เมื่อคืนฉันนอนกอดแม่ร้องไห้จนหลับไป หลับสนิทโดยที่ไม่ฝันถึงใครทั้งนั้น ถ้าเป็นแบบนี้ทุก ๆ วันฉันคงลืมเขาได้ไม่นาน ฉันจะทิ้งของในกล่องนั้นเผาให้สิ้นซาก ไม่ให้ผู้ชายชื่อต้นกล้า เขาได้เข้ามาในชีวิตฉันอีก! หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จฉันก็ไม่รอช้า รีบก้มหากล่องใต้เตียงทันที ก่อนที่จะหยุดนิ่ง และขมวดคิ้วสงสัย เอ๊ะ กล่องไปไหน? ไปไหนแล้ว ทำไมมันไม่มี? ใครเอาไป? พักใหญ่ที่ฉันก้ม ๆ เงย ๆ หากล่องใบนั้นจนหัวหมุน ใช้ไฟฉายส่องก็แล้ว หาในตู้เสื้อผ้าในห้องแต่งตัวก็แล้ว แต่ไร้วี่แวว ทำไงดี ๆ หรือแม่จะเป็นคนเอากล่องใบนั้นไป? ใช่แน่ ๆ แม่เป็นคนเดียวที่รู้! แม่ชัวร์! ฉันรีบปิดแอร์ในห้องหันหลังเดินไปที่ประตู แต่พอก้าวไปถึงจับลูกบิดหมุน ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะฉันได้กลิ่นแปลก ๆ คล้ายกับกลิ่นไหม้ในห้อง และกลิ่นมันก็เริ่มแรงมาก ฉันจึงรีบหันหลังเดินเช็คตามปลั๊กไฟทุกจุดและถอดปลั๊ก ทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นตาม จนถึงหน้าต่างที่แง้มไว้ และกลิ่นมันก็แรงจนทำให้ฉันแน่ใจ ฉันรีบเปิดหน้าต่างที่แง้มไว้โผล่หน้าออกไปทันที และฉันก็ต้องอ้าปา
LINE | P’NAVA [กาแฟหนึ่งแก้ว: พี่นาวาคนเช่าห้องรอที่ไหนคะ? ขอเบอร์หน่อยค่า] LINE | P’PLAIFAH [กาแฟหนึ่งแก้ว: เจ๊ กาแฟขอเบอร์คนเช่าห้องเจ๊หน่อยค่ะ เขารอที่ไหนคะ? ^^] ขณะที่ฉันเดินไปกดลิฟต์ขึ้นห้อง ฉันก็ก้มทักไลน์ถามพี่นาวาพี่ปลายฟ้าไปด้วย แต่พี่ ๆ ทั้งสองก็ไม่อ่านไม่ตอบไลน์ฉันเลย ทุกคนเงียบ เฟซบุ๊กก็ออนเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว จนฉันเริ่มเซ็ง ถอนหายใจแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า ก่อนจะขึ้นลิฟต์และรอไปถึงชั้นยี่สิบเก้า ยืนเงียบเหงาอยู่คนเดียว จนสักพัก ประตูลิฟต์เปิด ‘ติ๊ง’ และฉันก็ไม่รอช้ารีบเดินออกมาทันที ก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายเดินก้ม ๆ เงย ๆ หาคีย์การ์ดห้อง แต่พอจะเดินผ่านห้องพี่ปลายฟ้าก็ต้องหยุดชะงักมอง เพราะฉันเห็นผู้ชายคนนึงอยู่หน้าห้อง และท่าทางแปลก ๆ ผู้ชายคนนั้นเขากำลังยืนหันข้างก้มกดโทรศัพท์ จะว่าเป็นคนเช่าห้องก็ไม่ใช่ เพราะฉันยังไม่ให้คีย์การ์ดเขาเลย เขาจะขึ้นมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง? ใคร? ทำไมทำลับ ๆ ล่อ ๆ ฉันค่อย ๆ เดิน เดินเบาที่สุด ก่อนจ
“ไอ้บ้า สมองมีแต่เรื่องพวกนี้เหรอ?” ฉันไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว จริง ๆ ฉันไม่ตลกนะที่อยู่ ๆ เขากลับมากวนประสาทฉันแบบนี้ และไม่ยอมอธิบายอะไรเลย “ในสมองไม่ได้มีแต่เรื่องนี้เว้ย มันมีแต่เธอ! ไม่ต้องถามถึงหัวใจนะไร้สาระ! เธอเรียนหมอมาน่าจะรู้ ว่าอะไรมันสั่งการให้คนรู้สึกนึกคิด ซึ่งฉันคิดถึงเธอจะตายอยู่แล้วแว่น! คิดถึงจนหัวแทบระเบิด!” คิดถึงแค่ตอนอย่างว่าสินะ ถึงเลือกแสดงความคิดถึงแบบนี้! “พอเถอะ! ทิ้งฉันไปหกปี อยู่ ๆ มาบอกคิดถึงฉัน? และวันนั้นทิ้งไปทำไมไอ้บ้า ถ้าสมองรู้สึกนึกคิด เคยคิดบ้างไหมล่ะ? คิดจะมาก็มาจะไปก็ไป อันนี้ใช้สมองคิดอยู่ใช่ไหม นึกว่าส้นเท้า!” มันคงเป็นคำด่าที่แรงสุด ๆ สำหรับฉัน เพราะเขาชะงักและหน้าถอดสี ก่อนที่จะลุกขึ้นจากตัวฉันไปนั่งนิ่งและถอนหายใจออกมา “เฮ้อ ฉันบอกไม่ได้ ตอนนั้นฉันต้องทำ” “ทำไมต้องทำ?” ฉันหยัดตัวลุกและทวนถาม จนต้นกล้าหันมามองฉันแล้วอมยิ้ม แต่ไม่พอ เขาค่อย ๆ ลดตาต่ำลงอีก ลงจนไปถึงกระดุมเสื้อเชิ้ตของฉัน ที่มันหลุดอยู่เม็ดนึง “นี่! มองอะไร? โรคจิต” “ขอสักทีได้ไห
ถ้ามันเป็นเหตุผลดี ๆ เขาจะปิดฉันทำไม? ฉันควรรู้ที่สุดไม่ใช่เหรอ? อีกอย่างเขาทิ้งฉันไปหกปี หันกลับมาบอกเหตุผลหน่อยก็ไม่มี จะให้ฉันคิดด้านดีได้ยังไง? บางทีที่เขาบอกพี่ ๆ เขาอาจจะโกหกก็ได้ หาเหตุผลโกหกให้ตัวเองน่าสงสารตีหน้าเศร้า ๆ พี่ปลายฟ้ากับพี่นาวาก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนอะไร แป๊บเดียวก็ใจอ่อนแล้ว ลองมาเจอแบบฉันสิ ลองมาเจ็บแบบฉันสิ แล้วจะรู้สึก! นึก ๆ แล้วฉันเริ่มหมั่นไส้ หันซ้ายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที ก่อนที่จะเมมเบอร์ที่เขาส่งข้อความให้ว่า... หมา จากนั้นก็โยนโทรศัพท์ไปบนโซฟา ตัดปัญหาทุกอย่างที่จะทำฉันฟุ้งซ่าน แล้วเดินเข้าห้องน้ำอาบน้ำนอน เมื่อคืนถึงจะหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่ฉันนอนเต็มอิ่มฉันไม่ฝันถึงเขาเลย ฉันคิดถูกแล้วที่ตัดปัญหาวางโทรศัพท์ไว้ไกล ๆ จะได้ไม่ต้องเลื่อนฟีดเห็นโพสใครแล้วคิดถึงเขา พอเดินออกไปทำงานผ่านหน้าห้องพี่ปลายฟ้า ฉันก็ไม่หันไม่มอง ฉันรีบเดินไปกดลิฟต์ขับรถออกไปทำงาน และแวะซื้อขนมจีบปูเซเว่นกินเหมือนทุก ๆ วัน แต่พอมาถึงโรงพยาบาลความวุ่นวายก็มาเยือนฉัน เมื่อฉันลงเวรราวด์คนไข้เสร็จเดินไปแผนก ER รถโรงพยาบ
ฉันยืนคิดสักพัก ก็เดินไปเข้าห้องตรวจตัวเอง ก่อนจะเริ่มบอกพยาบาลรับเคสคนไข้คนแรกเข้ามา งานของฉันเป็นแบบนี้ล่ะสลับไปแผนกนู้นแผนกนี้ ทั้งเหนื่อยทั้งเครียด จะให้ไปหาผู้ชายดี ๆ โปรไฟล์เลิศที่ไหน? นอกจากคนไข้และหมอด้วยกันเอง ดีเลยที่น้ำแข็งจะดีลผู้ชายให้ฉัน เธอคงคัดมาอย่างดีและรอบครอบแล้ว ผ่านไปหลายชั่วโมงที่ฉันรับคนไข้ พอเสร็จออกเวรไม่ทันไร ออกมาก็เห็นน้ำแข็งนั่งรออยู่หน้าห้องแล้ว เธอนั่งมองฉันด้วยสายตานิ่ง ๆ นั่งขาไขว่ห้าง เหมือนกำลังคุมความประพฤติฉัน เริ่มแปลกไปทุกวัน เป็นอะไรของเธอ? ปกติเคยนั่งรอฉันแบบนี้ที่ไหน หน้าฉันเธอแทบไม่อยากมองด้วยซ้ำ “ทำไมวันนี้รอจ๊ะ ว่าที่สามีมาช้าเหรอ?” “ไม่ คุณเต้ไปเยี่ยมผู้หญิงคนนั้น” ผู้หญิงคนนั้น? “ใครอ่ะ แฟนอีกคนเหรอ?” ฉันถามกวน ๆ ในขณะที่พี่สาวฝาแฝดลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเดินมาจิกตาใส่ “ผู้หญิงที่กรีดข้อมือ! คนที่เธอบอกว่าเป็นน้องคุณพีมอะไรนั่น” “กรีดข้อมือ? อ๋อชื่อพลอย แต่เดี๋ยวก่อน! พ่อหนุ่มรถเหลืองชื่อพีมเหรอ?” น้ำแข็งพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินนำฉันไป
“ผมพึ่งรู้จากไอ้เต้ ว่าคุณเป็นน้องสาวฝาแฝดหมอน้ำแข็ง ยินดีที่รู้จักนะ ผมชื่อพีม” “ค่ะ ชื่อกาแฟค่ะ บังเอิญเนอะ” เขายิ้มจนตาหยี แต่คุณเต้ช่วยบอกฉันหน่อยสิ ว่าคุยอะไรกับคุณพีมไปแล้ว ฉันทำตัวไม่ถูกนะ! “ครับบังเอิญ บังเอิญสองสามรอบคืออะไร?” ถามไปยิ้มไป แถมยังทำขมวดคิ้วสงสัยใส่ฉันอีก “พรมลิขิตมั้งคะ แหม ๆ มุขนี้รู้ค่ะ คนเล่นเยอะ” ฉันทำแซว ก่อนจะหันไปเห็นน้ำแข็งเบะปากใส่ ขอโม้หน่อย เรื่องแซวผู้ชายฉันถนัดนะ ไม่งั้นฉันจีบต้นกล้าไม่ติดหรอก ตายแล้ว! ฉันไม่ควรคิดถึงเขา ตอนดีลผู้ชายคนใหม่แบบนี้! บอกเลยฉันกับคุณพีมคุยกันถูกคอมาก เราคุยไปขำไป ในขณะที่มีคนไข้นอนอยู่บนเตียงนั่นแหละ เพราะหลังจากพยาบาลเข้ามาฉีดยาแก้ปวดพลอยเธอก็หลับไป จนสักพักพ่อแม่เธอมาเฝ้าไข้ เราถึงได้แยกย้ายกันกลับ “แยกกันเลยนะ คุณพีมช่วยไปส่งกาแฟที่คอนโดได้ไหมคะ?” น้ำแข็ง! เร็วไปมั้ย! ฉันเอารถมาและจอดอยู่ไม่ไกลนี่เอง เดี๋ยวเขาก็หาว่าฉันอ่อยเขาหรอก “ได้ ๆ มีเรื่องอยากถามและอยากคุยเยอะแยะ กาแฟคุยสนุก” ฉันยิ้มให้คุณพีม แล้วหันไปทำหน้ายู่ใส่พี
“หึงแล้วไง เราไม่ได้เป็นอะไรกัน นายไม่มีสิทธิทำกับฉันแบบนั้นอยู่แล้ว!” “เหรอ? เธอเห็นฉันแคร์เรื่องสิทธินั้นรึไง? บอกฉันมาว่าไอ้นั่นมันเป็นใคร! ทำไมต้องก้ม ๆ เงย ๆ กับมันในรถ!” คุณพระ! ทำไมฉันต้องอธิบายเขาด้วย ทีเขาล่ะไม่เห็นจะเคลียร์ตัวเองเลย เอาแต่พ่นน้ำลายใส่ฉันและหึงฉันอยู่ได้! “ไปทำตัวเองให้เคลียร์ก่อนเถอะ! ค่อยมาหาเรื่องฉัน!” ฉันพูดจบก็เดินหลบเขาไปที่ประตู แต่ต้นกล้าก็คือต้นกล้า มือเขาไว! พอรวบจับข้อมือฉันได้ก็กระตุกเข้าหาทันที “นี่! จะทำอะไรฉันลูกมีพ่อมีแม่นะ” “ฉันก็มี! เรื่องเคลียร์ฉันบอกให้รออีกหนึ่งเดือนไง แต่ตอนนี้เธอบอกฉันได้ไหม! ว่าไอ้นั่นมันเป็นใคร?” ไอ้บ้า บ้าเหมือนหมาบ้า! “ปล่อยนะต้นกล้า เขาจะเป็นใครมันก็เรื่องของฉัน ฉันโสดเว้ย มีสิทธิ์จะคบมีสิทธิ์มีแฟนใหม่ คบคนที่ดี ๆ มีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์แบบนี้!” รู้ทั้งรู้ว่าพูดแบบนี้จะทำให้เขาโกรธ แต่ฉันอดโมโหไม่ได้ เขาเห็นแก่ตัวมาก คำพูดทุกคำเห็นแก่ตัวกับฉันสุด ๆ เห็นฉันเป็นอะไร เบี้ยล่างที่จะแผดเสียงใส่เมื่อไหร่ก็ได้งั้นเหรอ? ฉันไม่ใช่อ
ผมอมยิ้มกับท่าทีของคนตัวเล็ก เธอคงไม่รู้สินะ ว่าตาเธอมองผมเป็นประกายมาก มันฉายแววต้องการผม และอยากกลืนกินผมทั้งตัว “ชอบมั้ย?” ผมโน้มลงไปถาม และแทรกตัวเข้ากลางหว่างขาที่กางออก ก่อนจะกดลำรักเข้าไปช้า ๆ ดื่มด่ำน้ำหวานฉ่ำ ๆ ในร่างเธอ แต่ผมไม่ได้ขยับเขยื้อน ยังคงแช่ไว้แบบนั้น ปล่อยให้เธอขมิบตอดรัดเร่งผมผ่านโพรงสาวและสายตา ก่อนสุดท้ายเธอจะทนไม่ไหวยกมือเล็ก ๆ ขึ้นช้า ๆ ลูบไล้ตามแผ่นหลังผมลงมาจนถึงเอว “ชะ ชอบอะไร?” ถามผมแต่ตามองไปที่แผงอก หึ! กาแฟแพ้คนมีกล้ามสวย ๆ ซิกแพคลอน ๆ ผมถึงได้ฟิตมันมาง้อเธอนี่ไง “ชอบที่ฉันมีกล้ามแบบนี้มั้ย?” เธอไม่ตอบเม้มปากหันหน้าไปทางอื่น ผมจึงค่อย ๆ ขยับเอวเข้าใส่เธอช้า ๆ จนร่างเล็กเขยื้อนไปมาและหลับตาพริ้ม “ซี้ด~” เธอร้องซีดส์เบา ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า แถมยังครางเสียงกระเส่า จนทำผมอยากดึงมันออกมารูดใส่ปาก เพราะปากกระจับเล็ก ๆ มันน่ามันเขี้ยวชะมัด เห็นแล้วได้อารมณ์ อยากจับเธอลงไปกินอมยิ้มข้างล่าง “ซีดส์~ เมื่อไหร่จะเร็ว รอไม่ไหวแล้ว” บอกผมแต่ไม่กล้าสบตา ผมไม่ได้มีอะไรกับใครมาหกปี ให้ผ
เสียงกรี๊ดดีใจของฉันวันนั้น มันคือความจริงมาจนถึงทุกวันนี้ และที่ฉันคิดว่าพี่ชายฝาแฝดจะหวงน้องสาวเป็นเรื่องดี ตอนนี้ไม่ใช่เลย! สิบห้าปีผ่านไปในขณะที่พี่ชายแฝดทั้งสองอยู่มอหก น้องสาวคนเล็กอยู่มอสาม ต้นข้าวก็เป็นสาวเต็มตัว ชนิดที่ว่าหนุ่ม ๆ หมายตากันทั้งโรงเรียน และนั่นก็ทำให้พี่ชายเธอหวงมาก หวงชนิดที่ว่าเดินไปสอดส่องน้องสาวที่ห้องเรียนทุกชั่วโมง จนคุณครูประจำชั้นของต้นข้าวต้องโทรมารายงานกับฉัน! (คุณแม่คะ พี่ชายฝาแฝดของต้นข้าว มณชญาภร มาหาเธอที่ห้องทุกคาบเรียน อยากรบกวนคุณแม่ปราม ๆ สองหนุ่มหน่อยค่ะ มาทีไรสาว ๆ ในห้องไม่เป็นอันเรียนหนังสือกันเลย) “คะ? ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะคะ?” (มาทีไรเด็กสาว ๆ ก็หันมองกันให้ควั่กเลยค่ะ) ฉันจะบ้า ช่วงนี้ฉันปวดหัวกับลูกอันดับหนึ่งเลย ต้นหนาวที่ดูนิ่งคิดว่าจะห้ามปราบแฝดน้องได้ แต่รายนั้นหนักกว่าใคร คุณครูบอกว่าเขาน่ะ ไปที่ห้องต้นข้าวบ่อยที่สุด! “พี่ถามว่าใครมาจีบ” นั่นไงพูดถึงก็มากันพอดี ตอนนี้เดินตามต้นข้าวต้อย ๆ เข้ามาในบ้านแล้ว “วัน ๆ หนูไม่ได้ทำอะไรเลยนะ พี่หนาวพี่เหนือเอาแต่ถามและจ้องจับผิด มันอึดอัดอ่ะ! พี่ติณห์ไม่เห็นจะวุ่นวายกับพี่อันต
“เป็นไงคุณแม่ลูกสอง อายุลูกห่างกันประมาณนี้ไม่เหนื่อยเลยใช่มั้ย” กาแฟเดินเข้ามาหาฉัน เมื่อพวกหนุ่ม ๆ ของเธอเดินไปนั่งสมทบกับคุณเต้ “ห่างกี่ปีก็เหนื่อยทั้งนั้นล่ะวัยกำลังซน ว่าแต่เธอ ไม่ติดเลยเหรอ” กาแฟถอนหายใจและส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะคีบเส้นสปาเก็ตตี้ราดซอสมะเขือเตรียมให้ลูกชายทีละจาน “ไม่ จะบำรุงก็ไม่มีเวลา ต้นกล้าทำงานหนักฉันก็ทำงานหนัก หาเวลาปั๊มยังยากเลย” “ไม่ทำเลยล่ะ ปรึกษาลุงนายปรึกษาหมอสูติเจ้าของไข้เธอก็ได้ แต่จะมีลูกสาวคนเล็กแบบนี้ไม่กลัวพี่ชายแฝดกับพ่อหวงรึไง” กาแฟอมยิ้มและก้มมองจานสปาเก็ตตี้ของลูก ๆ เธอ “อยากมีไว้ให้หวงไง สองหนุ่มกับพ่อจะได้ไม่เถลไถล” พิลึก คงวุ่นวายน่าดู หลังจากนั้นฉันกับกาแฟก็ไปนั่งรวมกับหนุ่ม ๆ ซึ่งติณห์เป็นพี่ที่ดีมาก พอฉันยกจานยกถาดขนมมาวาง เขาก็ดันจานให้ต้นหนาวต้นเหนือทันที “กินสิหนาวเหนือ อร่อย” ต้นหนาวมองจานสปาเก็ตตี้ที่พี่ดันมาและพยักหน้า ส่วนต้นเหนือเทขนมกรุบกรอบในซองใส่ลงไป ก่อนเขาจะชี้โชว์พ่อที่นั่งขมวดคิ้วใส่ และชิงอ
“อุแว้ อุแว้~” “อุแว้~” ฉันจะบ้าตาย ไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน ดิ้นสายตื๊ดในท้องยังไง กลางคืนตกดึกก็อย่างงั้น ลูกตื่นทุกชั่วโมง กินนมทุกสองชั่วโมง และนอนยากมาก! ฉันสภาพเหมือนศพ ระหว่างพักฟื้นน้ำหนักลดฮวบฮาบ เพราะทั้งปั๊มนมทั้งให้เข้าเต้า ส่วนสามีเขาก็เหนื่อย เผลอ ๆ เหนื่อยกว่าฉันด้วยซ้ำ เขาเอาต้นหนาวที่ไม่ติดเต้าฉันไปทำงานด้วย ส่วนฉันเลี้ยงต้นเหนือคนเดียวอยู่ที่บ้าน จะว่าไปก็ไม่คนเดียว เพื่อน ๆ เขาก็อยู่หมู่บ้านนี้ เจฟ เค ขับรถผ่านพวกนั้นก็ซื้อขนมซื้อของกินให้ และญาติ ๆ คุณชายก็มาช่วยฉันเลี้ยงบางเวลา พี่ใบไม้ เจแปน ต้นไม้ และน้องโซลมาหาน้องก็ซนเหลือเกิน พูดภาษาอังกฤษคล่องกว่าภาษาไทย บางวันพูดจีนด้วยนะ เจแปนบอกว่าเธอเป็นคนสอนเอง อยากให้รู้ไว้หลาย ๆ ภาษา และเธอก็ปล่อยลูกเล่นไม่ค่อยดุด้วย โซลอาจจะเหมือนเด็กซนแต่เขารู้มาก ฉลาด แม่ปล่อยไว้ไหนก็เล่นได้หมด คลุกฝุ่นคลุกโคลนพร้อมชุบแป้งทอดเลยก็ว่าได้ ฉันฟัง ๆ พี่สาวกับพี่สะใภ้สามี ก็จำ ๆ วิธีเลี้ยงลูกมาใช้บ้าง และว่างก็พาลูกไปหาพ่อกับแม่ คือฉันกับต้นเหนือตัวติด
“คุณพ่อใจเย็น ๆ นะคะ” ฉันเงยขึ้นมองหน้าคุณชายทันที เมื่อเห็นพยาบาลกุลีกุจอวิ่งมาจับตัวเขา ตอนนี้หน้าเขาซีดและเขาก็ไม่ได้ปลื้มอกปลื้มใจที่เห็นลูกชายสภาพนี้เท่าไหร่ จนลูกร้องไห้เสียงดังขึ้น! “อุแว้ อุแว้~” เท่านั้นแหละ คุณพ่อผู้กลัวเลือดก็เผลอหันขมับมอง หวั่นว่าลูกจะเป็นอะไร แต่เมื่อเห็นเลือดสีแดง ๆ ที่เขาเกลียดนักหนาเป็นครั้งที่สอง เขาก็รีบปิดตาและกวักมือเรียกพยาบาลทันที “พยาบาล ๆ เอาลูกผมไปอาบน้ำเถอะ ขอร้องล่ะ” “คุณพ่อไม่ตัดสายสะดือก่อนเหรอคะ? รอหน่อยนะคะ จะออกมาอีกคนแล้วค่ะ!” “อุแว้ อุแว้~” พอได้ยินเสียงร้องอีกเสียงร้องดังขึ้น ฉันก็ไม่สนใจสามีรีบก้มมองตาม ก่อนที่จะเห็นหมอสูติอุ้มลูกชายคนเล็กออกมาวางบนอกฉัน และดูดน้ำคร่ำคราบเมือกต่าง ๆ ให้ “คุณพ่อตัดสายสะดือไหมครับ?” หมอสูติถามเมื่อคุณชายเขาเงียบไป แถมตอนนี้เขายังปิดตาไว้อีกด้วย “มะ ไม่เป็นไรครับ หมอตัดเลย” “ทำไมไม่ตัดล่ะคุณชาย” “เค้าจะเป็นลมแล้วแว่น ถ้าเค้าตัด เค้าเป็นลมไม่ได้ถ่ายรูปแน่ ๆ” ฉันยิ้มให้เขาแ
“จะเป็นอะไร ให้เขาเลือกเองเถอะคุณชาย ขอแค่มันเป็นอาชีพสุดจริตก็พอ แต่เอ๊ะ ลูกไม่ทันคลอดเลยเราจะคิดมากเรื่องนั้นทำไม อีกตั้งนานโข” คุณชายหัวเราะเบา ๆ แล้วหอมแก้มฉัน ถ้าเป็นโรงพยาบาลอื่น เห็นเราเล่นนอนกันกลมดิกแบบนี้ โดนด่าแล้วล่ะ แต่เหลือเชื่อนะพอคุณชายขึ้นมานอนกอดและลูบท้องฉัน เจ้าสองแฝดก็เงียบกริบไม่ถีบท้องฉันอีกเลย จนนั่นแหละฉันเคลิ้มผล็อยหลับไปจนเช้า และงัวเงียตื่นเพราะสองเท้าลูกถีบตุบตับ ๆ “อื้อ ลูก หิวแล้วเหรอ?” “หิวก็ตื่นขึ้นมากิน ยายทำกับข้าวมาให้แล้ว” เสียงพ่อ? ตายแล้ว ๆ พ่อเห็นพ่อว่าแน่ ๆ ที่ฉันให้คุณชายขึ้นมานอนด้วยแบบนี้ ฉันจึงรีบเปิดตาพรึบ และดึงผ้าห่มคลุมอกทันที ก่อนจะเห็นพ่อกับแม่ยืนยิ้มข้าง ๆ เตียง แล้วมองมาที่ฉัน พ่อหล่ออีกแล้ว ยิ่งยิ้มยิ่งหล่อ ลูกสักคนในท้องหน้าเหมือนตานะลูก ส่วนอีกคนหน้าเหมือนพ่อไปเลย เอ๊ะพูดถึงพ่อ คุณชายเขาหายไปไหน? “แฮ่ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?” “สักพักแล้วล่ะ” แม่ตอบและมองตามฉัน ที่กดเตียงขึ้นนั่งและเอียงซ้ายทีขวาทีหาคุณชายข้างหลัง
ได้ยินแค่นี้คนเป็นแม่ก็มีความสุขสุด ๆ แล้ว สำหรับฉัน บอกรอบที่ล้านก็ไม่มีอะไรสำคัญเท่าสองแฝด ที่ฉันรู้มาตั้งนานแล้วว่าเขาเป็นผู้ชาย ก็แค่อุบอิบสามีไว้อยากเซอร์ไพร์สเขา ที่ฉันรู้เพราะฉันเป็นหมอ พ่อฉันเป็นหมอ โรงพยาบาลนี้ก็ของครอบครัวฉัน ถ้าผลตรวจเลือดออกมาปุ๊บ แน่นอนว่าพ่อแม่ฉันไม่ยอมรอจนท้องป่องอัลตร้าซาวด์หรอก ท่านรีบโทรมาบอกฉันทันทีที่รู้ บอกว่าเจ้าติณห์จะมีน้องชายแล้วนะ และแม่ก็พูดต่อว่า หลานผู้ชายหมดเลย พ่อกับแม่วิ่งจับกันสนุกล่ะคราวนี้! ใช่!ยินดีด้วยค่ะ กับคุณชายต้นกล้าและปู่ย่าตายายทั้งสองบ้าน หลังจากอัลตร้าซาวด์กลับจากโรงพยาบาล คุณพ่อต้นกล้าก็ขับรถดิ่งกลับบ้าน ไปเปล่าประกาศกลางโต๊ะอาหารทันที ว่า! “เชื้อผมแรงป่ะ ลูกชายสองคน! โคตรเท่อ่ะ แน่นอนไอ้ไม้มันทำไม่ได้ แค่แฝดยังยากเลย ฮ่า ๆ” ฉันกับเจแปนมองหน้ากันแล้วถอนหายใจเบา ๆ แน่ ๆ ต้องมีการโต้วาทีเกิดขึ้นแน่ ๆ และโซลลูกต้นไม้ก็ไม่เข้าข้างพ่อด้วยนะ พอเห็นว่าอาเกทับ ก็หัวเราะคิกคักใส่พ่อตัวเองทันที “คิก คิก” “เจแปนจัด
สรุปนะ ตั้งแต่มีเมียมาเนี่ย ผมได้เงินไปทำงานวันละห้าร้อย! แม่งพี่ยามที่เป่านกหวีดโบกรถที่บริษัท เขาน่าจะได้มากกว่าผมอีกมั้ง ยัยแว่นไม่ประนีประนอมและไม่สงสารผมเลย เอะอะหักเงิน แล้วไม่มีใครช่วยผมด้วยนะ พ่อไม่ช่วยแม่หัวเราะใส่หน้า ส่วนเจ๊ใบกับไอ้ไม้ผมไม่บอกให้เสียหมาหรอก ถ้าพวกนั้นรู้ล้อผมยันลูกบวชแน่ ๆ “เมียให้เงินมาทำงานเท่าไหร่?” พอผมเซ็นเอกสารเสร็จ ก็ยื่นมันคืนให้พนักงานฝ่ายซอฟต์แวร์ ก่อนจะถามคำถามเดิม ๆ ที่ผมถามพวกผู้ชายที่มีเมียทุกแผนก เพื่อจะทำเป็นสถิติเอาไปเสนอยัยแว่นเพิ่มวงเงิน “ยังไงเหรอครับ?” “ฉันถามว่าเมียให้เงินมาทำงานวันละเท่าไหร่? ตอบมาเถอะน่า อย่าให้ต้องถามหลายรอบ” “อ๋อ ผมได้วันละห้าร้อยครับ แต่บางวันก็พันนะครับ แล้วแต่อารมณ์เมีย” ผมนั่งนิ่ง เพราะคิดน้อยเนื้อต่ำใจขนาดหนัก แม่งขนาดพนักงานระดับล่างยังได้เงินมาทำงานเท่ากู แล้วหัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์ของบริษัท ฝ่ายเอนจิเนียร์จะขนาดไหนวะ “เอ่อ คุณต้นกล้าถามแบบนี้ มีอะไรรึเปล่าครับ?” “ไม่มี ไปเถอะ” พอพ
“เหรอ? บอกแบบนั้นถ้าผู้หญิงคนอื่นเข้ามาจีบคุณชายจะทำไง ชอบเหรอไอ้ความรุงรัง? จะกลับมาง้อเค้าแต่ไปประกาศโสด ทำเพื่ออะไร?” “เรื่องมันผ่านมาแล้วแว่น เค้าเมา โอ๋ ๆ ไม่งอนกันนะ” “ไม่รู้ล่ะ วันนี้ห้ามแตะแอลกอฮอล์เลยนะ ถ้าเมาแล้วเลื้อยเป็นงูแบบนั้น” “ค่ะ ๆ เค้าไม่แตะอยู่แล้วเค้าแพ้ท้องอยู่” ผมพูดจบก็จับมือยัยแว่นขึ้นมาจุ๊บเบา ๆ ที่หลังมือ ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นแสงสปอร์ตไลท์สีขาวส่องมาที่เรา พิธีกร: จะหวานกันไปถึงไหนคะเนี่ย ถึงเวลาขึ้นเวทีทักทายแขกผู้มีเกียรติแล้วค่ะ เท่านั้นแหละ หน้าบึ้ง ๆ ของยัยแว่นก็หายวับไปกับตา เธอยิ้มเขิน ๆ และหันมองแขกในงานสองฝั่งช้า ๆ จนแม่ผมเดินถือช่อดอกไม้มาให้ และสวมกอดเธอ “หนูกาแฟ ดีใจที่ได้หนูเป็นสะใภ้วรพงศ์กุลนะลูก” “ขอบคุณที่เอ็นดูหนูค่ะคุณแม่” ได้ยินแบบนั้นผมก็ยกแขนให้ยัยแว่นควงทันที ก่อนที่จะก้มหัวลง นิด ๆ ขอบคุณแม่และเดินเข้างาน ตอนนี้แสงสปอร์ตไลท์ส่องมาที่ผมกับยัยแว่นสว่างมาก สาดเข้าเวลส์ยาว ๆ ลากพื้นของเธอ จนเจ้าสาวผมโดดเด่น
และแล้วฉันก็ได้ยินเสียงโห่ดังขึ้น ตามด้วยเสียงเพื่อนเจ้าสาวเพื่อนเจ้าบ่าว ที่ถกเถียงกันเรื่องซองและเรื่องตะโกนบอกรัก “เจ้าบ่าวไม่บอกรักเจ้าสาวหน่อยเหรอค๊า?” เสียงพี่ปลายฟ้า ดังดี๊ด๊าหน้าห้องและแซวลูกพี่ลูกน้องตัวเอง “บอกทุกวันล่ะเจ๊ แต่นิยมบอกแค่ในห้อง” พอต้นกล้าตอบมาแบบนั้น เสียงแซวของเหล่าเพื่อนเจ้าบ่าวก็โฮฮิ้วขึ้นเสียงดัง “ไม่รู้ล่ะบอกเลย ๆ ให้เขารู้ ว่ารักมากแค่ไหน หวาน ๆ ไม่งั้นไม่ให้เข้านะ” “บอกเลย! บอกเลย! บอกเลย!” ฉันนั่งอมยิ้ม กับเสียงคนโห่กดดันต้นกล้า ก่อนจะหันไปหาพ่อแม่และน้ำแข็ง ที่นั่งมองตรงไปที่ประตู ทุกคนไม่ได้ลุ้นหรอกว่าต้นกล้าจะบอกรักฉันรึเปล่า แต่คงลุ้น ว่าเพื่อนเจ้าสาวจะไถเงินเขาไปเท่าไหร่ “รักแว่นน้า” “กาแฟ ๆ ได้ยินมั้ย?” พอได้ยินเสียงเพื่อนเจ้าสาวถามข้างนอก ฉันก็เอามือป้องปากตะโกนตอบไป “ไม่ได้ยิน!” “รักแว่น! รักกาแฟ! รักหม่าม้านะค้าบ” รักหม่าม้านะครับ โอ้ยน่ารักจังเลย อยากวิ่งออกไปหอมหัว “ยิ้มแก้มจะแตกแล้วนั่น” อยู่ ๆ น้ำแ