ซุนเซี่ยวเหรินส่ายหน้าเล็กน้อย และไม่ได้ตอบอะไรแต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ สีหน้าของเขาก็ยิ่งดูย่ำแย่ ผ่านไปสามนาทีเต็ม ๆ เขาถึงค่อยจขมวดคิ้วแน่นพลางพูดว่า “ประธานหลิ่ว ลูกสาวของคุณถูกพิษร้ายแรงนี่ครับ!” อะไรนะ?!หลิ่วชิงเหอได้ยินคำพูดนี้ ดวงหน้างามก็ซีดเผือดราวกับกระดาษทันที หลิ่วหรูเยียนที่แทบจะขดตัวเป็นก้อนไม่อยากจะเชื่อคำพูดของซุนเซี่ยวเหรินจริง ๆ เธอเอ่ยปากพูดอย่างยากลำบากว่า “หมอเทวดาซุนคะ ฉะ...ฉันถูกพิษอะไรคะ?” ซุนเซี่ยวเหรินขมวดคิ้วมุ่น ครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “คุณหนูหลิ่ว พิษที่คุณได้รับมันแปลกประหลาดมาก แม้แต่ผมก็ยังบอกชื่อไม่ได้ แต่ว่าคุณได้รับพิษมานานมากแล้ว”“จากที่ผมคาดการณ์ อย่างน้อยก็สามปีแล้ว” “นอกจากนี้ เนื่องจากซึมซับพิษมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มันทำลายเส้นเลือดหัวใจของคุณแล้ว ดังนั้นถึงแม้ปกติดูเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ขอเพียงพิษกำเริบขึ้นมาก็จะเป็นอันตรายถึงชีวิตแทบทุกครั้ง!” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ซุนเซี่ยวเหรินอดมองไปทางหลิ่วชิงเหอด้วยความสงสัยไม่ได้แล้วกล่าวว่า “ประธานหลิ่ว ดูจากชีพจรของลูกสาวคุณ ก่อนหน้านี้เธอเคยอาการกำเริบอย่างน้อยสองครั้ง คุณไม่เคยสังเกตเห็นเล
ซุนเซี่ยวเหรินกล่าวจบก็หยิบขวดแก้วออกมาจากในกล่องยาทันที จากนั้นก็เทน้ำยาด้านในใส่ถ้วยใบเล็กแล้วยื่นให้หลิ่วหรูเยียนพร้อมกล่าวว่า “คุณหนูหลิ่ว ดื่มมันแล้ว อาการของคุณก็จะคงที่ได้ในไม่ช้า”หลิ่วหรูเยียนรีบรับถ้วยยาแล้วดื่มรวดเดียวจนหมด เวลาผ่านไปไม่นาน หลิ่นหรูเยียนพลันรู้สึกได้ความง่วงงุนถาโถมเข้ามา ก่อนจะเคลิ้มหลับไปเมื่อเห็นฉากนี้ หลิ่วชิงเหอก็เอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “หมอเทวดาซุน นี่คุณทำอะไรคะ?” “นี่เป็นผลข้างเคียงของน้ำยาแก้พิษ นอนหลับสักตื่นก็ไม่เป็นไรแล้วครับ แต่ผมยังคงย้ำคำพูดประโยคนั้น นี่เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ”ซุนเซี่ยวเหรินกล่าวจบก็สะพายกล่องยาขึ้นมาแล้วหันตัวเดินจากไป “หมอเทวดาซุน!” หลิ่วชิงเหอรีบตามออกไป จนกระทั่งมาถึงหน้าประตู ซุนเซี่ยวเหรินถึงค่อยชะงักฝีเท้า เบนสายตาเล็กน้อยมองมาทางหลิ่วชิงเหอแล้วพูดว่า “ประธานหลิ่ว ความจริงคุณน่าจะรู้ว่าใครสามารถรักษาอาการป่วยของคุณหนูหลิ่วได้”“ไม่อย่างนั้น เธอคงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้” “ถ้าเกิดผมเดาไม่ผิด คนผู้นั้นน่าจะเป็นคุณฉู่สินะ?” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลิ่วชิงเหอทำหน้าอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะเม้มริมฝีปาก ไม่เอ่ยปากพูดอะไรเ
ฉู่เฉินเก็บโทรศัพท์แล้วเลือกยาสิบกว่าขวดออกมา ก่อนจะยื่นให้โจวว่านคังและพูดว่า “ท่านโจว ยาพวกนี้คุณภาพไม่ผ่าน ผมจำได้ว่าผมเคยบอกคุณไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดของการหลอมยาคือไฟ” “ไฟห้ามแรงกินไป ห้ามรีบร้อนเกินไป ต้องทำให้ไฟคงที่ และระหว่างนั้นห้ามเปลี่ยนแหล่งเชื้อเพลิงเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดเหตุการณ์ได้รับความร้อนไม่เท่ากัน” โจวว่านคังได้ยินคำกล่าว ดวงหน้าชราก็แดงขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “คุณฉู่พูดได้ถูกต้อง ต่อไปผมจะระวังให้มากขึ้นอย่างแน่นอน”“อืม”ฉู่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย ยื่นขวดยาบำรุงปราณหนึ่งให้โจวว่านคังแล้วพูดว่า “ท่านโจว ยาบำรุงปราณขวดนี้ถือว่าเป็นค่าเหนื่อยให้คุณ ไม่ว่าคุณกินเอง หรือว่าเอาไปขายก็ได้ทั้งนั้น “โอ๊ะ คุณฉู่ นะ...นี่จะได้ยังไงกันครับ ผมสมัครใจช่วยเหลือ ไม่ต้องการค่าเหนื่อยหรอกครับ” โจวว่านคังพูดจากใจจริงเช่นกัน ถึงอย่างไรเขาก็ได้เรียนรู้จากฉู่เฉินมาไม่น้อย“ท่านโจวไม่ต้องเกรงใจ นี่เป็นสิ่งที่คุณควรได้รับครับ” เมื่อเห็นฉู่เฉินยืนกราน ท่านโจวถึงค่อยรับไว้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ ยาบำรุงปราณสิบเม็ดต่อหนึ่งขวดเพียงพอที่จะแบ่งกันทั้งครอบครัว สำหรับท
ขาขาวเนียนงดงามถูกห่อหุ้มอยู่ในถุงน่องสีดำ และยังเผยให้เห็นความขาวดุจหิมะนี่แม่งเอ๊ยอยากยั่วกันสุด ๆ ไปเลยใช่ไหม?เมื่อเห็นฉู่เฉินจ้องมองถุงน่องของตัวเอง กวนเหล่ยก็เม้มปากหัวเราะพลางกล่าวว่า “ประธานฉู่ วันนี้ฉันแต่งตัวดูดีไหมคะ?” “ดู...ดูดีสิ แต่ว่าครั้งหน้าไม่ต้องแต่งตัวเยอะขนาดนี้แล้วนะ”ฉู่เฉินกลืนน้ำลายทีละอึก ก่อนจะผลักประตูเดินเข้าไปในห้องทำงานทันทีที่เข้าไปในห้อง กลิ่นควันหลังสงครามใหญ่ก็โชยเข้ามาในจมูก ฉู่เฉินรีบหันหน้าไปพูดกับกวนเหล่ยว่า “ขอยืมใช้น้ำหอมของคุณหน่อย” กวนเหล่ยพยักหน้าติดต่อกันพลางพูดว่า “ได้ค่ะ” ไม่นานฉู่เฉินก็ใช้น้ำหอมไปเกือบครึ่งขวด อากาศทั่วทั้งห้องทำงานเปลี่ยนเป็นสดชื่นขึ้นไม่น้อยเช่นกันหลังจากที่กวาดตามองโซฟากับโต๊ะทำงานที่แทบจะไม่มีร่องรอยว่าผ่านสงครามใหญ่ใด ๆ ฉู่เฉินถึงค่อยกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความสบายใจ“ประธานฉู่ เมื่อวานฉันเสียเวลาไปสองชั่วโมงกว่าถึงจะทำความสะอาดห้องทำงานเสร็จนะคะ เหนื่อยจนปวดเอวปวดหลังแล้ว ถ้าคุณไม่เชื่อก็ดูสิคะ ตรงนี้บวมอยู่นิดหน่อย” กวนเหล่ยพูดพลางถลกมินิสเกิร์ตที่แทบจะคลุมสะโพกอวบอิ่มไม่มิดขึ้นมาทันที เผยสะโพกอ
“ทุกคนเชิญนั่งค่ะ”กู้รั่วเสวี่ยเชิญทุกคนให้นั่งลงพลางสั่งให้กวนเหล่ยไปชงชา ดวงตาของหลิวฉางเจียงไม่เคยละสายตาไปจากต้นขาของกวยเหล่ยเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับว่าแทบจะควักนัยน์ตาลงมาติดบนตัวกวนเหล่ยฉู่เฉินเห็นฉากนี้ก็อดลอบขำไม่ได้ หลิวฉางเจียงช่างเป็นคนจริง ๆ ไม่รู้ว่าถูกสวมเขามากเท่าไหร่แล้ว ยังคิดอะไรกับเลขาของเขาอีก “ประธานหลิว มีคำพูดอะไร คุณก็พูดกับคุณฉู่ตรง ๆ ได้เลยค่ะ” กู้รั่วเสวี่ยนิ่วหน้า กวาดตามองหลิวฉางเจียงแวบหนึ่ง ลอบด่าในใจว่าไอ้แก่หื่นกามนี่ “อะ...อ้อ ใช่ ๆๆ!” หลิวฉางเจียงถึงค่อยเก็บสายตารุกรานอย่างเต็มเปี่ยมกลับมา ก่อนจะหันหน้ามองไปทางฉู่เฉินแล้วพูดว่า “คุณฉู่ ฉางเจียงกรุ๊ปของเราอยากเป็นตัวแทนจำหน่ายยาบำรุงปราณของคุณในมณฑลซานมาก ๆ เลยครับ ไม่ทราบว่าประธานฉู่มีเงื่อนไขอะไรสำหรับร้านตัวแทนจำหน่ายบ้างไหมครับ?” ฉู่เฉินดื่มน้ำชาพลางขมวดคิ้วกล่าวว่า “เงื่อนไขไม่สูงครับ เพียงแต่ว่าเรื่องส่วนแบ่ง ทางคุณจำเป็นต้องยอมถอยมากหน่อย”“หมายความว่ายังไงครับ?” หลิวฉางเจียงมองฉู่เฉินอย่างไม่เข้าใจ ตามกฎในวงการยา ทุกคนจะได้ส่วนแบ่งกันคนละครึ่ง ถึงอย่างไรฝ่ายหนึ่งมีสิน
“ต่อให้เป็นหกต่อสี่ ผมก็รับได้”นี่เป็นขีดจำกัดล่างของหลิวฉางเจียงแล้ว ถึงอย่างไรในมือของเขาก็กุมทรัพยากรช่องทางของมณฑลซานไว้ไม่น้อย คิดว่าตัวเองมีต้นทุนต่อกรกับฉู่เฉินได้!ฉู่เฉินเล่นซ่อนหากับเท้าเล็ก ๆ ของปี้เวยใต้โต๊ะพลางเอ่ยอย่างไม่แสดงอารมณ์ว่า “ประธานหลิว ขอโทษมาก ๆ ครับ ไม่มีใครสามารถตั้งกฎให้ผมได้” สิ้นเสียงพูด ฉู่เฉินก็หน้าเปลี่ยนสีติดต่อกันหลายครั้งเท้าเล็ก ๆ ที่เดิมทีมีเพียงข้างเดียวใต้โต๊ะได้เปลี่ยนเป็นสองข้างแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังฉวยโอกาสตอนรินชา โน้มตัวมาข้างหน้าอย่างจงใจเมื่อมองจากมุมของฉู่เฉิน ปรากฏภาพที่ชวนให้หวั่นไหวแม้แต่ฉู่เฉินก็ต้านทานสถานการณ์นี้ไม่ไหวนิดหน่อยเช่นกัน เขาหายใจหนักขึ้นเล็กน้อยอย่างควบคุมไว้ไม่อยู่กู้รั่วเสวี่ยที่อยู่ทางด้านข้างเห็นฉู่เฉินมีสีหน้าไม่สู้ดี อีกทั้งหายใจแรงขึ้นเล็กน้อย เธอก็รีบยื่นมือไปแตะหน้าผากของฉู่เฉินแล้วพูดว่า “ฉู่เฉิน พี่เป็นอะไร คงไม่ได้ไม่สบายหรอกใช่ไหม?” “มะ...ไม่เป็นไร แค่คอแห้งนิดหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”ฉู่เฉินฝืนยิ้มให้กู้รั่วเสวี่ยหลิวฉางเจียงที่อยู่ทางด้านข้างเห็นฉู่เฉินไม่ยอมถอยให้เลย สีหน้า
หลังจากสิ้นเสียงพูด กู้รั่วเสวี่ยยังไม่ทันเอ่ยปาก ฉู่เฉินพลันลุกขึ้นมาอุ้มกู้รั่วเสวี่ยแล้ววางเธอลงบนโต๊ะทำงาน “เพล้ง!” ชุดน้ำชาบนโต๊ะถูกชนจนตกลงพื้น ถ้วยจานกระจายบนพื้นทันทีพูดตามตรง เมื่อกี้ฉู่เฉินถูกยั่วจนทนไม่ไหวนิดหน่อยแล้วจริง ๆ ถ้าเกิดหลิวฉางเจียงไม่ไปอีก ฉู่เฉินก็คงจะไล่เขาออกไปแล้วโชคดีที่หลิวฉางเจียงรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ถึงทำให้เขาลดการถูกสวมเขาไปได้ชั่วคราว “ทำไมวันนี้รีบร้อนขนาดนี้คะ? คิดถึงฉันใช่หรือเปล่า?”เสียงของกู้รั่วเสวี่ยสั่นเครือ เอ่ยปากพูดพลางหายใจถี่กระชั้น จากนั้นเธอก็ยื่นมือไปโอบคอของฉู่เฉินแล้วกดใบหน้าของฉู่เฉินตรงเข้ามาที่หน้าอก แควก! เสื้อคลุมของกู้รั่วเสวี่ยโดนฉู่เฉินฉีกลงมาทันทีในตอนนี้เอง จู่ ๆ กวนเหล่ยก็ผลักประตูเดินเข้ามา เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ประธานฉู่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น...” เธอเพิ่งจะพูดไปได้ครึ่งเดียวก็หยุดชะงัก พอเห็นฉู่เฉินกำลังจูบกู้รั่วเสวี่ยอย่างร้อนแรง ดวงหน้าเล็กของกวนเหล่ยก็แข็งค้างในพริบตา “นี่ไม่ใช่เรื่องของเธอ รีบออกไปซะ!”กู้รั่วเสวี่ยรีบดึงสาบเสื้อ ตวาดเบา ๆ ด้วยสีหน้าที่แฝงไปด้วยความเขินอายเล็กน้อย “อ้อ...
“สวี่เจี๋ย ฉันบอกนายชัดเจนแล้วไงว่าถ้าไม่มีธุระอะไร อย่ามาที่บริษัทของฉัน ฉันกำลังทำงานอยู่นะ เข้าใจหรือเปล่า!” สวี่เจี๋ยคิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ กวนเหล่ยจะระเบิดอารมณ์ใส่เขาอย่างรุนแรง เขาตกตะลึงก่อน จากนั้นถึงค่อยอธิบายว่า “เหลยเหล่ย ฉันเป็นห่วงว่ารสชาติอาหารดิลิเวอรีจะไม่ถูกปากเธอ ก็เลยตั้งใจใช้เวลาพักเที่ยงวิ่งกลับบ้านไปทำซี่โครงเปรี้ยวหวานที่เธอชอบกินที่สุดมาให้เธอ”สวี่เจี๋ยกล่าวพลางหยิบกล่องข้าวออกมาเหมือนมอบของขวัญล้ำค่า แล้วเปิดฝาออกอย่างระมัดระวังแต่เขายังไม่ทันยื่นให้กวนเหล่ย จู่ ๆ ดวงหน้าสวยของกวนเหล่ยก็เย็นชาขึ้นมา เธอสะบัดมือปัดกล่องข้าวในมือของเขาจนคว่ำลงพื้น! “สวี่เจี๋ย! ฉันขอเตือนนายไว้เลยนะ ถ้านายมาที่บริษัทฉันอีกไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่ก็ตาม พวกเราสองคนเลิกกัน!” “อีกอย่าง ไม่มีใครเห็นค่าซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานห่วย ๆ ของนายหรอก! ไปให้พ้น!” กวนเหล่ยก้าวข้ามกล่องข้าวบนพื้น ขี้เกียจแม้แต่จะสนใจแฟนหนุ่มไร้ค่าคนนั้นของเธอหลังจากปิดประตูห้องทำงานดังปัง กวนเหล่ยเปลี่ยนเป็นชุดเดรสเซ็กซี่เมื่อเช้านี้อย่างคล่องแคล่ว แถมยังตั้งใจเติมเครื่องสำอางให้ตัวเอง ชื่นชมรูปร่างอวบอิ่มของ
แม้ว่าจะไม่มีตึกสูง แต่ที่นี่ก็มีสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่บางชนิดจำหน่ายด้วยเหมือนกันหลังจากฟังคำแนะนำของหลิงเสวี่ย ฉู่เฉินก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ได้ งั้นไปที่เมืองชิงหลงกันก่อน”อันที่จริง ในด้านหนึ่งฉู่เฉินต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกแห่งการหยั่งรู้ และในอีกด้านหนึ่งก็ต้องการค้นหาวัตถุดิบยาในเมืองชิงหลงด้วยอย่างไรก็ตาม ตอนนี้เจ้าทึ่มก็ถึงคอขวดแล้ว และจำเป็นต้องคิดหาวิธีที่จะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นผีดิบเหินฟ้าโดยเร็วที่สุดไม่อย่างนั้น ฉู่เฉินก็คงจะขาดคู่ซ้อมที่แข็งแกร่งไปคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ“คุณจะไปเมืองชิงหลงจริงๆ เหรอ? คุณควรรู้ไว้ว่าตอนนี้คุณในโลกแห่งการหยั่งรู้ก็เหมือนกับเป็นสมบัติที่มีชีวิต ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไหร่ที่กำลังเล็งคุณอยู่”หลิงเสวี่ยกล่าวพลางขมวดคิ้วแน่นไม่ใช่ว่าเธอเป็นห่วงฉู่เฉินมากขนาดนั้น แต่ถ้าฉู่เฉินตกอยู่ในอันตราย เธอก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย“เมื่อวานเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ยังมีใครกล้าคิดร้ายกับผมอีกงั้นเหรอ?”ฉู่เฉินถามด้วยความสงสัยชิ!หลิงเสวี่ยกลอกตามองฉู่เฉินและกล่าวด้วยสีหน้าจนใจ “คุณคิดว่าเหตุการณ์เมื่อวานนี้จะสร้างความฮือฮาได้มากขนาดไหน แม้ว่า
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนอดหน้ามืดไม่ได้ แทบจะเป็นลมคาที่นี่ไม่อาจใช้คำว่ามากเกินไปมาบรรยายฉู่เฉินได้แล้ว ปรมาจารย์ฝืนข่มกลั้นโทสะในใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ ว่า “คุณฉู่ คุณไม่คิดว่าข้อเรียกร้องของคุณมันมากเกินไปเลยหรือไง?”“ฆ่าคนก็แค่เอาหัวโขกพื้น คะ...คุณเห็นวังเทียนเจี้ยนของผมรังแกง่ายจริง ๆ เหรอ?” ฉู่เฉินหัวเราะหยัน กวาดตามองปรมารจารย์ว่านเจี้ยนแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “รังแกคุณแล้วยังไง? เอาของตามใบรายการนี้มา แล้วผมจะหันกายจากไปโดยไม่พูดอะไรเลย”“ถ้าคุณกล้าพูดคำว่าไม่สักคำละก็ ผมก็มีวิธีทำให้วังเทียนเจี้ยนของคุณหายวับไปกับตา” ข่มขู่ ข่มขู่กันอย่างโจ่งแจ้ง“ไอ้คนแซ่ฉู่ แกเหิมเกริมไปแล้ว...” ไม่รอให้ศิษย์ของวังเทียนเจี้ยนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่เอ่ยปาก ปรมารจารย์ว่านเจี้ยนก็รีบยกมือห้ามเอ่ยว่า “หุบปากให้หมด!” หลังจากผ่านเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เวลานี้ปรมารจารย์ว่านเจี้ยรไม่สงสัยความสามารถของฉู่เฉินเลยสักนิดเดียวอย่างแย่ที่สุด ฉู่เฉินก็สามารถลากวังเทียนเจี้ยนให้ตายตกตามกันได้ต้องรีบไล่ตัวซวยคนนี้ออกไปโดยเร็วที่สุดถุงจะถูกเมื่อคิดได้ดังนั้น ปรมาจ
ไม่อย่างนั้น เธอก็คงไม่มีทางกระโดดจากสาวใช้ธรรมดา ๆ กลายเป็นสุดยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานชั้นแปดภายในระยะเวลาห้าปีสั้น ๆ หรอก แต่ว่าฉู่เฉินรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?เมื่อเห็นหลิงเสวี่ยตะลึงจนพูดไม่ออก ฉู่เฉินก็แหงนหน้าหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ดูท่าจะตรงตามที่ผมเดาไว้จริง ๆ ปรมาจารย์คนดีของคุณอยากเลี้ยงคุณจนสมบูรณ์แล้วค่อยดูดกลืนคุณจนแห้งไงละ” เมื่อหลิงเสวี่ยได้ยินคำพูดนี้ พลันร้อนใจขึ้น ถลึงตามองฉู่เฉินอย่างเย็นชาและกล่าว “ฉู่เฉิน ห้ามคุณพูดจาเหลวไหลนะ”ถึงแม้ว่าปรมาจารย์ว่านเจี้ยนจะเห็นเธอเป็นของชิ้นหนึ่ง มอบเธอให้ฉู่เฉิน แต่ว่าสำนักเคยมีบุญคุณกับเธอจริง ๆ“พูดจาเหลวไหล? กลัวว่าคุณโดนคนอื่นขายแล้ว ยังช่วยเขานับเงินด้วยละมั้ง?”ฉู่เฉินหัวเราะหยัน จากนั้นก็อธิบายวิชาบำเพ็ญคู่ให้ฟังสั้น ๆ และบอกเรื่องคุณสมบัติร่างกายพิเศษอย่างร่างธาตุสวรรค์บริสุทธิ์ว่ามีประโยชน์มากเท่าไหร่ต่อผู้ฝึกวิชาบำเพ็ญคู่ให้ฟังตามความเป็นจริง หลังจากฟังคำพูดนี้ของฉู่เฉินจบก็ทำลายสามมุมมองของหลิงเสวี่ยอย่างแท้จริง “เป็นไปไม่ได้ ต้องไม่ใช่ความจริงแน่นอน ท่านปรมาจารย์มักจะสอนพวกเราว่าผู้บำเพ็ญเพียนต้องทำ
ถึงแม้ว่าในใจของปรมาจารย์ว่านเจี้ยนจะไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แต่ก็ทำได้เพียงปล่อยให้ฉู่เฉินจูงมือหลิงเสวี่ยเดินเข้าไปในเรือนเจ้าสำนักที่เขาอาศัยอยู่ ในตอนที่ฉู่เฉินปิดประตูห้องจนสนิท พวกศิษย์ของวังเทียนเจี้ยนต่างก็เผยสีหน้าเจ็บปวดและไม่ยินยอมออกมาจบแล้ว!เทพธิดาในใจของพวกเขา น้องศิษย์เล็กที่พวกเขาเฝ้าปรารถนา โดนไอ้เดรัจฉานฉู่เฉินย่ำยีแบบนี้แล้วเมื่อผลักประตูเดินเข้าไปในห้องนอนด้านใน ฉู่เฉินก็อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ไอ้แก่ตายยากอย่างปรมาจารย์ว่านเจี้ยนคนนี้เสพสุขเก่งจริง ๆ บนเตียงหยกน้ำแข็งมีอุปกรณ์ของเล่นต่าง ๆ ครบครัน นอกจากนี้ยังมีหมอนรองเอวโดยเฉพาะอีกด้วยไอ้เชี่ยนี่ เฒ่าหัวงูถึงจะเป็นคนตัณหากลับ จริง ๆ เมื่อเห็นเฟอร์นิเจอร์ในห้องปรมาจารย์ว่านเจี้ยน หลิงเสวี่ยก็อดขมวดคิ้วไม่ได้พลางกล่าวว่า “ทำไมในห้องของปรมาจารย์ถึงจะมีหมอนสองใบล่ะ อีกอย่าง ทำไมหมอนใบนี้ดูไปแล้ว ไม่ค่อยเหมือนเลย?” หลิงเสวี่ยพูดพลางเอื้อมมือจะไปหยิบหมอนรองเอวใบนั้นขึ้นมา แต่โดนฉู่เฉินขวางไว้ทันที“อีกเดี๋ยวคุณก็จะรู้เองว่าหมอนใบนี้เอาไว้ใช้ทำอะไร เข้ามาสิ”ระหว่างที่พูด ฉู่เฉินก็ดึงหลิงเสวี่ยให้นั่งลงข้างเตียง
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ พวกว่านโซ่วเซียนเวิงก็ถอนหายใจติดต่อกันด้วยสีหน้าเสียดายในตอนนี้เอง แผ่นกระดาษสีขาวที่เขียนตำรับยาสร้างกล้ามเนื้อพลันลอยมาจากในวังเทียนเจี้ยน“ผู้อาวุโสทั้งหลาย ขอบคุณครับ”วินาทีต่อมา เสียงของฉู่เฉินดังออกมาจากห้องโถงใหญ่ของวังเทียนเจี้ยนพวกว่านโซ่วเซียนเวิงรับสูตรยาที่ฉู่เฉินส่งมา ก่อนจะมองไปทางตำหนักหลักของวังเทียนเจี้ยนอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง“พวกเราไปกันเถอะ”ว่านโซ่วเซียนเวิงคัดลอกสูตรยาไว้หนึ่งชุด แล้วก็พาลูกศิษย์แห่งสำนักว่านเซียนหันกายเดินจากไป“เหอะ ๆ... ไอ้หนูมีน้ำใจแล้ว ถือว่าฉันติดหนี้บุญคุณเธอแล้ว ไว้พบกันใหม่”ผู้เฒ่าเทียนเสวียนก็คว้าสูตรยามาเช่นกันก่อนจะคัดลอกทันที จากนั้นเขาก็หันกายพาหลินเจี้ยนเฟิงลอยจากไปไม่นานนัก ผู้คนที่มามุงดูความคึกคักรอบนอกวังเทียนเจี้ยนก็ทยอยกันแยกย้ายไปหมดฉู่เฉินมองปรมาจารย์ว่านเจี้ยนที่หน้าแดงก่ำดูอับอายอย่างยิ่งยวด ก่อนจะหัวเราะหยันแล้วพูดว่า “เมื่อกี้คุณบอกว่าใครใกล้ตายนะ?”ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนมองฉู่เฉินพลางกัดฟันกรอด แม้ว่าตอนนี้ภัยคุกคามของวังเทียนเจี้ยนจะถูกขจัดไปแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่กล้าแตะต้องฉู่เฉ
เวลานี้เอง ทุกคนในเหตุการณ์ตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก ไม่มีใครคาดคิดว่าลู่ชิงเฟิงจะโกรธจริง ๆนอกจากนี้ ประตูใหญ่ของวังเทียนเจี้ยนโดนทำลาย วันหน้าสถานะของวังเทียนเจี้ยนในหมู่สำนักรอบนอกภูเขาหลางจวีซวีย่อมลดลงไปอีกขั้นอย่างแน่นอแม้ว่าปรมาจารย์ว่านเจี้ยนในตอนนี้จะร้องทุกข์มิรู้วาย แต่ก็ไม่กล้าแสดงสีหน้าไม่พอใจเลยสักนิดเดียวเวลานี้จื่อเยว่ที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนก็ต้องชื่นชมความโชคดีของฉู่เฉินเช่นกันถึงแม้ความสามารถของเขาจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่อาศัยสติปัญญาและแผนการเรียกยอดคนอย่างลู่ชิงเฟิงออกมายืนอยู่ฝ่ายเขาได้นับว่าผ่านด่านยากตรงหน้าได้ชั่วคราวแล้วจริง ๆ “ศิษย์พี่หญิง ฉู่เฉินคงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับลู่ชิงเฟิงใช่ไหม?”หลิงรั่วกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา“เกี่ยวข้องกับลู่ชิงเฟิง? ไม่มีทางหรอก!”จื่อเยว่หัวเราะหยันพลางส่ายศีรษะลู่ชิงเฟิงนั้นเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของวังเต๋าคุนหลุน ถึงแม้จะไม่ใช่เจ้าสำนัก แต่ในวังเต๋าคุนหลุน นอกจากผู้เฒ่าผู้แก่ที่ปลีกวิเวกไม่ออกมาเหล่านั้นแล้ว เขาก็เป็นตัวแทนพลังรบสูงสุดเลยก็ว่าได้แม้ว่าฉู่เฉินเพียงแค่รู้จักลู่ชิงเฟิงเท่านั้น แ
มันอยู่เหนือระดับที่พวกเขาสามารถประมาณค่าได้ไปแล้ว!นักพรตแห่งน้ำไฟผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานเมื่อกี้ ตอนนี้ก็เหงื่อเย็นแตกพลั่ก ไม่กล้าแม้แต่จะปฏิเสธแม้แต่คำเดียวเมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของปรมาจารย์ว่านเจี้ยนก็เปลี่ยนไปทันที มองสำรวจฉู่เฉินด้วยรอยยิ้มเยาะและกล่าวว่า “เจ้าหนู ดูเหมือนว่าการคำนวณของมนุษย์จะสู้การคำนวณของสวรรค์ไม่ได้จริงๆ คุณคงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยใช่ไหมล่ะ”“ยังกล้าให้ฉันมอบศิษย์ไปอุ่นเตียงให้แกอีกเหรอ? หึ!”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนก็แค่นเสียงเย็นและกล่าวว่า “ฉันแนะนำให้แกรีบส่งหยกโลหิตกิเลนมา แล้วฆ่าตัวตายรชดใช้ความผิดต่อหน้าฉันซะ ไม่งั้น...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ในดวงตาของปรมาจารย์ว่านเจี้ยนก็ระเบิดรังสีอำมหิตออกมาสองสายสถานการณ์พลิกผันเร็วเกินไป จนกระทั่งหลิงเสวี่ยยังไม่ได้สติ แต่ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนไม่เปลี่ยนสีหน้าเร็วเกินไปหน่อยเหรอ?ฉู่เฉินหรี่ตาลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณแน่ใจเหรอ?”“หึ เจ้าหนู ใกล้ตายแล้ว อย่าดิ้นรนไปให้เปลืองแรงเลย!”ขณะกล่าว ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนก็ชักกระบี่ออกมาทันที กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวของผู้แข็งแกร่งระดับควบแ
หลิงเสวี่ยมองปรมาจารย์ว่านเจี้ยนผู้เป็นดั่งเทพเจ้าในใจของเธอ ที่ขณะนี้กลับกำลังก้มหัวคำนับให้ฉู่เฉิน ความรู้สึกก็ซับซ้อนอย่างยิ่งหรือเป็นอย่างที่ฉู่เฉินเคยกล่าวไว้ ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนที่เธอเคารพราวเทพเจ้ามาโดยตลอด ช่างดูเล็กจ้อยราวกับมดตัวหนึ่งจริงเหรอ?เธอไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่ทั้งหมดนี้ เธอก็เถียงไม่ออก“ปะ… ปรมาจารย์…”น้ำตาของหลิงเสวี่ยไหลพรากลงมาแต่เธอไม่ได้ร้องไห้ให้ปรมาจารย์ว่านเจี้ยน แต่เป็นความเชื่อของตนที่ยึดมั่นมาหลายปี ที่ในเวลานี้มันพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง“ปรมาจารย์?”ฉู่เฉินจ้องปรมาจารย์ว่านเจี้ยนอย่างเย็นชา ก่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า “งั้นผมขอถามคุณหน่อยว่าคุณส่งพ่อแม่ของผมไปให้ใครต่อ”ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไปที่ฉู่เฉินแล้วกล่าวว่า “คุณฉู่ คุณอย่าถามเลย ผมพูดไม่ได้ แค่ผมพูดตัวตนของอีกฝ่ายออกมาก็จะระเบิดเป็นหมอกโลหิตทันที”ซี้ด ซี้ด!เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉู่เฉินก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็เข้าใจทันทีว่าปรมาจารย์ว่านเจี้ยนก็ถูกคนลงยันต์คุมวิญญาณเช่นกัน ตราบใดที่เอ่ยตัวตนของอีกฝ่ายออกมา ก็จะระเบิดกลายเป็นหมอกโลหิตเหมือนกับเกาเซ
ประตูหินหมื่นชั่งที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่แล้ว หลังจากเหตุการณ์นี้ก็ยิ่งสั่นคลอนมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าประตูกำลังจะถูกทำลาย ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนก็ร้อนใจแทบจะกระอักเลือดออกมาแต่ในขณะนี้ ว่านโซ่วเซียนเวิงและคนอื่นๆ ที่โจมตีมานานแต่ยังไม่สำเร็จ ก็เรียกเทพสังหารและคนอื่นๆ ให้เข้าร่วมการต่อสู้ด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวนับไม่ถ้วนถาโถมเข้าใส่ประตูหินหมื่นชั่ง และศิษย์จำนวนไม่น้อยที่เฝ้าดูแลประตูหินหมื่นชั่งก็ถูกแรงสั่นสะเทือนกระแทกจนเลือดสาดแม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ถานเฟิงยังกระอักเลือดล้มลง หมดเรี่ยวแรงในขณะนี้ ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนก็หวาดกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆถ้าประตูภูเขาถูกทำลายลงและว่านโซ่วเซียนเวิงและพวกพ้องไม่ได้รับหยกโลหิตกิเลน แน่นอนว่าจะต้องระบายความโกรธกับศิษย์ของวังเทียนเจี้ยนและทั้งวังเทียนเจี้ยนคงต้องนองไปด้วยเลือดเป็นแน่“คุณ...คุณฉู่ ขอร้องคุณแล้ว รีบออกไปจากที่นี่เถิด วิหารของวังเทียนเจี้ยนของผมเล็กเกินไปที่จะรองรับคนใหญ่คนโตเช่นคุณได้”ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนคุกเข่าลงพร้อมอ้อนวอนน้ำตานองหน้าเมื่อเห็นฉากนี้ หลิงเสวี่ยสับสนไปหมดแล้วทุกอย่างเป็นไปตามที่ฉู่เฉินกล่าวไว้จริงๆ