ท่านหมอรีบรักษาแล้ว” นางกล่าวพลางทำหน้าออดอ้อนเขาด้วย “ก็ได้” เขาต
“อืม...พี่เสียใจ ไม่คิดว่าปิ่นล้ำค่าของพี่จะทำให้เจ้าเจ็บตัว ประเดี๋ยวพี่จะสั่งให้คนไปแจ้งไห่ถิงกับท่านน้าว่าเจ้าอยู่ที่ตำหนักพี่” คังซืออี้คล้ายจะลืมตัวก่อนจะรีบเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “ท่านอย่าเพิ่งรีบเปลี่ยนเรื่องเลยเจ้าค่ะ ที่แท้ปิ่นนี่เป็นของท่านจริง ๆ เรื่องนี้พี่ใหญ่ทราบหรือไม่” “ไห่ถิงทำปิ่นหาย พี่เลยนำของพี่มอบให้” “ปิ่นล้ำค่าอันนี้คงไม่ใช่ของพระมารดาของท่านหรอกนะเจ้าคะ” “ย่อมไม่ใช่” “เช่นนั้นท่านตั้งใจทำไว้ให้สตรีใดหรือเจ้าคะ” นางกล่าวพลางหรี่ตามองอย่างจับผิด “สตรีในดวงใจเช่นเจ้านั่นแหละ พอดีไห่ถิงทำปิ่นที่เตรียมไว้ให้เจ้าหาย พี่จึงมอบของพี่ให้แทน” เพิ่งเจอหน้ากันไม่กี่ครั้งหากเขามอบปิ่นให้นาง ไม่เพียงแต่น้องน้อยจะไม่รับ เกรงว่าทั้งสหายและท่านเจ้ากรมยุติธรรมคงเอ่ยห้ามไม่ให้นางรับ ‘พี่ไห่ถิงทำหายหรือท่านขโมยไปกันแน่เจ้าคะ’ หากไม่ได้เห็นเล่ห์กลที่ผ่านมาของเขานางก็คงไม่คิดเช่นนี้หรอก “ท่านพึงใจข้าตั้งแต่ก่อนหน้านั้นอีกหรือเจ้าคะ” คงไม่ได้จะบอกว่าพึงใจนางตั้งแต่เป็นก้อนแป้งอ้วนกล
“เปิดประตู” คังเฟยหลงเอ่ยวาจาสั่งการทันที “พ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงตอบรับประตูถูกเปิดออกเผยให้เห็นบุรุษสองคนและหนึ่งสตรีร่างกายเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์กำลังเสพสังวาสกัน “น้องรอง!” เสียงของไท่จื่อคังเฟยหลงคล้ายกับทำให้องค์ชายรองคังเฟยหย่าที่กำลังจุมพิตอยู่กับบุรุษได้สติคืนมา ส่วนคุณหนูซิวที่กำลังถูกมือของบุรุษปรนเปรอความสุขให้ก็กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ “กรี๊ด!” ซิวลู่หลินส่งเสียงร้องตกใจก่อนจะรีบคว้าอาภรณ์ที่ตกอยู่มาคลุมกาย ดวงตาที่จ้องมองกลุ่มคนสั่นไหว ส่วนองค์ชายรองก็รีบวิ่งเข้าหลังฉากกั้นไป “ชายอีกคนเป็นใคร เหตุใดเปิ่นไท่จื่อถึงเห็นเขาจุมพิตกับองค์ชายรองราวกับคนกำลังจะเสพสังวาสกันเช่นนั้น” องค์รัชทายาทตรัสถาม “เป็น...เป็น” ราชครูซิวไม่รู้จะตอบเช่นไร เพราะไม่ทราบจริง ๆ “เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงใกล้ชิดกับองค์ชายรองที่เปลือยเปล่าไร้อาภรณ์เช่นนั้น ตอบเปิ่นไท่จื่อมา!” “องค์รัชทายาทได้โปรดให้ความเป็นธรรมแก่กระหม่อมด้วยขอรับ กระหม่อมเป็นเพียงบ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่ตัดฟืนอยู่ในจวนซิวแห่งนี้ขอรับ”
17การหวงแหนของบุรุษ ซิวลู่หลินที่มีสภาพไม่เรียบร้อย ผมเผ้ายุ่งเหยิงถูกสหายทั้งสองคนช่วยพยุงกลับไปที่เรือนของตน นางมองซ้ายมองขวาหาสาวใช้คนสนิทของตนแต่กลับไม่เจอ จึงสั่งให้คนไปตามลี่มี่มาหาหวังจะให้ช่วยขัดสัมผัสน่ารังเกียจที่บ่าวผู้นั้นแตะต้องหรือสัมผัสนาง แต่ผ่านไปเพียงชั่วสามลมหายใจคนที่เดินผ่านประตูเข้ามากลับเป็นพี่ชายของนาง “พี่ใหญ่ ท่านช่วยตามลี่มี่ให้ข้าได้หรือไม่” “ลี่มี่นางไม่อาจมารับใช้เจ้าได้แล้ว” “เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ” หรือว่าจะโดนจับได้แล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้นดวงหน้าหวานถอดสีในทันใด “ลี่มี่นางจะต้องแต่งเป็นอนุฯ ของข้า ต่อจากนี้สาวใช้ของเจ้าจะมีนามว่าเสี่ยวผิง” “เหตุใดลี่มี่ถึงต้องไปแต่งเป็นอนุฯ ของพี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เจ้าทำมันเองกับมือมิใช่หรือคุณหนูรองซิว” กล่าวจบแววตาที่พี่ชายเคยมองนางด้วยความอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวแฝงความเกลียดชัง “พะ พี่ใหญ่ข้าเพียงอยากได้ท่านได้ลงเอยกับฟ่านซีอิ๋ง ข้าจึงทำเช่นนั้น” ซิวลู่หลินรีบเอ่ยขอความเห็นใจ “ถึงแม้ข้าจะพึ
“ไม่จริง ข้าว่าต้องเป็นมัน...” เพียะ! ซิวลู่หลินยังเอ่ยวาจาไม่ทันจบ ฝ่ามือของพี่ชายก็ฟาดลงบนหน้า “หยุดโยนความผิดให้ผู้อื่นได้แล้ว แม้ที่ผ่านมาท่านพ่อจะไม่ทุบตีเจ้าแต่ใช่ว่าท่านพ่อจะยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป” หากไม่เพราะน้องสาวผู้นี้มีใบหน้างดงามเหนือพี่น้องต่างมารดา นางก็คงไม่ได้รับการเหลียวแลจากบิดา และการกระทำสิ้นคิดในครั้งนี้ของน้องสาวได้ทำลายแผนการของบิดาที่หวังจะเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้ด้วยเหตุนี้จึงต้องเปลี่ยนฝั่งปรับแผนการใหม่เพื่อการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า “พี่ใหญ่ท่านตบข้า” “คุณหนูซิวหากเจ้ายังไม่ปรับปรุงตน อีกหน่อยเกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งชายารองก็คงไม่อาจจะรักษาเอาไว้ได้” กล่าวจบซิวเมิ่งหยวนหมุนตัวทำท่าจะเดินจากไป “พี่ใหญ่ ท่านช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากแต่งกับองค์ชายรอง เขาเป็นต้วนซิ่วจะแต่งชายาได้อย่างไร” ซิวลู่หลินทรุดตัวลงไปกอดเข่าพี่ชาย หวังทำให้อีกฝ่ายใจอ่อน “สมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ แม้แต่องค์ชายรองก็ไม่อาจขัดได้” สิ้นเสียงเขาสะบัดขาเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมก่อนจะเดินออกจากเรือนไปโดยไม่คิดสนใจน
ท่าทางอ่อนโยนและเอาใจใส่สตรีของท่านอ๋องน้อยทำให้บรรดานางกำนัลและขันทีต่างลอบยิ้ม ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อคุณหนูฟ่านก็วางตะเกียบลงพร้อมกับข้าวที่พร่องไปเกือบครึ่งชาม “ไปยกยามา” “เรื่องที่ข้าอยู่ที่นี่ พี่ใหญ่กับท่านแม่ทราบแล้วหรือไม่เจ้าคะ” “อืม พี่ส่งคนไปแจ้งที่จวนฟ่านแล้ว” “ไม่รู้เรื่องที่จวนซิวเป็นอย่างไรต่อนะเจ้าคะ” นางชวนเขาสนทนาพลางจ้องมองบุรุษที่กำลังเป่ายาเพื่อคลายความร้อน “กินยาให้หมดก่อนแล้วพี่จะเล่าให้ฟัง” เขากล่าวก่อนจะยื่นถ้วยยาในมือให้ “เจ้าค่ะ” นางกลั้นใจก่อนจะยกยาถ้วยนั้นขึ้นดื่มในคราวเดียว “เก่งมาก ซีอิ๋งของพี่เก่งที่สุด” เขากล่าวก่อนจะป้อนก้อนน้ำตาลปั้นใส่ปากนาง “พี่ซืออี้ก็กล่อมเหมือนข้าเป็นเด็ก” “กินยาเสร็จแล้วไปนั่งตรงนั้นกันเถิด พี่จะเล่าเรื่องหลังจากเราออกจากจวนซิวให้เจ้าฟัง หากเจ้าง่วงเจ้าจะได้นอนได้เลย” เขากล่าวพลางโบกมือให้นางกำนัลเก็บสำรับออกไป “เจ้าค่ะ” เมื่อนางตอบรับเขาก็ลุกขึ้นแล้วอุ้มนางที่กำลังจะลุกยืนเช่นกัน
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว
“ท่านพี่เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” นางถามไถ่เขาเช่นนี้ทุกวัน นางช่างเป็นสตรีที่น่าอิจฉา ครอบครัวของสามีดีกับนางเหลือเกิน สามีหรือก็ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นบุรุษมักมากพร้อมรับสตรีเข้าเรือนมากมาย ทำให้นางยิ่งสำนึกในบุญคุณของเขา จึงพยายามปรนนิบัติดูแลเขาให้ดีที่สุด “เหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง” “เช่นนั้นไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนกินข้าวดีหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่ล่ะ อาบน้ำร้อนทุกวันไม่ดีกับร่างกายกระมัง เจ้ากินข้าวก่อนเถิด วันนี้พี่มีงานมากมายจึงมาบอกเจ้าว่าอย่ารอพี่เข้านอน เพราะพี่อาจจะนอนที่ห้องหนังสือเลย” “เจ้าค่ะ” ฮูหยินน้อยจวนฟ่านคล้ายจะรู้สึกผิดหวัง นางก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อซ่อนแววตาเสียใจ “เช่นนั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ” เขากล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไป ไม่มีท่าทางหยอกเย้าหรือกินเต้าหู้นางเช่นทุกวัน” ‘เขาโกรธอันใดข้าหรือไม่’ ‘หรือเขาเบื่อหน่ายข้าแล้ว จึงพยายามหลีกเลี่ยงเช่นนี้’ หูเซียงเฟยไม่เข้าใจตนเองเช่นกันว่าเหตุใดถึงรู้สึกเสียใจเมื่อเห็นท่าทางเมินเฉยของเขา ในเมื่อเขาบอกว่าอาจจะไม่กลับมา นางจึงถ
“แต่หากเจ้าไม่อยาก...” เขากำลังจะบอกว่าไม่อยากฝืนใจนาง เขามีเวลาเป็นปีที่จะยั่วยวนจนนางหลวมตัวหลวมใจยินดีที่จะเป็นฟ่านฮูหยินตลอดไป “ท่านได้โปรดชี้แนะข้าด้วย” นางรีบกล่าวคล้ายกลัวเขาเข้าใจผิด ที่เขายอมรับข้อเสนอตบแต่งนางเป็นฮูหยินเอกนับว่ามีพระคุณกับนางยิ่งนัก “หากพี่สอน เจ้าจะหาว่าพี่หน้าไม่อายหรือไม่” “ไม่ว่าเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นลองสัมผัสมันดูหรือไม่ ทำความคุ้นเคยกับมันก่อน” น้ำเสียงที่แฝงด้วยยั่วเย้าและแววตาที่ล่อลวงทำให้นางหลวมตัวพยักหน้าตอบรับด้วยใจหนึ่งก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็น แม้ก่อนออกเรือนมารดาจะนำหนังสือปกขาวที่เคยได้รับมามอบให้ แต่ทว่านางลองศึกษาแล้วยังไม่กระจ่างเท่าใด ทราบแต่เพียงว่าครั้งแรกจะเจ็บมากเท่านั้น “เจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยสีหน้าเขินอาย แต่ก็ยอมเอื้อมมือไปจับเจ้าสิ่งนั้นที่คล้ายผงกหัวเรียกนางอยู่ “เป็นอย่างไรบ้าง” “มันเหมือนมีชีวิตเลยนะเจ้าคะ” “เพราะมันปรารถนาอยากจะปลดปล่อยอย่างไรเล่า” “แล้วยามที่มันแข็งขึงเช่นนี้ ท่านปวดหรือไม่เจ้าคะ”
‘หากเจ้ายอมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ข้าฟังตามจริง ข้าอาจจะตบแต่งกับเจ้าตามข้อตกลงก็ได้’ ‘เช่นนั้นเราเปลี่ยนที่สนทนาได้หรือไม่เจ้าคะ’ ‘ย่อมได้’ เขากล่าวพลางวางตะเกียบลง ‘ท่านกินให้อิ่มก่อนก็ได้เจ้าค่ะ ข้ารอได้’ อย่างไรกลับไปก็โดนหาเรื่องอยู่แล้ว หากนางจะกลับช้าอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป ‘เช่นนั้นก็รอข้า’ ‘เจ้าค่ะ’ หลังจากย้ายที่สนทนาแล้วนางก็เล่าเรื่องราวที่ตนต้องเข้าร่วมการคัดเลือกนางสนมของฮ่องเต้ ซึ่งพี่สาวที่เข้าเกณฑ์จะต้องเข้าร่วมเช่นกันกับฮูหยินรองที่ยามนี้ทำตัวเช่นฮูหยินเอกกดขี่นางและมารดา พยายามหาบุรุษมีตำหนิมาแต่งกับนางเพื่อจะได้ตัดคู่แข่งในการคัดเลือกนางสนมออกไป ซึ่งตัวหูเซียงเฟยที่ไม่ได้อยากเป็นสนมของฮ่องเต้ จึงคิดเลือกบุรุษสักคนด้วยความคิดที่ว่าหากต้องพลีกายให้กับใครสักคน นางขอเป็นคนเลือกเอง ทว่าสถานที่เลือกบุรุษของนางกลับเป็นร้านบะหมี่ข้างทาง ไม่ใช่โรงเตี๊ยมที่คุณชายมักจะไปนั่งจิบชา ซึ่งนางให้เหตุผลว่าที่มาเลือกบุรุษในที่นี่ก็เพราะ ในสายตานางบะหมี่ร้านนี้รสเลิศกว่าอาหารในโรงเตี๊ยม แต่กลับถ
การยั่วยวนฮูหยินของฟ่านไห่ถิง วันต่อมาฟ่านฮูหยินพาบุตรชายและแม่สื่อมาเยือน แน่นอนว่าพระชายาชินอ๋องที่ทราบถึงเรื่องราวโสมมในจวนโหวย่อมมาร่วมด้วย โดยชินอ๋องที่ได้ฟังพระชายาเล่าเรื่องการมาเยือนจวนโหวครั้งก่อนให้ฟังยังคงติดตามมาด้วยเพราะรู้สึกไม่พอใจกับความไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงของอี๋เหนียงจวนโหว แน่นอนว่าผู้สูงศักดิ์ที่โอรสสวรรค์ยังต้องหยุดฟังมาเยือนถึงจวน ท่านโหวย่อมว่าง่ายและไม่ขัดข้องต่อความประสงค์ของฟ่านฮูหยินเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นเจ็ดวันคุณหนูรองหูแต่งเข้าเป็นฮูหยินน้อยจวนฟ่าน ตามธรรมเนียมหากฝ่ายชายส่งสินสอดให้เท่าใด สินเดิมของสตรีต้องมากกว่าแม้สักเล็กน้อยก็ยังดี ทำให้อี๋เหนียงต้องกัดฟันขนข้าวของที่ซุกซ่อนไว้ ซึ่งเป็นสินเดิมของฮูหยินเอกมอบคืนไปพร้อมกับแช่งชักหักกระดูกคนจวนฟ่านที่กล้าดีส่งสินสอดมามากถึงยี่สิบหีบ ทำให้ตนต้องคืนสินเดิมที่ยักยอกไปทั้งหมด หลังจากนี้คงได้แต่สั่งริบเบี้ยหวัดของฮูหยินและอนุฯ ทั้งหลายเพื่อเติมเต็มสินเดิมเตรียมเอาไว้ให้บุตรสาว กล่าวถึงเรื่องราวหลังจากดื่มสุรามงคลของฟ่านไห่ถิงและฮูหยินน้อยจวนฟ่าน ซึ่งฟ่านไห่ถิง
“เจ้าน่ะหรือหูเซียงเฟย ท่านโหว นางคือคุณหนูรองหูตัวจริงใช่หรือไม่ ท่านไม่ได้กำลังหลอกลวงเบื้องสูงนำตัวแทนมาอีกใช่หรือไม่ บอกตามตรงเปิ่นหวางเฟยไม่ใคร่จะไว้ใจท่านโหวแล้ว” วาจาของพระชายาชินอ๋องทำให้หูโหวหน้าชา วันนี้เขาโดนพระชายาต่อว่าไปหลายเรื่องทีเดียว “เป็นหม่อมฉันหูเซียงเฟยจริง ๆ วันนี้พระชายาคงมาพบหม่อมฉันเพราะเรื่องคุณชายฟ่านใช่หรือไม่เจ้าคะ” “ย่อมใช่ แต่เพื่อยืนยันว่าเจ้าคือหูเซียงเฟยจริง ๆ เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ว่าเจ้าเข้าไปสนทนากับพี่ชายข้าครั้งแรกเมื่อใด” “ที่ร้านบะหมี่เจ้าอร่อย ข้างทาง...” หูเซียงเฟยเล่าถึงที่ตั้งของร้านบะหมี่ที่ตนเดินเข้าไปยื่นข้อเสนอให้กับคุณชายฟ่าน หากพระชายาผู้นี้มาหานางถึงจวนได้ มิแคล้วก็คงพอจะทราบเรื่องข้อเสนอนั่นด้วยกระมัง “ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าคือหูเซียงเฟย สตรีที่จะมาเป็นพี่สะใภ้ของข้า” คำเรียกขานตนเองอย่างถือตัวเปลี่ยนไป ทำให้ท่านโหวเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของบุตรสาวคนรองที่อยู่นอกสายตามาโดยตลอด “เพคะ” “ที่จวนโหวมีสวนพอให้เปิ่นหวางเฟยพาว่าที่พี่สะใภ้ไปเดินเล่นได้หรือไม่ท่
“เปิ่นหวางเฟยต้องขออภัยอี๋เหนียงจริง ๆ ที่ไม่เข้าใจกฏเกณฑ์ของจวนโหว ที่แท้ท่านโหวใจกว้างยกอี๋เหนียงให้มีเกียรติเทียบเท่าฮูหยินเอก เรื่องนี้ทำให้เปิ่นหวางเฟยเปิดหูเปิดตายิ่งนัก ดี ๆ ที่ได้รู้เช่นนี้ วันหน้าหากท่านอ๋องคิดจะรับพระชายารอง เปิ่นหวางเฟยคงต้องคิดไตร่ตรองให้หนักมิเช่นนั้น พระชายารองคงขึ้นมาเหยียบหัวเปิ่นหวางเฟยเล่นเช่นที่อี๋เหนียงทำเป็นแน่” “พระชายาได้โปรดให้อภัยอี๋เหนียงของกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ นางเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านไม่ค่อยรู้ความ จึงอาจเอ่ยวาจาที่ไม่ทันได้คิดไปบ้าง” “ที่แท้ท่านโหวก็รักใคร่อี๋เหนียงมากถึงเพียงนี้ เปิ่นหวางเฟยเข้าใจแล้ว ลุกขึ้นมานั่งสนทนากันดี ๆ เถิด” “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” “ขอบพระทัยเพคะ” “แล้วฮูหยินเอกไปที่ใดหรือท่านโหว เหตุใดนางถึงไม่มาต้อนรับเปิ่นหวางเฟย” “นาง เอ่อ...” หูโหวไม่รู้จะเอ่ยวาจาอย่างไร จะบอกว่าเขาลงโทษฮูหยินเอกด้วยความผิดเล็ก ๆ อย่างเช่นการไม่อบรมสาวใช้ในจวนให้ดีเพื่อเอาใจอี๋เหนียงของตนก็ไม่ได้ เช่นนั้นเรื่องราวในจวนเขาคงถูกเล่าขานหากพระชายาชินอ๋องผู้นี้เป็นคนปา
“แล้วเจ้าก็ไตร่ตรองดูเถิดว่าจะบอกมารดาเช่นใดจึงจะเหมาะสม” “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ แท่งหยกของท่านคล้ายจะเรียกหาข้าแล้ว เช่นนี้ ข้าไม่เกรงใจท่านแล้วนะเจ้าคะ” กล่าวจบนางก็ล้วงมือเข้าไปในอาภรณ์ของเขาอย่างรวดเร็ว “อ๊า...ซีอิ๋ง” ชินอ๋องซื่อจื่อครวญคราง ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อชายาตัวน้อยอ้าปากครอบครองส่วนหัวของแท่งหยกมือเรียวก็กอบกุมสลับรูดขึ้นลง ยามนางดูกลืนส่วนหัวพลางโลมเลีย เขาแสดงสีหน้าสุขสมยิ่งนัก “ท่านต้องปลดปล่อยก่อนหนึ่งครั้งข้าถึงจะขึ้นควบขี่ให้นะเจ้าคะ” “ย่อมได้ ซีอิ๋ง อ๊า...เจ้าดียิ่งนัก” คังซืออี้จ้องมองการกระทำของนางด้วยแววตาลุ่มหลง เขาส่งเสียงร้องครวญครางสุขสมดังขึ้นยามนางขยับมือและโลมเลียให้เร็วขึ้น ก่อนจะปลดปล่อยธารน้ำสีขาวขุ่นในปากของนาง “ท่านนี่นะ ปลดปล่อยอยู่ทุกวัน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เคยลดลงเลย” นางกล่าวก่อนจะแลบลิ้นเลียที่เปรอะเปื้อนรอบริมฝีปาก ท่าทางของนางช่างยั่วยวนให้เขาเขาปรารถนาอยากจะปลดปล่อยในกายนางอีกครั้ง ฟ่านซีอิ๋งไม่ปล่อยให้พระสวามีได้พัก นางรุกเร้าเขาอีกครั้งด้วยการ
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดมากหรอกเจ้าค่ะ แต่หากท่านมีใจอยากช่วยไขข้อข้องใจ น้องย่อมยินดี” นางกล่าวพลางช่วยเขาปลดสายรัดเอวแล้วถอดอาภรณ์ตัวนอกออก “กล่าวมาเถิด ขอเพียงเจ้าเอ่ยถาม หากพี่สามารถหาคำตอบมาให้เจ้าได้ พี่ย่อมลงแรงเต็มที่” เมื่อถอดอาภรณ์เสร็จเขาจึงโอบเอวพระชายาของตนเดินไปที่เตียง “วันนี้ท่านแม่ร้อนใจนักจึงมาปรึกษาข้า เรื่องที่พี่ใหญ่จู่ ๆ ก็มาคุกเข่าขอร้องให้ท่านแม่ไปสู่ขอสตรีให้ ทั้งยังเร่งรีบจะเอาคำตอบเช้าวันพรุ่งนี้” “แท้จริงเรื่องนี้นั้น เป็นความลับของสหายพี่ หากพี่บอกเจ้าเรื่องนี้ เจ้ามีสิ่งใดมอบให้พี่เป็นการตอบแทน” “พรุ่งนี้ข้าจะทำขนมที่ท่านชื่นชอบให้เจ้าค่ะ” “ความลับของไห่ถิงมีค่าเพียงเท่านั้นเองหรือ” “เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะปรนนิบัติท่านอาบน้ำเจ้าค่ะ ท่านชอบให้ข้าถูหลังมิใช่หรือ” ถูไป ลูบไป ถูกใจเขายิ่งนัก “นั่นเจ้าย่อมต้องทำอยู่แล้ว สิ่งตอบแทนเจ้าไม่คุ้มค่าที่พี่ต้องหักหลังสหายบอกความลับสำคัญแก่เจ้าเลย” เมื่อได้ยินสวามีบอกนางจึงงัดไม้ตายที่เขายอมสยบทุกครั้ง “คืนนี้ข้าจะ