ขณะที่ถังหมิงเซวียนได้ยินเจี่ยนอันอันเอ่ยชื่อสมุนไพรหลายชนิดนั้น เขาก็ขมวดคิ้วเบาๆเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าสมุนไพรเหล่านี้จะนำมาปรุงเป็นยาเม็ดได้หรืออาจกล่าวได้ว่าสรรพคุณของสมุนไพรเหล่านี้ ไม่สามารถที่จะปรุงเป็นยาชนิดใดได้ต่อให้นำมาผสมรวมกัน ก็ไม่เกิดสรรพคุณในการรักษาโรคใดๆแต่เมื่อเห็นท่าทีมั่นอกมั่นใจของเจี่ยนอันอัน ถังหมิงเซวียนก็ไม่กล้าพูดอะไรมากเพราะอย่างน้อยเขาก็เห็นกับตา ยาที่เมื่อครู่เจี่ยนอันอันมอบให้ชาวบ้านกินนั้น ล้วนเห็นผลอย่างชัดเจนทุกคนหลังจากกินยาแล้ว ต่างก็ไม่มีอาการไออีกเขาจึงถือโอกาสที่สวีจงฉือกลับไปเอาสมุนไพร ตรวจชีพจรให้ชาวบ้านไปพลางนั่นยิ่งทำให้เขาประหลาดใจ ที่อาการของวัณโรคเริ่มดีขึ้นตามลำดับทั้งคู่จึงนั่งยองๆ ที่ข้างทาง คอยคุมไฟเอาไว้ เพื่อปรุงยาให้ชาวบ้านผู้คนที่ยืนรออยู่ด้านข้าง ต่างก็จ้องมองหม้อต้มยาสองใบตาไม่กะพริบเช่นกันมีคนแอบพูดเสียงเบา “ทีนี้ยิ่งดีใหญ่ มีหมอเทวดาสองคนมาช่วยเรา โรคของพวกเรามีหวังหายแล้ว”เจี่ยนอันอันต้มยาไปพลาง เงยหน้าขึ้นมองสวีจงฉือ“รบกวนคุณชายสวีไปเรียกคนมาเพิ่มอีก”เจี่ยนอันอันกล่าวพร้อมยื่นลำโพงขยายเสียงให้แก่
เจี่ยนอันอันปรายตามองดูทหารเหล่านั้น พลางกล่าวเสียงเย็นชา “จะรีบร้อนไปไหนกัน พวกเจ้าก็ไปต่อแถวด้วย”ทหารไม่คิดว่าเจี่ยนอันอันจะกล่าวเช่นนี้ออกมา เพราะใต้เท้าของพวกเขาป่วยหนักจนแทบกระอักเลือดอยู่แล้วนางไม่รู้หรือว่าควรต้องไปดูใต้เท้าของพวกเขาก่อน!“ไม่ต้องพูดมาก รีบไปกับเราเดี๋ยวนี้” ทหารพูดพลางจะตรงเข้าจับตัวเจี่ยนอันอันฉู่จวินสิงรีบไปขวางหน้าไว้“ใครหน้าไหนกล้ามาจับนาง ข้าจะให้ผู้นั้นหัวหลุดจากบ่าทันที”พูดไม่พูดเปล่า ฉู่จวินสิงพลันรีบดึงดาบจากเอวของทหารผู้นั้นมาด้วยเหล่าทหารต่างพากันตะลึงงัน ชายผู้นี้ไฉนจึงลงมือรวดเร็วถึงปานนี้?พวกเขายังมิทันได้ตั้งตัว ดาบก็ไปอยู่ในมือฉู่จวินสิงเสียแล้วทุกคนจึงรีบชักดาบออกจากเอว พร้อมมุ่งมาทางฉู่จวินสิงฉู่จวินสิงไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ลงมือ เพียงฟาดฟันไม่กี่ครั้งก็ทำให้ดาบของพวกเขาร่วงลงพื้นหมดเหล่าทหารจึงรู้ว่าเจอคนจริงเข้า ทำให้ไม่กล้าบุ่มบ่ามอีกยังมีทหารอีกคนหนึ่งกัดฟันกล่าว “บังอาจนัก กล้าแย่งชิงดาบของทหาร ซ้ำยังใช้กำลังกับพวกเราอีก ข้าว่าเจ้าคงเบื่อชีวิตเต็มทีแล้ว!”พลางรีบสั่งการไปยังคนที่อยู่ด้านข้าง “รีบไปเรียนใต้เท้าเร็
มีทหารคนหนึ่งรีบกล่าว “แม่นางโปรดหยุดก่อน”เจี่ยนอันอันไม่สนใจคำพูดของทหาร เพราะนางขึ้นรถม้าไปแล้ว อีกทั้งแสดงท่าทีให้ฉู่จวินสิงตามขึ้นมาชาวบ้านที่นี่ได้กินยาของนางไปแล้วก็จริง แต่อาจยังมีชาวบ้านที่อื่นซึ่งทรมานกับโรคนี้อยู่ก็เป็นได้นางจึงต้องรักษาชาวบ้านในเมืองให้หายขาดทั้งสิ้น จึงจะวางใจกลับไปหมู่บ้านชิงสุ่ยทหารเห็นเจี่ยนอันอันไม่คิดสนใจเขาแม้แต่น้อย แม้จะรู้สึกโกรธจนแทบขบฟัน แต่สุดท้ายก็ยังต้องผ่อนปรนท่าทีลงเขาเอามือกุมแขนที่บาดเจ็บไว้ พลางก้มหน้ากล่าวต่อ “เมื่อครู่พวกเราเป็นฝ่ายผิดเอง ไม่ควรเสียมรรยาทต่อแม่นางเช่นนั้น”“แม่นางเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง โปรดอย่าได้ถือสาพวกเราเลยนะ”ส่วนทหารอีกคนก็กล่าวเสริม “ใต้เท้าเรากำลังป่วยหนักอยู่ เมื่อครู่ยังไอออกมาเป็นเลือด รบกวนแม่นางช่วยไปรักษาให้เขาทีเถิด”เจี่ยนอันอันยังคงนั่งเฉยอยู่ในรถม้า มีเพียงน้ำเสียงเย็นชาที่ลอยออกมา“กลับไปบอกท่านราชเลขาธิการ หากว่าไม่อยากตาย ก็ให้ส่งเกี้ยวแปดคนหามมารับข้าไปพบ”เหล่าทหารได้ยินดังนี้ จึงต่างมองหน้ากันและกัน แต่ไม่มีใครขยับตัวฉู่จวินสิงกล่าวเสียงดุ “หูตึงกันหรืออย่างไร? ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”
เมื่อเห็นถุงเงินที่ตุงขึ้น มุมปากถังหมิงเซวีนจึงเหยียดเล็กน้อยคล้ายยิ้มแย้มขณะที่รถม้าวิ่งผ่านจวนราชเลขาธิการ พลันเห็นคนสองกลุ่มหามเกี้ยวออกมาจากด้านในพวกเขาไม่รู้ว่าภายในรถม้าที่สวีจงฉือควบอยู่ มีหมอสองคนที่พวกเขากำลังต้องการจะพบจึงปล่อยให้คลาดกันไปอย่างหวุดหวิดพวกเขากลับย้อนไปตามทางที่ทหารเหล่านั้นแนะนำมาสวีจงฉือเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น พลางกล่าวเสียงเบา “แม่นางเจี่ยน มาถึงจวนราชเลขาแล้ว เราจะเข้าไปดูอาการและรักษาเขาดีหรือไม่?”“อย่าไปสนเขา เดินทางต่อไป” เจี่ยนอันอันหลับตานิ่ง พูดโดยไม่ต้องคิดสวีจงฉือรับคำ พร้อมควบรถม้าต่อไปพวกเขาจะมุ่งไปอีกที่หนึ่ง เพื่อรักษาโรคให้ชาวบ้านที่นั่นจวนราชเลขาธิการใหญ่โตโอ่อ่านัก รอบๆ บริเวณจึงไม่มีบ้านผู้อื่นอาศัยอยู่เลยรถม้าวิ่งไปอย่างรวดเร็ว จนมาถึงถนนสายหลักผู้คนที่นี่ดูมากกว่าที่อื่นหน่อย ตามโรงเตี๊ยมและร้านน้ำชาก็มีคนเข้าออกเพียงแต่สีหน้าแต่ละคนดูเร่งรีบ พร้อมต่างใช้ผ้าปิดปากและจมูกไว้ มีอาการไอเป็นระยะออกมาให้เห็นเจี่ยนอันอันบอกให้สวีจงฉือหยุดรถ พลางใช้ลำโพงเปิดเสียงออกมาอีกผู้คนที่สัญจรเมื่อได้ยินเสียง ต่างก็มารุมล้อมจนแม
เพียงไม่นานยาก็ถูกขายหมดสิ้น ส่วนผู้ที่รับยาไป หลังจากกินแล้วต่างก็สบายเนื้อสบายตัวขึ้นมากพวกเขาต่างเก็บยาไว้ เพื่อจะรีบนำกลับไปให้คนที่บ้านได้กินเจี่ยนอันอันได้ยินชาวบ้านเดินไปพูดคุยไป“เมืองอินเป่ยของเรามีหมอเก่งขนาดนี้มาอยู่ตั้งแต่เมื่อใด ทำไมข้าไม่เคยเห็นนางมาก่อน”“แต่ข้าได้ยินมาว่า หมอคนนี้เก่งกล้าสามารถนัก ไม่ว่าโรคใดก็รักษาได้หมด ดูเหมือนว่าจะอาศัยอยู่ในย่านคนจนที่หมู่บ้านชิงสุ่ย”“ทำไมหมอเก่งขนาดนี้กลับไปอยู่ในที่แร้นเค้นเช่นนั้น? อยากให้นางมาอยู่ในเมืองมากกว่า เผื่อวันหลังใครปวดหัวตัวร้อนหรือเป็นโรคอื่น จะได้ให้นางช่วยรักษา”เจี่ยนอันอันขึ้นรถม้าต่อ บอกให้สวีจงฉือควบไปทางประตูเมืองเพราะที่นั่นเป็นเขตป้องกันตัวเมือง หากทหารประจำการก็ได้รับเชื้อเช่นกัน แล้วไม่ได้รับการรักษา อาจมีโอกาสแพร่ให้ผู้อื่นได้มากรถม้ามาถึงด้านล่างประตูอย่างรวดเร็วทุกวันนี้จางเฉวียนเป็นทหารเฝ้าประตูเมืองแล้ว มีคนมารายงานว่ามีรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาเขารีบขึ้นไปยังประตูเมืองแล้วมองลงด้านล่างทันทีที่เห็นเจี่ยนอันอันกับพวกลงจากรถม้า เขาก็จำนางกับฉู่จวินสิงได้หากไม่เพราะสมัยก่อนเจี่ยนอันอันช่ว
นางเพียงมอบยาป้องกันให้จำนวนหนึ่ง แต่กลับสามารถซื้อใจคนได้อย่างดีเยี่ยมนี่ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้นางในวันที่สามารถกลับไปยังเมืองจิงโจวในภายภาคหน้าเจี่ยนอันอันเห็นว่าเป้าหมายบรรลุแล้วจึงกล่าวลากับจางเฉวียนจางเฉวียนมองส่งรถม้าจากไป หัวใจที่แขวนค้างในที่สุดก็สามารถปล่อยวางลงได้เสียทียังดีที่เจี่ยนอันอันไม่ได้เอายาป้องกันมาให้พวกเขาเพื่อจะออกจากเมืองไปโดยพลการไม่อย่างนั้น ไม่แน่ว่าเขาอาจถูกนำตัวไปรอรับการลงทัณฑ์ที่สำนักราชเลขาธิการเหมือนเฉินหย่งเหนียนก็เป็นได้หลังจากเฉินหย่งเหนียนถูกจับตัวไปก็ไม่เห็นเงาร่างของเขาอีกเลยเกรงว่าป่านนี้เขาคงตายไปแล้ว……รถม้าเคลื่อนผ่านสถานที่หลายแห่งในตัวเมือง ชาวบ้านในเมืองล้วนได้รับยารักษาโรคเฉพาะทางที่คนทั้งสองทำขึ้นมาหมดแล้วตอนนี้เกรงว่าคงมีเพียงคนในสำนักราชเลขาธิการที่ยังไม่ได้รับการรักษาหลังจากรถม้าวิ่งไปได้สักพัก เจ้าหน้าที่ซึ่งหามเกี้ยวสองกลุ่มก็สวนทางมาเมื่อพวกเขาเห็นรถม้าก็เร่งฝีเท้าเข้ามาหาคราวนี้ในที่สุดพวกเขาก็จำสวีจงฉือที่นั่งอยู่บนรถม้าได้ก่อนหน้านี้หลังจากพวกเขาหามเกี้ยวไปถึงจุดหมายก็พบว่าที่นั่นว่างเปล่าปราศจากผู้คน
วันนี้ก็หาเงินได้อีกแล้วเย็นนี้เขาจะต้องกินอาหารดีๆ สักมื้อเพื่อตกรางวัลให้กับความเหน็ดเหนื่อยในวันนี้สักหน่อยหลังพวกเจ้าหน้าที่กินยารักษาโรคเฉพาะทางแล้วก็หามเกี้ยวขึ้นมาอีกครั้ง ออกเดินทางไปยังสำนักราชเลขาธิการต่อไปคราวนี้ฝีเท้าพวกเขารวดเร็วราวเหินบิน ร้อนใจอยากให้ใต้เท้าของพวกตนได้รับยารักษาโรคเฉพาะทางโดยเร็ว เขาจะได้หายดีไวๆ คนทั้งคณะเดินทางมาถึงบริเวณนอกสำนักราชเลขาธิการอย่างรวดเร็ว พ่อบ้านออกมารอหน้าประตูอยู่นานแล้วเมื่อเขาเห็นรถม้าที่ตามมาด้วยก็อึ้งไปอย่างอดไม่อยู่เขาเห็นรถม้าคันนี้วิ่งผ่านหน้าประตูสำนักราชเลขาธิการไปก่อนหน้านี้ถ้าเขารู้แต่แรกว่าผู้อยู่ในรถม้าคือท่านหมอที่พวกตนกำลังตามหาเขาจะต้องไม่มองรถม้าคันนี้วิ่งจากไปโดยไม่ทำอันใดอย่างแน่นอนพ่อบ้านรีบออกมาต้อนรับ เขาเลิกผ้าม่านเกี้ยวหลังแรกขึ้นก็พบว่าผู้อยู่ในนั้นคือแม่นางอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งพ่อบ้านคิดในใจ แม่นางที่อายุน้อยปานนี้สามารถรักษาโรคให้ใต้เท้าของตนได้จริงหรือ?พ่อบ้านไม่พูดพร่ำ รีบเชิญเจี่ยนอันอันเข้าไปข้างในทันทีพวกเจี่ยนอันอันสี่คนเดินไปจนถึงห้องนอนที่ราชเลขาธิการพักอยู่ภายใต้การนำทางของพ่อบ
ถังหมิงเซวียนวินิจฉัยว่าราชเลขาธิการไม่ได้แค่ติดวัณโรคเท่านั้น แต่เขายังมีโรคเก่าอีกด้วยแต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้พกล่วมยามา เพียงนำเข็มเงินบางส่วนมาด้วยเท่านั้นถ้าจะรักษาราชเลขาธิการยังคงต้องพึ่งพาเจี่ยนอันอันอย่างไรเสียเจี่ยนอันอันก็เป็นเถ้าแก่ร้านจี้เฉ่าถัง นางจะต้องสามารถหาสมุนไพรมาปรุงยารักษาราชเลขาธิการได้อย่างแน่นอนยามนี้ขึ้นอยู่กับว่าเจี่ยนอันอันต้องการทำอย่างไร ถ้านางไม่อยากรักษาโรคเก่าให้ราชเลขาธิการ เขาก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรเหมือนกันเจี่ยนอันอันเดินเข้าไปจับชีพจรให้ราชเลขาธิการเจี่ยงตงเฉิงได้ยินคำพูดของถังหมิงเซวียนเมื่อครู่นี้แล้ว หัวใจก็จมดิ่งลงเหวเขารู้ว่าสุขภาพของตนเองย่ำแย่ลงทุกที หมอในเมืองอินเป่ยล้วนเคยมาตรวจโรคให้เขาแต่ไม่เคยมีใครที่สามารถรักษาเขาให้หายดีได้เลยสักคนยามนี้เขายังติดวัณโรคมาอีก สุขภาพยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิมหากหมอสองคนนี้ยังไม่สามารถรักษาเขาได้ เกรงว่าเวลาชีวิตของเขาคงเหลืออีกไม่มากแล้วเจี่ยนอันอันจับชีพจรสักพักก็มุ่นคิ้วขึ้นมาดุจเดียวกันนางพบว่าในร่างกายราชเลขาธิการมีสารพิษตกค้างอยู่ด้วยและก็เป็นเพราะสารพิษเหล่านี้ที่ทำให้สุขภาพของเข
เจี่ยนอันอันยิ้มเล็กน้อย “พี่เฉียว อย่ามัวยืนเฉย รีบลงชื่อก่อนเถิด”“ประเดี๋ยวเมื่อเจ้าเมืองตานมาถึง ยังต้องให้เขาดูด้วย”เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเบามาก จงใจมิให้เฝิงซานกวงกับลูกน้องเขาได้ยินแต่แม่ลูกตระกูลเฉียวและฉู่จวินสิงกลับได้ยินชัดเจนฉู่จวินสิงมุมปากเชิดขึ้น คิดในใจว่าการจะสั่งสอนคนเช่นเฝิงซานกวง ต้องใช้วิธีนี้จึงจะสาสมเฝิงซานกวงได้ยินไม่ชัดว่าเจี่ยนอันอันพูดเรื่องใด แต่มั่นใจว่าคงมิใช่เรื่องดีแน่นอนเฉียวซื่อรับเอากระดาษและพู่กันไป พลางเขียนชื่อตนเองบนกระดาษด้วยลายมือโย้เย้นางกำลังคิดอยู่ว่าต้องกัดนิ้วตนให้ขาดดีหรือไม่ พลันเห็นเจี่ยนอันอันไม่รู้ไปหยิบแป้นประทับตราจากที่ใดออกมาหนึ่งอันเจี่ยนอันอันกล่าวยิ้มๆ “พี่เฉียว การประทับตราของเราไม่ต้องเสียโลหิต”เฉียวซื่อยิ้มตามเช่นกัน พลางกดนิ้วมือลงบนแป้นนั้น แล้วประทับลายนิ้วลงไปบนสัญญาอีกทีเมื่อต่างลงนามในสัญญาฉบับใหม่เรียบร้อย ฉบับเก่าก็นับว่าเป็นโมฆะไปแต่เจี่ยนอันอันกลับไม่คิดฉีกสัญญาฉบับเก่าทิ้งไป นางจะรอให้เจ้าเมืองตานมาถึง และให้เขาดูเงื่อนไขเอาเปรียบที่อยู่ในนั้นนางใช้วิธีเดียวกันนี้ เขียนสัญญาใหม่ขึ้นมาอีกฉบับ
ยามนี้เขารู้สึกเสียใจยิ่ง เมื่อครู่ไม่ควรกล่าวถึงท่านอารองออกมาเร็วถึงเพียงนั้นแต่บัดนี้ลูกน้องไปเชิญท่านอามาแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะทำอย่างไรดี?เมื่อนึกถึงตรงนี้ เฝิงซานกวงรีบกล่าวต่อลูกน้องอีกคน “เจ้าไปบอกให้อู่เฉียงกลับมา”ลูกน้องผู้นั้นรับคำสั่งกำลังจะรีบวิ่งไปแต่เดินได้ไม่ถึงสองก้าว พลันถูกฉู่จวินสิงขวางหน้าไว้ก่อน“ผู้ใดกล้าขยับเขยื้อน ข้าจะให้ผู้นั้นเลือดนองอาบพื้นดินในบัดดล”ลูกน้องผู้นั้นได้แต่หวาดกลัวจนชะงักงัน พร้อมหันไปมองเฝิงซานกวง“ลูกพี่...”เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ไปก็ไม่ได้อยู่ต่อก็มีความผิดเฝิงซานกวงโกรธจนกำหมัดแน่น เสียงขบฟันดังกรอดจนได้ยินชัด“พวกเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?”เขาเริ่มรู้แล้วว่า วันนี้ตนน่าจะเจอจิ้งจอกเขี้ยวลากดินเข้าให้แล้วดูท่าหากไม่ต้อนรับขับสู้พวกเขาให้ดี เกรงว่าอีกประเดี๋ยวจะมีจุดจบที่ไม่สู้งามนักเจี่ยนอันอันเห็นว่าเฝิงซานกวงน่าจะอับจนปัญญา จึงเอาสัญญาที่เฉียวซื่อมอบให้นางออกมา“เฝิงซานกวง นี่คือสัญญาที่เจ้าทำไว้กับเฉียวซื่อ ในนี้มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง ข้าอาจต้องแก้ไขเล็กน้อย”เฝิงซานกวงกัดฟันกรอดอีกครั้ง บันดาลโทสะเสียจนใบหน้าที่อยู
พวกเขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรญาติที่เป็นขุนนางของลูกพี่เป็นผู้มีอิทธิพลนัก ดูแลทุกอย่างในอำเภอไถหยางก็ว่าได้เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเย็น “คุยมาตั้งนาน ยังไม่เห็นบอกชื่อว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ข้าว่าคงจะแต่งเรื่องส่งเดชมากกว่า”เฝิงซานกวงถูกเจี่ยนอันอันยุยงอีกครั้ง เดิมทีเขาก็ไม่อยากเอ่ยชื่อเจ้าเมืองออกมาแต่ครั้งนี้เห็นทีไม่พูดก็ไม่ได้เสียแล้ว“ฮึ่ม พูดแล้วพวกเจ้าจะตกใจ ท่านอารองของข้าเป็นเจ้าเมืองแห่งอำเภอไถหยาง”“หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องกิจการในเหมืองของข้า ข้าจะให้ท่านอาส่งคนมาจับพวกเจ้าไปขังคุกเสีย!”เมื่อเจี่ยนอันอันได้ยินว่าอารองของเฝิงซานกวงก็คือเจ้าเมืองตานนั่นเอง นางจึงเริ่มมีแผนการในใจ“อ้อ หมายถึงเจ้าเมืองตานผู้นั้นหรอกรึ? ยังนึกว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่ใดเสียอีก”“เชิญไปเรียกตัวมาได้เลย แล้วเรามายันกันซึ่งหน้า ให้รู้ไปว่าเขาจะเข้าข้างเจ้า หรือเห็นด้วยกับเรามากกว่า”เฝิงซานกวงมองดูท่าทีของเจี่ยนอันอัน คล้ายไม่กลัวกระทั่งคนเป็นเจ้าเมือง จึงให้ตกใจซ้ำอีกเขาแอบคิดในใจ หรือว่าท่านอารองจะรู้จักกับคนสองคนนี้?จึงหันไปกระซิบกระซาบต่อลูกน้องข้างกาย “รีบไปเชิญอารองข้ามาเดี๋ยวนี้”
เหล่าคนงานที่เข้าออกเหมืองแร่เห็นเหตุการณ์เข้า ต่างก็ตกใจเป็นอย่างมากเพราะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นลูกน้องของนายจ้างถูกผู้อื่นทำร้ายเช่นนี้แม้แต่ละคนจะมีความตกใจ แต่ลึกๆ กลับรู้สึกสะใจมากกว่าเพราะบริวารของเฝิงซานกวงเหล่านี้ ปกติมักจะใช้กำลังกับพวกเขาบ่อยๆทุกครั้งที่พวกเขาขุดหาแร่ออกมาไม่ได้ปริมาณตามที่ต้องการ ลูกน้องเฝิงซานกวงก็พากันมารุมซ้อมพวกเขาอย่างหนัก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าไปบอกใครบางคนเคยคิดหนีไปจากที่นี่ แต่ครั้งใดที่มีผู้หลบหนี มักถูกจับกลับมาแล้วซ้อมหนักยิ่งกว่าเดิมอีกที่สำคัญพวกเขาแทบจำไม่ได้ว่าตนคือใคร บ้านช่องอยู่ที่ใดจึงได้แต่ใช้แรงกายแลกกับเงินน้อยนิดเพียงสองอีแปะในแต่ละวัน อดทนทำงานอยู่ที่นี่ต่อไปเมื่อชายสองคนถูกทำร้ายเข้า จึงมีลูกน้องเฝิงซานกวงตามออกมาอีกทุกคนเมื่อเห็นว่ามีคนมาก่อเรื่อง จึงกรูกันเข้าหาฉู่จวินสิงทันทีแต่มิต้องรอให้พวกเขามาเข้าใกล้ ฉู่จวินสิงใช้กำลังภายในซัดออกไปก่อนแล้วทุกคนต่างทยอยล้มลง พลางกลิ้งไปมา ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทันใดนั้นเอง มีเสียงหนึ่งตะคอกดังขึ้น “ผู้ใดกล้าบังอาจมาก่อเรื่องในเหมืองของข้า อยากตายหรืออย่างไร?”ใบ
แต่บัดนี้นางเปิดร้านมาสิบกว่าวัน ขายได้เพียงรูปสัตว์โลหะไม่กี่ตัวเท่านั้นเฉียวซื่อบอกเล่าสิ่งที่พบเจอให้เจี่ยนอันอันฟัง ทำให้นางเกิดความเข้าใจขึ้นทันทีที่แท้เฉียวซื่อถูกเฝิงซานกวงหลอกลวงมาแต่แรกเจี่ยนอันอันเพียงคิดว่าต่อให้นางซื้อของตกแต่งเหล่านี้กลับไป ก็มิได้ใช้ประโยชน์นักจึงนำหนูโลหะตัวเล็กในมือวางกลับที่เดิมเฉียวซื่อเห็นเจี่ยนอันอันทำเช่นเดียวกับลูกค้าอื่นในร้าน เพียงเข้ามาหยิบดูเล็กน้อย จากนั้นจึงวางของตกแต่งลงไว้ที่เดิมดูแล้วคล้ายไม่สู้ถูกใจผลงานที่นางสร้างสรรค์ออกมาเท่าใดนัก พลันเกิดความรู้สึกท้อแท้ นางคงไม่เหมาะจะทำอาชีพนี้จริงๆ กระมังหากตอนนี้สามียังอยู่ก็คงดี นางจะได้ฝึกวิชาการตีเหล็กจากเขาให้ออกมาเป็นงานอื่นบ้างและเมื่อครู่เจี่ยนอันอันรู้จากปากเฉียวซื่อ ว่าเฝิงซานกวงได้เปิดกิจการเหมืองแร่แห่งหนึ่งทุกวันจะมีคนงานไปด้านหลังภูเขาที่อยู่ห่างไกล ขุดเอาแร่เหล็กและหยกออกมา เพื่อนำกลับมาถลุงเป็นเครื่องหยกและของใช้ที่ทำจากเหล็กนางเห็นเฉียวซื่อคล้ายมีอาการท้อใจ จึงกล่าวยิ้มแย้ม “พี่เฉียว ท่านพาข้าไปดูที่เหมืองของเฝิงซานกวงก่อน ข้ามีสิ่งของบางอย่างต้องการจะซื้อ”
เจี่ยนอันอันหยิบมากวาดตาดูก็มองความผิดปกติบนนั้นออกได้ในทันที“เงื่อนไขในนี้เข้มงวดเกินไปแล้ว ถ้าฝ่ายไหนยุติสัญญาจะต้องชดเชยให้อีกฝ่ายเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึง”“เจ้าหมอนี่ช่างกล้าเขียน สัญญานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเงื่อนไขแบบมัดมือชกกันชัดๆ”“ข้าว่าท่านไม่ร่วมงานกับเขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย”คำพูดของเจี่ยนอันอันทำให้เฉียวซื่อใจหายวูบนางรู้จักตัวหนังสือแค่ไม่กี่ตัว นอกจากเขียนชื่อตัวเองเป็นแล้ว เงื่อนไขในนั้นนางอ่านไม่เข้าใจเลยสักนิดเฝินซานกวงเป็นคนอ่านให้นางฟัง นางรู้สึกว่าเงื่อนไขสมเหตุสมผลมากจึงลงนามในสัญญากับอีกฝ่ายแต่คิดไม่ถึงเลยว่า เฝิงซานกวงจะกล้าเล่นเล่ห์กับนางแบบนี้เดิมนั้นนางอยากยกเลิกสัญญากับอีกฝ่าย แต่กลับได้ยินเฝิงซานกวงพูดว่า ถ้านางกล้าเป็นฝ่ายยกเลิกสัญญาก็จะต้องชดเชยเงินให้เฝิงซานกวงเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึงตอนนั้นเฉียวซื่อตกใจยิ่งนักนางเคยไปถามเถ้าแก่ร้านข้างเคียง ฝ่ายตรงข้ามก็บอกว่าเงื่อนไขนี้เขียนไว้อย่างชัดเจน ต้องจ่ายเงินชดเชยให้อีกฝ่ายหนึ่งแสนตำลึงจริงๆเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ นางจะไปหาเงินมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนถึงตอนนี้เฉียวซื่อจึงตระหนักว่
ตอนนี้เขาทำได้เพียงอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวด ยอมรับการทุบตีจากเฉียวอี้บริเวณรอบๆ มีคนล้อมเข้ามามุงดูจำนวนมาก พวกเขาต่างชี้ไม้ชี้มือมาทางชายผู้นั้น“คนคนนี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าต้องไม่ใช่คนดีแน่ ดูหน้าตาทรงโจรของเขาสิ แปดส่วนคงเป็นเพราะไปหาเรื่องคนอื่นก่อน ถึงได้ถูกเด็กคนนั้นซ้อมเอาแบบนี้”“เมื่อครู่ข้าได้ยินแล้ว เขาไปลงไม้ลงมือกับแม่ของเด็กคนนั้น ข้าว่าตีเขายังน้อยไป ควรแจ้งความมากกว่า”คนมุงบริเวณรอบๆ ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานาเฉียวอี้ควงหมัดทักทายใบหน้าของชายผู้นั้นหนักกว่าเดิมในไม่ช้า เฉียวอี้ก็ตีจนรู้สึกเจ็บกำปั้น แต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนกระทั่งอัดศีรษะชายผู้นั้นจนบวมเป่งเหมือนหมู เฉียวอี้ถึงได้หยุดมือพร้อมหอบหายใจแม้ว่ากำปั้นของเฉียวอี้จะไม่ใหญ่ แต่ครั้นทุบตีคนก็ร้ายกาจยิ่งนักเห็นใบหน้าชายผู้นั้นเขียวช้ำไปหมด เฉียวอี้ก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากเจี่ยนอันอันกล่าวกับชายผู้นั้นว่า “หากวันหน้าเจ้ายังกล้ามาคุกคามแม่ลูกตระกูลเฉียวอีก ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าสบายแบบนี้แน่ ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”ชายผู้นั้นไม่กล้าพูดมาก ลุกขึ้นมากุมศีรษะแล้วเผ่นหนีไปคนมุงบริเวณรอบๆ เ
เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงสบตากัน“พวกเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้” ฉู่จวินสิงว่าแล้วก็ก้าวยาวๆ ตรงไปทางตรอกน้อยชายผู้นั้นเห็นว่าฉู่จวินสิงตรงมาทางเขาก็หันหลังเตรียมวิ่งหนีแต่เขาวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกถีบเข้าที่เอวเสียแล้วชายผู้นั้นถูกถีบกระเด็นไปไกล คว่ำหน้าอยู่บนพื้นร้องโอดโอยออกมาอย่างทนไม่ไหวฉู่จวินสิงย่างสามขุมตรงเข้าไปหาแล้วหิ้วคอเสื้อของชายผู้นั้นขึ้นมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย“ไปกับข้า!”ฉู่จวินสิงกล่าวพลางผลักชายผู้นั้นตรงออกไปนอกตรอกชายผู้นั้นได้ลิ้มรสความร้ายกาจของฉู่จวินสิงแล้วย่อมไม่กล้าวิ่งหนีส่งเดชเขาไม่อยากถูกถีบอีกหรอกนะ จนถึงตอนนี้เอวยังระบมอยู่เลยฉู่จวินสิงผลักชายผู้นั้นมาถึงตรงหน้าเจี่ยนอันอันกับเฉียวอี้แล้วกล่าวเสียงเข้ม “บอกมา ระหว่างเจ้ากับเด็กคนนี้เป็นเรื่องอะไรกันแน่?”ชายผู้นั้นมองเฉียวอี้ แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นแค้น“คุณชายท่านนี้ ข้าไม่รู้จักเขาเสียหน่อย เขาวิ่งออกมาถนนใหญ่เอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยนะ”ขณะที่ชายผู้นั้นพูดก็ถลึงตาใส่เฉียวอี้อย่างดุร้ายเฉียวอี้เห็นฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมรับ เขาเงยหน้าขึ้นมาด้วยความโมโห แล้วตวาดใส่ชายผู้นั้นว่า“ท่านโก
เจี่ยนอันอันเห็นว่าฉู่จวินสิงก่อสร้างเป็น นางก็วางใจไปได้มากนางยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่กระโจม แต่เป็นโรงเรือนสำหรับเพาะปลูกแบบหนึ่ง”นางมีความคิดคร่าวๆ ในใจแล้วจึงรีบกลับบ้านไปกับฉู่จวินสิงนางหยิบกระดาษและปากกาออกมาจากในมิติ แล้ววาดภาพร่างบนโต๊ะฉู่จวินสิงนั่งอยู่ข้างๆ ตั้งใจดูภาพร่างโรงเรือนที่เจี่ยนอันอันวาดที่นี่ไม่มีเหล็กเส้น เจี่ยนอันอันยังไม่อยากใช้เงินจำนวนมากไปซื้อจากในร้านค้านางต้องการสร้างโรงเรือนสำหรับคนในหมู่บ้านทุกคน เหล็กเส้นที่ต้องใช้จึงมีไม่น้อยหากใช้เงินไปซื้อมา นั่นไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ เลยนางไม่อยากใช้เงินพวกนั้นในมิติมากเกินไป นางยังรอที่จะสนับสนุนฉู่จวินสิงขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้หลังจากการทำสงครามกลับเมืองจิงโจวในวันหน้าเมื่อถึงตอนนั้น เงินทองของล้ำค่าเหล่านั้นในมิติก็จะได้นำไปใช้แล้วฮ่องเต้จนกรอบคนหนึ่งที่ไม่สามารถจ่ายเบี้ยหวัดให้เหล่าขุนนางได้ ทั้งยังไม่สามารถทำให้ชาวบ้านอยู่ดีมีสุข กับฮ่องเต้ที่มั่งคั่งร่ำรวยคนหนึ่ง เงินในมือสามารถซื้อเมืองทั้งเมืองได้ชาวบ้านกับเหล่าขุนนางจะเอนเอียงไปทางคนไหนมากกว่า นั่นไม่ต้องพูดก็สามารถรู้ได้แล้วในไม่ช้า เจี่ยน