คุณเต้หยุดชะงักมองหน้าฉันทันที ก่อนที่จะรีบใส่เสื้อใส่บราให้ฉัน ฉันเองก็กุลีกุจอเหมือนกันรีบลุกขึ้นจากเตียงจัดผมจัดกระโปรง จนคุณเต้เขาเดินมาจับมือฉันแล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะค่อย ๆ แง้มและเปิดประตูออกไป ‘แอด...’ ฉันถูกดึงออกจากห้องนอนห้องใหญ่ไปยืนติดกับโซฟา โชคดีมากที่แม่คุณเต้ไม่เห็นฉากที่เราออกมาด้วยกันเพราะป้าแดงส่งข่าวก่อน และตอนนี้แม่เขาก็อยู่หน้าหน้าห้อง ท่านกดกริ่ง ‘กริ๊ง กริ๊ง’ ย้ำ ๆ จนป้าแดงมองเราสองคน “เอ่อคุณเต้พร้อมนะคะ ให้แดงไปเปิดเลยไหมคะ?” “ครับ” ฉันยืนนิ่งทำตัวไม่ถูก และคิดในหัวไม่รู้จะอยู่ต่อทำไม จึงตัดสินใจหันไปบอกคนที่มีสีหน้ากังวลข้าง ๆ ทันที “คุณ ฉันขอตัวกลับนะ” “เดี๋ยวสิ แม่ผมมาคุณอยู่ก่อน ลองคุยกับท่านดู ท่านใจดีนะ” ฉันดึงมือที่ถูกจับกลับมา แล้วกอดอกมองหน้าเขา “ให้ฉันคุยอะไร? ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณ อีกอย่างคุณมี...” “เต้ไม่สบายเป็นยังไงบ้างลูก อ้าวแล้วนั่น?” ฉันลดมือที่กอดอกลงแล้วหันไปไหว้แม่คุณเต้ทันที ก่อนที่จะเผลอสบตากับท่าน แม่คุณเต้ยังสาวและสวย ท่
“คิดดี เป็นฉัน ฉันก็ไม่คบ เอาล่ะจบ หนูตอบแค่นี้ฉันก็รู้แล้วว่าหนูเป็นคนยังไง แดงตักข้าวเลย” ฉันนั่งเงียบมองคุณเต้ที่นั่งฝั่งตรงข้ามนิ่ง ๆ ซึ่งเขาก็มองฉันเหมือนกัน แต่สายตาที่เขามองมามันดูอึดอัด เขาคงกลัวฉันไม่โอเคและรู้สึกแย่กับสิ่งที่แม่เขาพูด ฉันยกมือไหว้ขอบคุณป้าแดงที่ตักข้าวใส่จาน ก่อนจะก้มหยิบช้อนขึ้นแล้วหยุดชะงัก เมื่อมีใครบางคนตักแก้งส้มใส่จานให้ มือขาว ๆ ใส่แหวนเพชรแบบนี้ไม่ใช่ใคร แม่คุณเต้ “ตักให้แต่ไม่ใช่พิศวาส เป็นมารยาทของบ้านเรา” ได้ยินแบบนั้นฉันก็ยกมือไหว้ขอบคุณเช่นกัน เป็นมารยาทของฉัน “ขอบคุณค่ะ” “ถามจริง ๆ หนูจะหยุดอยู่แค่หมอทั่วไปเหรอ?” เมื่อฉันถูกถามอีกครั้ง คุณเต้ก็ถอนหายใจเสียงดังและวางช้อนลงทันที “เฮ้อ... แม่ครับ ไม่เอาครับแม่ กินข้าวกันเถอะไม่ต้องถามอะไรแล้ว” “ทำไมเต้ แม่แค่ถาม หรือหวงมากจนถามไม่ได้?” คุณเต้ถอนหายใจอีกเฮือกแล้วเอามือนวดขมับ ฉันจึงหันไปตอบแม่เขาทันที “กำลังจะเรียนศัลยกรรมประสาทและสมองค่ะ” “ยากรึเปล่า? อีกกี่ปีจบ”
เมื่อทุกอย่างเริ่มไปได้สวยทั้งแม่และน้องพิงค์ ผมจึงตัดสินใจพูด ตรง ๆ กับเธอ จนคุณหมอเธอเงียบนิ่งไปชั่วครู่ แล้วดึงมือที่ผมจับออกไป “โอเค ก็ได้ เจ็ดวัน” ตอบผมเสร็จก็ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ ถึงคำตอบเธอจะทำผมดีใจมาก แต่ผมไม่แสดงออกมาหรอก ผมอยากลองถือไพ่เหนือกว่าเธอสักครั้ง ด้วยการขู่ว่าจะไม่ตื้อและไม่เยื้ออะไรเธอ เพราะจากที่ ดู ๆ เธอคุยกับแม่ผม คุณหมอเธอเริ่มหวงผมลึก ๆ แต่ผมไม่รู้ว่าหวงเพราะอะไร? อยากได้ผมเป็นนายบำเรอระบายความใคร่ หรือตกหลุมรักผม เมื่อผมขับรถมาส่งเธอที่คอนโด และจอดรถสนิท เราไม่ทันได้ล่ำลาอะไรกันสักนิด ผมก็รีบฉุดมือคุณหมอดึงเธอเข้ามาจูบทันที ก่อนที่มือผมจะค่อย ๆ ประคองสองแก้มจูบริมฝีปากเรียวสวย และสอดลิ้นอุ่นดูดความหวานฉ่ำที่มันเริ่มตอบสนองผมช้า ๆ ช้า ๆ จนสักพัก มันหนักหน่วงขึ้น คุณหมอจูบตอบ และกอดคอผม ก่อนเธอขยับมือลงลูบไล้ช้า ๆ กลางแผงอก ตอนนี้คงไม่ไหวแล้วสินะ คุณหมอผมสะกิดง่ายเหลือเกิน แต่เสียใจด้วย ผมไม่ทำต่อหรอก ทิ้งเธอให้กระหายผมแค่นี้ล่ะ ผมค่อย ๆ ถอนจูบออกมา มองหน้าที่แดงระเรื่อมองตาที่หลับพริ้ม
“เจ้าพ่อปล่อยเงินกู้คนนั้นชื่ออัฐใช่ไหม?” น้องพิงค์พยักหน้ารัว จากที่เช็ดน้ำตาลวก ๆ ตอนนี้ดึงกระดาษทิชชูบนโต๊ะเช็ดน้ำตาไม่หยุด “ใช่ค่ะใช่! พี่เต้รู้จักเหรอคะ? บอกลุงคนนั้นได้ไหมคะ ว่าอย่าเพิ่งยึดบ้าน ขอให้พิงค์เรียนจบก่อน พิงค์จะหนีพิงค์จะพาแม่หนีออกไปจากบ้านหลังนั้น!” หลายประโยคของพิงค์ ทำผมกับแม่มองหน้ากัน ขนาดผมเรียนอเมริกาเมืองฟรีสไตล์สุด ๆ ผมยังไม่เคยได้ยินเรื่องบัดซบพวกนี้เลย ตอนออกงานแม่ง ลูกสาวคนสวยลูกสาวเอกอัครราชทูต แต่เบื้องหลังเบื้องลึกเทาไปด้วยกิเลศราคะ เรื่องนี้ผู้ใหญ่ผิดเว้ย เด็กไม่ผิด! พิงค์เธอเป็นลูกคนใช้ปกติก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องดึงเธอมาเป็นลูกคุณหนูไฮโซเลี้ยงไว้สนองตัณหาตัวเองวะ “ใจเย็น ๆ หนูพิงค์ คนที่จะยึดบ้านของนังผกาคือคุณอัฐรึ?” แม่ผมถาม “ใช่ค่ะคุณป้า ลุงคนนั้นชื่ออัฐมีลูกน้องเยอะแยะ เขามาขู่คุณหญิงแม่ทีไรหนูกลัวมาก ฮึก ๆ” “ทำไมลุงอัฐถึงจะยึดบ้าน? คุณหญิงผกาหมดหนทางขนาดนั้นเลยเหรอ?” ผมถามสงสัย เพราะถ้าไม่ใช่เงินก้อนใหญ่และติดปัญหาอะไร ลุงอัฐไม่น่ายึดบ้านคฤหาสน์หลังนั้นได้ “เริ่มจาก คุณหญิงแม
พูดจบก็เปิดประตูลงจากรถทิ้งผมนั่งขนลุกอยู่คนเดียว มันรู้สึกสยิวกิ้วจริง ๆ และถ้าคุณหมอค้างด้วยแบบนี้ ผมจะเอาแรงที่ไหนตื่นไปทำงาน? ผมจึงรีบตั้งสติสูดหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง ก่อนจะขับรถไปสำนักงานสายการบินเพื่อตรวจเอกสาร และดูพอร์ทหุ้นที่กำลังแดงของตัวเอง หุ้นสายการบินขยับขึ้น แต่ก็ยังแดงเถือกเหมือนเดิม การบริหารจัดการองค์กรใหญ่ ๆ มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ และผมก็ไม่แปลกใจ ที่ตอนนี้พ่อลาวงการไปปลูกผักทำสวนสบายใจที่ต่างจังหวัด เพราะเวลานั่งเก้าอี้บริหาร แม่งโคตรคิดถึงธรรมชาติ เครียดปัญหาหลายอย่างจนหัวแทบระเบิด เอกสารหลายแฟ้มที่ผมต้องอ่านต้องเซ็นอย่างละเอียด และยอมรับเรื่องร้องเรียนร้อยแปด เพื่อเข้าแก้ปัญหาอย่างสมเหตุสมผล ซึ่งเรื่องนี้ผมไม่จนหนทางหรอก แต่เรื่องทำหุ้นขึ้นเขียว ๆ แม่งจนหนทางจริง ๆ ผมนั่งดูกราฟหุ้นและนวดหว่างคิ้ว ในกระดาษบนโต๊ะก็ร่างโปรเจคโปรโมชั่นขึ้นมาด้วย ซึ่งผมกะจะลงมติกับบอร์ดบริหารลงขายช่วงวันหยุดยาวนี่แหละ เพราะถึงราคามันถูกลง แต่ก็เต็มทุกไฟลท์ ดีกว่าบินเครื่องเปล่าว่างร้อยที่นั่งเหมือนที่ผ่านมา ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’
“อืม เพราะยังไงกูก็ไม่เอา สงสัยพ่อมึงจะได้ไปว่ะไอ้อิฐ” ไอ้อิฐแทบช็อก ก่อนมันจะรินเหล้าเพียว ๆ กระดกและวางแก้วปึก!!บนโต๊ะ! “กูไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่ เป็นหนี้แค่นี้ เอาลูกสาวปีสี่มาใส่พานให้พ่อกูได้ยังไง? หน้าเงิน! บ้านแม่งเดี๋ยวกูยึดเอง!” ผมรีบยกมือห้ามทันที ขณะที่ไอ้อิฐมันตั้งท่าจะลุกขึ้น “เดี๋ยว ๆ ไอ้สัส น้องเขาจะหนีอยู่แล้ว มึงแค่บอกพ่อมึง ลดหย่นหนี้ให้หน่อยสักสามเดือน!” “ไอ้เต้ กูเก็บหนี้ลูกหนี้มาเยอะ มึงอย่าคิดว่ากูโง่ ที่ขอเวลายื้อจะหนีน่ะ ใครหนี? หนีหนี้กูเหรอ?” “ไม่ใช่ คืองี้! น้องพิงค์ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของคุณหญิงผกา และสองผัวเมียนั่นทำไม่ดีกับน้อง อันนี้เรื่องจริงนะเว้ย น้องเขาบอกกูเอง กูก็ไม่รู้จะช่วยยังไงที่จริงมันไม่ใช่เรื่องของกูด้วยซ้ำ แต่กูสงสารว่ะ เห็นว่าเจ้าหนี้เป็นบ้านมึง กูเลยมาช่วยพูด” ไอ้อิฐถอนหายใจเสียงดัง ก่อนจะจ้องหน้าผมเขม็ง “มึงเป็นนักเจรจาต่อรองหนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไอ้เต้? กูจะบอกอะไรให้นะ พวกลูกหนี้ที่กูเคยเห็น ไม่ว่าหัวหงอกหัวดำลูกเล่นมันเยอะ มึงระวังโดนปั่นหัว” “มึงใจ
“งั้นป้าแดงจด ๆ ให้ผมหน่อย ว่าผัดผักมันใส่อะไรบ้าง ผมว่ามันไม่ยากหรอก เท ๆ รวม ๆ ผัด ๆ” ป้าแดงทำหน้างงใส่ผม ก่อนจะกลับเข้าไปในครัวเหมือนเดิมแล้วทำอะไรกุกกัก ผมจึงเดินไปหาคุณหมอคนสวยบ้าง ที่ตอนนี้เธอกำลังยืนริมกระจก มองวิวกรุงเทพ “ป้าแดงเตรียมของเสร็จ ผมจะให้กลับบ้านเลย” ผมพูดจบคุณหมอก็หันกลับมาอมยิ้ม ก่อนจะชิ่งหนีไปนั่งที่โซฟาแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ผมจึงเดินกลับไปนั่งกับเธอบ้าง และเอนลงหนุนตักนุ่ม ๆ ของเธอ “ใครอนุญาตให้หนุนตัก” “อยากหนุนตักแฟนไม่ได้เหรอ? ผมเป็นแฟนคุณเจ็ดวันนะ อย่าลืม” คุณหมอเสมองไปทางอื่นทันทีก่อนที่จะวางหนังสือในมือลงหน้าผม นั่นไงสงสัยเขิน ไม่กล้าสบตา ผมจึงจับหนังสือออกช้า ๆ และแอบมองคุณหมอที่ก้มสบตาหน้าแดงก่ำ ก่อนจะยกมือขึ้นเขี่ยแก้มแดง ๆ ทีละข้าง และค่อย ๆ รั้งท้ายทอยเธอลงมาหาตัวเอง “คุณ ป้าแดงอยู่ในครัว” “ทำไม มากกว่านี้ป้าแดงก็เคยเห็นมาแล้ว ขอจุ๊บหน่อย” ผมพูดจบก็รั้งท้ายทอยเธอลงทันที ก่อนที่ริมฝีปากเราจะจรดจูบและคุณหมอปล่อยหนังสือลง ‘ปึก’ ที่กลัวป้าแดงเห็น สงสัยลืมไ
ทำไมฉันต้องรู้สึกแบบนี้ด้วย! อยู่ ๆ ฉันก็ไม่พอใจที่เขาพูดแบบนั้น เขาบอกจะลดช่วงทดลองเหลือแค่สามวัน มันเหมือนกดดันฉันทางอ้อมให้ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง ฉันจึงเงียบไม่พูดไม่จา รินไวน์ให้เขาเสร็จก็นั่งก้มหน้าก้มตากินข้าว แต่กินไป ในหัวในใจวุ่นวายไม่หยุด สงสัยว่าเขาจะลดเวลาลงจริงรึเปล่า? หรือแค่ขู่ขำ ๆ อำเล่น ๆ เท่านั้น “อร่อยมั้ยคุณ นั่งเงียบเชียว” ฉันพยักหน้าตอบเบา ๆ ทั้งที่ยังก้มหน้าเขี่ยข้าวอยู่ จนคุณเต้เขาตักผัดผักใส่จานฉัน และพยายามก้มลงสบตา “คุณ... งอนผมรึเปล่า?” “เปล่า ฉันเพลีย ๆ” ฉันโกหก จริง ๆ แล้วฉันคิดเยอะกับคำพูดเขาต่างหาก แต่ฉันไม่กล้าถามเขา หน้าก็ไม่กล้ามอง ฉันกลัวเขาจับพิรุธได้ ว่าฉันกำลังกังวลกับสิ่งที่เขาพูด ฉันชอบเขาจริง ๆ หรือชอบเซ็กส์เขา ฉันตกหลุมรักเขาจริง ๆ หรืออยากเก็บเขาไว้แค่เอา? ฉันนั่งเงียบ และทวนแต่ประโยคคำถามพวกนี้ ก่อนที่ป้าแดงจะกลับไปบ้านคุณเต้ทิ้งเราไว้สองคน และนั่นก็ทำให้คุณเต้กล้าถาม กล้ากดดันฉันมากขึ้น เขาเดินมานั่งข้าง ๆ ฉัน ยกแขนโอบไหล่ และชวนฉันจิบไวน์เป็นว่าเล่น
เสียงกรี๊ดดีใจของฉันวันนั้น มันคือความจริงมาจนถึงทุกวันนี้ และที่ฉันคิดว่าพี่ชายฝาแฝดจะหวงน้องสาวเป็นเรื่องดี ตอนนี้ไม่ใช่เลย! สิบห้าปีผ่านไปในขณะที่พี่ชายแฝดทั้งสองอยู่มอหก น้องสาวคนเล็กอยู่มอสาม ต้นข้าวก็เป็นสาวเต็มตัว ชนิดที่ว่าหนุ่ม ๆ หมายตากันทั้งโรงเรียน และนั่นก็ทำให้พี่ชายเธอหวงมาก หวงชนิดที่ว่าเดินไปสอดส่องน้องสาวที่ห้องเรียนทุกชั่วโมง จนคุณครูประจำชั้นของต้นข้าวต้องโทรมารายงานกับฉัน! (คุณแม่คะ พี่ชายฝาแฝดของต้นข้าว มณชญาภร มาหาเธอที่ห้องทุกคาบเรียน อยากรบกวนคุณแม่ปราม ๆ สองหนุ่มหน่อยค่ะ มาทีไรสาว ๆ ในห้องไม่เป็นอันเรียนหนังสือกันเลย) “คะ? ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะคะ?” (มาทีไรเด็กสาว ๆ ก็หันมองกันให้ควั่กเลยค่ะ) ฉันจะบ้า ช่วงนี้ฉันปวดหัวกับลูกอันดับหนึ่งเลย ต้นหนาวที่ดูนิ่งคิดว่าจะห้ามปราบแฝดน้องได้ แต่รายนั้นหนักกว่าใคร คุณครูบอกว่าเขาน่ะ ไปที่ห้องต้นข้าวบ่อยที่สุด! “พี่ถามว่าใครมาจีบ” นั่นไงพูดถึงก็มากันพอดี ตอนนี้เดินตามต้นข้าวต้อย ๆ เข้ามาในบ้านแล้ว “วัน ๆ หนูไม่ได้ทำอะไรเลยนะ พี่หนาวพี่เหนือเอาแต่ถามและจ้องจับผิด มันอึดอัดอ่ะ! พี่ติณห์ไม่เห็นจะวุ่นวายกับพี่อันต
“เป็นไงคุณแม่ลูกสอง อายุลูกห่างกันประมาณนี้ไม่เหนื่อยเลยใช่มั้ย” กาแฟเดินเข้ามาหาฉัน เมื่อพวกหนุ่ม ๆ ของเธอเดินไปนั่งสมทบกับคุณเต้ “ห่างกี่ปีก็เหนื่อยทั้งนั้นล่ะวัยกำลังซน ว่าแต่เธอ ไม่ติดเลยเหรอ” กาแฟถอนหายใจและส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะคีบเส้นสปาเก็ตตี้ราดซอสมะเขือเตรียมให้ลูกชายทีละจาน “ไม่ จะบำรุงก็ไม่มีเวลา ต้นกล้าทำงานหนักฉันก็ทำงานหนัก หาเวลาปั๊มยังยากเลย” “ไม่ทำเลยล่ะ ปรึกษาลุงนายปรึกษาหมอสูติเจ้าของไข้เธอก็ได้ แต่จะมีลูกสาวคนเล็กแบบนี้ไม่กลัวพี่ชายแฝดกับพ่อหวงรึไง” กาแฟอมยิ้มและก้มมองจานสปาเก็ตตี้ของลูก ๆ เธอ “อยากมีไว้ให้หวงไง สองหนุ่มกับพ่อจะได้ไม่เถลไถล” พิลึก คงวุ่นวายน่าดู หลังจากนั้นฉันกับกาแฟก็ไปนั่งรวมกับหนุ่ม ๆ ซึ่งติณห์เป็นพี่ที่ดีมาก พอฉันยกจานยกถาดขนมมาวาง เขาก็ดันจานให้ต้นหนาวต้นเหนือทันที “กินสิหนาวเหนือ อร่อย” ต้นหนาวมองจานสปาเก็ตตี้ที่พี่ดันมาและพยักหน้า ส่วนต้นเหนือเทขนมกรุบกรอบในซองใส่ลงไป ก่อนเขาจะชี้โชว์พ่อที่นั่งขมวดคิ้วใส่ และชิงอ
“อุแว้ อุแว้~” “อุแว้~” ฉันจะบ้าตาย ไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน ดิ้นสายตื๊ดในท้องยังไง กลางคืนตกดึกก็อย่างงั้น ลูกตื่นทุกชั่วโมง กินนมทุกสองชั่วโมง และนอนยากมาก! ฉันสภาพเหมือนศพ ระหว่างพักฟื้นน้ำหนักลดฮวบฮาบ เพราะทั้งปั๊มนมทั้งให้เข้าเต้า ส่วนสามีเขาก็เหนื่อย เผลอ ๆ เหนื่อยกว่าฉันด้วยซ้ำ เขาเอาต้นหนาวที่ไม่ติดเต้าฉันไปทำงานด้วย ส่วนฉันเลี้ยงต้นเหนือคนเดียวอยู่ที่บ้าน จะว่าไปก็ไม่คนเดียว เพื่อน ๆ เขาก็อยู่หมู่บ้านนี้ เจฟ เค ขับรถผ่านพวกนั้นก็ซื้อขนมซื้อของกินให้ และญาติ ๆ คุณชายก็มาช่วยฉันเลี้ยงบางเวลา พี่ใบไม้ เจแปน ต้นไม้ และน้องโซลมาหาน้องก็ซนเหลือเกิน พูดภาษาอังกฤษคล่องกว่าภาษาไทย บางวันพูดจีนด้วยนะ เจแปนบอกว่าเธอเป็นคนสอนเอง อยากให้รู้ไว้หลาย ๆ ภาษา และเธอก็ปล่อยลูกเล่นไม่ค่อยดุด้วย โซลอาจจะเหมือนเด็กซนแต่เขารู้มาก ฉลาด แม่ปล่อยไว้ไหนก็เล่นได้หมด คลุกฝุ่นคลุกโคลนพร้อมชุบแป้งทอดเลยก็ว่าได้ ฉันฟัง ๆ พี่สาวกับพี่สะใภ้สามี ก็จำ ๆ วิธีเลี้ยงลูกมาใช้บ้าง และว่างก็พาลูกไปหาพ่อกับแม่ คือฉันกับต้นเหนือตัวติด
“คุณพ่อใจเย็น ๆ นะคะ” ฉันเงยขึ้นมองหน้าคุณชายทันที เมื่อเห็นพยาบาลกุลีกุจอวิ่งมาจับตัวเขา ตอนนี้หน้าเขาซีดและเขาก็ไม่ได้ปลื้มอกปลื้มใจที่เห็นลูกชายสภาพนี้เท่าไหร่ จนลูกร้องไห้เสียงดังขึ้น! “อุแว้ อุแว้~” เท่านั้นแหละ คุณพ่อผู้กลัวเลือดก็เผลอหันขมับมอง หวั่นว่าลูกจะเป็นอะไร แต่เมื่อเห็นเลือดสีแดง ๆ ที่เขาเกลียดนักหนาเป็นครั้งที่สอง เขาก็รีบปิดตาและกวักมือเรียกพยาบาลทันที “พยาบาล ๆ เอาลูกผมไปอาบน้ำเถอะ ขอร้องล่ะ” “คุณพ่อไม่ตัดสายสะดือก่อนเหรอคะ? รอหน่อยนะคะ จะออกมาอีกคนแล้วค่ะ!” “อุแว้ อุแว้~” พอได้ยินเสียงร้องอีกเสียงร้องดังขึ้น ฉันก็ไม่สนใจสามีรีบก้มมองตาม ก่อนที่จะเห็นหมอสูติอุ้มลูกชายคนเล็กออกมาวางบนอกฉัน และดูดน้ำคร่ำคราบเมือกต่าง ๆ ให้ “คุณพ่อตัดสายสะดือไหมครับ?” หมอสูติถามเมื่อคุณชายเขาเงียบไป แถมตอนนี้เขายังปิดตาไว้อีกด้วย “มะ ไม่เป็นไรครับ หมอตัดเลย” “ทำไมไม่ตัดล่ะคุณชาย” “เค้าจะเป็นลมแล้วแว่น ถ้าเค้าตัด เค้าเป็นลมไม่ได้ถ่ายรูปแน่ ๆ” ฉันยิ้มให้เขาแ
“จะเป็นอะไร ให้เขาเลือกเองเถอะคุณชาย ขอแค่มันเป็นอาชีพสุดจริตก็พอ แต่เอ๊ะ ลูกไม่ทันคลอดเลยเราจะคิดมากเรื่องนั้นทำไม อีกตั้งนานโข” คุณชายหัวเราะเบา ๆ แล้วหอมแก้มฉัน ถ้าเป็นโรงพยาบาลอื่น เห็นเราเล่นนอนกันกลมดิกแบบนี้ โดนด่าแล้วล่ะ แต่เหลือเชื่อนะพอคุณชายขึ้นมานอนกอดและลูบท้องฉัน เจ้าสองแฝดก็เงียบกริบไม่ถีบท้องฉันอีกเลย จนนั่นแหละฉันเคลิ้มผล็อยหลับไปจนเช้า และงัวเงียตื่นเพราะสองเท้าลูกถีบตุบตับ ๆ “อื้อ ลูก หิวแล้วเหรอ?” “หิวก็ตื่นขึ้นมากิน ยายทำกับข้าวมาให้แล้ว” เสียงพ่อ? ตายแล้ว ๆ พ่อเห็นพ่อว่าแน่ ๆ ที่ฉันให้คุณชายขึ้นมานอนด้วยแบบนี้ ฉันจึงรีบเปิดตาพรึบ และดึงผ้าห่มคลุมอกทันที ก่อนจะเห็นพ่อกับแม่ยืนยิ้มข้าง ๆ เตียง แล้วมองมาที่ฉัน พ่อหล่ออีกแล้ว ยิ่งยิ้มยิ่งหล่อ ลูกสักคนในท้องหน้าเหมือนตานะลูก ส่วนอีกคนหน้าเหมือนพ่อไปเลย เอ๊ะพูดถึงพ่อ คุณชายเขาหายไปไหน? “แฮ่ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?” “สักพักแล้วล่ะ” แม่ตอบและมองตามฉัน ที่กดเตียงขึ้นนั่งและเอียงซ้ายทีขวาทีหาคุณชายข้างหลัง
ได้ยินแค่นี้คนเป็นแม่ก็มีความสุขสุด ๆ แล้ว สำหรับฉัน บอกรอบที่ล้านก็ไม่มีอะไรสำคัญเท่าสองแฝด ที่ฉันรู้มาตั้งนานแล้วว่าเขาเป็นผู้ชาย ก็แค่อุบอิบสามีไว้อยากเซอร์ไพร์สเขา ที่ฉันรู้เพราะฉันเป็นหมอ พ่อฉันเป็นหมอ โรงพยาบาลนี้ก็ของครอบครัวฉัน ถ้าผลตรวจเลือดออกมาปุ๊บ แน่นอนว่าพ่อแม่ฉันไม่ยอมรอจนท้องป่องอัลตร้าซาวด์หรอก ท่านรีบโทรมาบอกฉันทันทีที่รู้ บอกว่าเจ้าติณห์จะมีน้องชายแล้วนะ และแม่ก็พูดต่อว่า หลานผู้ชายหมดเลย พ่อกับแม่วิ่งจับกันสนุกล่ะคราวนี้! ใช่!ยินดีด้วยค่ะ กับคุณชายต้นกล้าและปู่ย่าตายายทั้งสองบ้าน หลังจากอัลตร้าซาวด์กลับจากโรงพยาบาล คุณพ่อต้นกล้าก็ขับรถดิ่งกลับบ้าน ไปเปล่าประกาศกลางโต๊ะอาหารทันที ว่า! “เชื้อผมแรงป่ะ ลูกชายสองคน! โคตรเท่อ่ะ แน่นอนไอ้ไม้มันทำไม่ได้ แค่แฝดยังยากเลย ฮ่า ๆ” ฉันกับเจแปนมองหน้ากันแล้วถอนหายใจเบา ๆ แน่ ๆ ต้องมีการโต้วาทีเกิดขึ้นแน่ ๆ และโซลลูกต้นไม้ก็ไม่เข้าข้างพ่อด้วยนะ พอเห็นว่าอาเกทับ ก็หัวเราะคิกคักใส่พ่อตัวเองทันที “คิก คิก” “เจแปนจัด
สรุปนะ ตั้งแต่มีเมียมาเนี่ย ผมได้เงินไปทำงานวันละห้าร้อย! แม่งพี่ยามที่เป่านกหวีดโบกรถที่บริษัท เขาน่าจะได้มากกว่าผมอีกมั้ง ยัยแว่นไม่ประนีประนอมและไม่สงสารผมเลย เอะอะหักเงิน แล้วไม่มีใครช่วยผมด้วยนะ พ่อไม่ช่วยแม่หัวเราะใส่หน้า ส่วนเจ๊ใบกับไอ้ไม้ผมไม่บอกให้เสียหมาหรอก ถ้าพวกนั้นรู้ล้อผมยันลูกบวชแน่ ๆ “เมียให้เงินมาทำงานเท่าไหร่?” พอผมเซ็นเอกสารเสร็จ ก็ยื่นมันคืนให้พนักงานฝ่ายซอฟต์แวร์ ก่อนจะถามคำถามเดิม ๆ ที่ผมถามพวกผู้ชายที่มีเมียทุกแผนก เพื่อจะทำเป็นสถิติเอาไปเสนอยัยแว่นเพิ่มวงเงิน “ยังไงเหรอครับ?” “ฉันถามว่าเมียให้เงินมาทำงานวันละเท่าไหร่? ตอบมาเถอะน่า อย่าให้ต้องถามหลายรอบ” “อ๋อ ผมได้วันละห้าร้อยครับ แต่บางวันก็พันนะครับ แล้วแต่อารมณ์เมีย” ผมนั่งนิ่ง เพราะคิดน้อยเนื้อต่ำใจขนาดหนัก แม่งขนาดพนักงานระดับล่างยังได้เงินมาทำงานเท่ากู แล้วหัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์ของบริษัท ฝ่ายเอนจิเนียร์จะขนาดไหนวะ “เอ่อ คุณต้นกล้าถามแบบนี้ มีอะไรรึเปล่าครับ?” “ไม่มี ไปเถอะ” พอพ
“เหรอ? บอกแบบนั้นถ้าผู้หญิงคนอื่นเข้ามาจีบคุณชายจะทำไง ชอบเหรอไอ้ความรุงรัง? จะกลับมาง้อเค้าแต่ไปประกาศโสด ทำเพื่ออะไร?” “เรื่องมันผ่านมาแล้วแว่น เค้าเมา โอ๋ ๆ ไม่งอนกันนะ” “ไม่รู้ล่ะ วันนี้ห้ามแตะแอลกอฮอล์เลยนะ ถ้าเมาแล้วเลื้อยเป็นงูแบบนั้น” “ค่ะ ๆ เค้าไม่แตะอยู่แล้วเค้าแพ้ท้องอยู่” ผมพูดจบก็จับมือยัยแว่นขึ้นมาจุ๊บเบา ๆ ที่หลังมือ ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นแสงสปอร์ตไลท์สีขาวส่องมาที่เรา พิธีกร: จะหวานกันไปถึงไหนคะเนี่ย ถึงเวลาขึ้นเวทีทักทายแขกผู้มีเกียรติแล้วค่ะ เท่านั้นแหละ หน้าบึ้ง ๆ ของยัยแว่นก็หายวับไปกับตา เธอยิ้มเขิน ๆ และหันมองแขกในงานสองฝั่งช้า ๆ จนแม่ผมเดินถือช่อดอกไม้มาให้ และสวมกอดเธอ “หนูกาแฟ ดีใจที่ได้หนูเป็นสะใภ้วรพงศ์กุลนะลูก” “ขอบคุณที่เอ็นดูหนูค่ะคุณแม่” ได้ยินแบบนั้นผมก็ยกแขนให้ยัยแว่นควงทันที ก่อนที่จะก้มหัวลง นิด ๆ ขอบคุณแม่และเดินเข้างาน ตอนนี้แสงสปอร์ตไลท์ส่องมาที่ผมกับยัยแว่นสว่างมาก สาดเข้าเวลส์ยาว ๆ ลากพื้นของเธอ จนเจ้าสาวผมโดดเด่น
และแล้วฉันก็ได้ยินเสียงโห่ดังขึ้น ตามด้วยเสียงเพื่อนเจ้าสาวเพื่อนเจ้าบ่าว ที่ถกเถียงกันเรื่องซองและเรื่องตะโกนบอกรัก “เจ้าบ่าวไม่บอกรักเจ้าสาวหน่อยเหรอค๊า?” เสียงพี่ปลายฟ้า ดังดี๊ด๊าหน้าห้องและแซวลูกพี่ลูกน้องตัวเอง “บอกทุกวันล่ะเจ๊ แต่นิยมบอกแค่ในห้อง” พอต้นกล้าตอบมาแบบนั้น เสียงแซวของเหล่าเพื่อนเจ้าบ่าวก็โฮฮิ้วขึ้นเสียงดัง “ไม่รู้ล่ะบอกเลย ๆ ให้เขารู้ ว่ารักมากแค่ไหน หวาน ๆ ไม่งั้นไม่ให้เข้านะ” “บอกเลย! บอกเลย! บอกเลย!” ฉันนั่งอมยิ้ม กับเสียงคนโห่กดดันต้นกล้า ก่อนจะหันไปหาพ่อแม่และน้ำแข็ง ที่นั่งมองตรงไปที่ประตู ทุกคนไม่ได้ลุ้นหรอกว่าต้นกล้าจะบอกรักฉันรึเปล่า แต่คงลุ้น ว่าเพื่อนเจ้าสาวจะไถเงินเขาไปเท่าไหร่ “รักแว่นน้า” “กาแฟ ๆ ได้ยินมั้ย?” พอได้ยินเสียงเพื่อนเจ้าสาวถามข้างนอก ฉันก็เอามือป้องปากตะโกนตอบไป “ไม่ได้ยิน!” “รักแว่น! รักกาแฟ! รักหม่าม้านะค้าบ” รักหม่าม้านะครับ โอ้ยน่ารักจังเลย อยากวิ่งออกไปหอมหัว “ยิ้มแก้มจะแตกแล้วนั่น” อยู่ ๆ น้ำแ