หลิ่วชิงเหอขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมพูดขึ้นมา “หรูเยียน อย่าลืมนะ จงอาหู่เป็นคนของสำนักเฟิ่ง ทุกเรื่องต้องมีขอบเขต อย่าทำเกินไป เพราะว่าสำนักเฟิ่งไม่ใช่คนที่เราจะไปยุ่งด้วยได้”หลิ่วหรูเยียนพยักหน้า “วางใจเถอะค่ะ หนูรู้ว่าต้องทำอย่างไร”พูดเสร็จ หลิ่วหรูเยียนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทรหาหลี่ก่านอีกด้านหนึ่ง หลี่ก่านที่กำลังดื่มและพูดคุยอยู่ในห้องเทียนจื่อเบอร์หนึ่งที่หยู่เซียงจวีกับจินเจิ้นหลง และเจ้าใหญ่นายโตในแวดวงอสังหาริมทรัพย์หลี่ก่านรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจที่จู่ๆ ก็ได้รับสายจากหลิ่วหรูเยียนพูดตามตรง เขาน้ำลายไหลกับหลิ่วหรูเยียนมานานแล้วน่าเสียดายที่เธอเป็นถึงผู้จัดการคนสวยแห่งฉู่ซื่อกรุ๊ป ฐานะหลายพันล้านแต่หลี่ก่านจะไม่ค่อยมีชื่อเสียง กลับเป็นแค่เจ้าสำนักแห่งสำนักมวยเท่านั้นเอง แม้ว่าใจจะคิดไม่ซื่อ แต่ก็ไม่มีความกล้านั้นมากพอโดยที่ผ่านมาเขาทำได้แค่มองหลิ่วหรูเยียนจากไกลๆ ไม่กล้าแม้แต่จะล้ำเส้นไปแต่กลับคิดไม่ถึงว่า วันนี้หลิ่วหรูเยียนจะเป็นฝ่ายติดต่อเขามาเอง สิ่งนี้ทำให้เขามีความสุขมาก“อาจารย์ครับ ผมขอตัวไปรับโทรศัพท์ข้างนอกก่อนนะครับ อีกเดี๋ยวก็กลับมาแล้วครับ”หลี่ก
เหล่าเจ้าใหญ่นายโตวงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่บริเวณข้างๆ ต่างพากันถกเถียงระหว่างที่ฟังคนอื่นถกเถียงกันอยู่นั้น เกาหงเจี้ยนพูดและหัวเราะอย่างผยองว่า “โกหก โกหกทั้งนั้น”“เอ๋? ดูจากที่ประธานเกาพูด อาจจะมีช่องทางแบบนั้นก็ได้?”หลายๆ คนต่างพาสายตาจับจ้องไปที่เกาหงเจี้ยนที่จริงแล้วสาเหตุที่เกาหงเจี้ยนนำยาบำรุงปราณออกมาก็ ก็เพียงแต่ต้องการโอ้อวดต่อหน้าสาธารณชนแค่นั้นเองเมื่อเห็นว่าความสนใจของทุกคนถูกดึงดูดโดยยาบำรุงปราณในมือของเขาจริงๆ เขาก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจและกล่าวว่า “อันที่จริงแล้วยาบำรุงปราณนี่มาจากมือของจงอาหู่”“ที่อยู่ในมือผมไม่กี่เม็ดนี่ ก็เป็นเสี่ยวตงซื้อมาจากจงอาหู่”“หากท่านทั้งหลายสนใจ ผมสามารถพิจารณาแบ่งจากในมือของผมให้ได้ไม่กี่เม็ดนะ แต่ว่าราคานั้น...”เขายังพูดไม่จบ ชายวัยกลางคนที่มีหัวอ้วนและมีหูใหญ่อยู่ข้างๆ เขายื่นมือตบแล้วพูดว่า “ยี่สิบห้าล้าน!”เฮ้ย!จินเจิ้นหลงได้ยินที่ฝ่ายตรงข้ามพูดราคาไป เขารู้สึกกระตุกที่หัวใจ ตะเกียบที่ถูกถืออยู่ในมือก็แทบจะถือไม่แน่น หล่นลงบนพื้นยาบำรุงปราณเม็ดเล็กๆ เม็ดเดียวราคาตั้งยี่สิบห้าล้านเชียวเหรอ?!เช่นนั้นเขาผิดพลาดอะไรไปก
เชี่ย!เรียวขายาวและเนียนขาวของหลิ่วหรูเยียน รวมถึงหน้าอกอวบอิ่มที่ไหวไปตามจังหวะย่างก้าวของเธอ จงอาหู่และลูกน้องอีกคนต่างก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้หลิ่วหรูเยียนเปรียบเสมือนสินค้าพรีเมี่ยมเลยจริงๆ“อะแฮ่ม!”หลี่ก่านที่อยู่ข้างหลังหลิ่วหรูเยียน เห็นสายตาของจงอาหู่ที่เต็มไปด้วยความหื่นกระหาย จึงกระแอมเสียงดังจงอาหู่จึงได้สติกลับมา ก่อนหันไปพูดกับลูกน้องที่อยู่ข้างๆ ว่า “แกตาบอดรึไง ไม่รู้จักผู้จัดการใหญ่หลิ่วได้ยังไง?”พูดจบ เขาก็หันไปมองฉีกยิ้มให้หลิ่วหรูเยียนกับหลี่ก่าน “ทั้งสองท่านเชิญนั่งก่อนครับ”จากนั้นก็หันไปพูดกับลูกน้องที่อยู่ข้างหลังอีกว่า “ยังไม่รีบไปรินชาให้ผู้จัดการใหญ่กับหัวหน้าหลี่อีก”“ครับๆๆ!”ลูกน้องคนนั้นรีบชงชา และนำไปเสิร์ฟตรงหน้าหลิ่วหรูเยียนกับหลี่ก่าน จากนั้นก็เดินไปยืนอยู่เงียบๆ อยู่ด้านข้างจงอาหู่เดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะทำงาน นั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับหลิ่วหรูเยียนและหลี่ก่าน เขาฉีกยิ้มพลางเอ่ยว่า “ทั้งสองท่าน ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรครับ?”“ถ้ามาหาเจ๊ใหญ่ ต้องขออภัยจริงๆ วันนี้เจ๊ใหญ่มีธุระ ค่อยมาวันหลังดีกว่านะครับ”อย่างไรเขาก็เป็นแค่คนขับรถ ในขณะที่หลิ่
เมื่อถึงตอนนั้น เธอจะลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับฉู่เฉิน และใช้ยาบำรุงปราณในมือกำจัดบริษัทเล็กๆ ของไอ้ฉู่เฉินให้สิ้นซาก ทำให้มันไม่มีทางลุกขึ้นมาได้อีก!พอเห็นจงอาหู่เงียบไปนาน หลิ่วหรูเยียนอดหยักยิ้มมุมปากอย่างย่ามใจไม่ได้ ก่อนจะพูดต่อว่า“พี่อาหู่ พี่วางใจได้ ขอแค่พี่เอายาบำรุงปราณมาให้ฉัน ด้วยกำลังของบริษัทเรา ย่อมจัดการปัญหาทั้งหมดนี้ได้อยู่แล้ว”“เพียงแต่ ต้องแบ่งผลประโยชน์กันอย่างยุติธรรม พี่สามฉันเจ็ด”“ถ้าพี่อาหู่ตัดสินใจเองไม่ได้ อย่างนั้นพี่ก็เชิญแพทย์แผนจีนอาวุโสที่พี่พูดถึงออกมา พวกเรามาเจรจากัน ยังไงฉันก็ไม่เอาเปรียบพี่อยู่แล้ว”“ถึงพี่จะได้ส่วนแบ่งน้อยหน่อย แต่ยังไงก็ยังดีกว่าพี่ต้องเข้าคุกเพราะขายสินค้าไม่ได้มาตรฐานใช่ไหมล่ะ?”คำพูดที่เหลือของหลิ่วหรูเยียน เรียกได้ว่าแทบจะเขียนคำว่า ‘ข่มขู่’ ติดไว้บนหน้าผากเลยทีเดียวความหมายก็คือ หากจงอาหู่ไม่ยอมรับเงื่อนไขของเธอ เธอก็จะไปแจ้งเรื่องกับศูนย์การแพทย์เดี๋ยวนี้!ถึงตอนนั้น ด้วยเส้นสายและอำนาจของหลิ่วหรูเยียน เธอจะทำให้จงอาหู่ติดคุกให้ได้อวดดี!อวดดีเกินไปแล้ว!แม้แต่ลูกน้องคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างๆ พอได้ยินคำพูดของหลิ่วหรู
“เดี๋ยวก่อน!”ขณะที่หลิ่วหรูเยียนสาวเท้าไปถึงหน้าห้อง เสียงของจงอาหู่ดังขึ้นมาอีกครั้ง“มีอะไร?”หลิ่วหรูเยียนหันไปมองจงอาหู่อย่างเย็นชา“คุณหลิ่ว คุณไม่จำเป็นต้องโกรธ อีกสามวัน ที่ล็อบบี้ของโรงแรมเทียนเฟิ่ง จะมีการจัดพิธีเปิดตัวยาบำรุงปราณ ถึงตอนนั้นคุณสามารถมาร่วมงานในฐานะตัวแทนของตระกูลฉู่ก็ได้นะครับ”“ไม่แน่ว่า แพทย์แผนจีนอาวุโสท่านนั้นอาจจะเห็นแก่ที่บริษัทของพวกคุณมีอิทธิพลในวงการแพทย์อยู่บ้าง แบ่งยาบำรุงปราณให้ฉู่ซื่อกรุ๊ปของพวกคุณสักหน่อยก็ได้”จงอาหู่พูดด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ“ฮึ! เรากลับกันเถอะค่ะ!”หลิ่วหรูเยียนกระทืบเท้าเล็กๆ ของเธออย่างแรง จากนั้นก็สาวรองเท้าส้นสูงออกจากห้องทำงานของจงอาหู่อย่างกระฟัดกระเฟียด“คุณหลิ่ว รอผมด้วยครับ!”หลี่ก่านรีบหยิบยาบำรุงปราณที่อยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็ตามออกไป……หลังจากที่หลิ่วหรูเยียนออกไป จงอาหู่โบกมือสั่งลูกน้องที่อยู่ข้างกายว่า “แกไปทำงานเถอะ ถ้ามีใครมาหาฉันอีก ให้บอกไปว่าฉันไม่อยู่”“เข้าใจแล้วครับ!”ลูกน้องคนนั้นพยักหน้า ก่อนจะโค้งหัวแล้วถอยออกจากห้องทำงานไปผ่านไปครู่ใหญ่ จงอาหู่ล้วงโทรศัพท์ออกมาโทรศัพท์หาฉู่เฉินเวลานี้
แต่คนที่ยืนอยู่ข้างนอก กลับไม่ใช่หลิ่วหรูเยียน กลับเป็นไอ้เดรัจฉานฉู่เฉิน!“แหม เธอแต่งตัวเซ็กซี่มากเลยนะ”สายตาของฉู่เฉินกวาดมองเรือนร่างที่แทบจะเปลือยเปล่าของหลิ่วชิงเหอตั้งแต่หัวจรดเท้า เอื้อมมือไปจับหน้าอกของเธออย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง“ฉู่เฉิน ไอ้เดรัจฉาน แกบ้าไปแล้วเหรอ?”หลิ่วชิงเหอพยายามหลบมือของฉู่เฉิน เธอวิ่งเข้าไปในห้องรับแขก หยิบมีดปอกผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาแต่เธอยังไม่ทันหันกลับมา ฝ่ามือใหญ่ที่ทรงพลังข้างหนึ่งก็รัดเอวเธอไปกอดจากด้านหลัง“ปล่อยฉันนะ!”หลิ่วชิงเหอพยายามดิ้นขัดขืน แต่จนใจที่ไม่ว่าจะขัดขืนขนาดไหน ก็ไม่สามารถหลุดพ้นพันธนาการจากมือใหญ่คู่นั้นได้“ฉู่เฉิน ฉันขอร้องแกล่ะ อย่าทำที่นี่ หรูเยียน…หรูเยียนใกล้จะกลับมาแล้ว อย่าให้เธอเห็นเด็ดขาด เรา…เราไปที่ห้องของฉันดีไหม?”หลิ่วชิงเหอเอ่ยด้วยสีหน้าอ้อนวอนความจริง ตั้งแต่วินาทีที่ฉู่เฉินรัดเอวเธอไปกอด เธอก็สังหรณ์ใจไม่ดีแล้วเพียงแต่ ความรู้สึกที่ทั้งกลัวและอยากนั่น แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่อาจใช้คำพูดมาบรรยายได้ราวกับว่าในใจของเธอ มีเปลวเพลิงขุมหนึ่งที่กำลังลุกไหม้แต่เธอก็กลัวอีกว่าเปลวไฟขุมนั้นจะแผดเผาเธอ
หลิ่วชิงเหอร้อนใจจนเกือบหลุดปากร้องออกมา แต่สุดท้ายก็ทนไว้ได้หลิ่วหรูเยียนเดินวนรอบห้องรับแขกหลายรอบ พอเห็นว่าในห้องรับแขกไม่มีใครอยู่เลย จึงโยนกระเป๋าลงบนโซฟา จากนั้นก็เดินบิดขี้เกียจขึ้นไปบนห้องนอนชั้นสองแม้จะผ่านไปเพียงไม่กี่นาที แต่สำหรับหลิ่วชิงเหอ มันกลับยาวนานเหมือนผ่านไปหลายปีก็ไม่ปานครั้งนี้ไม่เหมือนกับตอนนั้นที่หลิ่วหรูเยียนหมดสติ เพราะหลิ่วหรูเยียนในตอนนี้อยู่ในสภาวะมีสติครบถ้วน และพวกเขาทั้งสามคนก็อยู่บนโซฟาซึ่งห่างจากหลิ่วหรูเยียนไม่ถึงหนึ่งเมตรแม้หลิ่วหรูเยียนจะทำตัวเหมือนปกติ นั่งดูโทรทัศน์บนโซฟา ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความผิดปกติโดยรอบแล้วทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?นี่มันอะไรกันแน่?ไอ้เดรัจฉานฉู่เฉิน!ป้าอู๋ที่อยู่ข้างๆ ตกใจจนหมดแรง นั่งตัวอ่อนอยู่บนโซฟาเมื่อกี้ตอนที่เสียงเรียกเข้าของเธอดัง เธอตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างโชคดีที่เธอไหวพริบดี รีบโยนโทรศัพท์ไปที่อีกฝั่งของโซฟา ถึงทำให้รอดไปได้อย่างหวุดหวิด……หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า เงาร่างของฉู่เฉินหายลับออกไปจากหน้าต่าง ป้าอู๋รีบเก็บกวาดสิ่งสกปรกบนพื้น ก่อนจะวิ่งเข้าห้องแม่บ้านไปเหมือนคนหนีตายส่วนหลิ
นึกมาถึงตรงนี้ กู้รั่วเสวี่ยหัวเราะกับตัวเอง จากนั้นก็เดินออกจากห้อง ควานหาผ้ากันเปื้อนของสาวใช้มาสวมพอเห็นกู้รั่วเสวี่ยที่ปกติเย็นชาเย่อหยิ่ง หยิบผ้ากันเปื้อนมาใส่ ซ้ำยังฮัมเพลงเดินเข้าไปง่วนอยู่ในครัว แม้แต่เลขาสาวกับพวกคนรับใช้ต่างก็เบิกตากว้าง“คุณหนูคะ งานหยาบแบบนี้ให้พวกเราเป็นคนทำก็ได้ คุณหนูไปพักเถอะค่ะ”สาวรับใช้สองคนรีบเดินเข้ามาเกลี้ยกล่อมด้วยสีหน้ากังวลบอกตามตรง ลูกคุณหนูที่ไม่เคยทำอะไรด้วยตัวเองอย่างกู้รั่วเสวี่ย ไม่เหมาะกับภาพในตอนนี้เลยแค่ท่าทางที่เธอถือมีดไว้ในมือ ก็ทำให้พวกเธอตกใจกลัวจนเหงื่อท่วมได้แล้วทุกครั้งที่เธอสับมีดลงไป เหมือนส่งแรงสะเทือนถึงใจของทุกคนที่เฝ้าดูอยู่ไปด้วยถ้าหากคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลกู้สับโดนนิ้วมือของตัวเอง พวกเธอไม่อยากจะนึกถึงผลที่ตามมาเลยจริงๆ“คุณหนูคะ ท่าทางการจับมีดของคุณหนูได้มาตรฐานสุดๆ ไปเลย แต่งานแบบนี้ให้พวกเสี่ยวลี่เป็นคนทำเถอะ คุณหนูคอยยืนสั่งอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว”เลขาสาวชะโงกหน้าเข้ามาหว่านล้อมกู้รั่วเสวี่ย พยายามเกลี้ยกล่อมเธออย่างใจเย็น“พวกเธอจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ มื้อค่ำวันนี้ ฉันจะทำให้ฉู่เฉินด้วยตัวเอง”กู้รั่วเสวี่ยส
นี่ก็คือสาเหตุสำคัญว่าทำไมแก๊งมังกรถึงได้โดดเดี่ยวไร้พันธมิตรมานานขนาดนี้ถ้าพูดให้ละเอียด ซ่งหนิงซวงก็เป็นคนของโลกแห่งการหยั่งรู้เช่นกันไม่ว่าเธอจะเป็นหนึ่งในขุนพลใหญ่ทั้งแปด หรือว่าเป็นขุนพลเทพพิทักษ์ชาติก็เปลี่ยนแปลงภูมิหลังไม่ได้ว่าเธอเป็นศิษย์ของวังจื่อเซียวเมื่อคิดถึงตรงนี้ ซ่งหนิงซวงพลันมองไปทางฉู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนจะขมวดคิ้วกล่าวว่า “หัวหน้าใหญ่ถาน คุณคงไม่ได้คิดจะบอกว่าคุณฉู่คนนี้ก็จะเข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ด้วยหรอกใช่ไหม?” ถานเฟยหันตัวไปมองฉู่เฉินแวบหนึ่ง เมื่อเห็นฝ่ายหลังพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย ถานเฟยถึงค่อยเอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “พูดตามตรง คุณฉู่เป็นคนแรกที่ให้แหล่งกบดานของสำนักว่านเซี๋ยกับแก๊งมังกรก่อนครับ” “ดังนั้น ปฏิบัติการในครั้งนี้ย่อมต้องมีคุณฉู่อย่างแน่นอน ทำไมครับ? ท่านขุนพลมีความเห็นอะไรเหรอครับ?”ซ่งหนิงซวงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเฉยชา “ไม่มีความเห็นอะไรค่ะ เพียงแต่ว่าเมื่อกี้คุณฉู่คนนี้พูดเอาไว้ไม่ใช่เหรอ? ตัวเขาก็คือที่พึ่งที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้น ปฏิบัติการในครั้งนี้น่าจะไม่ต้องให้ฉันไปลงมือทำอะไรเกินความจำเป็นแล้วสินะ”เมื่อคำพูดนี้ออกมา ทั่วทั้งงา
เมื่อทุกคนได้ยินคำกล่าวก็พากันมองไปทางหน้าประตูจากนั้นก็เห็นเพียงถานเฟยนำเซียวเฟิงและสมาชิกแก๊งมังกรอีกแปดคนเดินเข้ามาในโถงจัดเลี้ยงอย่างองอาจผึ่งผาย“ถานเฟย?”ซ่งหนิงซวงกำหมัด กัดฟันแน่นก่อนจะหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วพูดกับฉู่เฉินว่า “นี่ก็คือที่พึ่งของคุณในการท้าทายฉันเหรอ?”ฉู่เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ผมไม่เคยพึ่งพาใครทั้งนั้น ผมเป็นที่พึ่งของตัวผมเอง”บ้า!แม่งบ้าเกินไปแล้ว!ซ่งหนิงซวงรู้สึกแค่ว่าในหน้าอกเหมือนซ่อนภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุเอาไว้ หน้าอกอวบอิ่มกระเพื่อมติดต่อกัน“ขุนพลเทียนเฟิ่ง ผมหวังว่าคุณใจเย็นลงได้นะครับ”ถานเฟยก้าวมาข้างหน้า ขวางอยู่ระหว่างซ่งหนิงซวงกับฉู่เฉิน ก่อนจะมองซ่งหนิงซวงอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ในฐานะที่เป็นหนึ่งในขุนพลทั้งแปด ผมหวังว่าคุณจะสำรวมตัวเองด้วยนะครับ”“ยาโลหิตวิญญาณคืออะไร คุณรู้ดีแก่ใจตัวเอง คุณฉู่ปฏิเสธคุณก็สมเหตุสมผลแล้ว” เมื่อคำพูดนี้ออกมาก็เหมือนกับมีไฟลุกโชนอยู่ภายในดวงตางดงามของซ่งหนิงซวงถึงแม้ถานเฟยจะไม่ได้พูดชัดเจน แต่คำพูดของเขายืนยันคำพูดของฉู่เฉินทางอ้อม นี่ไม่เท่ากับบอกว่าเธอเกิดอารมณ์ตัณหาจนควบคุมไม่ไหวแล
เมื่อสิ้นเสียงพูด ฉู่เฉินค่อย ๆ วางถ้วยชาลง ฟึบ!จากนั้นก็เห็นน้ำชาในถ้วยชาก่อตัวเป็นน้ำวน ต่อมาหยดน้ำที่สาดกระเซ็นออกมาหนึ่งหยดพลันพุ่งไปหาเฉินเยว่เอ๋อร์ราวกับลูกกระสุนผัวะ!เฉินเยว่เอ๋อร์ยังไม่ทันได้สติกลับมา น้ำชาหยดนั้นก็กระแทกหมวกของเธอจนกระเด็นออกไปทันที หยดน้ำทะลวงหิน ใบไม้สังหารคนนี่คือสัญลักษณ์ของระดับสร้างรากฐานชั้นห้าแม้แต่นัยน์ตางดงามของซ่งหนิงซวงก็แข็งทื่อไปในพริบตาฉู่เฉินเป็นยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานชั้นห้าเหรอเนี่ย?“ตอนนี้เข้าใจหรือยัง?”ฉู่เฉินมองเฉินเยว่เอ๋อร์ที่ตกใจกลัวจนดวงหน้าสวยขาวซีดเล็กน้อย หลั่งเหงื่อเย็น ๆ ราวกับสายฝนตอนนี้เธอไม่สงสัยคำพูดของฉู่เฉินแม้แต่น้อยแล้ว เมื่อกี้ขอเพียงเธอกล้าชักปืนออกมา ฉู่เฉินย่อมมีวิธีการมากกว่าร้อยแบบที่จะสังหารเธอให้ตายดวงตางดงามของซ่งหนิงซวงหรี่ลงเล็กน้อย มองฉู่เฉินด้วยสายตาเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “ฉู่เฉิน คุณทำให้คนรู้สึกประหลาดใจมากจริง ๆ แต่คุณต้องเข้าใจว่าสิ่งที่คุณต่อต้านด้วยในตอนนี้ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นกองทัพของประเทศจีน”“ยาพวกนี้ ทางกองทัพ...”ไม่รอให้ซ่งหนิงซวงพูดจบ ฉู่เฉินก็แค่นเสียงเย็นแล้วโบกมือเอ่ยตัดบทว่
กระบี่แหลมคมออกจากฝัก ปราณกระบี่ราวกับสายรุ้ง!ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อแม้แต่เฉียวเทียนฉี่กับโฮ่วเจี้ยนอิงก็คิดไม่ถึงว่าเฉินเยว่เอ๋อร์จะลงมือสังหารฉู่เฉินถึงแม้ว่าเฉินเยว่เอ๋อร์จะเป็นเพียงรองขุนพลของซ่งหนิงซวง แต่รองขุนพลของขุนพลใหญ่จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร?ลมปราณของผู้แข็งแกร่งระดับสร้างรากฐานชั้นสาม แผ่ออกมาผ่านคมกระบี่ ตรงไปที่จุดตายของฉู่เฉิน“คุณฉู่...”“น้องฉู่...”ปฏิกิริยาของพวกเฉียวเทียนฉี่กับฟางอวี่เจิ้งทำให้ซ่งหนิงซวงขมวดคิ้วขึ้นมาเธอคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าฉู่เฉินจะมีอิทธิพลมากขนาดนี้ในเจียงจง ทุกคนรวมไปถึงผู้ว่าการยืนอยู่ฝั่งฉู่เฉินอย่างเห็นได้ชัดเวลานี้เธอนึกเสียใจภายหลังนิดหน่อยแล้วถ้าเกิดเฉินเยว่เอ๋อร์สังหารฉู่เฉินในกระบี่เดียว เช่นนั้นไม่ใช่แค่โลหิตโอสถศักดิ์สิทธิ์กำลังจะหมดไปเฉย ๆ เท่านั้น พวกเฉียวเทียนฉี่จะต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งแน่นอนถ้าเกิดรายงานไปถึงเมืองหลงจิงก็จะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเธอถึงขนาดที่จะส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติในการเข้าร่วมการแข่งขันชิงตำแหน่งขุนพลเทพพิทักษ์ชาติของเธอด้วยหลิ่วชิงเหอที่นั่งอยู่ทางด้านข้างก็ตกใจ
คนที่มีคุณสมบัตินั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนี้ มีเพียงเฉียวเทียนฉี่และโฮ่วเจี้ยนอิงสองคนเท่านั้นแม้แต่โจวอวี้หมิงก็ได้แต่นั่งดื่มเป็นเพื่อนที่โต๊ะด้านข้างเท่านั้นเมื่อนับรวมเฉินเยว่เอ๋อร์ที่เป็นรองขุนพลของซ่งหนิงซวง ทั้งโต๊ะก็มีแค่สี่คนเท่านั้นฉู่เฉินไม่เกรงใจเช่นกัน เขานั่งลงตรงข้ามซ่งหนิงซวงทันที ก่อนจะยิ้มให้ซ่งหนิงซวงแล้วพูดว่า “คิดว่าถึงยังไงวันนี้ขุนพลหญิงเรียกผมมา คงไม่ได้เชิญผมมาเพื่อดื่มเหล้าแน่นอนหรอกใช่ไหม?”“ผมเป็นคนชอบพูดจาตรงไปตรงมา มีเรื่องอะไรก็ขอให้ขุนพลหญิงพูดให้ชัดเจน”ถึงแม้ว่าฉู่เฉินจะเอ่ยคำพูดนี้ด้วยความเกรงใจมาก แต่ใบหน้ากลับไม่ได้ดูเอาอกเอาใจเลยแม้แต่น้อยซ่งหนิงซวงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “ฉันก็ชอบพูดคุยกับคนฉลาดเหมือนกัน” ซ่งหนิงซวงพูดพลางล้วงใบสั่งยาแผ่นหนึ่งออกมาจากในอก แล้วส่งให้เฉินเยว่เอ๋อร์เฉินเยว่เอ๋อร์รับใบสั่งยาก่อนจะลุกขึ้นมาเดินไปหาฉู่เฉิน จากนั้นก็กางใบสั่งยาออกแล้ววางไว้ตรงหน้าฉู่เฉิน“ฉันได้ยินว่าคุณฉู่ค่อนข้างเชี่ยวชาญด้านวิชาแพทย์ ฉันคิดว่าคุณฉู่จะต้องเข้าใจใบสั่งยานี้แน่นอนเลยใช่ไหม”ซ่งหนิงซวงพูดพลางดื่มน้ำชา ฉู่เฉินกวาดตามองใบส
เมื่อคำพูดนี้ออกมา โฮ่วเจี้ยนอิงกับเฉียวเทียนฉี่ รวมไปถึงทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนทอดสายตาไปยังฉู่เฉิน“น้องฉู่ การมองท่านขุนพลตรง ๆ มันเป็นการไม่เคารพอย่างมากเลยนะ รีบ...” ฉู่เฉินไม่รอให้ฟางอวี่เจิ้งกล่าวจบก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมป่วยเป็นโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบ โค้งตัวไม่ได้ อีกอย่าง คุณให้พวกเขาโทรเชิญผมมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ใช่ผมอยากมาเองนะครับ” “คุณคงไม่ได้เชิญผมมาเพื่อให้ผมกราบไหว้หรอกใช่ไหม? คุณไม่ใช่เจ้าพ่อหลักเมืองเสียหน่อย”เชี่ย!เมื่อฉู่เฉินเอ่ยคำพูดนี้ออกม ทุกคนในงานต่างตกตะลึงจนตาค้าง เฉียวเทียนฉี่กับโฮ่วเจี้ยนอิงหลั่งเหงื่อเย็น ๆ ออกมาแล้ว ส่วนหลิ่วชิงเหอที่ยืนอยู่ข้างหลังซ่งหนิงซวงก็ตกใจกลัวจนดวงหน้าเล็กซีดเผือด กระทืบเท้าไม่หยุด ฉู่เฉินบุ่มบ่ามเกินไปแล้วมั้ง?กล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับขุนพลเทียนเฟิ่งได้อย่างไร?ฟางอวี่เจิ้งที่อยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินยิ่งตกใจกลัวจนขาสองข้างอ่อนแรง กระตุกชายเสื้อของฉู่เฉินไม่หยุดซ่งหนิงซวงหรี่นัยน์ตาหงส์ลงเล็กน้อย จ้องมองฉู่เฉินอย่างพิจารณาก่อนจะเอ่ยว่า “คุณก็คือฉู่เฉินสินะ?” “ถูกต้อง”ฉู่เฉินยืดหลังตรง ตอบ
ฉู่เฉินก้าวเข้ามาใกล้ฟางอวี่เจิ้ง จับมือกับฟางอวี่เจิ้ง หลังจากนั่งลงจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ประธานฟาง เรื่องยาบำรุงสวรรค์หลี่จิงจิงทางนั้นจัดการให้เรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ?”ฟางอวี่เจิ้งยิ้มประจบ รินน้ำชาให้ฉู่เฉินไปพลาง พยักหน้าและกล่าวไปพลาง “เรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เดือนสิบปีนี้ ฉันก็อาจได้เลื่อนตำแหน่งไปที่ที่ว่าการมณฑลแล้ว”“เรื่องนี้ ต้องขอบคุณน้องฉู่ที่ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ต่อไป ถ้ามีอะไรที่ฉันฟางอวี่เจิ้งช่วยได้ น้องฉู่แค่เอ่ยปากมา”ทั้งสองพูดคุยกันไปพลาง ฉู่เฉินมองไปรอบๆ ไปพลาง ก่อนจะกล่าวว่า “ประธานฟางครับ งานเลี้ยงคืนนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาเลย ขุนพลเทียนเฟิ่งคนนี้มีที่มายังไงกันแน่ครับ?”พอได้ยินคำนี้ ฟางอวี่เจิ้งรีบยกนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้วแล้วกล่าวว่า “ชู่... เบาเสียงหน่อย”“ขุนพลเทียนเฟิ่งไม่ธรรมดาเลย นับตั้งแต่เข้ากองทัพเมื่อห้าปีก่อน ก็สร้างผลงานทางการรบมานับครั้งไม่ถ้วน และยังเป็นหนึ่งในแปดยอดขุนพลดินแดนมังกร ฉันได้ยินมาว่าอีกสามเดือนให้หลัง เธอยังต้องเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ของสี่ยอดขุนพลพิทักษ์ชาติด้วย”“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เธอควรจะเป็นคนรุ่นใหม่เพียงค
ฉู่เฉินหัวเราะเบาๆ หนึ่งเสียง ก่อนจะฟาดฝ่ามือลงบนก้นของหลี่จิงจิงอย่างแรงครั้ง จากนั้นเปิดหน้าต่างระบายอากาศออกและจะกระโดดลงไปทันทีซี้ด!หลี่จิงจิงเห็นฉู่เฉินกระโดดลงจากหน้าต่าง ทันใดนั้นก็ตกใจจนใบหน้าเล็กซีดเผือดนี่ชั้นหกเลยนะ!แต่ในวินาทีถัดมา เมื่อฉู่เฉินเดินไปที่ลานจอดรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลี่จิงจิงจึงเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา“ปัง!”ขณะที่หลี่จิงจิงยังตกใจจนพูดไม่ออก ประตูห้องทำงานก็ถูกคนผลักเปิดอย่างแรงชายวัยกลางคนอายุราวสามสิบสี่หรือสามสิบห้าปี ทันทีที่ผลักประตูเข้ามา คนทั้งคนก็ชะงักไปทั่วทั้งห้องทำงานอบอวลไปด้วยกลิ่นฮอร์โมน และหลี่จิงจิงสวมเพียงกางเกงชั้นในตัวเล็กตัวเดียว กำลังยืนอยู่ริมหน้าต่างชะเง้อมองออกไปด้านนอกภาพนี้ทำให้ชายวัยกลางคนพลันสัมผัสได้ถึงลางร้าย เหมือนกับถูกคนสวมเขาโดยเฉพาะในห้องทำงาน เครื่องออกกำลังกายที่แม้แต่เขายังไม่รู้จักชื่อ และเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนนั้น ยิ่งทำให้ความคิดในใจเขาชัดเจนขึ้น“จิงจิง! คุณกำลังทำอะไรอยู่!”ชายวัยกลางคนโกรธจัด รีบก้าวไปที่ริมหน้าต่าง ก่อนจะยื่นมือผลักเปิดหน้าต่างระบายอากาศออก แล้วโผล่ตัวออกไปชะเง
......อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องทำงานของผู้อำนวยการหลี่จิงจิงย้ายเครื่องออกกำลังกายที่ตนจัดเตรียมไว้อย่างดีออกมา ขณะเดียวกันก็หยิบรองเท้าบาเลนเซียกาคู่ใหม่สองคู่จากลิ้นชักเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ นี่ก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ทำไมฉู่เฉินยังไม่มาสักที?เธอร้อนใจมากจริงๆเวลาเป็นเงินเป็นทอง เวลาคือชีวิตสิ่งสำคัญก็คือบ่ายวันนี้สามีของเธอจะมารับเธอไปร่วมงานเลี้ยงของตระกูลอีกด้วยรอไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง หลี่จิงจิงรีบร้อนจนรอไม่ไหว สุดท้ายจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรไปหาฉู่เฉินผ่านไปเกือบครึ่งนาที ฉู่เฉินถึงจะรับสาย แต่ในวินาทีถัดมา หลี่จิงจิงก็ได้ยินเสียงหอบหายใจคุ้นเคย และเสียงการปะทะที่รุนแรงคงไม่ใช่มั้ง?ร่างของหลี่จิงจิงแทบจะกลายเป็นหิน เพื่อการพบกันครั้งนี้ เธออุตส่าห์ตั้งใจเตรียมตัวอย่างดีมาแล้วหลายวัน แต่กลับถูกลีน่าชิงตัดหน้าไปก่อน?“รอผมอยู่ในออฟฟิศ อีกเดี๋ยวก็ถึง”ฉู่เฉินพูดจบ โดยไม่รอให้หลี่จิงจิงเอ่ยปาก ก็ตัดสายโทรศัพท์ไปขณะที่หลี่จิงจิงรออย่างกระวนกระวายใจ ทันใดนั้นประตูห้องทำงานก็ถูกผลักเปิดออก และฉู่เฉินก็ผลักประตูก้าวเข้ามา“คุณก็กล้าเกินไปแล้ว ในห้องผู้ป่วยก็..