ที่จริงกระถางเก้าดารานอกจากสามารถใช้เป็นหัวใจค่ายกลแล้ว ยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งด้วย นั่นก็คือใช้ยันต์เก้าดาราเดือนฉายเปลี่ยนมันให้กลายเป็นอาวุธวิเศษที่ใช้โจมตีศัตรูได้เพียงแต่ตอนนี้ระดับพลังของฉู่เฉินต่ำเกินไป อย่างมากก็ทำได้เพียงใช้มันมาข่มขู่เท่านั้นถึงแม้พลานุภาพจะน้อยมาก แต่กลับทำให้คนตกใจได้ไม่น้อยพอเห็นแสงสว่างสีขาวดวงใหญ่ขนาดนั้นถูกขว้างตรงมาที่หน้าผากของตัวเอง หลี่ว์เจิ้งหยางตกใจเหงื่อแตกไปทั้งตัวสำนักนางในยังไงก็เป็นสำนักบำเพ็ญพรต มีความรู้ด้านคาถาอาคมอยู่บ้าง และท่ามกลางคาถาอาคมหรือยันต์ต่างๆ ยันต์ที่สามารถเปล่งแสงได้นั้นอันตรายที่สุดพลังโจมตีเรียกได้ว่าน่ากลัวสุดขีดด้วยเหตุนี้ ความคิดแรกของหลี่ว์เจิ้งหยางก็คือหนีเสี้ยววินาทีที่แสงสว่างดวงนั้นกำลังจะกระแทกโดนหลี่ว์เจิ้งหยาง ร่างกายของเขาลอยถลาไปข้างหลังในแนวตรงราวกับว่าวลมตัวหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ตวัดกระบี่ยาวในมือร่ายรำเพลงกระบี่สิบกว่าครั้ง“ชิ้งๆๆ!”เงากระบี่มากมายสานตัวกันเป็นตาข่ายกระบี่อันแน่นขนัดจนลมแทบผ่านไม่ได้ ปกป้องเขาไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนาแต่แรงกระแทกที่เขาคาดว่ามันจะรุนแรงสุดขีดกลับไม่เกิดขึ้น แ
หลี่ว์เจิ้งหยางแค่นเสียงตาข่ายกระบี่ที่เขาวาดกระบวนท่าออกไปเมื่อกี้เป็นถึงหนึ่งในสุดยอดกระบวนท่าของสำนักนางในเชียวนะผู้ฝึกปราณชั้นเจ็ดโดยทั่วไปอย่าว่าแต่ทะลวงตาข่ายกระบี่เข้าใกล้เขาเลย แค่ไม่ถูกฟันร่างขาดเป็นสองท่อนก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้วแต่ฉู่เฉินกลับสามารถย่างกรายเข้ามาทีละก้าวๆ นั่นแสดงว่าพลังของฉู่เฉินไม่ใช่แค่ผู้ฝึกปราณชั้นเจ็ดทั่วไปแน่นอนแต่ถึงแม้อย่างนั้น ผู้ฝึกปราณชั้นแปดก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ฉู่เฉินจะจินตนาการได้อย่างแน่นอนหลี่ว์เจิ้งหยางเงื้อมือขึ้นโบก พลันนั้น ประกายสีแดงก็พลันเรืองแสงออกมาจากฝ่ามือของเขาหลี่ว์เจิ้งหยางพึมพำเคล็ดวิชาประโยคหนึ่ง จากนั้นประกายแสงเส้นนั้นก็พุ่งตรงมาที่หว่างคิ้วของฉู่เฉิน!ตูม!ลำแสงเส้นนั้นเพิ่งจะพวยพุ่งมาทางฉู่เฉิน เสียงดังเลื่อนลั่นสะเทือนแก้วหูก็พลันดังขึ้นการโจมตีที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจนั่น กลับเต็มไปด้วยอานุภาพร้ายแรงน่าพรั่นพรึงพริบตาเดียว ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่วรัศมีรอบๆ โดยมีฉู่เฉินเป็นศูนย์กลาง แผ่ปกคลุมถนนหลวงทั้งเส้นเข้าไปในพายุฝุ่นด้วยหลิวจิ่งหงยิ้มเย็น ไอ้หนูแซ่ฉู่นั่นต้องตายแน่นอนหลี่ว์เจิ้งหยางแค่นยิ้มอย่างเย็นช
“กร๊อบ!”หลิวจิ่งหงยังไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงกระดูกหักก็ดังขึ้นอีกครั้ง ขาอีกข้างของเขาก็ถูกฉู่เฉินเตะจนหักไปด้วยหลิวจิ่งหงในตอนนี้เจ็บจนร้องไม่ออกแล้วเขาเบิกตากว้างจนเหมือนก้นระฆัง เส้นเลือดฝอยในตาแตก จ้องหน้าฉู่เฉินอย่างเคียดแค้น“เมื่อกี้นายว่ายังไงนะ? จะเอาผู้หญิงของฉันต่อหน้าฉันงั้นเหรอ?”พูดจบ ฉู่เฉินก็โยนร่างของหลิวจิ่งหงออกไปไกลหลายเมตร จากนั้นก็สาวเท้าเดินไปหาเฉียนเจียวเจียวที่ตกใจสติหลุดไปแต่แรกแล้วพอเห็นฉู่เฉินโอบเฉียนเจียวเจียวไว้ในอ้อมแขน ดวงตาของหลิวจิ่งหงแดงก่ำไปทั้งดวงแม้เขากับเฉียนเจียวเจียวต่างคนต่างมีผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน แต่เฉียนเจียวเจียวก็ยังเป็นแฟนและว่าที่คู่หมั้นในนามของเขาฉู่เฉินไม่ได้แค่กำลังสวมหมวกเขียว[1]ให้เขา แต่กำลังปลูกหญ้าบนหัวเขาเลยต่างหาก“อา…”เฉียนเจียวเจียวพลันได้สติกลับคืนมา พบว่ามือใหญ่ของฉู่เฉินล้วงเข้ามาในบ่อปลาของเธอแล้ว เพียงแต่เธอขัดขืนตามสัญชาตญาณเพียงเล็กน้อย ก่อนที่จะจมสู่ภวังค์ภายในเวลาไม่นานเมื่อกี้ตอนที่อยู่ในห้องน้ำของบริษัทประมูล เฉียนเจียวเจียวยังไม่ถึงจุดสูงสุด ถ้าหากไม่ได้ถูกอวี้ลู่ขัดจังหวะ เธออาจสวมหมวกเขียวให
เมื่อเส้นผมยาวอันยุ่งเหยิงของเธอสั่นสะเทือนตามแรงเขย่าเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานฉู่เฉินก็จู่โจมจนถึงขีดสุดยอด“อ๊าก!”ร่างกายของหลิวจิ่งหงเขย่าตามไปด้วย เพราะมือเล็กๆ ของเฉียนเจียวเจียวกำไหล่เขาไว้แน่น เขาเจ็บจนแทบบ้าต้องบอกก่อนว่าขาทั้งสองข้างของเขาหักหมดแล้ว และตอนนี้เลือดก็กำลังไหลอยู่ด้วยนังชั้นต่ำเฉียนเจียวเจียวกลับคว้าไหล่ของเขาแล้วสั่นไม่หยุด จุดนี้แหละที่ทำให้เขาสติแตก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ตึก!พอฉู่เฉินจู่โจมอย่างรุนแรงเป็นครั้งสุดท้าย ร่างของเฉียนเจียวเจียวก็ถลาพุ่งไปด้านหน้า ล้มทับบนตัวหลิวจิ่งหงเต็มๆ คนถูกทับกรีดร้องโหยหวน ก่อนที่จะเงียบไปในเวลาไม่นานหลิวจิ่งหงหมดสติไปแล้ว!และเฉียนเจียวเจียวกับฉู่เฉินก็ถึงจุดสุดยอดพร้อมกันในเวลานี้“คะ… คุณฉู่ คุณ… คุณจะไปไหน?”พอเห็นฉู่เฉินใส่กางเกงเสร็จก็เปิดประตูรถทำท่าจะสตาร์ตรถขับออกไป เฉียนเจียวเจียวที่อ่อนแรงไปทั้งตัวก็ลนลานขึ้นมาเธอถูกฉู่เฉินทำเรื่องอย่างว่าต่อหน้าหลิวจิ่งหง หลิวจิ่งหงไม่มีทางยอมรับเธออีก ยิ่งไม่มีทางปล่อยเธอไปแน่ๆถ้าหากฉู่เฉินปล่อยกระสุนเสร็จก็คิดจะชิ่ง งั้นเธอก็ซวยน่ะสิ?“ก็ต้องกลับบ้านอยู่แล้วสิ ไม่งั
“อ้อ?”หลิวฉางอันยักคิ้ว ก่อนจะหันไปสั่งชายชุดสูทคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังว่า “ฉันให้เวลาสามวัน ไปสืบประวัติของไอ้แซ่ฉู่มารายงานฉันให้เร็วที่สุด!”“ครับ!”ชายชุดสูทคนนั้นรับคำสั่ง ก่อนจะรีบสาวเท้าออกจากห้องผู้ป่วยอย่างรวดเร็วหลี่ว์เจิ้งหยางที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยพยายามหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง เขาบอกหลิวฉางอันว่า “ผู้นำตระกูลหลิว รบกวนคุณช่วยแจ้งสำนักของผมที บอกพวกเขาว่าต้องแก้แค้นให้ผมกับศิษย์น้องสองคนที่ถูกฆ่าให้ได้”หลิวฉางอันมองหน้าหลี่ว์เจิ้งหยาง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย “อาวุโสหลี่ว์วางใจ ผมให้คนไปส่งข่าวที่เขามังกรคู่แล้ว ขอเพียงสืบประวัติไอ้แซ่ฉู่นั่นได้ ทางเขามังกรคู่จะต้องส่งยอดฝีมือจำนวนมากไปฆ่ามันแน่นอน!”ครั้งนี้ เขามังกรคู่เสียยอดฝีมือที่เป็นผู้ฝึกปราณขั้นแปดไปถึงสามคน พวกเขาไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่แต่ก่อนหน้านั้น หลิวฉางอันต้องสืบประวัติของฉู่เฉินให้แน่ชัดก่อนถึงยังไงก็ไม่มีทางที่ยอดฝีมืออายุยี่สิบกว่าปีที่เป็นผู้ฝึกปราณขั้นเจ็ดระดับสูงสุดคนหนึ่งจะไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรเลยถ้าเกิดไปมีเรื่องกับคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วย ไม่เพียงตระกูลหลิวเท่านั้นที่จะซวยไปด้วย แ
ถึงยังไงก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของตัวเองแล้วคนจากสำนักนางในอาจมาแก้แค้นได้ทุกเมื่อ ฉู่เฉินจำเป็นต้องเตรียมตัวให้ดีที่สุดพอดูนาฬิกาก็เหลืออีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะถึงเวลานัดกับเจียงไห่ตงแล้ว ฉู่เฉินจึงกำชับอินซู่ซู่สองสามคำ พร้อมกับบอกสูตรเปิดค่ายกลเก้าดาราสังหารให้เธอด้วย จากนั้นจึงค่อยขับรถออกจากบ้านใหญ่ตระกูลฉู่สถานที่ที่เจียงไห่ตงเลือกเป็นร้านอาหารที่น่าประทับใจแห่งหนึ่งชื่อว่าเรือนเจียงสุ่ยถึงไม่ใช่ร้านอาหารระดับสูงของเมืองเจียงจง แต่ก็ไม่ใช่ที่ที่คนทั่วไปจะสามารถเข้าออกได้อีกอย่างคนที่มากินข้าวที่นี่ได้ แทบจะมีแต่คนใหญ่คนโต หรือคนดังในแวดวงการเมืองทั้งนั้นหลังจากจอดรถในลานจอดรถด้านหน้าเรือนเจียงสุ่ยเสร็จ ฉู่เฉินก็ก้าวเท้าลงจากรถเวลานี้ มีแท็กซี่คันหนึ่งจอดหน้าประตูขวางทางฉู่เฉินอยู่พอดีเหมือนรถมีปัญหาอะไรบางอย่าง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงค่อยขับออกไปช้าๆกระทั่งแท็กซี่ขับออกไป ฉู่เฉินถึงค่อยสาวเท้าเดินไปทางเรือนเจียงสุ่ย“ฉู่เฉิน?!”ในเวลานี้เอง เสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังมาจากข้างหลังฉู่เฉินหันกลับไปมองอย่างสงสัย เห็นเพียงชายชุดสูทคนหนึ่งเดินมาทางฉู่เฉินพร้อ
ฉู่เฉินขี้คร้านจะเสวนากับคนทัศนคติคับแคบอย่างเฉินปิน แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถดูถูกฉู่เฉินได้เหมือนกันชีเสวี่ยมองแผ่นหลังของฉู่เฉินที่เดินออกไปไกลแล้ว ก่อนจะขมวดคิ้วบอกว่า “เขาคงไม่ได้มากินข้าวที่นี่จริงๆ หรอกนะ?”ที่จริงเธอกับเฉินปินไม่ได้มากินข้าว แต่มาทำงานต่างหากชีเสวี่ยเป็นหัวหน้าพนักงานบริการของร้านอาหารแห่งนี้ ส่วนเฉินปินก็ช่วยงานอยู่หลังครัวถึงยังไงคนที่มากินข้าวที่ร้านอาหารแห่งนี้ได้ หากไม่ใช่คนรวยก็เป็นพวกเจ้าขุนมูลนายกันทั้งนั้นปกติแล้วเฉินปินก็อาศัยหน้าตาภายนอกที่หล่อเหลาดึงดูดผู้หญิงรวยอายุสี่สิบห้าสิบปีส่วนชีเสวี่ยก็อาศัยเรียวขายาวขาวคู่นั้น กับหน้าอกหน้าใจขนาดใหญ่สองลูกนั่นยั่วยวนแขกที่มากินข้าวหลายต่อหลายครั้ง และเธอก็จะเงินหลายหมื่นบาทเป็นทิปแทบทุกครั้งทั้งสองต่างก็เข้าขากันดี ต่างคนต่างก็ไม่ว่าอะไรที่อีกฝ่ายทำแบบนั้น“เหอะ ตัวเองดูมันแต่งตัวสิ เหมือนคนที่มากินข้าวเหรอ?”เฉินปินแค่นยิ้ม ก่อนจะส่ายหน้าอย่างดูถูก“งั้นเขาก็มา…”ชีเสวี่ยมองฉู่เฉินอย่างไม่เข้าใจต้องบอกก่อนว่า ร้านอาหารแห่งนี้ที่พวกเขามาทำงานเข้มงวดมาก ถ้าหากไม่ได้จองห้องส่วนตัวก่อน ก็จะถ
เห็นได้ชัดว่า เมื่อกี้เธอถูกใครบางคนจับปลาเค็มมาแล้ว“เฉินปิน ทำอะไรอยู่น่ะ?”ชีเสวี่ยจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเอง พลางขมวดคิ้วถาม“ฉันกำลังเล่าเรื่องตลกที่ฉู่เฉินทำหน้าใหญ่ใจโตเพื่อนในห้องเราฟังอยู่น่ะสิ”เฉินปินยิ้มกว้าง ก่อนตอบพลางกวาดมองหน้าอกอวบอิ่มขาวเนียนของชีเสวี่ยแวบหนึ่ง“โธ่ พอได้แล้ว ห้องส่วนตัวเบอร์หนึ่งกำลังเรียกพนักงานบริการอยู่ พวกเราสองคนรีบไปกันเถอะ”ชีเสวี่ยกระซิบบอก เหมือนกลัวเพื่อนร่วมงานคนอื่นได้ยินเฉินปินขมวดคิ้วถามว่า “ห้องส่วนตัวเบอร์หนึ่งมีคนใหญ่คนโตมาอีกแล้วเหรอ? ครั้งนี้ใครล่ะ?”เฉินปินเดินตามชีเสวี่ยไป พลางถามอย่างสงสัยครั้งก่อนก็เป็นแขกในห้องเบอร์หนึ่งนี่แหละที่ถูกใจพวกเขาสองคน พวกเขาสองคนได้ทิปคนละหลายหมื่น เพียงสิบนาทีพวกเขาก็ได้เงินสิบแสนมาครอง ความฝันที่จะได้ซื้อเรือนหอก็ใกล้เข้ามาอีกหนึ่งก้าวแล้ว“เจียงไห่ตง!”ชีเสวี่ยกระซิบบอกเบาๆ“เชี่ย นี่มันโอกาสหายากชัดๆ ถ้าเธอปีนขึ้นเตียงเจียงไห่ตงได้ พวกเราก็สบายแล้ว”เฉินปินบอก พร้อมกับเปลี่ยนชุดพนักงานให้เรียบร้อย ก่อนจะรีบตามชีเสวี่ยไปพร้อมกันถึงยังไงคู่หมั้นของเขาก็ถูกคนอื่นเล่นอยู่ทุกวันอยู่แล้
ในขณะที่คนในตระกูลหลินกำลังหัวเราะเยาะอยู่ในใจ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ คนแซ่ฉู่คนนี้ช่างมีดวงผู้หญิงของผู้หญิงจริงๆ“ผมเอง มีอะไรเหรอครับ?”ฉู่เฉินเหลือบมองหลินฮ่าวและคนอื่นๆ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย“เหอะๆ มีอะไรงั้นเหรอ?”หลินฮ่าวหัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ฉู่เฉิน แกคงไม่รู้ตัวว่าใกล้ถึงวาระสุดท้ายของแกแล้วสินะ?”ฉู่เฉินขมวดคิ้ว มองสำรวจหลินฮ่าวและคนอื่นๆ พร้อมกับสงสัยว่า “ใกล้ถึงวาระสุดท้าย? ดูเหมือนว่าเราจะไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันนะครับ?”ขณะกล่าว ฉู่เฉินและหลิงเสวี่ยต่างก็มองไปที่สมาชิกตระกูลหลินด้วยความระแวดระวังแม้ว่าคนเหล่านี้จะอยู่ในระดับสร้างรากฐานขั้นหกเท่านั้น แต่ฉู่เฉินกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ายอดฝีมือจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้เมื่อหลินฮ่าวได้ยินเช่นนี้ ก็แค่นเสียงเย็นและกล่าวว่า “คนแซ่ฉู่ แกจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไปทำไม เจ้าสำนักให้เวลาแกสามวันเพื่อไปรับโทษตายที่สำนักชิงอวิ๋น แกคิดว่าแกซ่อนตัวอยู่ในโลกแห่งการหยั่งรู้แล้วจะไม่มีใครหาแกเจองั้นเหรอ?”“ฉันแนะนำให้แกส่งหยกโลหิตกิเลนมาจะดีที่สุด แล้วทิ้งผู้หญิงข้างๆ แกไว้ ไม่งั้นฉันจะฆ่าแกให้ตายอย่างไม่เหลือซาก
ในความเป็นจริงทั้งเมืองชิงหลง แทบจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของสำนักชิงอวิ๋นตระกูลจ้าวและตระกูลสวี่ก็ล้วนเป็นศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นเช่นกันถ้าตระกูลหลินเป็นฝ่ายเริ่มเสนอการสังหารฉู่เฉินพื่อแย่งชิงสมบัติ จากนั้นนำหยกโลหิตกิเลนไปมอบให้กับธรรมมาจารย์สำนักชิงอวิ๋น ดูเหมือนว่าตระกูลหลินของพวกเขาก็คงจะได้ความดีความชอบเป็นอันดับแรกสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจ้าวเต๋อฉวนเป็นทายาทรุ่นที่สองของตระกูลจ้าวและยังเป็นเจ้าสำนักชิงอวิ๋นอีกด้วยถ้าใจร้อนอยากได้ความดีความชอบโดยปกปิดตระกูลจ้าว ทันทีที่เป็นศัตรูกับตระกูลจ้าว ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าในอนาคตจะไม่ถูกจ้าวเต๋อฉวนกีดกันดังนั้น ข้อเสนอของหลินฮ่าวจึงได้รับการเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์จากบรรดาผู้เฒ่าตระกูลหลินอย่างรวดเร็วในไม่ช้า ตระกูลหลินก็เริ่มดำเนินการ โดยส่งยอดฝีมือจำนวนมากติดตามหลินฮ่าวไปดักรอฉู่เฉินนอกเมืองชิงหลงอีกด้านหนึ่ง ยังได้ส่งลูกหลานตระกูลหลินไปจำนวนไม่น้อยไปแจ้งตระกูลจ้าวและตระกูลสวี่แค่ยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานขั้นที่หกของตระกูลหลิน ก็มีมากถึงสิบกว่าคนแล้วเมื่อรวมกับตระกูลจ้าวและตระกูลสวี่ ภายใต้การร่วมมือของสามตระกูล ไม่ต้องพูดถึง
แม้ว่าจะไม่มีตึกสูง แต่ที่นี่ก็มีสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่บางชนิดจำหน่ายด้วยเหมือนกันหลังจากฟังคำแนะนำของหลิงเสวี่ย ฉู่เฉินก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ได้ งั้นไปที่เมืองชิงหลงกันก่อน”อันที่จริง ในด้านหนึ่งฉู่เฉินต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกแห่งการหยั่งรู้ และในอีกด้านหนึ่งก็ต้องการค้นหาวัตถุดิบยาในเมืองชิงหลงด้วยอย่างไรก็ตาม ตอนนี้เจ้าทึ่มก็ถึงคอขวดแล้ว และจำเป็นต้องคิดหาวิธีที่จะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นผีดิบเหินฟ้าโดยเร็วที่สุดไม่อย่างนั้น ฉู่เฉินก็คงจะขาดคู่ซ้อมที่แข็งแกร่งไปคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ“คุณจะไปเมืองชิงหลงจริงๆ เหรอ? คุณควรรู้ไว้ว่าตอนนี้คุณในโลกแห่งการหยั่งรู้ก็เหมือนกับเป็นสมบัติที่มีชีวิต ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไหร่ที่กำลังเล็งคุณอยู่”หลิงเสวี่ยกล่าวพลางขมวดคิ้วแน่นไม่ใช่ว่าเธอเป็นห่วงฉู่เฉินมากขนาดนั้น แต่ถ้าฉู่เฉินตกอยู่ในอันตราย เธอก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย“เมื่อวานเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ยังมีใครกล้าคิดร้ายกับผมอีกงั้นเหรอ?”ฉู่เฉินถามด้วยความสงสัยชิ!หลิงเสวี่ยกลอกตามองฉู่เฉินและกล่าวด้วยสีหน้าจนใจ “คุณคิดว่าเหตุการณ์เมื่อวานนี้จะสร้างความฮือฮาได้มากขนาดไหน แม้ว่า
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนอดหน้ามืดไม่ได้ แทบจะเป็นลมคาที่นี่ไม่อาจใช้คำว่ามากเกินไปมาบรรยายฉู่เฉินได้แล้ว ปรมาจารย์ฝืนข่มกลั้นโทสะในใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ ว่า “คุณฉู่ คุณไม่คิดว่าข้อเรียกร้องของคุณมันมากเกินไปเลยหรือไง?”“ฆ่าคนก็แค่เอาหัวโขกพื้น คะ...คุณเห็นวังเทียนเจี้ยนของผมรังแกง่ายจริง ๆ เหรอ?” ฉู่เฉินหัวเราะหยัน กวาดตามองปรมารจารย์ว่านเจี้ยนแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “รังแกคุณแล้วยังไง? เอาของตามใบรายการนี้มา แล้วผมจะหันกายจากไปโดยไม่พูดอะไรเลย”“ถ้าคุณกล้าพูดคำว่าไม่สักคำละก็ ผมก็มีวิธีทำให้วังเทียนเจี้ยนของคุณหายวับไปกับตา” ข่มขู่ ข่มขู่กันอย่างโจ่งแจ้ง“ไอ้คนแซ่ฉู่ แกเหิมเกริมไปแล้ว...” ไม่รอให้ศิษย์ของวังเทียนเจี้ยนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่เอ่ยปาก ปรมารจารย์ว่านเจี้ยนก็รีบยกมือห้ามเอ่ยว่า “หุบปากให้หมด!” หลังจากผ่านเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เวลานี้ปรมารจารย์ว่านเจี้ยรไม่สงสัยความสามารถของฉู่เฉินเลยสักนิดเดียวอย่างแย่ที่สุด ฉู่เฉินก็สามารถลากวังเทียนเจี้ยนให้ตายตกตามกันได้ต้องรีบไล่ตัวซวยคนนี้ออกไปโดยเร็วที่สุดถุงจะถูกเมื่อคิดได้ดังนั้น ปรมาจ
ไม่อย่างนั้น เธอก็คงไม่มีทางกระโดดจากสาวใช้ธรรมดา ๆ กลายเป็นสุดยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานชั้นแปดภายในระยะเวลาห้าปีสั้น ๆ หรอก แต่ว่าฉู่เฉินรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?เมื่อเห็นหลิงเสวี่ยตะลึงจนพูดไม่ออก ฉู่เฉินก็แหงนหน้าหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ดูท่าจะตรงตามที่ผมเดาไว้จริง ๆ ปรมาจารย์คนดีของคุณอยากเลี้ยงคุณจนสมบูรณ์แล้วค่อยดูดกลืนคุณจนแห้งไงละ” เมื่อหลิงเสวี่ยได้ยินคำพูดนี้ พลันร้อนใจขึ้น ถลึงตามองฉู่เฉินอย่างเย็นชาและกล่าว “ฉู่เฉิน ห้ามคุณพูดจาเหลวไหลนะ”ถึงแม้ว่าปรมาจารย์ว่านเจี้ยนจะเห็นเธอเป็นของชิ้นหนึ่ง มอบเธอให้ฉู่เฉิน แต่ว่าสำนักเคยมีบุญคุณกับเธอจริง ๆ“พูดจาเหลวไหล? กลัวว่าคุณโดนคนอื่นขายแล้ว ยังช่วยเขานับเงินด้วยละมั้ง?”ฉู่เฉินหัวเราะหยัน จากนั้นก็อธิบายวิชาบำเพ็ญคู่ให้ฟังสั้น ๆ และบอกเรื่องคุณสมบัติร่างกายพิเศษอย่างร่างธาตุสวรรค์บริสุทธิ์ว่ามีประโยชน์มากเท่าไหร่ต่อผู้ฝึกวิชาบำเพ็ญคู่ให้ฟังตามความเป็นจริง หลังจากฟังคำพูดนี้ของฉู่เฉินจบก็ทำลายสามมุมมองของหลิงเสวี่ยอย่างแท้จริง “เป็นไปไม่ได้ ต้องไม่ใช่ความจริงแน่นอน ท่านปรมาจารย์มักจะสอนพวกเราว่าผู้บำเพ็ญเพียนต้องทำ
ถึงแม้ว่าในใจของปรมาจารย์ว่านเจี้ยนจะไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แต่ก็ทำได้เพียงปล่อยให้ฉู่เฉินจูงมือหลิงเสวี่ยเดินเข้าไปในเรือนเจ้าสำนักที่เขาอาศัยอยู่ ในตอนที่ฉู่เฉินปิดประตูห้องจนสนิท พวกศิษย์ของวังเทียนเจี้ยนต่างก็เผยสีหน้าเจ็บปวดและไม่ยินยอมออกมาจบแล้ว!เทพธิดาในใจของพวกเขา น้องศิษย์เล็กที่พวกเขาเฝ้าปรารถนา โดนไอ้เดรัจฉานฉู่เฉินย่ำยีแบบนี้แล้วเมื่อผลักประตูเดินเข้าไปในห้องนอนด้านใน ฉู่เฉินก็อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ไอ้แก่ตายยากอย่างปรมาจารย์ว่านเจี้ยนคนนี้เสพสุขเก่งจริง ๆ บนเตียงหยกน้ำแข็งมีอุปกรณ์ของเล่นต่าง ๆ ครบครัน นอกจากนี้ยังมีหมอนรองเอวโดยเฉพาะอีกด้วยไอ้เชี่ยนี่ เฒ่าหัวงูถึงจะเป็นคนตัณหากลับ จริง ๆ เมื่อเห็นเฟอร์นิเจอร์ในห้องปรมาจารย์ว่านเจี้ยน หลิงเสวี่ยก็อดขมวดคิ้วไม่ได้พลางกล่าวว่า “ทำไมในห้องของปรมาจารย์ถึงจะมีหมอนสองใบล่ะ อีกอย่าง ทำไมหมอนใบนี้ดูไปแล้ว ไม่ค่อยเหมือนเลย?” หลิงเสวี่ยพูดพลางเอื้อมมือจะไปหยิบหมอนรองเอวใบนั้นขึ้นมา แต่โดนฉู่เฉินขวางไว้ทันที“อีกเดี๋ยวคุณก็จะรู้เองว่าหมอนใบนี้เอาไว้ใช้ทำอะไร เข้ามาสิ”ระหว่างที่พูด ฉู่เฉินก็ดึงหลิงเสวี่ยให้นั่งลงข้างเตียง
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ พวกว่านโซ่วเซียนเวิงก็ถอนหายใจติดต่อกันด้วยสีหน้าเสียดายในตอนนี้เอง แผ่นกระดาษสีขาวที่เขียนตำรับยาสร้างกล้ามเนื้อพลันลอยมาจากในวังเทียนเจี้ยน“ผู้อาวุโสทั้งหลาย ขอบคุณครับ”วินาทีต่อมา เสียงของฉู่เฉินดังออกมาจากห้องโถงใหญ่ของวังเทียนเจี้ยนพวกว่านโซ่วเซียนเวิงรับสูตรยาที่ฉู่เฉินส่งมา ก่อนจะมองไปทางตำหนักหลักของวังเทียนเจี้ยนอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง“พวกเราไปกันเถอะ”ว่านโซ่วเซียนเวิงคัดลอกสูตรยาไว้หนึ่งชุด แล้วก็พาลูกศิษย์แห่งสำนักว่านเซียนหันกายเดินจากไป“เหอะ ๆ... ไอ้หนูมีน้ำใจแล้ว ถือว่าฉันติดหนี้บุญคุณเธอแล้ว ไว้พบกันใหม่”ผู้เฒ่าเทียนเสวียนก็คว้าสูตรยามาเช่นกันก่อนจะคัดลอกทันที จากนั้นเขาก็หันกายพาหลินเจี้ยนเฟิงลอยจากไปไม่นานนัก ผู้คนที่มามุงดูความคึกคักรอบนอกวังเทียนเจี้ยนก็ทยอยกันแยกย้ายไปหมดฉู่เฉินมองปรมาจารย์ว่านเจี้ยนที่หน้าแดงก่ำดูอับอายอย่างยิ่งยวด ก่อนจะหัวเราะหยันแล้วพูดว่า “เมื่อกี้คุณบอกว่าใครใกล้ตายนะ?”ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนมองฉู่เฉินพลางกัดฟันกรอด แม้ว่าตอนนี้ภัยคุกคามของวังเทียนเจี้ยนจะถูกขจัดไปแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่กล้าแตะต้องฉู่เฉ
เวลานี้เอง ทุกคนในเหตุการณ์ตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก ไม่มีใครคาดคิดว่าลู่ชิงเฟิงจะโกรธจริง ๆนอกจากนี้ ประตูใหญ่ของวังเทียนเจี้ยนโดนทำลาย วันหน้าสถานะของวังเทียนเจี้ยนในหมู่สำนักรอบนอกภูเขาหลางจวีซวีย่อมลดลงไปอีกขั้นอย่างแน่นอแม้ว่าปรมาจารย์ว่านเจี้ยนในตอนนี้จะร้องทุกข์มิรู้วาย แต่ก็ไม่กล้าแสดงสีหน้าไม่พอใจเลยสักนิดเดียวเวลานี้จื่อเยว่ที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนก็ต้องชื่นชมความโชคดีของฉู่เฉินเช่นกันถึงแม้ความสามารถของเขาจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่อาศัยสติปัญญาและแผนการเรียกยอดคนอย่างลู่ชิงเฟิงออกมายืนอยู่ฝ่ายเขาได้นับว่าผ่านด่านยากตรงหน้าได้ชั่วคราวแล้วจริง ๆ “ศิษย์พี่หญิง ฉู่เฉินคงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับลู่ชิงเฟิงใช่ไหม?”หลิงรั่วกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา“เกี่ยวข้องกับลู่ชิงเฟิง? ไม่มีทางหรอก!”จื่อเยว่หัวเราะหยันพลางส่ายศีรษะลู่ชิงเฟิงนั้นเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของวังเต๋าคุนหลุน ถึงแม้จะไม่ใช่เจ้าสำนัก แต่ในวังเต๋าคุนหลุน นอกจากผู้เฒ่าผู้แก่ที่ปลีกวิเวกไม่ออกมาเหล่านั้นแล้ว เขาก็เป็นตัวแทนพลังรบสูงสุดเลยก็ว่าได้แม้ว่าฉู่เฉินเพียงแค่รู้จักลู่ชิงเฟิงเท่านั้น แ
มันอยู่เหนือระดับที่พวกเขาสามารถประมาณค่าได้ไปแล้ว!นักพรตแห่งน้ำไฟผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานเมื่อกี้ ตอนนี้ก็เหงื่อเย็นแตกพลั่ก ไม่กล้าแม้แต่จะปฏิเสธแม้แต่คำเดียวเมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของปรมาจารย์ว่านเจี้ยนก็เปลี่ยนไปทันที มองสำรวจฉู่เฉินด้วยรอยยิ้มเยาะและกล่าวว่า “เจ้าหนู ดูเหมือนว่าการคำนวณของมนุษย์จะสู้การคำนวณของสวรรค์ไม่ได้จริงๆ คุณคงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยใช่ไหมล่ะ”“ยังกล้าให้ฉันมอบศิษย์ไปอุ่นเตียงให้แกอีกเหรอ? หึ!”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนก็แค่นเสียงเย็นและกล่าวว่า “ฉันแนะนำให้แกรีบส่งหยกโลหิตกิเลนมา แล้วฆ่าตัวตายรชดใช้ความผิดต่อหน้าฉันซะ ไม่งั้น...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ในดวงตาของปรมาจารย์ว่านเจี้ยนก็ระเบิดรังสีอำมหิตออกมาสองสายสถานการณ์พลิกผันเร็วเกินไป จนกระทั่งหลิงเสวี่ยยังไม่ได้สติ แต่ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนไม่เปลี่ยนสีหน้าเร็วเกินไปหน่อยเหรอ?ฉู่เฉินหรี่ตาลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณแน่ใจเหรอ?”“หึ เจ้าหนู ใกล้ตายแล้ว อย่าดิ้นรนไปให้เปลืองแรงเลย!”ขณะกล่าว ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนก็ชักกระบี่ออกมาทันที กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวของผู้แข็งแกร่งระดับควบแ