หยางมี่เริ่มคุมงานบริหารเต็มตัว เพราะอินทุภาวางมือ และเลือกเดินตามเส้นทางความฝันของตัวเองแล้ว เธอรู้สึกอิจฉาที่นางรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และมุ่งมั่นทำสิ่งนั้น ให้ได้ด้วยหนึ่งสมองและสองมือ ผิดกับเธอซึ่งไม่มีความกล้า แม้กระทั่งจะไขว่คว้าหาความสุขให้ตัวเองหญิงสาวถอนหายใจ มุมปากเชิดข้างหนึ่ง รู้สึกหยันตัวเองกับความรักที่เป็นไปไม่ได้ในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้ตอนนี้เธอจะเริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว เพราะไม่ได้เจอหน้าเขาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น ทำให้ไม่ต้องรู้สึกสงสารตัวเองอีก จึงทุ่มเวลาไปกับทำงานได้อย่างเต็มที่ ชีวิตของเธอคงจะเหมาะกับการที่ต้องอยู่คนเดียว และแต่งกับงานเสียมากกว่า เธอยอมรับกับตัวเองว่า ถ้าไม่ใช่เขา..เธอก็ไม่ต้องการใครทั้งนั้น เธอเพิ่งจะเข้าใจความรัก ในแง่มุมของพี่ชายได้ชัดเจนก็ตอนนี้เองหยางมี่ตื่นจากพวังค์ เมื่อได้ยินเสียงเปิดปิดประตู เธอวางมือจากงานที่กำลังทำอยู่ เดินออกไปดูนอกห้องทำงานเล็กที่ใช้เป็นห้องชุบเครื่องประดับ แล้วก็ต้องชาวาบไปทั้งตัว เพราะคนที่เธอพยายามหลบหน้ามาตลอด นั่งกอดอกอยู่ที่โต๊ะรับแขกภายในห้องทำงาน“เข้ามาทำไม? ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ต้องมาแล้ว!” หยางมี่พูดน้ำเสีย
อินทุภามองตัวเองในกระจกยาวติดผนัง มือลูบเสื้อผ้าไหมปักที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่สอบได้จอหงวน วันนี้เธอจะได้เข้าเฝ้าหน้าพระที่นั่งพร้อมบัณฑิตคนอื่นๆ เพื่อรับการแต่งตั้ง หญิงสาวรู้สึกภูมิใจกับความมุ่งมั่น และความพยายามของตัวเองจนมีวันนี้จนได้อินทุภาได้รับสิทธิพิเศษ ในการสอบย้อนหลังในสองระดับแรก คือระดับภูมิภาคหรือเซียงซื่อ ผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกในระดับนี้เรียกว่าจี่ว์เหริน หรือมักเรียกกันทั่วไปว่าจ้งจี่ว์ การสอบระดับสองคือระดับประเทศหรือฮุ่ยซื่อ ผู้ที่สอบผ่านในระดับนี้เรียกว่าก้งเซิง ซึ่งบัณฑิตที่สอบได้ก้งเซิงนี้ จะมีสิทธิได้รับคัดเลือกให้ถวายการรับใช้จากฮ่องเต้ ดังนั้นการสอบได้ก้งเซิง จึงถือว่าได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นขุนนางแล้วซึ่งอินทุภาก็ทำคะแนนได้สูงสุด มากกว่าผู้ที่เคยสอบไปก่อนหน้านี้เสียอีก แต่ก็อาจนำมาซึ่งคำครหาได้อยู่ดีว่า เป็นเพราะสอบทีหลัง จึงทำคะแนนได้ดีกว่าและในการสอบระดับสามคือเตี่ยนซื่อ หรือการสอบในพระราชวัง ผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกจะเรียกว่าจิ้นซื่อ ซึ่งการสอบในระดับนี้ ฮ่องเต้จะทรงเป็นผู้ออกข้อสอบด้วยพระองค์เอง ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง จะได้รับตำแหน่งจอหงวน(จ้วงเย
“เป็นไปได้รึ! เป็นข่าวโคมลอยหรือเปล่า!” องค์หญิงหยางหรานถามเพื่อความแน่ใจ“หม่อมฉันก็ไม่ทราบข้อเท็จจริงประการใด แต่ถ้าไม่มีไฟก็ไม่มีควันนะเพคะ” นางพูดทิ้งท้าย“ถ้าเป็นจริงดังนั้น ก็เป็นหญิงที่เจ้าเล่ห์เพทุบายมากๆ น้องชายของข้าเป็นบุรุษ คงไม่รู้หรอกว่า จริตมารยาหญิงนั้น มีมากมายตั้งเท่าไหร่!”“ยังมีเรื่องงามหน้ามากกว่านั้นอีกเพคะ!”“เรื่องอะไร? เล่ามาซิ!”“มีข่าวลือกระจายไปทั่วเมืองหยางซื่อ ว่านางมีสัมพันธ์ลับกับคุณชายตระกูลเสวี่ย มีพยานรู้เห็นเป็นบ่าวของที่นั่นพูดว่า นางแต่งตัวยั่วยวนจนคุณชายหลงใหล ใส่เสื้อผ้าบางพลิ้วจนเห็นเนื้อใน คุณชายเกิดความกระสัน จึงพาอุ้มขึ้นม้านำตัวกลับไปด้วย แล้วก็มัวเมาพิศวาส เสพสังวาสกันสามวันสามคืน ไม่ได้เยื้องกรายออกจากห้องเลยเพคะ แต่ไม่นานคุณชายคนนั้นก็เบื่อ ได้เฉดหัวออกจากบ้าน นางไม่มีที่ไป จึงหวนกลับมาหาท่านอ๋องอีกเพคะ”“งามหน้านัก! อยากจะเห็นหน้านักเชียว! เป็นนางฟ้านางสวรรค์มาจากชั้นไหน ทำไมถึงทำให้ผู้ชายหลงใหลกันได้ง่ายดายนัก!” องค์หญิงหยางหราน ตบโต๊ะรับแขกที่นั่งอยู่ ด้วยความโมโห“ตอนนี้ก็อาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลหวาง!” เซียวซุ่ยเหลียนใส่ไฟเข้าไปอีก กล
ฮ่องเต้ให้คนมาส่งข่าว ให้อินทุภากับหยางหมิงอวี้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ สองสามีภรรยาจึงรีบเดินทางมาโดยเร่งด่วน เมื่อมาถึงก็เรียกให้เข้าเฝ้าทันที“ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าสองคน นั่งก่อนสิ”ฮ่องเต้รอจนเหวยกงกงรินน้ำชาเสร็จ ก็พูดต่อ“พวกเจ้าคิดอย่างไรกับตำแหน่งรัชทายาท?” ฮ่องเต้ตั้งคำถามปริศนาที่ทั้งเธอ และหยางหมิงอวี้เคยสนทนากันหัวข้อนี้ เมื่อนานมาแล้ว“กระหม่อมขอพระราชทานอนุญาตทูลตามตรง” หยางหมิงอวี้ขออนุญาต“พูดมาเถอะ” “โดยตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว พี่สองมีคุณสมบัติที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ซึ่งกระหม่อมก็เห็นด้วยกับฝ่าบาททุกประการ กระหม่อมเป็นทหาร มีหน้าที่ค้ำจุนราชบัลลังก์ไม่ใช่แย่งชิง และการมีชีวิตอิสระที่เมืองหยางซื่อเท่านั้น ที่กระหม่อมและหวางเฟยปรารถนา”“เยว่อิง! เจ้าล่ะ คิดอย่างไร?”“จากที่หม่อมฉันเคยสนทนากับฟูจวิน เมื่อนานมาแล้ว พระองค์เคยตรัสว่า ยินดีสนับสนุนพระเชษฐาด้วยพระทัยจริง เนื่องด้วยองค์ชายสอง มีพระสติปัญญาและปรีชาสามารถ ด้อยอยู่อย่างเดียวคือเรื่องสุขภาพ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาในการบริหารบ้านเมือง เพราะท่านอ๋อง พร้อมที่จะเป็นหูเป็นตาแทนพระองค์ท่าน แล้วยังมีหม่อมฉัน ที่จะขอทำงานดัง
“เอ๋อเหนียงทำใจมาอยู่ร่วมบ้าน กับผู้หญิงชั้นต่ำพรรค์นั้นได้อย่างไรเพคะ?” องค์หญิงหยางหรานเอ่ยออกมาอย่างสุดจะทน“หรานเอ๋อร์! หยุดพูดแบบนี้นะ! เจ้ากำลังพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า? แม่ไม่เคยสอนลูกๆ ให้ดูถูกคน แล้วนี่เจ้าไปเอานิสัยเยี่ยงนี้มาจากที่ใด?”“ทำไมต้องหยุด! ในเมื่อเป็นเรื่องจริง เอ๋อเหนียงคงไม่รู้ว่าประวัติของนางโชกโชนเพียงใด ลูกได้ยินคนเขาเล่าลือมายังรู้สึก..ขยะแขยง!” แล้วเธอก็ทำท่าขนลุกจนตัวสั่นประกอบคำพูด“เราอยู่แต่ในรั้วในวัง ไปเอาคำนินทามาได้อย่างไร? แล้วตัวเองก็ไม่ได้เห็นกับตา ไม่เคยรู้จักตัวตนของเขา ทำไมถึงได้ปักใจเชื่อว่าคำเล่าลือเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง?” หวางกุ้ยเฟยปรามลูกสาว“โธ่! เอ๋อเหนียงเพคะ ไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น เรื่องเล่าฉาวโฉ่แบบนี้ จะถูกคนยกขึ้นมากล่าวอ้างลอยๆ ได้อย่างไร?” นางอย่างมั่นใจราวกับเป็นคนวงใน“เราน่ะ ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่าเอาไปพูดต่อให้เขาเสียหาย! อยากรู้อะไรให้ไปถามเขาตรงๆ ระวังจะถูกคนอื่นหลอกใช้เป็นเครื่องมือ! แม่ขอเตือน!”“ทำไมเอ๋องเหนียงต้องเข้าข้างมันด้วยล่ะเพคะ!” เธอเห็นมารดาอ้าปากจะพูดเลยตัดบท “ไม่เอาดีกว่าไม่พูดเรื่องมันแล้ว! ลูกอยา
นิ้วเรียวบางเลิกม่านหน้าต่างรถม้าออก ดูภาพอันคึกคักบนท้องถนน เสียงตะโกนขายของ เสียงหัวเราะอย่างเบิกบาน เสียงต่อราคาของดังมาไม่ได้ขาดระยะ นัยน์ตาคมหวานจ้องมองไปยังโลกด้านนอกรถม้าอย่างคิดถึง“ตลาดตะวันตกแห่งนี้ ยังคราคร่ำไปด้วยผู้คนเหมือนเดิมเลยนะเพคะ จากไปนานคิดถึงจังเลย” อินทุภาเปิดม่านดูบรรยากาศคึกคักข้างทาง“ทีนี้ก็ได้กลับมาอยู่บ้านเสียที วางแผนหรือยังว่าจะทำอะไร?”“อย่างแรกก็คงไปรับตำแหน่งก่อน แล้วก็อยู่ช่วยงานฝ่าบาท หม่อมฉันจะรับผิดชอบ ดูแลพวกงานบัญชี และเอกสารทั้งหมดด้วย จะได้แบ่งเบาภาระ”“ก็ดีนะ ช่วยตรวจสอบบัญชีย้อนหลังให้ด้วย แล้วก็พวกอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลาย ตรวจสอบหน่อยก็ดี เตรียมพร้อมเอาไว้”“เพคะ แล้วหม่อมฉันจะทำเป็นรายงาน ลงรายละเอียดทั้งหมดให้ทรงตรวจสอบอีกที”“อ้อ! ที่สำคัญ..เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ใต้บังคัญบัญชา ก็ให้เกียรติผัวด้วย อย่าให้เหล่าทหารรู้เชียวว่า แม่ทัพของเขากลัวเมียแค่ไหน!!” เขาพูดสีหน้าเรียบนิ่ง แต่นัยน์ตาระยิบระยับ อินทุภาตาโต“ฝ่าบาท! พูดได้หน้าตาเฉย กำลังพูดเรื่องงานอยู่ไม่ใช่หรือไง?” อินทุภาค้อนขวับ ดูเขาจะรู้สึกสนุก ที่ชอบทำให้เธอวางสีหน้าไม่ถูกอยู่บ่อยๆ เห็
วันนี้พระจันทร์เต็มดวง อินทุภานั่งซบไหล่สามีเงยหน้าดูแสงจันทร์นวล พลางนึกถึงวันที่เจอเขาครั้งแรก แล้วเธอก็สะดุ้งเล็กน้อย เพราะหยางหมิงอวี้บีบมือเธอแรง หญิงสาวผงกศีรษะขึ้นมองตามสายตาของเขา ที่กำลังจ้องฝ่าความมืดตรงด้านหน้าอย่างเขม็งหญิงสาวขมวดคิ้ว เมื่อเริ่มมองเห็นชัดขึ้น ลูน่ายืนอยู่ตรงนั้นกำลังมองตรงมา“ลูน่า! ทำไมคราวนี้ปรากฏตัวได้แล้วล่ะ?” อินทุภาอุทานอย่างดีใจ ลุกขึ้นไปหา“ฉันมีอะไรจะให้เธอดู เขย่ากระดิ่งที่คอฉันสิ”ลูน่ายืดตัวขึ้น อินทุภาเลยจับกระดิ่งเขย่า เสียงดังกังวานไปทั่วบริเวณ จากนั้นปรากฏม่านแสงโรยตัวลงมาระยิบระยับ ปรากฏเห็นร่างผู้หญิงคนหนึ่งรางๆ ไม่ค่อยชัดเจนนัก“ทางฝั่งนั้นจะมองไม่เห็นเรา เพราะไม่มีสิ่งที่ยืนยันตัวตน” ลูน่าอธิบายภาพค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ อินทุภาเบิกตากว้าง ตะลึงงันไปชั่วขณะ หยางหมิงอวี้ลุกมาคุกเข่าอยู่ข้างๆ โอบไหล่เธอไว้มองตรงไปที่ภาพตรงหน้าเช่นกัน“คุณแม่!” อินทุภาน้ำตาไหลพรากอย่างกลั้นไม่อยู่ “คุณแม่ขา..หนูคิดถึงเหลือเกิน!” หยางหมิงอวี้ตะลึงไปเหมือนกัน ที่รู้ว่าเป็นมารดาของภรรยา ซึ่งพอเพ่งมองจึงเห็นได้ชัดว่า ความงดงามน่ารักและนัยน์ตาแววหวานนั้น อิ
“หลังจากได้ตรวจสอบบัญชีย้อนหลังไปสองปี ไม่มีปัญหาอะไร และได้ทำการตรวจสอบสภาพอาวุธทั้งหมด ทั้งที่อยู่ในคลัง และที่ใช้อยู่ปัจจุบันปรากฏว่าสภาพเก่าเก็บมาก ได้สั่งให้นำออกมาเช็ดทำความสะอาด หลังจากนั้นนำมาตรวจสอบสภาพ ปรากฏว่าใช้งานได้แค่สองในสาม แสดงให้เห็นว่ามีการปะปน สอดไส้อาวุธไม่ได้มาตรฐานเข้ามาด้วย หม่อมฉันได้คัดแยกไว้แล้วตรงนั้น” หญิงสาวชี้ให้ดูกองอาวุธที่วางทับถมกันเป็นกองใหญ่ ซึ่งถ้าไม่หักสองท่อนก็บิ่นจนใช้งานไม่ได้อีก“จากนั้นหม่อมฉันได้แบ่งงาน ให้ทหารตรวจสอบตามกำแพงเมือง ปรากฏว่าเสื่อมสภาพ บางจุดผนังด้านนอกหลุดกร่อนตามกาลเวลา บางจุดหญ้าขึ้นรกสูงเกือบครึ่งกำแพง ซึ่งจะเอื้ออำนวยให้ศัตรูพรางตัว” เธอชี้ให้ดูที่แผนที่"จึงได้สั่งการให้ทหารที่ว่างจากการฝึก ไปช่วยกันจัดการถางพงหญ้าตลอดแนว ทั้งด้านนอกและด้านใน และทำการตรวจสอบสภาพกำแพงหาจุดที่ล่อแหลมที่สุดก่อน ลดหลั่นตามสี ที่หม่อมฉันทำสัญลักษณ์ไว้ ส่วนอันนี้เป็นโครงการนำเสนอให้ปรับปรุง และซ่อมกำแพงเมืองหยางซื่อตลอดแนวเขต" อินทุภาส่งแฟ้มงานที่มีรายละเอียดทั้งหมด ให้เขาได้อ่านไปด้วยขณะฟังรายงาน“หม่อมฉันเสนอให้สร้างหอสังเกตการณ์ทุกๆ สิบลี้
ภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์ขององค์ชายซุน และการบัญชาการโดยตรงของฮ่องเต้ซุนตี้ชุน สงครามครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยม กองทัพมหึมาของแคว้นซ่ง แคว้นคัง และแคว้นเป่ยเหลียง ต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ทหารนับไม่ถ้วนล้มตายเกลื่อนกลาด ผู้ที่รอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ อำนาจของแคว้นเชี่ยแผ่ขยายรวดเร็วจนน่าตระหนก เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เหล่าแม่ทัพและทหารแคว้นเชี่ยไม่เคยคิดเลยว่า การพิชิตแคว้นหนึ่งจะง่ายดายถึงเพียงนี้ กลิ่นคาวเลือดแห่งชัยชนะ ปลุกโหมกำลังใจให้ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ธงของแคว้นเชี่ยสะบัดพลิ้วอยู่เบื้องหน้ากองทัพเสมอ ดั่งสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันมิอาจต้านทาน ฮ่องเต้ซุนตี้ชุนและองค์ชายซุน ได้กลายเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาทหารหาญทุกผู้คน ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวทั่วหล้า แผ่นดินถูกย้อมแดงด้วยโลหิตสุดลูกหูลูกตา เงาทมิฬแห่งสงครามแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีแคว้นเชี่ยเป็นศูนย์กลาง กองทัพเดินหน้าขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า แผนยุทธการขององค์ชายซุน จะนำพาแคว้นเชี่ยสู่ชัยชนะได้ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากศพและโครงกระดูก
ก่อนที่อินทุภาจะไปวังหลวงคราวก่อน ช่วงที่ซ่อมกำแพงเมือง ได้สั่งให้ช่างทำห้องใต้ดินใต้คลังเสบียงไว้ด้วย จึงได้ใช้ในช่วงเวลาที่มีศึกสงครามเช่นนี้ เธอทำเสบียงลวงไว้ชั้นบน แต่เก็บเสบียงทั้งหมดไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อป้องกันศัตรูบุกเผาทำลาย และทำทีว่าป้องกันหละหลวมสร้างอุบายลวง แต่ทุกจุดสำคัญของเมือง มีทหารสอดแนมของกองทหารพิเศษคอยจับตาอยู่หยางติงเข้ามารายงานข่าวจากทหารสอดแนม ว่ากองทัพเชี่ยมีกำลังพลประมาณสองแสนสามหมื่น แต่ได้แบ่งออกเป็นสามทัพดังที่อินทุภาคาดไว้ แต่ทั้งสามทัพนี้ มิได้ยกมาพร้อมกัน และเดินทัพทิ้งระยะห่างกันมาก โดยที่ทัพหน้ามีกำลังพลประมาณสามหมื่น ซึ่งทัพหน้านี้คงจะเป็นการบุกแบบหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ อีกสองทัพแบ่งเป็นทัพละหนึ่งแสน ทัพสองแน่นอนว่าใช้ตัดกำลัง และทัพสามคงจะมุ่งหวังโจมตีเต็มที่อินทุภาเลยคิดแผน จากการที่ศัตรูเดินทัพ ทิ้งระยะห่างกันเกินไปนี้ มาใช้ประโยชน์ โดยจะใช้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามเจ็ดตำนานชื่อว่า..’ลับลวงพราง’โดยให้หยางติง นำทัพแรกกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยกองปืนคาบศิลา พลธนู กองทะลวงฟัน หรือกองทหารพิเศษเคลื่อนที่เร็ว ไปดักซุ่มโจมตีทัพหน้า โดยต้องรีบออกเดินทา
พอลับสายตาจากภายนอก เขาก็สอดมือรั้งท้ายทอยหญิงสาวเข้าชิด แล้วจู่โจมริมฝีปากอวบอิ่มแทบจะในเสี้ยววินาที อย่างเร่าร้อนหนักหน่วง ราวกับว่าเธอคือลมหายใจสุดท้าย ที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต มือข้างหนึ่งกอดเอวบอบบางไว้แน่น อีกข้างจับท้ายทอยให้ขยับมุมตามริมฝีปากของเขา อินทุภาตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายก็หลับตาพริ้ม จูบตอบจุมพิตที่แสนรัญจวนใจนี้ด้วยความยินยอม มือไม้เผลอไผลเกาะลำคอเขาไว้แน่น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปจนหมด"ฝ่าบาท.." อินทุภาครางเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระชั่วครู่ ก่อนจะจุมพิตเขาด้วยความโหยหาไม่ต่างกัน ปลายลิ้นของเธอถูกเขาดึงดูดเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล เขาถอนริมฝีปากมาซุกไซ้ที่ซอกคอ เธอเลยกัดที่คอเขาเบาๆ แล้วเลื่อนมากัดที่ปลายคาง ขบเม้มดูดดุนไปทั่วซอกคอ ในขณะที่อีกมือค่อยๆ ดึงสายรัดเอวของเขา แหวกสาบเสื้อให้เปิดออกกว้าง"เมียรัก.." เขาพูดเสียงเบาเหมือนคนละเมออินทุภาแลบปลายลิ้นเลียลิ้มชิมรสยอดอกสีชมพูคล้ำ สองนิ้วเค้นเขี่ยเม็ดตุ่มสีสวยอีกข้าง เรียกเสียงครางครวญจากอีกฝ่ายให้หอบหนักขึ้น ตามอารมณ์ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่อีกมือก็ค่อยๆ คลายสายรัด จนทำให้ขอบกางเกงขยายออ
“ท่านอ๋อง! ท่านเยว่! มีสาส์นด่วนจากวังหลวงขอรับ!” อินทุภาหยิบมาให้หยางหมิงอวี้ แล้วพยักหน้าให้ทหารส่งสาส์นออกไปได้“ฝ่าบาทมีคำสั่ง ให้นำทัพฉิวซีหนึ่งแสน ไปช่วยแคว้นฉินต้านกองทัพเชี่ย!” หยางหมิงอวี้อ่านสาร์นให้ฟัง“โอ้ว มาย!! อุบายตีใกล้แสร้งไกลสินะ!” มุมปากอินทุภาเชิดเล็กน้อย‘กลยุทธ์ตีใกล้แสร้งไกล’ คือ การทำให้ศัตรูเข้าใจผิดว่าเป้าหมายของเราคือที่ไกล แต่แท้จริงแล้วเป้าหมายที่แท้จริงคือมุ่งโจมตีจุดที่อยู่ใกล้ โดยใช้กลลวงหรือเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อให้ศัตรูตัดสินใจผิดพลาด และเปิดช่องโหว่ให้เราจู่โจมได้สำเร็จ“ใช่! ทำลวงประชิดแคว้นซ่ง แต่ตั้งใจโจมตีแคว้นฉิน! ด้วยทหารหนึ่งแสนห้าหมื่น แต่ดูจากข้อมูลล่าสุด แคว้นเชี่ยมีทหารประมาณสี่แสนกว่า แต่แบ่งกำลังไปเพียงแสนห้า เกรงว่าจะมีแผนซ้อนแผนแน่แล้ว!”"เหมือนกับกลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าวใช่ไหมเพคะ?"“คิดเหมือนกัน! เขาวางแผนยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัว ลวงว่าจะตีแคว้นฉินแต่จริงๆ แล้วจะอ้อมหลังบุกต้าฉิวซี และเพื่อให้ฉิวซีส่งกำลังไปช่วย ซึ่งแน่นอนว่าข้าต้องเป็นผู้บัญชาการทัพ หยางซื่อก็จะร้างผู้นำ พอเหมาะพอดีสำหรับทัพอีกสองแสนที่เหลือจะบุกโจมตี!”‘ล้อมเ
ท่ามกลางม่านอวกาศอันมืดมิด ดวงดาวสุกสกาวแข่งกันส่องแสง สลับกับความว่างเปล่าของจักรวาล เบื้องหลังเสียงสะท้อนของกาลเวลา แสงสีดำหม่นค่อยๆ คืบคลานกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ราชาดาวนิลได้ลงมือแล้วตูมมมมมม!!!เสียงระเบิดดังสนั่นจากท้ายยาน คลื่นพลังมหาศาลซัดกระแทกยาน จนสะเทือนรุนแรง แทบจะฉีกทุกสิ่งออกเป็นเสี่ยงๆ ควันและเปลวเพลิงพวยพุ่งผ่านกระจกห้องควบคุม ภายในห้อง ทุกอย่างอยู่ในสภาพเละเทะ ไฟลุกไหม้ตามแผงควบคุม ตัวเลขสีแดงกะพริบแจ้งเตือนระดับพลังงานที่ลดฮวบ “เรากำลังจะตกแล้ว!” เอกิลตะโกนลั่น พยายามกดแป้นควบคุม เพื่อรักษาสมดุลของยาน แต่มันไม่ตอบสนอง “ถ้ายานชนพื้นโลกในสภาพนี้ พวกเราคงไม่มีใครรอดแน่ๆ!” มูลาหันไปมองลูน่า ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ลูน่ากัดฟันแน่น ขณะเอื้อมมือที่สั่นระริก กดปุ่มปลดล็อกกลไกฉุกเฉิน กริ๊ก!แคปซูลหลบหนีสี่ลูกค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาจากพื้น ม่านพลังสีทองเริ่มก่อตัวรอบแคปซูล เรกิที่แม้จะบาดเจ็บ แต่ก็ยังพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นมา“ลูน่า! อย่าคิดจะทำแบบนี้นะ!” เรกิรู้ดีว่า ลูน่ากำลังตัดสินใจจะทำอะไร “มีคนหนึ่งต้องอยู่คุมยาน” ลูน่ากล่าวเสียงแข็ง “ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกเราต้องตายไปพร้อม
จือซาลืมตาตื่นก็เห็นร่างของบุรุษนอนอยู่เคียงกัน เธอขยับตัวไม่ได้เพราะถูกแขนของเขาพาดทับตัวไว้ หญิงสาวรีบสำรวจตนเอง แล้วก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกที่ยังอยู่ในสภาพเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด จึงค่อยๆ ยกแขนเขาขึ้นแล้วขยับตัวออก พยายามดึงชายกระโปรงออกจากร่างของเขา ที่นอนทับอยู่แต่ไม่สำเร็จ เขายังนอนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับอดหลับอดนอนมาหลายวันเอ.. หรือที่หนิวกงกงเล่าจะเป็นเรื่องจริง!หนิวกงกงบอกว่าตั้งแต่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ฝ่าบาทก็เป็นโรคนอนไม่หลับ เคยบรรทมนานสุดแค่สองชั่วยามต่อวันเท่านั้นแต่ดูตอนนี้สิ!..นัยน์ตาแววหวานอ่อนโยนลง เธอขยับตัวเล็กน้อย เพื่อให้นอนมองหน้าอีกคนได้ชัดเจนขึ้น พร้อมอมยิ้มบางๆ กับท่าทางการนอนหลับปุ๋ยเหมือนเด็กน้อยของเขา มือเรียวบางลูบกลุ่มผมเด็กน้อยตรงหน้าเบาๆ พลางสงสัยว่าเขานอนคว่ำแบบนี้จะหลับสบายหรือเปล่า"ฝ่าบาท!" หนิวกงกงเรียกตรงหน้าประตูด้านในจือซารีบหันไปมองที่ประตูห้อง ส่งสายตาดุไปให้หนิวกงกง พร้อมทำท่านิ้วชี้ปิดปากเป็นสัญญาณว่าห้ามส่งเสียงดัง หนิวกงกงพยักหน้าว่าเข้าใจ ค่อยๆ ละจากหน้าประตูมาหยุดอยู่ใกล้ที่บรรทม "แม่นางจือซา! ได้เวลาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้ว ไม่ทราบว่าจะปล
อินทุภาก้าวเข้าสู่ห้องคุมขังอย่างสง่างาม ใบหน้าเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยอำนาจ ชุดสีเงินปักลายนกหลวนเฟิ่งสีน้ำเงินสะท้อนแสงไฟอ่อนๆ คล้ายหงส์ฟีนิกซ์ที่แผ่รัศมีเหนือผู้อื่น สนมเซียวที่นั่งอยู่ภายในมุมมืดเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและแววอริที่ไม่คิดปิดบังอีกต่อไป "มาทำไม? จะมาเยาะเย้ยข้ารึ?" นางแค่นเสียงถามด้วยความชิงชัง อินทุภาเพียงแค่ยิ้มบางเบา "ได้ข่าวว่าท่านตั้งครรภ์" สนมเซียวแค่นหัวเราะ มุมปากยกขึ้นในลักษณะเยาะเย้ย "เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับเจ้า!!" เสียงของนางแหลมขึ้น พยายามใช้ตำแหน่งเหนือกว่ากดอีกฝ่ายให้ต่ำลง แต่ท่วงท่ายืนของอินทุภายังคงสง่างาม มือแตะกันไว้ที่ระดับเอว แผ่นหลังตรงราวกับไม่มีสิ่งใดมากดทับ ดวงตาเรียบนิ่ง รัศมีนางพญาแผ่ซ่านโดยธรรมชาติ "แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับท่านนัก แต่ข้ารับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาพูดกับท่าน จึงเห็นว่าลองเจรจากันดีๆ สักครั้งก็คงจะดีกว่า" สนมเซียวกำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความเคียดแค้น "ผู้ชนะย่อมได้ทุกสิ่ง! ตอนนี้เจ้าคงสุขใจมากสินะ? ไม่ต้องมาทำเสแสร้งต่อหน้าข้า! ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะซ้ำเติมให้สาสม!" "นั่นเป็นสิ่ง
"เยว่อิง!..มาแล้วรึ หมิงอวี้เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟัง ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ!” ฮ่องเต้ถอนพระทัย"ความลำบากนี้ เทียบกันไม่ได้เลย กับสิ่งที่ฝ่าบาทออกหน้าเพื่อปกป้องหม่อมฉัน มิหนำซ้ำยังเสียสละองค์เอง เป็นเหยื่อล่อคนที่คิดร้ายต่อบ้านเมือง ทำให้ชาวประชาพ้นภัย พวกเราซึ้งในพระมหากรุณายิ่งนัก ต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องฝ่าบาท หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ""ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!" หยางหมิงอวี้ประสานมือคำนับ ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน“ข้าอาจไม่ใช่ฮ่องเต้ที่แข็งแกร่ง แต่จะพยายามเป็นฮ่องเต้ที่ดี! เอาล่ะ!..หยางหมิงอ๋อง..หยางเยว่อิงรับราชโองการ!” ฮ่องเต้หยางอี้ยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวต่อ "แม่ทัพหยางอารักขาข้า รบอย่างกล้าหาญ ทำให้กองทัพแคว้นฉิวซียิ่งใหญ่ วันนี้เรามีราชโองการแต่งตั้งให้หยางหมิงอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทน พระราชทานป้ายทองเว้นโทษตาย!”ฮ่องเต้หันมองมาทางอินทุภา“หยางเยว่อิง! ปราชเปรื่องกล้าหาญ เป็นนักวางกลยุทธ์ที่เยี่ยมยอด เปี่ยมด้วยเมตตา สนับสนุนหยางหมิงอ๋องให้ได้ชัยชนะ บัดนี้ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นพระชายา และรั้งตำแหน่งเป็นไท่เว่ย (ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดดูแลราชการฝ่ายทหาร เทียบเท่าส
"ก่อนอื่นเราต้องหาอุปกรณ์ทำมาหากินเสียก่อน!" หญิงสาวเชิดยิ้มมุมปากข้างหนึ่งเล็กน้อย ยืนกอดอกเก็กท่าเป็นกูรู อยู่หน้าร้านขายเครื่องดนตรี"กะลา?" ขอทานน้อยสงสัย"เฮ่ย! นั่นมันอุปกรณ์เก็บเงินตะหากเล่า! วันนี้เราจะเป็นขอทานเปิดหมวกกัน ตามข้ามา!!" หญิงสาวกอดคอขอทานน้อย พาเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรีอย่างมั่นใจ แต่ยังไม่ทันที่เท้าจะเหยียบผ่านธรณีประตู ก็ถูกเถ้าแก่ไล่เสียแล้ว"ไป! ไป! ออกไป! ไปขอทานที่อื่น! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาเดินเข้าออกได้อย่างสบายใจได้นะ!!""เถ้าแก่! ข้าไม่ได้มาเดินเล่น ข้ามาซื้อของ!""น้ำหน้าอย่างพวกเจ้า! จะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เก็บไม่กี่อีแปะเอาไว้กินข้าวเถอะ!! ไปๆ! ออกไป!" หน้าตาท่าทางเกรี้ยวกราด ดุดัน แบบไม่มีทีท่าว่าจะประนีประนอมเฮอะ!! ขอทานก็มีต่อมดนตรีนะลุง!!อินทุภาหันหลังเดินออก แต่พอก้าวออกมาได้เพียงสามก้าว สายตาก็ปะทะเข้ากับร้านขลุ่ยแผงลอยฟากตรงข้าม หญิงสาวดีใจวิ่งตรงดิ่งไปทันที แล้วหยิบขลุ่ยขึ้นมาเลือกรูปแบบ เลือกความถนัดมือ และกำลังจะยกขลุ่ยขึ้นแตะขอบปาก เพื่อจะทดสอบเสียง พลันนึกขึ้นได้ จึงหันไปมองลุงพ่อค้าที่มองมายิ้มๆ อย่างใจดี"ท่านลุง!