วิศราตรวจเช็กความเรียบร้อยทุกอย่างจนถึงวินาทีสุดท้ายจนมั่นใจว่างานจะไร้ข้อผิดพลาดและเป็นโชว์ที่น่าประทับใจ ขณะที่ยุทธนาเริ่มมีอาการประหม่าและวิตกกังวลจนเห็นได้ชัด ทว่าตอนที่จะได้เวลาเริ่มงาน จู่ๆ เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น“พวกคุณทำแบบนี้ได้ยังไง!” เสียงเอะอะดังมาก่อนตัว ทำให้สองดีไซเนอร์เพื่อนซี้หันไปมองต้นเหตุที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าบึ้งตึงบอกบุญไม่รับ“ทำไมคุณเปลี่ยนคนเดินฟนาเลเป็นคนอื่นโดยไม่บอกฉันก่อน!” ร่างสูงโปร่งเดินพรวดพราดเข้ามาอย่างเอาเรื่อง “ทำแบบนี้มันไม่แฟร์ ไม่เป็นมืออาชีพเลย หรือว่าพวกคุณจะแกล้งกัน ฉันน่าจะรู้ตั้งแต่แรกที่โดนวิจารณ์ไม่เข้าท่าวันนั้นแล้ว บ้าที่สุด!”วิศรากระแทกลมหายใจ พยายามคุมสติและสีหน้าให้นิ่งสงบ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมาย“ถ้าคุณมีอะไรจะพูดเชิญด้านในดีกว่า ตรงนี้ไม่เหมาะ”“ทำไมล่ะ พวกคุณอายด้วยเหรอ ฉันจะพูดตรงนี้แหละ ทุกคนจะได้เป็นพยานว่าฉันถูกเอาเปรียบยังไง” เสียงที่ไม่ค่อยเบานักเรียกความสนใจจากเพื่อนนางแบบและช่างแต่งหน้าช่างทำผมที่ทำงานง่วนอยู่สมใจนางแบบสาว “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับคุณพรีมโรส” ยุทธนาพยายามคุมสติ เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ไม่อยากให้เห
ถึงปกติอลันจะเป็นคนสุภาพอ่อนโยนดูเป็นคนใจดี แต่ยามทำงานแล้วเขาคนนั้นทั้งดุและเด็ดขาดตรงไปตรงมา กล้าชนกับความไม่ถูกต้องแบบไม่กลัวเกรง ต่อให้อีกฝ่ายจะมีชื่อเสียงระดับโลกหรือมีอำนาจล้นฟ้าแค่ไหน หากได้เจอกับอลันเวอร์ชันเลือดเย็นเข้าไปแล้วละก็ เป็นอันต้องจอดสนิทและยอมถอยกรูดกันเป็นแถว ซึ่งเธอเคยเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่กับดีไซเนอร์หน้าใหม่อย่างวิศรา เธอยอมรับกับตัวเองว่าใจยังไม่แข็งเท่าอลัน ในใจเธอยังแอบมีความว้าวุ่นปนหวาดหวั่นลึกๆ แม้เธอจะขู่อีกฝ่ายไปเบาๆ แต่ดูจากสีหน้าเกรี้ยวกราดของฝ่ายนั้น ไม่แน่ว่าพรีมโรสอาจจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องแฟนหนุ่มจนเป็นเรื่องอีกหรือไม่ หรือว่าอาจทำอะไรโง่ๆ เป็นการโชว์เพาเวอร์ป่วนงานของเธอเพื่อแก้แค้นอีกก็ไม่อาจเดาได้ แต่ไม่ว่าจะข้อไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น หากอลันอยู่กับเธอตอนนี้ก็ดีสิ อย่างน้อยเขาก็คงมีคำแนะนำหรือคำปลอบโยนดีๆ ในสถานการณ์นี้ที่ทำให้เธออุ่นใจและมีแรงฮึกเหิมได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ตอนนี้คนที่เธอคิดถึงอยู่ที่ไหนนะความคิดนั้นทำให้หญิงสาวแอบสะดุ้งตกใจตัวเองที่เผลอคิดถึงบุรุษผู้นั้นขึ้นมา คงเป็นความเคยตัวที่มีเขาคอยอยู่เคียงข้างคอยช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ให้เธอ
“คุณมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้ว...” คนมีชนักติดหลังทำใจกล้าถามเสียงแปร่ง “ได้ยินอะไรไปบ้าง”คิ้วงามเลิกขึ้นนิดๆ ใบหน้างามทำราวกับไม่แยแส แต่แววตาบ่งบอกว่ารู้ทัน“ก็แล้วคุณพูดอะไรไปบ้างล่ะคะ”“ฉะ...ฉัน...” สีหน้าพรีมโรสกระสับกระส่ายเหมือนอยากจะร้องไห้เต็มที“อย่าห่วงเลยค่ะ ฉันไม่ใช่คนที่ชอบเมาท์ใครลับหลัง ถ้าจะทำ ฉันชอบทำต่อหน้ามากกว่า” สีหน้าของคนพูดแม้เรียบเฉย ทว่ากลับทำให้พรีมโรสร้อนๆ หนาวๆ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรในใจ“งานใกล้เริ่มแล้ว ฉันว่าคุณควรไปเตรียมตัวได้แล้ว แต่...” คนพูดปรายตามองด้วยสายตาเย็นเฉียบชวนให้เสียวสันหลังวาบ “ถ้าอยากถอนตัวละก็ คุณควรรีบไปเสียตอนนี้เลย ฉันจะไม่บอกใคร หวังว่าคุณจะเป็นมืออาชีพมากพอนะคะ”“เอ่อ...” พรีมโรสได้แต่อ้าปากค้าง มองตามแผ่นหลังสวยที่หายลับไปทางด้านหลังเวทีอย่างขัดใจ ทำไมเธอถึงซวยแบบนี้นะ จากเดิมที่แค่ไม่ชอบหน้า แต่ตอนนี้นางแบบสาวเพิ่มความชิงชังให้แก่วิศราอีกหลายเท่าตัวแม้จะเคยผ่านตากับงานแฟชั่นโชว์ในต่างประเทศมาหลายต่อหลายครั้ง แต่สำหรับงานอินเตอร์เนชันแนลแฟชั่นโชว์ครั้งแรกในฐานะดีไซเนอร์เต็มตัวของวิศรากลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นชนิ
ภาพอันแสนโรแมนติกนั้นทำให้ช่างภาพหนุ่มที่กำลังลั่นชัตเตอร์เก็บวินาทีสุดประทับใจอยู่ถึงกับชะงัก ตะลึงงันไปชั่วขณะ ราวกับก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดแน่นอย่างรุนแรง ใครสักคนกำลังเอาเข็มแหลมคมทิ่มแทงหัวใจของเขาจนเจ็บแปลบ ยามที่ได้เห็นหญิงสาวตรงหน้าอยู่ในอ้อมแขนของชายอื่น เขาก็รุ่มร้อนจนนึกอยากจะเข้าไปกระชากตัวเธอออกจากอ้อมแขนของชายคนนั้นทันใดการปรากฏกายของเจ้าชายแห่งวงการแฟชั่นผู้นี้กดให้เขารู้สึกต่ำต้อยจนไม่อาจเทียบรัศมีของอีกฝ่ายได้ หากเปรียบอลันเป็นเจ้าชายผู้สูงส่ง คนอย่างปราบดาคงไม่แคล้วต้องรับบทเป็นผู้ร้ายที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้แม้ไม่อยากจะยอมรับเลยก็ตาม แต่เมื่อเห็นเขาผู้นั้นจูบแก้มดีไซเนอร์สาวสวยอย่างนุ่มนวลพร้อมกับยืนเคียงข้างกัน ปราบดาก็เหมือนถูกผลักตกเหวลึกที่ไม่มีวันปีนขึ้นไปได้อีก หากแม่ตัวร้ายนั่นรู้ว่ากำลังทำให้เขาปั่นป่วนในหัวใจมากขนาดนี้ เธอคงสะใจพิลึกดูเหมือนคนบนเวทีจะได้ยินความคิดนั้น ชั่วขณะหนึ่งหญิงสาวที่ทำให้เขาว้าวุ่นก็เบือนหน้ามามองทางเขาโดยบังเอิญ ดวงตาสบประสานกันกลางอากาศ ก่อนที่เธอจะจงใจเมินมองไปทางอื่นราวกับเขานั้นเป็นเพียงอากาศธาตุ ไร้ตัว
“ปราบคะ มาอยู่นี่เอง พรีมตามหาแทบแย่”นางแบบสาวสวยรีบเดินปรี่เข้ามาหาคนรักหนุ่มที่เดินจ้ำอ้าวออกมาจากบริเวณที่ให้สัมภาษณ์ด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ตามหาผมทำไม” คนอารมณ์ไม่ปกติเผลอเสียงดังใส่อย่างลืมตัวด้วยอารมณ์คุกรุ่นที่ยังค้างคาในใจ“ก็คุณบอกเองนี่คะว่าจะพาพรีมไปดินเนอร์ฉลองหลังงานเลิก แล้วก็จะพาไปส่งที่คอนโดไง ลืมแล้วหรือไงคะ”พอได้ยินคำตอบปราบดาก็นึกขึ้นได้ เสียงแข็งๆ ก่อนหน้านั้นจึงลดดีกรีความเข้มลง “ขอโทษนะครับพรีม ผมคงลืมจริงๆ มัวแต่ทำงานยุ่งๆ ทั้งวัน”“มีอะไรหรือเปล่าคะ วันนี้สีหน้าคุณดูเครียดจังเลย”“ไม่มีอะไรหรอก ช่วงนี้งานยุ่งๆ น่ะ ไหนจะต้องช่วยพี่วิศดูงานที่บริษัทอีก”“งั้นเอาอย่างนี้ไหมคะ เดี๋ยวกลับถึงคอนโด พรีมจะนวดผ่อนคลายแบบที่คุณชอบให้ รับรองว่าคุณจะหายเครียดเป็นปลิดทิ้งเลย” หญิงสาวส่งสายตาหวานเชื่อมสื่อความนัยบางอย่างให้แฟนหนุ่ม แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยิน เพราะมัวแต่มองตามร่างเพรียวระหงที่เพิ่งแยกจากยุทธนา และเดินเคียงข้างบุรุษรูปงามอีกคนออกจากห้องจัดงานไป“ไว้วันหลังดีกว่านะครับพรีม ผมต้องรีบไปแล้ว วันนี้คุณกลับเองได้ไหม พอดีผมมีงานต่อ ต้องรีบเลือกรูปส่งให้กองบก. สำหรับลงข
“แล้วเจ้าหญิงก็ได้ครองรักกับเจ้าชายอย่างมีความสุข...” วิศราปิดหนังสือนิทานเล่มโปรดของลูกสาวตัวน้อย เมื่อหันไปเห็นว่าเจ้าตัวดีนอนหลับปุ๋ย ก่อนดึงผ้าห่มมาห่มให้ แล้วเอื้อมมือไปเกลี่ยไรผมที่ปรกหน้าออกให้อย่างแผ่วเบา เห็นผิวแก้มขาวละเอียดใสซับเลือดฝาดทำให้อดไม่ได้ต้องก้มลงประทับริมฝีปากจูบอย่างแสนรักอลิศคือของขวัญชิ้นเดียวในชีวิตอันบิดเบี้ยวที่เธอแสนหวงแหนเหนือกว่าสิ่งอื่นใด ดวงตาหม่นเศร้าทอดมองใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักที่ยิ่งโตก็ยิ่งมีเค้าโครงผิดแผกไปจากเธอทีละนิดๆ ยกเว้นแต่พวงแก้มยุ้ยๆ ใสๆ และผิวขาวละเอียด นอกนั้นเจ้าตัวน้อยกลับเริ่มมีความคมคายเด่นชัดขึ้นโดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่ยามจ้องมองมาทีไรก็ชวนให้นึกถึงสายตาของใครคนหนึ่งที่เธอไม่อยากจดจำทับซ้อนขึ้นมาแทบทุกคราวไป“แม่รักลูกมากนะอลิศ” กระซิบเสียงหวานละมุนเบาๆ ที่ข้างหูเช่นที่เคยทำมาตั้งแต่คนตรงหน้ายังเป็นทารกน้อยแบเบาะ “หรือว่า...เจ้าอลิศคือคนที่คุณบอกสื่อว่ากำลังมองๆ อยู่”เสียงทุ้มนุ่มหูทำให้ร่างระหงสะดุ้งนิดๆ เมื่อหันไปสบตาคนพูดที่เข้ามายืนกอดอกอิงกรอบประตูมองเธอตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ แทนคำถาม“ทีนี้ก็ได้รู้แล
“ฉันเกลียดความรู้สึกนั้น และไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับเรา ฉันคงทนไม่ไหว อยู่แบบนี้ไปไม่ดีกว่าเหรอคะอลัน ความสัมพันธ์แบบเพื่อนมันคงทนกว่าความสัมพันธ์แบบอื่น”อลันถอนหายใจเบาๆ ก่อนดึงเด็กหลงทางของเขาเข้ามากอดปลอบโยน“คุณคิดมากไปหรือเปล่า ผมไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้นหรอกนะวีวี่ ผมก็แค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่มีความรัก มีความเห็นแก่ตัวเหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ ที่สำคัญผมเองก็หวงของไม่แพ้คุณหรอก” เขาเอ่ยติดตลก “เมื่อตอนเด็กๆ ผมเคยต่อยเด็กผู้ชายคนหนึ่งเพียงเพราะเขาแย่งยางลบที่พ่อซื้อให้ไปใช้ จนแม่โดนเรียกไปพบครูประจำชั้นเลยนะ ผมโดนทำโทษกักบริเวณตั้งเป็นเดือน แถมโดนตัดค่าขนมอีกต่างหาก” “จริงเหรอคะ” วิศราทำตาโต คิดไม่ออกว่าคนสุภาพอ่อนโยนอย่างอลันจะมีด้านนี้“จริงสิ แต่สุดท้ายผมก็ทำยางลบนั่นหายไป ในวันเดียวกับที่พ่อขอหย่ากับแม่เพราะอ้างว่าแม่ไม่ดีพอ แม่เป็นแค่แม่บ้าน ไม่มีงาน ไม่มีรายได้ และไม่มีเงินมากเท่าผู้หญิงคนใหม่ของพ่อ” นัยน์ตาคนพูดหม่นเศร้า เมื่อย้อนนึกถึงอดีตอันเจ็บปวด “ผมยังจำวันนั้นได้ดี จำได้ว่าแม่กอดผมแน่นและเราแม่ลูกก็นั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนถึงเช้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำยังไงต่อไปกับชีวิต
“โอ...นี่ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม” ชายหนุ่มยิ้มกว้างก่อนดึงร่างเพรียวบางเข้ามากอดอย่างมีความสุขที่สุดวิศรายอมอิงซบอกแกร่งของอีกฝ่าย พลางครุ่นคิดในใจ...ในเมื่อคนสร้างตราบาปให้ชีวิตเธอยังมีความสุขกับคนที่เขารักได้โดยไม่ทุกข์ร้อนหรือแคร์ใคร แล้วจะเป็นไรไปถ้าเธอจะให้โอกาสตัวเองและคนดีๆ ได้เข้ามาในชีวิตสักครั้งเล่าค่ำคืนที่เหมือนฝันของวิศราผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความเหนื่อยที่สะสมมาตลอดหลายสัปดาห์ทำให้เธอเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือกรีดร้องดังลั่น หญิงสาวงัวเงียควานหาต้นตอที่ปลุกเธอจากฝันดีอย่างงุ่มง่าม ก่อนที่ใครบางคนจะอดไม่ได้คว้ามันมายื่นให้ถึงมือเสียเอง“ขอบคุณจ้ะอลิศ...หืม?”“หึๆ”คนขี้เซากะพริบตาถี่ๆ ไล่ความง่วงงุน ก่อนเบิกตาค้างเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะข้างหูที่ไม่ใช่เสียงใสๆ ของลูกสาวสุดที่รัก แต่เป็นเสียงทุ้มๆ ของผู้ชาย และตอนนี้ใบหน้าของอีกฝ่ายก็ลอยเด่นอยู่ใกล้แค่เอื้อม ก่อนที่เธอจะทันรู้ตัวปลายจมูกโด่งก็กดฝังลงมาที่แก้มใสๆ ของเธอเสียแล้ว“มอร์นิงครับที่รัก...”“อุ๊ย! บอส!” เสียงหวานเอะอะ แก้มข้างที่โดน ‘จูบรับอรุณ’ ร้อนฉ่าเหมื
สถานที่จัดงานแต่งงานของคู่รักดีไซเนอร์คือสวนดอกไม้ที่ถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่ายตามเจตนารมย์ของเจ้าสาวที่ไม่ต้องการงานเอิกเกริกแต่กระนั้นก็แอบมีกิมมิคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคู่รักดีไซเนอร์คนดังโดยเวทีถูกออกแบบให้เป็นรันเวย์สำหรับบ่าวสาวเดินไปทำพิธีอย่างมีสไตล์ แขกที่มาร่วมงานนอกจากครอบครัวแล้วก็มีแค่เพื่อนสนิทของสองฝ่ายเท่านั้น และทันทีที่เจ้าสาวปรากฏตัวขึ้น แขกทุกคนก็พร้อมใจยืนขึ้นต้อนรับด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นวิศรุตในชุดสูทลุกขึ้นช้าๆ โดยมีภรรยาสาวช่วยประคองและส่งไม้เท้าให้สามีทำหน้าที่ส่งตัวเจ้าสาว เขายื่นมือไปรับมือลูกรักด้วยใบหน้าที่เป็นปลื้มจนน้ำตาคลอ“คุณพ่อ” เจ้าสาวสวมกอดบิดาสุดที่รักอย่างตื้นตัน ไม่คิดเลยว่าเธอจะได้มีวันนี้“ไปเถอะลูก”วิศรุตจับมือเจ้าสาวคนสวยพาเดินตรงไปยังแท่นทำพิธี โดยด้านหน้ามีเด็กหญิงตัวน้อยนำขบวนสองคนคือเด็กหญิงลูกปลาที่ทำหน้าที่คอยโปรยดอกไม้ให้ และอีกคนคืออลิศลูกสาวของเธอที่ทำหน้าที่ถือแหวน วันนี้หนูน้อยอลิศสวมชุดสีชมพูฟูฟ่องน่ารัก ที่ลำคอของเด็กน้อยสวมสร้อยแปลกตาที่มีแหวนวงหนึ่งห้อยเป็นจี้ แหวนเพชรสีชมพูสวยทอประกายสวยสดใส เป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูสำหรับทุกคนวิ
‘และเธอเพิ่งตอบตกลงยอมแต่งงานกับผมเมื่อไม่นานมานี้’แวบหนึ่งเหมือนชายหนุ่มหันมองตรงมาด้วยแววตาอ่อนหวานทำให้วิศราหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นโครมคราม นี่เขากำลังประกาศแต่งงานออกสื่อ อลัน เลวิธ หนุ่มโสดเนื้อหอมคนนั้นเนี่ยนะ‘โอ...พระเจ้า’ พิธีกรสาวรุ่นเดอะยกมือทาบอก ทำตาโตเท่าไข่ห่าน เชื่อว่าหากเทปนี้ออกอากาศไป จะต้องเรียกเรตติงได้ถล่มทลายเลยทีเดียว ‘คุณพอจะบอกได้ไหมคะอลันว่าใครคือผู้หญิงที่โชคดีคนนั้น’คำถามนั้นทำให้ใบหน้าคนถูกถามแต้มสีแดง นัยน์ตาสีเทาทอประกายพราวระยับ‘เธอเป็นดีไซเนอร์สาวชาวไทยครับ และเธอเป็นรักแรกพบของผม’วิศราแว่วได้ยินเสียงหวีดผ่านฝ่ามือที่ปิดปากของยุทธนา คำว่ารักแรกพบของเขาทำให้เพื่อนของเธอถึงกับเสียอาการไปไม่น้อยเลยทีเดียว“รักแรกพบ...”วิศราพึมพำเบาๆ สมองนึกย้อนไปถึงตอนที่เธอและเขาได้พบกันครั้งแรก จำได้ว่าเป็นตอนที่เธอใจลอยเดินตัดหน้ารถเขาเพราะกำลังช็อกที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ นี่เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่ตอนนั้นเนี่ยนะมันใช่เหรอ‘ว้าววว ฟังดูโรแมนติกจัง คุณพอจะเล่าเหตุการณ์นั้นให้พวกเราฟังได้ไหมคะ’‘อืม...ตอนนั้นเธอยังเป็นนักศึกษาทุนที่วิทยาลัยแฟชั่น และผมได้ร
“ว้าววว...สวยที่สุดเลย สวยอย่างกับเจ้าหญิงแน่ะค่ะ ลองส่องกระจกดูสิคะ”ประโยคนั้นของช่างแต่งหน้าทำให้หญิงสาวเจ้าของเรือนร่างระหงในชุดเจ้าสาวที่ออกแบบและตัดเย็บจากผ้าไหมและผ้าลูกไม้ที่สั่งทอมาเป็นพิเศษเพื่อเธอโดยเฉพาะและเป็นชุดเดียวในโลกจากการออกแบบของดีไซเนอร์หนุ่มชื่อดังของแบรนด์ระดับโลกอย่าง Lewis โดยใช้โทนสีครีมอ่อนปนด้วยสีชมพูพาสเทลหวานละมุนไปทั้งตัวขับให้ผิวเนียนละเอียดของเธอเปล่งปลั่งงดงามเฉิดฉายราวกับเป็นเจ้าหญิงที่หลุดออกมาจากเทพนิยายก็ไม่ปานวิศรามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกตื้นตันในหัวใจปนประหม่า เธอเป็นคนขอร้องให้เขาเลือกสีอื่นที่ไม่ใช่สีขาว เพราะเธอไม่ใช่เจ้าสาวที่แสนบริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วเขาก็เลือกสีนี้มาให้ด้วยเหตุผลว่าเขาอยากเห็นเจ้าสาวของตัวเองสวยหวานที่สุดในวันที่แสนพิเศษของเราคนเป็นเจ้าสาวยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงตอนที่เขาอาสาออกแบบตัดเย็บชุดนี้ให้เธอด้วยมือตัวเอง ทุกขั้นตอนทุกรายละเอียดที่เขาใส่ลงไปล้วนมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ และมันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูกตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นเด็กน้อยช่างฝันตามประสาเด็กผู้หญิงทั่วๆ ไป เธอเคยจินตนาการถึงง
จริงอย่างที่อลันว่า พอได้ล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำเย็นๆ หญิงสาวก็รู้สึกสดชื่นขึ้นทันตา แต่ตอนที่กำลังจะลงไปด้านล่างเพื่อช่วยคนอื่นๆ ตามหาลูกสาว จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องแหวนที่วางอยู่บนหัวเตียง แหวนที่ได้จากปุริมาวันนั้นแหวนของนายปราบดา!อะไรบางอย่างทำให้ร่างระหงเดินย้อนกลับไปหยิบแหวนนั้นขึ้นมาเปิดดู ประกายจากเพชรสีชมพูสะท้อนวูบเข้านัยน์ตาจนแสบพร่า“นายยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า...” วิศรามองแหวนวงงามราวกับมันมีชีวิต “ถ้ายังอยู่แถวนี้ ช่วยให้ฉันตามหาลูกของเราให้พบด้วยนะคะ ขออย่าให้ลูกต้องเป็นอะไร อย่าให้อลิศเป็นอะไร ช่วยฉันด้วยนะคะ”ทันใดนั้น ลมเย็นวูบหนึ่งก็พัดผ่านร่างเธอไปทั้งๆ ที่หน้าต่างไม่ได้เปิด ราวกับใครบางคนได้ตอบรับคำขอนั้น หญิงสาวยิ้มกับตัวเองเศร้าๆ หากปราบดายังอยู่ตรงหน้า เธอคงไม่กล้าเอ่ยปากขอร้องเขาเช่นนี้ คงชวนทะเลาะมากกว่า แต่เพื่อลูกสุดที่รัก สิ่งไหนที่พอจะยึดเหนี่ยวหรือช่วยทำให้สบายใจได้บ้าง เธอก็ยอมทำทั้งนั้นวิศราปิดกล่องแหวนนั้นแล้ววางมันไว้ที่เดิม ทว่าตอนที่เธอกำลังจะก้าวเท้าออกจากห้องนั้นเอง จู่ๆ หูก็พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแว่วมา“ฮือๆ...” วิศราหันขวับอย่างตกใจ ก
งานแต่งงานของวิศราและอลันถูกตระเตรียมขึ้นท่ามกลางความดีใจของทุกคน แม้เจ้าสาวจะบอกว่าไม่ต้องการให้จัดงานใหญ่โตเอิกเกริก และอยากให้เป็นงานเล็กๆ ที่อบอุ่นมากกว่า ถึงกระนั้นทุกคนในบ้านอาภาพิพัฒน์ที่เพิ่งผ่านความเศร้าจากการสูญเสียไปเมื่อไม่นานมานี้ก็เริ่มยิ้มออกและกระตือรือร้นกับงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยเฉพาะนายผู้หญิงของบ้านอย่างปุริมาและนางรื่นรมย์ซึ่งถือเป็นพี่เลี้ยงคนสนิทของว่าที่เจ้าสาวกลายเป็นหัวเรือใหญ่ที่คอยเป็นธุระช่วยเหลือในการจัดการเรื่องต่างๆ อย่างเต็มใจท่ามกลางความดีใจเหล่านั้น ทุกคนกลับไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนมองภาพเหล่านั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เด็กหญิงอลิศทำหน้าหม่นหมอง ในมือกอดตุ๊กตาหมีที่แม่ของเธอให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีก่อนแน่นราวกับมันกลายเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในโลกที่เหลืออยู่ ก่อนค่อยๆ เดินแยกห่างออกมาเงียบๆ หลังจากเห็นทุกคนกำลังวุ่นวายจนลืมไปว่าวันนี้ยังมีความสำคัญกับใครอีกคน ไม่ทันไรทุกคนก็ลืมวันเกิดของเธอไปเสียแล้ว“พี่หมีจ๋า ทุกคนลืมวันเกิดอลิศหมดเลย ไม่มีใครรักอลิศแล้ว ไม่มีเลย...” เด็กน้อยขมุบขมิบงึมงำด้วยความรู้สึกว้า
คิดเพลินๆ จู่ๆ ก็มีเสียงสัญญาณโทรศัพท์เรียกเข้ามา หญิงสาวยิ้มบางๆ เมื่อเห็นชื่อที่ขึ้นตรงหน้าจอ...อลัน เลวิธ!“คุณต้องเป็นญาติกับพ่อมดแน่ๆ” ปลายสายส่งเสียงหัวเราะกลับมา “รู้ได้ยังไงคะว่าคนแถวนี้กำลังคิดถึงคุณอยู่”“รู้ด้วยหัวใจไงครับ ใจของคนที่รักกันมักเชื่อมถึงกันเสมอ” เสียงทุ้มนุ่มหูตอบกลับมาอย่างอ่อนหวาน พาให้หัวใจคนฟังเต้นผิดจังหวะด้วยความเขิน“คุณทำอะไรอยู่คะ วันนี้งานยุ่งไหม”“ก็ยุ่งเหมือนทุกวัน แต่พอได้ยินเสียงคุณก็หายเหนื่อย”“ปากหวานจังนะคะบอส”“อย่างอื่นก็หวานนะ ถ้าคุณอยากชิมเมื่อไหร่ก็บอกได้เสมอ ถ้าเป็นคุณ ผมยินดีให้ชิมทั้งตัวทั้งใจเลย”วิศราหน้าแดงก่ำ ดีที่อีกฝ่ายอยู่ไกลถึงอีกซีกโลก หากเขายืนอยู่ตรงนี้ เธอคงไม่กล้าสู้หน้า ตั้งแต่ผ่านเรื่องเฉียดเป็นเฉียดตายมา ดูเหมือนจะทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นคนที่กล้าพูดกล้าแสดงความรักออกมาอย่างเปิดเผยมากกว่าเดิม“ทำไมนิ่งไปครับ คิดอะไรอยู่”“ฉันคิดถึงคุณ ถ้าตอนนี้คุณอยู่ตรงนี้ด้วยกันก็คงดีสิคะ”“อย่ามาทำให้ผมเคลิ้มเชียวนะวีวี่ คุณยังไม่รู้สินะว่าตอนนี้ผมแทบจะกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสายการบินระหว่างประเทศอยู่แล้ว นี่เพื่อนสนิทผมมันก็ร่ำๆ อยู่
วิศรานั่งฟังอย่างสงบ และเริ่มคิดตาม เพราะเป็นคนสำคัญที่สุดจึงต้องหวงแหน เขาก็คงเหมือนเธอที่หวงบิดาเพราะคิดว่าเป็นคนสำคัญเพียงคนเดียวในชีวิต อนิจจา...หากวันนั้นเธอไม่ก้าวร้าวพี่สาวของเขาก่อน หมอนั่นก็คงไม่คิดกำราบเธอด้วยวิธีป่าเถื่อนรุนแรงแบบนั้น เธอเองก็มีส่วนผิดที่เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้งโดยไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เรื่องมันถึงเลยเถิดแบบนี้‘ฉันต้องขอโทษคุณแทนตาปราบด้วยนะคะ สำหรับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด’ ปุริมาเอ่ยอย่างจริงใจ ‘แล้วก็ต้องขอบคุณที่คุณยอมอโหสิให้เขา’วิศรามองสบตาแม่เลี้ยงเต็มๆ ตาโดยไม่มีอคติมาบดบังเป็นครั้งแรก ‘ฉันเองก็ผิดที่ทำตัวไม่ดีกับคุณเหมือนกัน ที่จริงฉันก็ไม่ได้ดีไปกว่าน้องชายคุณนักหรอกค่ะ’‘แต่อย่างน้อยคุณก็ยังโชคดีกว่าปราบตรงที่ยังมีลมหายใจ โชคดีที่มีคนที่คุณรักและรักคุณมากมาย ฉันขอพูดอะไรกับคุณอีกนิดได้ไหมคะ’วิศราพยักหน้ารับนิดๆ‘พูดมาสิคะ’‘ฉันคิดว่าตาปราบเขาแอบชอบคุณมาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันแล้วละค่ะ จำตอนที่เขาขับรถชนสุนัขของคุณได้ไหมคะ’แน่นอนว่าวิศราย่อมจำได้แม่น‘ที่จริงตาปราบก็ตกใจมากเหมือนกัน ทีแรกเขาก็ทำอะไรไม่ถูก ตั้งใจจะลงมาดูมาขอโทษคุณเพราะเขาเองก
ร่างเพรียวระหงของสตรีผู้หนึ่งยืนนิ่งปล่อยใจล่องลอยไปแสนไกล เธอกำลังทอดสายตามองท้องฟ้าที่ดูหม่นเศร้ายามที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ความเงียบสงัดทำให้ได้ยินแม้แต่เสียงใบไม้แห้งกรอบปลิวเมื่อยามต้องแรงลมราวกับท่วงทำนองบทเพลงแห่งชีวิตที่ทุกคนต้องเผชิญอย่างไม่อาจหลีกหนี แต่ก็มีในบางจังหวะที่ชวนให้คนฟังรู้สึกถึงความอ่อนหวานปนขมปร่าในหัวใจยามที่คิดถึงใครบางคนที่รักแต่จำต้องจากไปไกลแสนไกลนี่มันก็เกือบปีแล้วสินะที่เธอต้องอยู่โดยไม่มีเขา มันเหมือนจะยาวนาน แต่น่าแปลกที่เธอยังคงจำเหตุการณ์ต่างๆ ในวันวานที่ผ่านมาได้อย่างดีทีเดียวหลังจากเหตุการณ์ที่เธอโดนลอบยิงอย่างอุกอาจที่สวนอาหารแห่งนั้นไม่นาน ก็มีข่าวครึกโครมว่าตำรวจจับตัวคนร้ายได้ทว่าที่น่าตกใจกว่านั้นคือการที่คนร้ายซัดทอดว่า คนที่จ้างวานให้มายิงเธอนั้นคือ...พรีมโรส แฟนสาวของปราบดานั่นเอง ส่วนเหตุผลจูงใจของผู้หญิงคนนั้นวิศราก็เดาได้ไม่ยาก เพราะคงไม่พ้นเรื่องหึงหวง แต่แทนที่เธอจะโกรธแค้น น่าแปลกที่เธอกลับรู้สึกสงสารปนสังเวชใจที่นางแบบสาวที่กำลังมีอนาคตรุ่งโรจน์ผู้นั้นคิดตื้นๆ เลือกตัดอนาคตตัวเอง ทำในสิ่งที่ผิดจนทำให้คนที่เธอรักต้องจากไปตลอดกาล แถม
ตอนที่วิศราไปถึงหน้าห้องผ่าตัดมีคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว นั่นคือคณะที่พากันไปทัวร์สวนสัตว์วันนี้ที่พอรู้ข่าวก็คงรีบมาที่โรงพยาบาลกันทันที รวมถึงยุทธนาที่ตามมาหลังจากทราบข่าว สีหน้าทุกคนร้อนรนมีรอยกังวล แต่คนที่อาการหนักสุดเห็นจะเป็นพี่สาวของคนเจ็บนั่นเอง ใบหน้าซีดเผือดของปุริมายังคงเปื้อนคราบน้ำตา สิ่งเดียวที่คอยเหนี่ยวรั้งไม่ให้แม่เลี้ยงของเธอล้มพับไปคือลูกสาวตัวน้อยที่นอนหลับซุกหน้ากับอกผู้เป็นแม่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวนั่นเอง“แม่ส้มขา...” เสียงเรียกนั้นทำเอาวิศราสะดุ้งสุดตัว พอหันไปเห็นว่าเป็นใครเธอจึงอ้าแขนรับร่างป้อมที่วิ่งตรงมาหาโดยอัตโนมัติ “แม่ส้มเป็นอะไรคะ นั่น! ทำไมเลือดแม่ส้มออกเต็มเสื้อเลยคะ”รอยเลือดแห้งกรังที่อกเสื้อทำให้แม่คนช่างเจรจาสงสัย“ไม่ใช่เลือดแม่หรอกค่ะ แต่เป็นของ...”คนพูดกัดริมฝีปากแน่น ลมหายใจสะดุดเมื่อคิดถึงใบหน้าคนที่พุ่งเข้ามารับกระสุนพร้อมกับกอดเธอไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกวายร้ายนั่นทำอันตรายเธอได้ แต่คนช่วยกลับรับเคราะห์เสียเอง เลือดบนอกเธอก็คงเป็นเลือดเขานั่นเอง“เป็นยังไง...หมอว่ายังไงบ้างคะ” วิศราพยายามข่มเสียงไม่ให้สั่นทั้งที่ในใจเธอตอนนี้มันเต้นรัวด้วย