“แม่จ๋า แม่ ผึ้งกลับมาแล้วจ้ะ ผึ้งซื้อของอร่อยๆ มาฝากแม่เยอะแยะเลย”
เสียงหวานใสของวชิราภรณ์ดังมาก่อนที่เธอจะก้าวเข้าไปในบ้าน ทำให้สตรีวัยห้าสิบเอ็ดปีหันหน้ามามองต้นเสียงที่หิ้วถุงอาหารติดมือมาหลายใบ ด้านหลังมีหนุ่มรูปงามนามว่าณัชญ์เพื่อนสนิทของลูกสาวเดินตามมาติดๆ
“สวัสดีครับคุณป้า จียังไม่มาหรือครับ” ณัชญ์พนมมือไหว้กัญญา ก่อนจะเอ่ยถามถึงเพื่อนอีกคน
“มาแล้วจ้ะ ออกไปซื้อน้ำหวานที่ร้านโกฮุยน่ะ” กัญญาตอบ
“แม่จ๋า วันนี้ผึ้งซื้อของอร่อยๆ ตั้งหลายอย่างมาให้แม่ด้วยนะ ของชอบของแม่ทั้งนั้นเลย”
วชิราภรณ์ชูถุงอาหารในมือให้มารดาดู จากนั้นก็เดินตรงไปเข้าในห้องครัว เพื่อจัดอาหารที่ซื้อมาใส่จาน เพียงสิบนาทีอาหารหลากหลายชนิดก็ถูกตั้งวงอยู่บนพื้นไม้กระดานของบ้าน ณัชญ์ทำหน้าที่ยกหม้อหุงข้าวมาวางไว้ข้างๆ ลูกสาวเจ้าของบ้าน วชิราภรณ์ทำหน้าที่ตักข้าวสวยร้อนๆ แจกจ่ายให้คนที่ร่วมรับประทานอาหารด้วย
“นึกยังไงซื้อของกินมาเยอะแยะอย่างนี้ล่ะลูก ซื้อผักสด เนื้อสัตว์มาทำกินเองแม่ว่าจะประหยัดกว่านะ”
กัญญามีนิสัยมัธยัสถ์ ใช้ชีวิตแบบพอเพียงไม่ฟุ้งเฟ้อไปตามวัตถุนิยมและสังคมเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปบอกลูกสาว พร้อมกับมองอาหารหลายอย่างที่มีราคาค่อนข้างแพงด้วยความเสียดายเม็ดเงินที่ซื้อไป
“แม่จ๋า นานๆ ครั้งน่ะ พอดีวันนี้ผึ้งทำงานชิ้นโบว์แดงชิ้นหนึ่งเสร็จ ผึ้งก็เลยเลี้ยงฉลองความสำเร็จน่ะแม่”
วชิราภรณ์คุยโว กัญญายิ้มรับความสำเร็จของลูกสาว เพราะเข้าใจว่าผลงานชิ้นที่ว่านั้นนั้นเป็นเรื่องงาน สองเพื่อนสนิทมองหน้ากัน ทั้งสองไม่อยากจะคิดเลยว่า หากกัญญารู้เรื่องที่ลูกสาวทำอยู่ นางจะเสียใจและผิดหวังมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากความลับมันไม่มีในโลกใบนี้
“กินข้าวเถอะแม่ ของอร่อยๆ ทั้งนั้นเลย”
ทั้งหมดจึงลงมือรับประทานอาหารที่วชิราภรณ์เลือกซื้อมาให้มารดาทานโดยเฉพาะอย่างไม่นึกเสียดายเงิน ทั้งสี่ทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย พูดคุยกันอย่างสนุกสนานทำให้รสชาติของอาหารเย็นมือนี้อร่อยเพิ่มขึ้นหลายเท่า ก่อนที่วชิราภรณ์และเพื่อนสนิททั้งสองคนจะช่วยกันเจ็บจานชามไปล้าง
“ผึ้ง เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวแบบนี้ซะที แกมีความสุขนักหรือไง ไม่กลัวป้าญารู้เรื่องเหรอ” รุ่งรุจีหันมาถามเพื่อนสาวขณะกำลังล้างจาน
“ฉันไม่มีวันเลิกทำจนกว่าคนพวกนั้นจะได้รับความเจ็บปวดเหมือนกับที่แม่ฉันเจ็บ แล้วที่ถามฉันว่าฉันมีความสุขหรือเปล่า ตอบตรงนี้เลยว่ามาก ฉันมีความสุขเมื่อได้เห็นน้องสาวฉันเสียน้ำตา มันสะใจเป็นที่สุด ส่วนคำถามหลังสุดของแก แม่ฉันไม่มีวันรู้เรื่องนี้เด็ดขาดถ้าหากแกสองคนไม่พูด”
“แกรู้ได้ยังไงว่าป้าญาเจ็บปวด แกเคยถามป้าญาเหรอ”
“ฉันรู้สิ ก็เพราะท่านเป็นแม่ของฉัน แกไม่ได้อยู่กับท่านมาตั้งแต่เกิด แกไม่รู้หรอกว่าแม่ของฉันเจ็บปวดมากแค่ไหน แม่ฉันเจ็บ ฉันก็เจ็บด้วยแล้วใครหน้าไหนที่มันทำให้แม่ของฉันเจ็บ คนๆ นั้นก็จะต้องเจ็บมากกว่าฉันหลายร้อยเท่า”
วชิราภรณ์ตอบตามความรู้สึกของเธอเอง ประกอบกับภาพในวัยเด็กที่หญิงสาวมักเห็นมารดาแอบร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง พอเธอถามมารดาจะบอกว่าฝุ่นเข้าตาเสมอ จนกระทั่งเธอมารู้ความจริงทั้งหมดในวัย 14 ปี
ณัฐพลบิดาของวชิราภรณ์แต่งงานกับกัญญาได้เพียงสามปี ความรักและความเข้าใจถูกแทรกเพราะผู้หญิงที่ชื่อวรางค์คนางค์ ณัฐพลพาภรรยาน้อยเข้ามาอยู่ในบ้าน นำพาความเสียใจมาให้กัญญาอย่างมากมายมหาศาล เท่านั้นยังไม่พอ ยังลดบทบาทหน้าที่ของภรรยาหลวงทีละนิด จากเดิมที่กัญญาคอยจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านก็ถูกภรรยาน้อยยึดไปทำหน้าที่นั้นแทน กัญญาซึ่งมีนิสัยเงียบๆ เก็บความรู้สึกไว้ภายใน นางไม่พูด ไม่ว่าภรรยาน้อยสักคำ หวังลึกๆ ว่าณัฐพลจะให้ความยุติธรรมกับนางบ้าง
เปล่าเลย...ณัฐพลไม่ทำการใดๆ ทั้งสิ้น แถมยังบอกว่า เป็นการณ์ดีที่วรางค์คนางค์มาช่วยดูแลค่าใช้จ่ายภายในบ้าน แบ่งเบาภาระไปได้อีกทางหนึ่ง
เรื่องมันไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ต่อหน้าณัฐพล วรางค์คนางค์จะทำตัวดี อ่อนน้อมถ่อมตนกับกัญญาเสมอ ทว่าลับหลังพฤติกรรมคนละทางกันเลย ภรรยาน้อยมักพูดจาเสียดสีมารดาของเธออยู่ตลอดเวลา พูดประมาณว่า ที่ณัฐพลพาตนเองเข้ามาอยู่ในบ้านนั้น เป็นเพราะเบื่อและหมดรักภรรยาหลวง หนำซ้ำยังพูดทิ้งท้ายด้วยว่า ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ ถ้าเป็นวรางค์คนางค์คงหนีไปจากที่นี่ ไม่ทนอยู่กับคนที่ไม่ต้องการตัวเอง
กัญญาเก็บความรู้สึกต่างๆ ไว้ในใจ ไม่แสดงกิริยาใดๆ ให้สามีไม่สบายใจ แม้ว่าตนเองจะกล้ำกลืนมากเพียงไรก็ตาม เหตุผลที่กัญญาหนีออกมาจากชีวิตของบิดาเป็นเพราะ ณัฐพลเข้ามาพูดเรื่องบางอย่างกับกัญญาในวันหนึ่ง เรื่องนั้นก็คือเรื่องหย่า โดยให้เหตุผลในการขอหย่าว่า ตอนนี้วรางค์คนางค์ตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนเศษ เขาไม่อยากให้ลูกที่เกิดมาในอนาคตต้องมีปมด้อย หากรู้ว่าแม่ของตนเองเป็นภรรยาน้อย การหย่าร้างเป็นเพียงในนามเท่านั้น กัญญาสามารถอยู่ในบ้านของเขาไปตลอดชีวิต เขาไม่คิดที่จะผลักไสนางไปไหน กัญญาเสียใจมากเนื่องจากตอนนั้นนางก็ตั้งครรภ์ได้สองเดือนเศษเช่นกัน เพียงแต่ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร แม้แต่พ่อของเด็กในท้อง
กัญญาอยากจะถามณัฐพลกลับไปว่า แล้วลูกของนางที่อยู่ในท้องจะทำอย่างไร หากหย่าร้างกันไปแล้ว ลูกของนางจะมีปมด้อยเหมือนลูกของวรางค์คนางค์หรือไม่ กัญญาไม่ถามเนื่องจากคำพูดของณัฐพลชัดเจนทุกอย่างแล้วว่า ไม่ต้องการให้นางอยู่ในฐานะภรรยา กัญญาจึงหนีออกจากบ้านที่ฝากความเจ็บปวดไว้ในหัวใจของตัวเองทันทีที่จัดการเรื่องหย่าเรียบร้อย ไม่มีใครรู้ว่านางตั้งท้อง ไม่มีใครรู้ว่านางให้กำเนิดธิดาหน้าตาน่ารัก เป็นแก้วตาดวงใจ เป็นตัวจุดประกายความหวังและแรงฮึดสู้กับโลกที่แสนโหดร้าย
“เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว บางทีป้าญาอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ อีกอย่างที่ป้าญาเล่าให้แกฟัง ไม่ใช่ให้แกไปเคียดแค้นคนบ้านโน้น ป้าญาอยากให้แกรู้ว่าใครคือพ่อของแกต่างหาก แกแปลความหมายผิดเพี้ยนไปหรือเปล่า”
รุ่งรุจีเป็นเพื่อนกับวชิราภรณ์มานานถึงสิบเก้าปี วันที่กัญญาเล่าให้เพื่อนสาวฟังเธอก็นั่งฟังอยู่ด้วย จึงรู้เรื่องราวทั้งหมด รุ่งรุจียังจำวันที่กัญญาเล่าอดีตได้เป็นอย่างดี แววตาของนางนั้นไม่มีความทุกข์โศก ไม่มีความเสียใจแฝงอยู่ในสายตาคู่นั้นเลย
4“แกเป็นเพื่อนฉันหรือว่าเป็นเพื่อนน้องนอกไส้ของฉันกันแน่ แกไม่เคยเข้าข้างฉันเลย”วชิราภรณ์พูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ ไม่เคยเลยที่เพื่อนสนิททั้งสองจะเข้าข้างเธอ ตรงกันข้ามคอยห้ามปรามทุกเมื่อเชื่อวัน รุ่งรุจีกับณัชญ์น่าจะเข้าใจความรู้สึกของเธอมากที่สุดมันถึงจะถูก“ก็เพราะแกเป็นเพื่อนฉันนะสิ ฉันถึงได้เตือนแก คอยห้ามแก เพราะไม่อยากให้แกเจ็บปวดใจไปมากกว่านี้ ถ้าหากแกรู้จักคำว่าให้อภัยเหมือนป้าญา แกจะมีความสุขมากกว่านี้นะผึ้ง”รุ่งรุจีพูดประโยคนี้กับเพื่อนสาวเสมอ การให้อภัยเป็นหนทางแห่งความสุข หากไม่รู้จักคำๆ นี้ วชิราภรณ์คงต้องตกอยู่ในบ่วงความแค้นไปตลอดชั่วชีวิต“ตอนนี้ชีวิตฉันก็มีความสุขดี ยิ่งได้แก้แค้นแทนแม่ ฉันยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปอีก แกสองคนไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ฉันดูแลตัวเองได้”“จีกับณัชญ์เป็นห่วงผึ้งนะ รู้ไหมทุกครั้งที่ผึ้งพาแฟนของเขมไปที่โรงแรมเพื่อทำตามแผน จีกับณัชญ์เป็นห่วงผึ้งมากแค่ไหน กลัวว่าผึ้งจะพลาดพลั้งให้พวกผู้ชายหลายใจพวกนั้น อันที่จริงณัชญ์เองก็ไม่อยากขัดขวางความสุขในการแก้แค้นของผึ้งหรอกนะ แต่ความที่จีกับณัชญ์เป็นห่วงผึ้ง จึงได้เตือนด้วยความหวังดี ไม่ได้คิดเข้าข้างคนอื่
5วชิราภรณ์ยืนมองบ้านหลังใหญ่ตั้งตระหง่านภายใต้ร่มเงาของต้นไม้น้อยใหญ่ ดูร่มรื่นจากแมกไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขา หญิงสาวเดินมาหยุดยืนริมกำแพงสูงประมาณสองเมตรตรงบริเวณสนามหญ้า ดวงตาทั้งสองข้างมองผ่านอิฐบล็อกที่เป็นช่องว่างตามลวดลาย นัยน์ตาหวานซึ้งสั่นไหวเล็กน้อย เมื่อโสตประสาทตามองเห็นภาพครอบครัวหนึ่งกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่บนโต๊ะกลางสนาม ทั้งสามชีวิตพูดคุยและหัวเราะกันอย่างมีความสุข ภาพนี้สะเทือนใจเธอยิ่งนักไม่เพียงแต่ภาพนั้นที่สร้างความเจ็บปวดให้กับเธอ ภาพของณัฐพลโอบกอดเขมิกาก็เป็นภาพหนึ่งที่เพิ่มแรงริษยาในใจเพิ่มพูนมากขึ้น ยามเห็นบิดาจรดปลายจมูกลงบนแก้มของน้องสาวต่างมารดา ก่อนจะหันไปหอมแก้มของศรีภรรยา ช่างเป็นภาพที่ทำให้จิตใจของวชิราภรณ์เจ็บช้ำและหมองเศร้ามากขึ้นและมากขึ้น“คนที่อยู่ตรงนั้นควรจะเป็นผึ้งกับแม่ ไม่ใช่มันสองคน”วชิราภรณ์พูดกับตัวเองทั้งน้ำตา ดวงตาเปล่งแสงคล้ายไฟต้องลม ความอิจฉาริษยารวมทั้งแรงแค้นท่วมท้นจนปวดร้าวไปทั่วอก เธอต่างหากที่สมควรจะนั่งแทนที่เขมิกา เก้าอี้ที่วรางค์คนางค์นั่งก็เช่นกัน เก้าอี้ตัวนั้นเป็นของกัญญามารดาสุดที่รัก วชิราภรณ์กับกัญญาถูกแย่งชิงความรัก ความอบอุ่
6“ผมขอโทษนะครับที่ถามคำถามนั้นออกไป คุณก็เลยร้องไห้อีก”“ไม่เป็นไรคะ ฉันชินแล้ว ผ้าเช็ดหน้าของคุณฉันจะส่งมาให้ทางไปรษณีย์นะคะ เพราะไม่รู้ว่าจะมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ หรือว่าคุณไม่อยากได้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้แล้วก็บอกนะคะ ฉันจะได้เอาเก็บไว้ใช้เอง ย้ำเตือนถึงเจ้าของที่มีใจเอื้อเฟื้อต่อฉัน” เธอเหวี่ยงแหเพื่อให้เหยื่อติดกับดัก“ผมคิดว่าส่งทางไปรษณีย์มันอาจจะยุ่งยาก จะให้คุณเลยก็ไม่ได้เพราะผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นผืนโปรดของผม เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ เรานัดเจอกันดีไหมครับ” วชิราภรณ์กระหยิ่มยิ้มในใจ เหยื่อติดกับเธอแล้ว หญิงสาวทำท่าคิดพอเป็นพิธีก่อนจะตอบ“ได้ค่ะ เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ฉันไปก่อนนะคะ”เธอดำเนินการอ่อยเหยื่อรอบสองทันที ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าทำทีว่าจะเดินจากเขาไป แน่นอน...หญิงสาวมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องรั้งตัวเธอไว้ เป็นเพราะทั้งเขาและเธอยังไม่รู้จักกัน ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของกันและกัน แล้วอย่างนี้จะนัดเจอกันได้อย่างไร“เดี๋ยวครับ ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย เบอร์โทรก็ไม่มีแล้วอย่างนี้เราจะนัดเจอกันได้ยังไงล่ะครับ”“แหม...ลืมไปเลยค่ะ ฉันชื่อวชิราภรณ์ค่ะ น้ำผึ้งคือชื่อเล่นค่ะ แต่ว่าคนมักเรียกว่าผึ้ง
7“ปละ...เปล่าไม่มีอะไร ไปทำงานกันเถอะ เดี๋ยวยักษ์มากินตับ”คนที่กำลังร้องไห้คลายอ้อมกอดออกจากร่างของรุ่งรุจี ปาดน้ำตาทิ้งราวกับเด็กๆ พูดติดตลกถึงผู้จัดการจอมเฮี้ยบที่เนี้ยบเกินพอดี ไม่ไว้หน้าแม้กระทั่งผู้ช่วยรองประธานหากทำผิดกฎระเบียบ“ไม่มีอะไรแล้วทำไมตาบวมอย่างนั้นล่ะ อาการอย่างนี้มันร้องไห้ชัดๆ เลย” ณัชญ์ไม่เชื่อในคำพูดที่ได้ยิน เขารู้ดีว่ามันต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่นอน“ผึ้งไปบ้านพ่อมาน่ะณัชญ์ คงไปเห็นภาพเดิมๆ มาก็เลยเป็นแบบนี้”รุ่งรุจีเป็นคนตอบคำถามแทนคนที่เริ่มร้องไห้หนักขึ้น คนที่ได้ยินคำตอบถึงกับอึ้ง ความเศร้าโศกเสียใจถ่ายเทมาหาเขาด้วยน“ณัชญ์บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้ไป ไปทีไรก็เป็นอย่างนี้ทุกที การให้อภัยมันเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดนะผึ้ง พ้นทุกข์ พ้นโศก ณัชญ์กับจีอยากให้ผึ้งคิดใหม่นะ เริ่มต้นใหม่ก็ยังไม่สายนะผึ้ง”ณัชญ์กล่าวเตือนเพื่อนด้วยความหวังดี เมื่อใดที่วชิราภรณ์มีความสุข หลุดพ้นจากวังวนความแค้นและความริษยา วันนั้นเขาจะมีความสุขมากที่สุด“ผึ้งขอบใจในความหวังดีของจีกับณัชญ์ แต่จีกับณัชญ์ก็รู้ดีนี่ว่า ผึ้งไม่มีวันทำได้อย่างที่ณัชญ์พูด เราเลิกพูดเรื่องนี้กันซะที ได้เวลาทำงา
8ภาพที่ณัชญ์เห็นสร้างความไม่พอใจ บวกรวมกับความหึงหวงที่พลุ่งพล่านในอก ตอนนี้เขาต้องการรู้ว่า ชายหนุ่มเจ้าของดอกไม้ช่อนี้คือใคร นึกไม่ชอบหน้าขึ้นมาทันทีทันใดส่วนรุ่งรุจีมองกัมปนาทด้วยสายตาทึ่งและไหววูบ หัวใจสาวกระตุกรัวทันทีที่เห็นรอยยิ้มของเขา น่าแปลกเธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับรอยยิ้มของชายคนใดมาก่อน พลันในเสี้ยววินาทีเธอก็ปรับสายตาให้เป็นปกติ ความสงสัยในตัวของชายตรงหน้าเข้ามาแทนที่“คุณเอคะ ผึ้งจะแนะนำให้คุณเอรู้จักเพื่อนสนิทของผึ้งนะคะ ณัชญ์กับจีค่ะ ณัชญ์ จีนี่คุณเอจ้ะ”วชิราภรณ์เป็นสื่อกลางให้บุคคลทั้งสามรู้จักกัน กัมปนาทโค้งศีรษะเล็กน้อยเป็นการทักทาย รุ่งรุจีพนมมือไหว้เพราะเธอคาดคะเนว่า เขาน่าจะมีอายุมากกว่า ณัชญ์ทำในลักษณะเดียวกับเพื่อนใหม่ “เราไปกันดีกว่านะคะ ไปทานอาหารร้านแถวๆ นี้ก็ได้ค่ะ จะได้ไม่เสียเวลามาก” วชิราภรณ์พูดขึ้นเมื่อทั้งสามได้ทำการรู้จักกันเป็นที่เรียบร้อย“ผมตามใจคุณผึ้งครับ” กัมปนาทพูดเสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้ม“งั้นตามผึ้งมาเลยค่ะ”วริราภรณ์ส่งสายตาหวานเยิ้มประกอบกับรอยยิ้มแสนหวานที่ตั้งใจโปรยให้ชายตรงหน้า กัมปนาทชอบรอยยิ้มของเธอมากที่สุด ยามที่เธอยิ้มโลกนี้ช่างสดใ
9“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ห้าโมงเย็นเจอกันนะคะ”วชิราภรณ์ตอบรับในที่สุด หลังจากที่ทำเป็นเกรงใจอยู่ได้สักครู่ คำตอบรับของเธอทำให้ใบหน้าของกัมปนาทเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม“ตกลงครับ ผมจะมารอคุณผึ้งตรงนี้ตอนห้าโมงเย็นนะครับ”“ค่ะ ผึ้งไปก่อนนะคะลิฟต์มาพอดี แล้วเจอกันตอนเย็นค่ะ”เธอพูดกับเขา แล้วจึงก้าวเข้าไปในลิฟต์ โบกมือให้กัมปนาทพร้อมกับรอยยิ้ม คนที่ได้รับรอยยิ้มหัวใจพองโตขึ้นมาทันทีทันใด“เจอกันห้าโมงเย็นครับ” เขาพูดก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิด พอประตูลิฟต์ปิดสนิทสีหน้ายิ้มแย้มของวชิราภรณ์เปลี่ยนเป็นเบ้หน้าและแสยะยิ้ม“หลอกง่ายชะมัด” เธอพูดกับตัวเอง กระหยิ่มยิ้มในใจกับแผนการที่สำเร็จลุล่วงไปอีกขั้น และจะต้องดีต่อไปเรื่อยๆ ตามที่เธอตั้งเป้าเอาไว้วชิราภรณ์ก้าวออกจากลิฟต์เมื่อถึงชั้นทำงานของตนเอง เท้าเล็กก้าวเดินไปตามทางเลี้ยวซ้ายเข้าไปในแผนกการตลาด ยังไม่ทันที่เธอจะเดินไปถึงโต๊ะทำงานดี ร่างของรุ่งรุจีเพื่อนสนิทก็ปรี่เข้ามาหา“อยากรู้ใช่ไหมล่ะว่าคุณเอเป็นใคร ถึงได้ปรี่เข้ามาหาอย่างนี้” วชิราภรณ์ดักคอเพื่อนสนิท“รู้ทันจริงนะแกเนี่ย ว่าแต่คุณเอเป็นใครเหรอ เป็นอะไรกับเขม” รุ่งรุจีถามอย่างกระตือรือร้น“ค
10หนึ่งเดือนต่อมา ณ บ้าน วีรกุลชัย กัมปนาทเดินลงมาจากชั้นบนของตัวบ้านในเช้าวันใหม่ที่สดใสเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้เขายอมรับว่าชีวิตของตนเองเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น หัวใจชุ่มฉ่ำเบิกบานกับความรักงอกงามขึ้นในใจ หัวใจเปี่ยมไปด้วยความสุข วชิราภรณ์เป็นผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น “ตั้งแต่มีความรักดูพี่เอหน้าตาสดใสมากเลยนะคะ ไม่ทำหน้ายักษ์ใส่เหมือนเมื่อก่อน”เขมิกาแซวญาติหนุ่มเมื่อกัมปนาททรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ในห้องรับประทานอาหาร ความเปลี่ยนแปลงของกัมปนาทอยู่ในสายตาของคนในบ้าน และเรื่องที่เขามีคนรักทุกคนที่นี่ต่างรู้เรื่องเป็นอย่างดี “แซวพี่แต่เช้าเลยนะเขม ทำไม...แต่ก่อนพี่หน้ายักษ์มากเลยเหรอ” คนที่ถูกแซวถามกลับ “มากค่ะ หน้างิ้วคิ้วขมวด ยุ่งแต่เรื่องงานตลอด เอะอะอะไรก็ทำแต่งานไม่รู้จักสนใจหาฟงหาแฟน แล้วนี่เมื่อไหร่จะพาแฟนของพี่เอมาให้เรารู้จักบ้างคะ”เขมิกาตอบญาติหนุ่ม ไม่มีใครเคยเห็นหน้าค่าตาคนรักของกัมปนาท รู้จักเพียงชื่อเล่นที่กัมปนาทมักเล่าสู่กันฟังเท่านั้นและนี่เองที่เป็นความเปลี่ยนแปลงของกัมปนาท
11“อาทานไม่ลงแล้วล่ะ อยากไปพักมากกว่า”เรื่องที่ได้ยินในเช้านี้ ทำให้กระเพราะของวรางค์คนางค์อิ่มตื้อ ลำคอเหมือนมีก้อนแข็งๆ มาจุกตรงคอ ของเหลวหรือแม้แต่อาหารน่ารับประทานตรงหน้าไม่อาจไหลลงไปสู่กระเพาะอาหารได้“ลุงก็เหมือนกัน ขอตัวก่อนนะจะขึ้นไปงีบสักหน่อย”ณัฐพลลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก วรางค์คนางค์จึงลุกขึ้นและเดินตามหลังสามีออกไปจากห้องทานอาหาร ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของกัมปนาทและเขมิกา“เขม พี่ว่าวันนี้เขมไม่ต้องไปทำงานนะ อยู่ดูแลคุณลุงกับคุณอาที่บ้านดีกว่า ดูจากอาการแล้วไม่ค่อยดีเท่าไหร่” กัมปนาทหันมาบอกเขมิกาญาติสาว“ค่ะพี่เอ” เขมิการับคำ ก่อนจะรับประทานโจ๊กหมูใส่ไข่ตรงหน้าต่อไปหลังจากที่ณัฐพลกับวรางค์คนางค์เข้ามาอยู่ตามลำพังในห้องส่วนบนที่ชั้นบน ทั้งสองเดินไปหยุดยืนอยู่ด้านนอกของระเบียงห้อง ทอดสายตามองสนามหญ้าหน้าบ้านที่เขาและครอบครัวจะออกไปทานกาแฟหลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จ“ผมคิดถึงกัญญา ป่านนี้ไม่รู้ว่ากัญญาจะเป็นยังไงบ้าง”ณัฐพลพูดขึ้น วรางค์คนางค์รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันควันที่ได้ยิน นางรู้ดีว่าตลอดยี่สิบห้าปีที่ผ่านมา ณัฐพลไม่เคยลืมภรรยาหลวงเลย เขามักพูดถึงกั
20กรามของธัญญ์ขบกันจนเกิดเสียง ดวงตาสีนิลลุกโชนน่ากลัว มือทั้งสองข้างเผลอกำเข้าหากันแน่น ท่าทางของธัญญ์ที่อรุณวรรณเห็น ช่างน่ากลัวเขาเหมือนปิศาจร้ายในคราบเทพบุตรเหลือเกิน ภายในใจธัญญ์เคียดแค้นผู้หญิงที่มีชื่อเล่นว่าผึ้งเป็นอย่างมาก เขาไม่นึกเลยว่าคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดจะเป็นผู้หญิงมากรัก มีคนรักคราวเดียวสองคน หนำซ้ำยังไม่สะทกสะท้านกับการกระทำของตนเอง ไม่คิดจะมาเยี่ยมน้องชายของเขาอีกด้วย ยิ่งคิดเขายิ่งแค้น ใครที่ทำน้องเขาให้เจ็บ คนคนนั้นต้องเจ็บยิ่งกว่า“ฉันอยากรู้ประวัติของผู้หญิงที่ชื่อผึ้งให้มากกว่านี้ เธอจัดการให้ฉันได้ไหม” เขาถามอรุณวรรณเสียงเคียด“คุณธัญญ์บอกวรรณได้หรือเปล่าคะว่า คุณธัญญ์อยากรู้ประวัติของผึ้งไปทำไม อย่าบอกวรรณนะคะว่า จะไปแก้แค้นผึ้งที่ผึ้งทำอย่างนี้กับคุณณัชญ์ ถ้าคุณธัญญ์ทำอย่างนั้นจริงๆ วรรณคงรู้สึกผิดมากค่ะ เพราะวรรณเป็นคนบอกความจริงกับคุณธัญญ์” เธอแสร้งกล่าววาจาดี ทั้งที่ในใจต้องการให้เป็นไปตามที่ตนเองพูด“ถ้าฉันจะบอกว่าจริง เธอจะว่ายังไง” อรุณวรรณตีสีหน้าตกใจ แต่ทว่าในหัวใจลิงโลด“เป็นอย่างนั้นจริงๆ วรรณก็คงทำอย่างนั้นไม่ได้ค่ะ เพราะถึงยังไงผึ้งก็
19“แล้วคุณรู้เรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้หรือเปล่าว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมณัชญ์ถึงดื่มเหล้าเพราะปกติณัชญ์จะไม่แตะต้องเหล้าเลย คุณพอจะรู้ไหมว่าณัชญ์ดื่มเหล้าทำไม ทุกข์ใจเรื่องอะไร”ประโยคคำถามที่อรุณวรรณได้ยิน ทำให้เธออึ้งไปชั่วครู่ ท่าทางและน้ำเสียงของธัญญ์ที่ถามนั้น บอกให้เธอรับรู้ว่า ต้องการคำตอบเป็นที่สุด ช่วงขณะนี้อรุณวรรณมีความคิดบางอย่างแล่นใส่หัว เธอไม่รู้ว่าหากพูดความคิดนี้ออกไป ผลที่ตามมาจะสำเร็จดังใจหรือไม่ แต่ส่วนลึกบอกเธอว่า ต้องทำตามความคิดที่จุดประกายเฉียบพลัน“วรรณเป็นแค่เลขาของคุณณัชญ์ จะรู้ดีเฉพาะเรื่องงานเท่านั้นค่ะ เรื่องส่วนตัวไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ค่ะ” ใบหน้าของธัญญ์แสดงถึงความผิดหวังเล็กน้อยเมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ตนเองต้องการ “แต่เผอิญวรรณรู้อะไรมาบางอย่างค่ะ”“อะไร คุณรู้อะไรมา” ธัญญ์ถามทันควัน ประกายตามีความหวัง“คุณณัชญ์มีเพื่อนสนิทอยู่สองคนคือจีกับผึ้งค่ะ ปกติทั้งสามคนจะไปไหนไปกัน แต่พอคุณณัชญ์เกิดอุบัติเหตุจีกับผึ้งกับไม่มาเยี่ยมคุณณัชญ์เลยสักวัน แถมผึ้งยังลาออกจากบริษัทไปอย่างไม่มีเหตุผล ในวันที่ผึ้งมายื่นใบลาออกเผอิญวรรณได้ยินจีกับผึ้งคุยกันค่ะ จึงรู้ว่าต้นเหต
18ห้าวันต่อมาธัญญ์ แม็คควีน ตัณติยานนท์ก้าวเท้าเดินอย่างเร่งรีบหลังจากก้าวลงจากรถยนต์ เขารีบเดินทางมาเมืองไทยทันทีที่ทราบข่าวเรื่องอุบัติเหตุของน้องชายต่างบิดา แต่ต้องล่าช้าไปหลายวันเนื่องจากมีงานสำคัญจะต้องเคลียร์ ภาวนามาตลอดทางขออย่าให้น้องชายเป็นอันตรายร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต แม้ว่าในความเป็นจริงจากคำบอกเล่าของมารดาจะบอกให้เขารู้ว่า ต้องทำใจก็ตาม“คุณแม่ครับ ณัชญ์เป็นยังไงบ้างครับ”น้ำเสียงร้อนรนอัดแน่นไปด้วยความเป็นห่วงของธัญญ์เอ่ยถามมารดาทันทีที่มาถึงห้องพักผู้ป่วยวิกฤตหรือที่เรียกติดปากกันว่า ห้องไอซียู สีหน้าของคนที่ถูกถามไม่ค่อยดีมากนัก นัยน์ตาบวมช้ำราวกับว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ขอบตาคล้ำดำเสมือนคนที่อดนอนมาหลายคืน ใบหน้าซีดเซียว“ยังไม่ดีเลยธัญญ์ แม่กลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะเสียน้องไป...ฮือ”นวลลักษณ์หันมาตอบลูกชายคนโตที่เกิดจากสามีคนแรกทั้งน้ำตา ความที่เป็นลูกคนล่ะพ่อ ทำให้ลูกชายทั้งสองคนใช้นามสกุลไม่เหมือนกัน ธัญญ์ลูกชายคนโตใช้นามสกุลสามีคนแรกพ่วงด้วยนามสกุลของเธอ ส่วนณัชญ์ใช้นามสกุลของสามีคนที่สองรัตนาพิทักษ์กุล เมื่อได้ยินกระแสเสียงและเห็นความทุกข์ของมารดา ธัญญ์จึ
17“ณัชญ์ นายทำอะไรผึ้ง นายทำอะไร ปล่อยผึ้งเดี๋ยวนี้นะ”รุ่งรุจีได้ยินเสียงแว่วๆ ดังออกมาจากห้องพักขณะที่เธอกำลังไขใช้คีย์การ์ดเปิดประตู พอเปิดประตูกว้างเท่านั้น เสียงร้องขอความช่วยเหลือของคนกำลังพลาดท่าก็ดังเต็มสองหู ภาพที่ณัชญ์เพื่อนสนิทกำลังปลุกปล้ำวชิราภรณ์เต็มสองตา เธอรีบสาวเท้าไปยังสองร่างที่หันมามองต้นเสียงด้วยสายตาแตกต่างกัน ณัชญ์มองเธอด้วยสายตาเต็มล้นไปด้วยความตกใจ สายตาของคนตกเป็นรองเต็มไปด้วยความเสียใจที่มีความดีใจแฝงไว้ในที“นายเป็นบ้าอะไร เมาจนขาดสติเลยหรือไง ผึ้งเป็นเพื่อนนายนะไม่ใช่อีตัว”รุ่งรุจีวิ่งเข้ามากระชากร่างหนาที่คร่อมร่างของเพื่อนสาวอย่างแรง ความตกใจที่ตะลึงค้างทำให้เขาไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างหนาจึงล้มหงายลงบนที่นอน ก่อจะชันตัวลุกขึ้น มองร่างของวชิราภรณ์ที่โผกอดร่างของรุ่งรุจี ร้องไห้ตัวโยน เสียงสะอื้นดังก้อง ความมึนเมาหายเลือนหายทีละน้อย“นายทำอย่างนี้ทำไมณัชญ์ นายทำอย่างนี้ได้ยังไง ผึ้งเป็นเพื่อนนายนะ นายบ้าไปแล้วเหรอ” รุ่งรุจียังต่อว่าเพื่อนชายต่อไป“จี ณัชญ์ ณัชญ์ไม่ได้...เพี้ยะ”ยังไม่ทันที่ณัชญ์จะพูดจบประโยคดี ฝ่ามือของรุ่งรุจีก็ฟาดลงมาบนแก้มขาวของเพื่อนชา
16 สี่ทุ่มกว่าในคืนเดียวกัน วชิราภรณ์กับรุ่งรุจีเดินกลับมายังห้องพักหลังจากที่งานเลี้ยงพนักงานเสร็จสิ้นลง ระหว่างทางที่เดินกลับห้องพัก รุ่งรุจีได้เจอเพื่อนเก่าโดยบังเอิญ เธอจึงปลีกตัวเพื่อไปสนทนาถามสารทุกข์สุกดิบตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกัน วชิราภรณ์จึงขอตัวกลับห้องพักก่อน “โอ๊ย...ปวดเอวเป็นบ้าเลย สงสัยเต้นมากไปหน่อย”วชิราภรณ์ครวญเจ็บ เมื่อเดินเข้ามาในห้องพักเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ทันที่จะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น เธอนึกว่าเป็นรุ่งรุจีจึงเดินไปเปิดประตู “อ้าว...ณัชญ์เองเหรอนึกว่าจี”ณัชญ์ไม่พูดอะไรเดินเซเข้าไปในห้องเพื่อนสนิท วชิราภรณ์ปิดประตูแล้วเดินตามเพื่อนชายในสภาพมึนเมาไปยังกลางห้อง ยังไม่ทันที่เจ้าของห้องจะพูดอะไร ร่างของณัชญ์ก็หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าแล้วโผเข้ากอดร่างสาวอย่างรวดเร็ว สร้างความตกใจให้กับเธออย่างยิ่งยวด “ว้าย...ณัชญ์ นายทำบ้าอะไรเนี่ย ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”หญิงสาวที่ถูกกอดแหวใส่เสียงดัง มือนุ่มผลักไสร่างของเพื่อนชายที่กอดรัดไม่ปล่อย ใบหน้าหล่อโน้มเข้ามาใกล้จนเธอใจสั่นระรัว “ผึ้ง
1519.00 น. ณ ห้องจัดเลี้ยงงานเลี้ยงพนักงานเริ่มขึ้นในเวลา 18.30 น. พนักงานมาร่วมงานกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบชีวิต กำลังรื่นรมย์กับเสียงเพลงที่บรรเลงดังกระหึ่ม ต่างวาดลวดลายลีลาเท้าไฟกันอย่างสนุกสนาน ต่างคนต่างงัดลีลาชวนหัวเราะและท่าเต้นแปลกๆ มาให้เหล่าเพื่อนๆ ดูกันอย่างต่อเนื่อง วชิราภรณ์เองก็ออกลีลาเท้าไฟ ร่ายระบำตามจังหวะเพลง สะบัดความทุกข์ ความเศร้าหมองที่มีอยู่ในจิตใจให้หลุดออกไปจากใจชั่วคราว โดยมีรุ่งรุจีเต้นรำอยู่ใกล้ๆแต่มีอยู่คนหนึ่งที่เอาแต่นั่งดื่มแอลกอฮอล์ไม่หยุด แก้วแล้วแก้วเล่าดวงตามองไปยังร่างของวชิราภรณ์ชนิดที่เรียกว่าตาไม่กระพริบ สายตาของณัชญ์มองไปยังร่างของคนที่เขาแอบรักเต็มไปด้วยความรัก ความเป็นห่วง ความกังวลและการตัดสินใจ“คุณณัชญ์ดื่มเยอะแล้วนะคะพอเถอะคะ ออกไปเต้นกับวรรณดีกว่าคะ” อรุณวรรณเลขาสาวของณัชญ์กล่าวชวน“ไม่…เธออยากไปเต้นก็ไปเต้นคนเดียวสิ”ณัชญ์พูดด้วยน้ำเสียงไร้เยื่อใย ทำให้คนที่ได้ยินหน้าสลดลง“คุณณัชญ์อย่าดื่มเลยนะคะ ดื่มไปตั้งหลายแก้วแล้ว วรรณเป็นห่วงค่ะ”ความห่วงใยของเลขาสาวถ่ายทอดออกไปให้ณัชญ์รับรู้อีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าคำพูดที่แสดงความเป็นห่วงนี้จะไม่ไ
14“จีไปก่อนนะคะคุณเอ สวัสดีค่ะ” รุ่งรุจีเอ่ยคำลากับกัมปนาทเช่นกัน ไม่ลืมที่จะส่งยิ้มให้กับชายหนุ่มที่ขโมยหัวใจสาวไปทั้งดวง“ครับ สวัสดีครับ ฝากดูแลคุณผึ้งด้วยนะครับ”รอยยิ้มที่รุ่งรุจีมอบให้ผู้พูดเจื่อนลงทันทีที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ รู้สึกเศร้าหมองที่ตนเองไม่อาจได้ครอบครองหัวใจของเขาได้ เธอคงจะต้องแอบรักเขา เก็บงำความรู้สึกที่มีไว้ในใจตลอดชีวิต“ค่ะ จีจะดูแลผึ้งแทนคุณเอเองค่ะ” เธอรับคำเสียงเบา สีหน้าเศร้า“ขอบคุณมากครับ แล้วเจอกันใหม่นะครับ” ผู้พูดเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปยังรถยนต์ของตัวเองที่อยู่ไม่ไกล“จีเร็วๆ” เสียงเร่งของณัชญ์ดังขึ้นทำให้รุ่งรุจีรีบหมุนตัวเดินแกมวิ่งไปยังรถยนต์ของเพื่อนชาย เมื่อทุกคนนั่งประจำที่ รถยนต์คันหรูจึงเคลื่อนตัวออกจากหน้าอาคารสำนักงาน จุดหมายปลายทางคือชะอำ จ.เพชรบุรีชะอำ จ.เพชรบุรี วันที่สองของการเดินทาง“เฮ้อ!!...เสร็จสักที สัมมนาอะไรก็ไม่รู้ง่วงนอนเป็นบ้าเลย”รุ่งรุจีถอนหายใจออกมาพร้อมกับบ่นเรื่องการสัมมนาที่ไร้ชีวิตชีวา ตลอดสองวันมานี้การสัมมนาของบริษัทเป็นอะไรที่น่าเบื่อเอามากๆ วิทยากรให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เนื้อหาแน่น แต่ไม่มี
13“ผมบอกว่า ผมอยากแต่งงานครับ คุณผึ้งจะว่าอะไรไหมถ้าหากผมจะให้คุณลุงกับคุณอามาสู่ขอคุณผึ้งกับคุณป้า ผมรักคุณผึ้งนะครับ รักมากด้วย” เขาหันมาพูดกับผู้หญิงที่เขารักและวาดหวังจะมาเป็นคู่ครอง วชิราภรณ์ยิ้มเขินแต่ในใจลิงโลดและสาแก่ใจเป็นที่สุด“มันไม่เร็วเกินไปเหรอคะคุณเอ เรารู้จักกันแค่เดือนกว่าๆ เองนะคะ”เธอพูดขึ้น มือใหญ่ของกัมปนาทเอื้อมมาจับมือเล็กของคนที่เขากำลังจะขอแต่งงานด้วย เขากุมมือนุ่มอย่างทะนุถนอม มองสบซึ้งลงไปในดวงตาหวานปนเศร้าของเธอ“มันอาจจะเร็วสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผมช้าเหลือเกินครับ หนึ่งเดือนกว่าๆ ที่ผมได้รู้จักคุณผึ้ง เปลี่ยนสถานะจากเพื่อนมาเป็นแฟน มันคือช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากที่สุดครับ ผมไม่เคยรักใครมาก่อน พอผมเจอคุณผึ้งผมบอกได้คำเดียวเลยว่า รักคุณผึ้งหมดหัวใจและจะรักตลอดไป แต่งงานกับผมนะครับ”คำพูดที่กลั่นออกมาจากหัวใจของกัมปนาทถูกถ่ายทอดให้หญิงสาวที่ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกนั้นๆ ของเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้อิ่มเอมใจกับคำพูดระรื่นหู ชวนฟังให้เคลิ้มฝันนี้เลย“ขอบคุณคุณเอมากนะคะที่รักผึ้ง แต่ผึ้งขอเวลาอีกสักหน่อยได้ไหมคะ ชีวิตคู่ของแม่ทำให้ผึ้งกลัว ผึ้งกลัวว่าคุณเอจะเป็นเ
12รุ่งรุจีถามวชิราภรณ์ สาเหตุที่ถามคำถามนี้เป็นเพราะบริษัทจะจัดสัมมนาในอีกสองวันข้างหน้า พอสัมมนาเสร็จ ก็ถึงเวลาให้พนักงานปลดปล่อยความเหนื่อยล้าที่ทำมาตลอดปีด้วยการท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ในจังหวัดที่คณะเดินทางไปเที่ยว รุ่งรุจีวาดหวังว่าเธอจะลงไปเล่นน้ำทะเลให้ชุ่มปอด หลังจากห่างหายการท่องเที่ยวมานานหลายปี“ซื้อทำไม ฉันใส่ชุดธรรมดาลงเล่นน้ำ”“จะบ้าหรือไงผึ้ง มีแต่เขาใส่ชุดว่ายน้ำลงทะเลกันทั้งนั้น มีแต่แกคนเดียวนี่แหละที่ไม่ใส่”“บ้าเบ้อที่ไหน แกไปทะเล แกเห็นคนไทยสักกี่คนที่ใส่ชุดว่ายน้ำ มีแต่คนต่างชาติเท่านั้นแหละที่ใส่ ฉันว่านะใส่ชุดธรรมดาลงเล่นน้ำก็ได้”วชิราภรณ์ไม่คิดที่จะเถียงเพื่อน แต่เธอพูดตามความเป็นจริงที่เห็นได้ทุกชายหาดที่มีอยู่ในประเภทไทย คนไทยส่วนใหญ่จะสวมใส่ชุดธรรมดาลงเล่นน้ำ น้อยคนนักที่จะสวมใส่ชุดว่ายน้ำ ที่เห็นสวมใส่ก็จะมีแต่ชาวต่างชาติเท่านั้น“มันก็จริงของแกเนอะ ฉันใส่ชุดธรรมดาก็ได้” รุ่งรุจีเห็นด้วยกับความคิดของเพื่อน“ใช่ ใส่ชุดธรรมดาก็ได้ ไม่เปลืองเงินด้วย”“ว่าแต่แกกับคุณเอไปถึงไหนแล้วล่ะ”เพื่อนสาวถามขึ้น แต่เหตุใดถามคำถามนี้แล้วหัวใจมันเจ็บแปลบขึ้นมาก็ไม่ร