“ผมขอร้อง!”ดวงตากลมโตเบิกกว้างตกตะลึงไปชั่วขณะกับสิ่งที่ได้ยิน นึกว่าตัวเองหูฝาดที่ได้ยินนายตัวร้ายอย่างเขาเอ่ยปากขอร้องดีๆ ผิดวิสัยเพียงเพื่อช่วยนางแบบสาวสวยคนนั้น เขาคงรักเธอมากสินะฮึ! รักหรือ...คนอย่างหมอนี่น่ะหรือรักคนอื่นเป็น นอกจากตัวเอง“ถ้าโกรธเกลียดผมนักก็มาลงที่ผมคนเดียว อย่าไปดึงคนอื่นมาเดือดร้อนด้วย พรีมเขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย ถือว่าผมขอร้อง ได้โปรด...”“แล้วถ้าฉันไม่รับคำขอร้องนี่ล่ะ!”“วิศรา!” ปราบดาเค้นเสียงเข้ม“ถ้าวันนั้นนายรู้จักคิดหรือขอร้องกันดีๆ แบบนี้ก่อนจะทำอะไรลงไป...ก็คงดี” น้ำเสียงสั่นๆ แต่เจือด้วยรอยร้าวที่ซ่อนลึกลงไป ทำให้คนฟังสะอึกอึ้งปราบดามองสบตาคู่งามที่มีละอองน้ำใสๆ รื้นขึ้นบางๆ ตะกอนความรู้สึกบางอย่างที่ถูกสะกดไว้ถูกก่อกวนให้หวนระลึกถึงห้วงเวลาที่แสนหวานซึ่งเขาคิดว่าลบเลือนไปนานแล้วขึ้นมาอีกครั้งมือหนาคลายจากต้นแขนเรียวมาแตะที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน เขาคงบ้าไปแล้วที่นึกอยากรวบร่างของยายตัวร้ายตรงหน้าเข้ามากอดและประทับจูบที่ริมฝีปากงามที่แสนหวาน ดังเช่นในวันวานก่อนที่เธอจะหนีจากไป เหลือทิ้งไว้แต่ไออุ่นที่ทำให้เขาเก็บไปฝันถึงวิศรา...ยายตัวร้าย
“นั่นเรียกว่ายิ้มหรือไงครับ”เสียงยียวนลอยลมมากวนโมโหอีกครั้งทำให้หญิงสาวกำมือแน่น รู้สึกเกร็งจนหน้ากระตุก รู้ดีว่ากำลังถูกหาเรื่อง วิศราลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความเดือดพล่านที่ใกล้ถึงขีดสุด ริมฝีปากอิ่มฝืนขยับยกมุมปากขึ้นอีกนิด แต่ก็ไม่อาจทำให้อีกฝ่ายพอใจได้“นี่คุณครับ ยิ้มน่ะ! แค่ยิ้มง่ายๆ ทำเป็นไหม”แค่ยิ้มน่ะง่าย แต่การต้องยิ้มเพราะคำสั่งของคนตรงหน้าต่างหากที่ยาก“ท่าทางคุณจะยิ้มไม่เป็นสินะ หรือถนัดแต่หาเรื่องคนอื่น เอาแต่ทำหน้าบึ้งแบบนั้นไม่กลัวหน้ายับหรือไงครับ” คำนั้นทำให้ความอดทนทั้งมวลสิ้นสุดลงทันใด“นาย!” เสียงอันดังลั่นทำให้คนรอบข้างหันมองกันเลิ่กลั่ก “นายมีหน้าที่ถ่ายภาพก็ทำไป อย่ามายุ่งกับหน้าคนอื่น”“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ” ยุทธนาที่ยืนคุยกับนักข่าวอยู่ไม่ห่างจากบริเวณนั้นรีบเข้ามาถามไถ่“ถามเขาสิ” ดวงตากลมโตลุกโชน “ต้องการอะไรจากฉันกันแน่”“ผมก็แค่ต้องการให้คุณยิ้มบ้าง เวลาถ่ายรูปออกมาจะได้ดูเป็นมิตร ไม่ใช่เอาแต่ทำหน้าบึ้งเหมือนจะกินหัวใครแบบนั้น”“หน้าฉัน! ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน”“แต่หน้าคุณต้องไปอยู่บนนิตยสารของผม และถึงคุณจะเป็นดีไซเนอร์ในนามแบรนด์เมืองน
“บัดซบ!”“พี่ปราบว่าไงนะคะ ว้าย! เลือดออกใหญ่แล้ว” จิราภาร้องลั่น “จีจี้ว่าเราไปหาหมอกันดีกว่านะคะ ไว้ค่อยมาตามเก็บภาพวันหลังก็ได้”“มีอะไรกันเหรอครับ” ยุทธนารีบเข้ามาถาม โดยมีร่างสูงสง่างามและหญิงสาวอีกคนตามเข้ามาสมทบห่างๆ“คือพี่ปราบโดนแก้วบาดน่ะค่ะ ดูท่าแผลจะลึก เลยคิดว่าจะพาไปให้หมอดูอาการที่โรงพยาบาล สงสัยวันนี้จะถ่ายต่อไม่ไหวแล้ว ถ้ายังไงทางเราต้องขอโทษด้วยนะคะ และขออนุญาตนัดคิวเข้ามาอีกทีได้ไหมคะ หรืออาจจะมาเฉพาะช่างภาพ ตามมาถ่ายบรรยากาศตอนพวกคุณทำงาน แล้วก็ค่อยพบกันอีกทีวันงานแฟชั่นโชว์เลย”“ไม่มีปัญหาครับ นัดเวลากับทีมงานได้เลย แต่ผมว่าตอนนี้รีบพาคุณปราบไปหาหมอดีกว่า เดี๋ยวผมให้รถของเราพาไป” อลันมองบาดแผลเลือดโชกด้วยความเป็นห่วงในฐานะเจ้าของสถานที่“ผมไม่เป็นไรครับ” ปราบดาตอบเสียงเรียบ นัยน์ตาคมกล้าแลมองร่างโปร่งระหงของหญิงสาวที่ยืนเยื้องไปด้านหลังของอลันอย่างคันยิบๆ ในหัวใจ อดนึกเปรียบเทียบไม่ได้ว่าหากคนที่เจ็บตัวเป็นยุทธนาหรือว่าอลัน บางทีอาจทำให้เธอคนนั้นหันมาสนใจเป็นห่วงเป็นใยได้บ้าง เพียงแค่คิดทำไมหัวใจถึงเจ็บแปลบขึ้นมาได้ก็ไม่รู้แต่ก็นั่นแหละ วิศราก็คือวิศรา คนใจแข็งที
“อ้าว ธุระสำคัญอะไรน่ะ มีนัดใครไว้อีกเหรอ ทำไม...” ยุทธนายั้งคำถามทันทีเมื่อหันไปเห็นสายตาที่อีกฝ่ายส่งกลับมา “งั้นเดี๋ยวผมไปส่งแล้วกัน”“ไม่เป็นไร วันนี้แกบอกว่ามีนัดทานข้าวกับที่บ้านต่อไม่ใช่เหรอ ฉันไปเองได้”“ให้ผมไปส่งเองดีกว่านะ วันนี้ผมไม่มีนัดที่ไหน” อลันขันอาสา “ส่วนทางนี้ผมฝากคุณดูแลให้เรียบร้อยด้วยนะครับยอร์ช ขอตัวก่อนนะครับทุกคน”“เรารีบไปกันเถอะค่ะปราบ” พรีมโรสกระตุกแขนเรียกความสนใจของแฟนหนุ่มที่แลตามสองหนุ่มสาวที่เพิ่งเดินเคียงข้างกันออกไปตาแทบไม่กะพริบ แม้จะพยายามข่มสีหน้าให้เป็นปกติ แต่กระนั้นประกายวาววับบางอย่างในแววตาเข้มของเขาก็ทำให้หัวใจนางแบบสาวรุ่มร้อนดังถูกไฟลน ไม่ชอบสายตาที่เขาใช้มองผู้หญิงจอมหยิ่งคนนั้นเอาเสียเลยทำไมนะ ใครๆ ถึงต้องไปรุมล้อมให้ความสนใจยายดีไซเนอร์สาวจอมหยิ่งยโสคนนั้นด้วย โดยเฉพาะหนุ่มๆ อย่างยุทธนา และอลัน ซึ่งคนหลังนั้น ในฐานะคนที่เกาะติดข่าวสารวงการแฟชั่นย่อมต้องเคยได้ยินข่าวกอสซิปของบุรุษรูปหล่อบาดตามาบ้าง ความรวยยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะเขาจัดว่าครบเครื่องหนุ่มในฝันของสาวๆ ทุกคนรวมถึงเธอด้วย หากไม่มีปราบดาเสียก่อน เธอเองก็อยากได้คนอย่างอลันมาเ
“อลิศครับ ไอศกรีมของหนูจะละลายแล้วน้า ลุงว่าให้พี่แอนนี่พาไปใส่ถ้วยก่อนดีกว่านะครับคนเก่ง”“โอเคค่า” หนูน้อยยิ้มแป้น ก่อนเดินตามพี่เลี้ยงเข้าครัวไปพร้อมถุงไอศกรีม ทิ้งให้ผู้ใหญ่อีกสองคนอยู่กันตามลำพัง“ดูเหมือนผมจะให้งานคุณเยอะไปจริงๆ สินะ”วิศราเงยหน้ามองคนพูดอย่างรู้ทัน“คุณสงสัยเรื่องวันนี้ก็ถามมาตรงๆ เถอะค่ะ”“ถ้าคุณอยากเล่า ผมก็ยินดีรับฟัง” ชายหนุ่มทอดสายตามองเธอนิ่งๆ จากที่เคยใจเย็นมาตลอด เพราะเชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่าสักวันอีกฝ่ายจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เขามีให้ จนกระทั่งได้เห็นรอยบางอย่างในดวงตาของช่างภาพคนนั้นยามที่เผลอมองวิศราในวันนี้ เบื้องหลังทีท่าไม่ลงรอยกันมีอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งซุกซ่อนอยู่ลึกๆ โดยที่เจ้าตัวก็อาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แต่ผู้ชายด้วยกันย่อมดูกันออกไม่ยาก แม้จะไม่ใช่คนขี้หึง แต่ด้วยสถานะที่ไม่เคยชัดเจนระหว่างเขากับเธอ บ่อยครั้งเข้ามันก็ทำให้หัวใจหวั่นไหวได้เหมือนกันหลายคนอาจคิดว่าเขาเป็นคนใจกว้าง แต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าความใจกว้างนั้นก็มีขีดจำกัดอยู่ และถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากหักหาญน้ำใจใครก่อน“ฉันเกลียดเขา นายช่างภาพคนนั้น ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากเห็นหน้าด้วย
“แล้วไหนล่ะคะ ไอศกรีมที่ว่า...” อลันแกล้งถาม ก่อนคลี่ยิ้มเมื่อเห็นหน้าตาเหลอหลาของคนตัวเล็กที่มัวแต่ดีใจจนลืมภารกิจที่ทำอยู่“แหะๆ ยังตักไม่เสร็จเลยค่ะ”“งั้นไปกันเถอะ เดี๋ยวลุงไปช่วยตักนะ”อลิศยิ้มแฉ่งก่อนคว้ามือใหญ่จูงกันเข้าไปในครัวกะหนุงกะหนิง โดยมีสายตาอีกสองคู่มองตามด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน “นี่ยายส้ม! ทำไมแกไม่รู้จักจำตัวอย่างจากลูกมาใช้ซะบ้างล่ะ”พอคล้อยหลังคนทั้งสอง ยุทธนาก็เท้าสะเอวอย่างเอาเรื่อง“ทำไม จะให้ฉันทำแบบอลิศกับแกเวลาซื้อช็อกโกแลตให้งั้นเหรอ” หญิงสาวหมั่นไส้จึงประชดกลับไปไม่ทันคิด“ไม่ใช่ฉัน นู่นต่างหาก ทำกับมิสเตอร์บอสของแกต่างหาก”คนฟังชะงักกึก หน้าร้อนวูบวาบ“พูดบ้าๆ”“บ้าตรงไหนยะ คนตาไม่บอดเขาก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่าบอสน่ะคิดอะไรกับแก” ยุทธนาค้อนปะหลับปะเหลือกอย่างหมั่นไส้“เอาจริงๆ นะ อย่าหาว่าฉันยุ่งเลย แกเองก็รู้ว่าเหมือนกันว่าเขาคิดยังไงกับแก ถามจริงเถอะ เมื่อไหร่แกจะใจอ่อนกับเขาสักที แกมัวรออะไรอยู่ หรือจะรอเจ้าชายขี่ม้าขาวเหาะลงมาจากสวรรค์วิมาน เคยได้ยินไหม เลือกนักมักได้แร่น่ะ หยุดเลยนะ!” คนพูดรีบดักคอเมื่อเห็นอีกฝ่ายอ้าปากจะเถียง “อย่ามาเถียง แกเคยค
ถึงจะโดนเร่งปฏิกิริยาหัวใจจากยุทธนาไปชุดใหญ่ แต่จนแล้วจนรอดวิศราก็ไม่มีโอกาสได้คิดทบทวนเรื่องของตัวเองกับอลันอีกครั้ง เพราะเวลาสำหรับการเตรียมงานแฟชั่นโชว์ใหญ่ครั้งแรกในชีวิตในฐานะดีไซเนอร์เต็มตัวของเธอกำลังงวดเข้ามาทุกที งานที่ทำก็ดูเหมือนจะมีเรื่องจุกจิกเข้ามาให้ได้คิดได้แก้ปัญหากันแบบรายวัน ไหนจะเรื่องของบิดาที่เธอต้องหาเวลาปลีกตัวจากความยุ่งเหยิงไปดูแลท่านที่โรงพยาบาลให้บ่อยที่สุด จนเริ่มได้เห็นแนวโน้มอาการที่ดีขึ้นของคนป่วย หลังจากการกายภาพบำบัดครั้งล่าสุด วิศราก็ได้รับข่าวดีว่าพ่อของเธอก็มีกำหนดออกจากโรงพยาบาลกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้หลังจากวันที่จัดงานแฟชั่นโชว์ของเธอเพียงสองวันร่างเพรียวระหงในชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีนแบบเรียบง่ายแต่แฝงด้วยดีเทลเก๋เดินตรวจเช็กความพร้อมต่างๆ ของชุดและเครื่องประดับที่นางแบบจะต้องสวมขึ้นเดินบนแคตวอล์กงานแฟชั่นโชว์ในค่ำคืนนี้อีกครั้ง แม้ยังมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ต้องแก้ไขอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วต้องถือว่าสมบูรณ์แบบตามที่ตั้งใจ ถึงจะเป็นครั้งแรกแต่เธอไม่ต้องการให้ใครมาว่าได้ว่า ดีไซเนอร์ของ Lewis ทำงานแบบสุกเอาเผากินหรือไม่ตั้งใจทำงาน“ไงยะมาดาม เจอตะเข
วิศราตรวจเช็กความเรียบร้อยทุกอย่างจนถึงวินาทีสุดท้ายจนมั่นใจว่างานจะไร้ข้อผิดพลาดและเป็นโชว์ที่น่าประทับใจ ขณะที่ยุทธนาเริ่มมีอาการประหม่าและวิตกกังวลจนเห็นได้ชัด ทว่าตอนที่จะได้เวลาเริ่มงาน จู่ๆ เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น“พวกคุณทำแบบนี้ได้ยังไง!” เสียงเอะอะดังมาก่อนตัว ทำให้สองดีไซเนอร์เพื่อนซี้หันไปมองต้นเหตุที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าบึ้งตึงบอกบุญไม่รับ“ทำไมคุณเปลี่ยนคนเดินฟนาเลเป็นคนอื่นโดยไม่บอกฉันก่อน!” ร่างสูงโปร่งเดินพรวดพราดเข้ามาอย่างเอาเรื่อง “ทำแบบนี้มันไม่แฟร์ ไม่เป็นมืออาชีพเลย หรือว่าพวกคุณจะแกล้งกัน ฉันน่าจะรู้ตั้งแต่แรกที่โดนวิจารณ์ไม่เข้าท่าวันนั้นแล้ว บ้าที่สุด!”วิศรากระแทกลมหายใจ พยายามคุมสติและสีหน้าให้นิ่งสงบ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมาย“ถ้าคุณมีอะไรจะพูดเชิญด้านในดีกว่า ตรงนี้ไม่เหมาะ”“ทำไมล่ะ พวกคุณอายด้วยเหรอ ฉันจะพูดตรงนี้แหละ ทุกคนจะได้เป็นพยานว่าฉันถูกเอาเปรียบยังไง” เสียงที่ไม่ค่อยเบานักเรียกความสนใจจากเพื่อนนางแบบและช่างแต่งหน้าช่างทำผมที่ทำงานง่วนอยู่สมใจนางแบบสาว “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับคุณพรีมโรส” ยุทธนาพยายามคุมสติ เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ไม่อยากให้เห
สถานที่จัดงานแต่งงานของคู่รักดีไซเนอร์คือสวนดอกไม้ที่ถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่ายตามเจตนารมย์ของเจ้าสาวที่ไม่ต้องการงานเอิกเกริกแต่กระนั้นก็แอบมีกิมมิคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคู่รักดีไซเนอร์คนดังโดยเวทีถูกออกแบบให้เป็นรันเวย์สำหรับบ่าวสาวเดินไปทำพิธีอย่างมีสไตล์ แขกที่มาร่วมงานนอกจากครอบครัวแล้วก็มีแค่เพื่อนสนิทของสองฝ่ายเท่านั้น และทันทีที่เจ้าสาวปรากฏตัวขึ้น แขกทุกคนก็พร้อมใจยืนขึ้นต้อนรับด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นวิศรุตในชุดสูทลุกขึ้นช้าๆ โดยมีภรรยาสาวช่วยประคองและส่งไม้เท้าให้สามีทำหน้าที่ส่งตัวเจ้าสาว เขายื่นมือไปรับมือลูกรักด้วยใบหน้าที่เป็นปลื้มจนน้ำตาคลอ“คุณพ่อ” เจ้าสาวสวมกอดบิดาสุดที่รักอย่างตื้นตัน ไม่คิดเลยว่าเธอจะได้มีวันนี้“ไปเถอะลูก”วิศรุตจับมือเจ้าสาวคนสวยพาเดินตรงไปยังแท่นทำพิธี โดยด้านหน้ามีเด็กหญิงตัวน้อยนำขบวนสองคนคือเด็กหญิงลูกปลาที่ทำหน้าที่คอยโปรยดอกไม้ให้ และอีกคนคืออลิศลูกสาวของเธอที่ทำหน้าที่ถือแหวน วันนี้หนูน้อยอลิศสวมชุดสีชมพูฟูฟ่องน่ารัก ที่ลำคอของเด็กน้อยสวมสร้อยแปลกตาที่มีแหวนวงหนึ่งห้อยเป็นจี้ แหวนเพชรสีชมพูสวยทอประกายสวยสดใส เป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูสำหรับทุกคนวิ
‘และเธอเพิ่งตอบตกลงยอมแต่งงานกับผมเมื่อไม่นานมานี้’แวบหนึ่งเหมือนชายหนุ่มหันมองตรงมาด้วยแววตาอ่อนหวานทำให้วิศราหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นโครมคราม นี่เขากำลังประกาศแต่งงานออกสื่อ อลัน เลวิธ หนุ่มโสดเนื้อหอมคนนั้นเนี่ยนะ‘โอ...พระเจ้า’ พิธีกรสาวรุ่นเดอะยกมือทาบอก ทำตาโตเท่าไข่ห่าน เชื่อว่าหากเทปนี้ออกอากาศไป จะต้องเรียกเรตติงได้ถล่มทลายเลยทีเดียว ‘คุณพอจะบอกได้ไหมคะอลันว่าใครคือผู้หญิงที่โชคดีคนนั้น’คำถามนั้นทำให้ใบหน้าคนถูกถามแต้มสีแดง นัยน์ตาสีเทาทอประกายพราวระยับ‘เธอเป็นดีไซเนอร์สาวชาวไทยครับ และเธอเป็นรักแรกพบของผม’วิศราแว่วได้ยินเสียงหวีดผ่านฝ่ามือที่ปิดปากของยุทธนา คำว่ารักแรกพบของเขาทำให้เพื่อนของเธอถึงกับเสียอาการไปไม่น้อยเลยทีเดียว“รักแรกพบ...”วิศราพึมพำเบาๆ สมองนึกย้อนไปถึงตอนที่เธอและเขาได้พบกันครั้งแรก จำได้ว่าเป็นตอนที่เธอใจลอยเดินตัดหน้ารถเขาเพราะกำลังช็อกที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ นี่เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่ตอนนั้นเนี่ยนะมันใช่เหรอ‘ว้าววว ฟังดูโรแมนติกจัง คุณพอจะเล่าเหตุการณ์นั้นให้พวกเราฟังได้ไหมคะ’‘อืม...ตอนนั้นเธอยังเป็นนักศึกษาทุนที่วิทยาลัยแฟชั่น และผมได้ร
“ว้าววว...สวยที่สุดเลย สวยอย่างกับเจ้าหญิงแน่ะค่ะ ลองส่องกระจกดูสิคะ”ประโยคนั้นของช่างแต่งหน้าทำให้หญิงสาวเจ้าของเรือนร่างระหงในชุดเจ้าสาวที่ออกแบบและตัดเย็บจากผ้าไหมและผ้าลูกไม้ที่สั่งทอมาเป็นพิเศษเพื่อเธอโดยเฉพาะและเป็นชุดเดียวในโลกจากการออกแบบของดีไซเนอร์หนุ่มชื่อดังของแบรนด์ระดับโลกอย่าง Lewis โดยใช้โทนสีครีมอ่อนปนด้วยสีชมพูพาสเทลหวานละมุนไปทั้งตัวขับให้ผิวเนียนละเอียดของเธอเปล่งปลั่งงดงามเฉิดฉายราวกับเป็นเจ้าหญิงที่หลุดออกมาจากเทพนิยายก็ไม่ปานวิศรามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกตื้นตันในหัวใจปนประหม่า เธอเป็นคนขอร้องให้เขาเลือกสีอื่นที่ไม่ใช่สีขาว เพราะเธอไม่ใช่เจ้าสาวที่แสนบริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วเขาก็เลือกสีนี้มาให้ด้วยเหตุผลว่าเขาอยากเห็นเจ้าสาวของตัวเองสวยหวานที่สุดในวันที่แสนพิเศษของเราคนเป็นเจ้าสาวยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงตอนที่เขาอาสาออกแบบตัดเย็บชุดนี้ให้เธอด้วยมือตัวเอง ทุกขั้นตอนทุกรายละเอียดที่เขาใส่ลงไปล้วนมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ และมันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูกตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นเด็กน้อยช่างฝันตามประสาเด็กผู้หญิงทั่วๆ ไป เธอเคยจินตนาการถึงง
จริงอย่างที่อลันว่า พอได้ล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำเย็นๆ หญิงสาวก็รู้สึกสดชื่นขึ้นทันตา แต่ตอนที่กำลังจะลงไปด้านล่างเพื่อช่วยคนอื่นๆ ตามหาลูกสาว จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องแหวนที่วางอยู่บนหัวเตียง แหวนที่ได้จากปุริมาวันนั้นแหวนของนายปราบดา!อะไรบางอย่างทำให้ร่างระหงเดินย้อนกลับไปหยิบแหวนนั้นขึ้นมาเปิดดู ประกายจากเพชรสีชมพูสะท้อนวูบเข้านัยน์ตาจนแสบพร่า“นายยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า...” วิศรามองแหวนวงงามราวกับมันมีชีวิต “ถ้ายังอยู่แถวนี้ ช่วยให้ฉันตามหาลูกของเราให้พบด้วยนะคะ ขออย่าให้ลูกต้องเป็นอะไร อย่าให้อลิศเป็นอะไร ช่วยฉันด้วยนะคะ”ทันใดนั้น ลมเย็นวูบหนึ่งก็พัดผ่านร่างเธอไปทั้งๆ ที่หน้าต่างไม่ได้เปิด ราวกับใครบางคนได้ตอบรับคำขอนั้น หญิงสาวยิ้มกับตัวเองเศร้าๆ หากปราบดายังอยู่ตรงหน้า เธอคงไม่กล้าเอ่ยปากขอร้องเขาเช่นนี้ คงชวนทะเลาะมากกว่า แต่เพื่อลูกสุดที่รัก สิ่งไหนที่พอจะยึดเหนี่ยวหรือช่วยทำให้สบายใจได้บ้าง เธอก็ยอมทำทั้งนั้นวิศราปิดกล่องแหวนนั้นแล้ววางมันไว้ที่เดิม ทว่าตอนที่เธอกำลังจะก้าวเท้าออกจากห้องนั้นเอง จู่ๆ หูก็พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแว่วมา“ฮือๆ...” วิศราหันขวับอย่างตกใจ ก
งานแต่งงานของวิศราและอลันถูกตระเตรียมขึ้นท่ามกลางความดีใจของทุกคน แม้เจ้าสาวจะบอกว่าไม่ต้องการให้จัดงานใหญ่โตเอิกเกริก และอยากให้เป็นงานเล็กๆ ที่อบอุ่นมากกว่า ถึงกระนั้นทุกคนในบ้านอาภาพิพัฒน์ที่เพิ่งผ่านความเศร้าจากการสูญเสียไปเมื่อไม่นานมานี้ก็เริ่มยิ้มออกและกระตือรือร้นกับงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยเฉพาะนายผู้หญิงของบ้านอย่างปุริมาและนางรื่นรมย์ซึ่งถือเป็นพี่เลี้ยงคนสนิทของว่าที่เจ้าสาวกลายเป็นหัวเรือใหญ่ที่คอยเป็นธุระช่วยเหลือในการจัดการเรื่องต่างๆ อย่างเต็มใจท่ามกลางความดีใจเหล่านั้น ทุกคนกลับไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนมองภาพเหล่านั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เด็กหญิงอลิศทำหน้าหม่นหมอง ในมือกอดตุ๊กตาหมีที่แม่ของเธอให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีก่อนแน่นราวกับมันกลายเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในโลกที่เหลืออยู่ ก่อนค่อยๆ เดินแยกห่างออกมาเงียบๆ หลังจากเห็นทุกคนกำลังวุ่นวายจนลืมไปว่าวันนี้ยังมีความสำคัญกับใครอีกคน ไม่ทันไรทุกคนก็ลืมวันเกิดของเธอไปเสียแล้ว“พี่หมีจ๋า ทุกคนลืมวันเกิดอลิศหมดเลย ไม่มีใครรักอลิศแล้ว ไม่มีเลย...” เด็กน้อยขมุบขมิบงึมงำด้วยความรู้สึกว้า
คิดเพลินๆ จู่ๆ ก็มีเสียงสัญญาณโทรศัพท์เรียกเข้ามา หญิงสาวยิ้มบางๆ เมื่อเห็นชื่อที่ขึ้นตรงหน้าจอ...อลัน เลวิธ!“คุณต้องเป็นญาติกับพ่อมดแน่ๆ” ปลายสายส่งเสียงหัวเราะกลับมา “รู้ได้ยังไงคะว่าคนแถวนี้กำลังคิดถึงคุณอยู่”“รู้ด้วยหัวใจไงครับ ใจของคนที่รักกันมักเชื่อมถึงกันเสมอ” เสียงทุ้มนุ่มหูตอบกลับมาอย่างอ่อนหวาน พาให้หัวใจคนฟังเต้นผิดจังหวะด้วยความเขิน“คุณทำอะไรอยู่คะ วันนี้งานยุ่งไหม”“ก็ยุ่งเหมือนทุกวัน แต่พอได้ยินเสียงคุณก็หายเหนื่อย”“ปากหวานจังนะคะบอส”“อย่างอื่นก็หวานนะ ถ้าคุณอยากชิมเมื่อไหร่ก็บอกได้เสมอ ถ้าเป็นคุณ ผมยินดีให้ชิมทั้งตัวทั้งใจเลย”วิศราหน้าแดงก่ำ ดีที่อีกฝ่ายอยู่ไกลถึงอีกซีกโลก หากเขายืนอยู่ตรงนี้ เธอคงไม่กล้าสู้หน้า ตั้งแต่ผ่านเรื่องเฉียดเป็นเฉียดตายมา ดูเหมือนจะทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นคนที่กล้าพูดกล้าแสดงความรักออกมาอย่างเปิดเผยมากกว่าเดิม“ทำไมนิ่งไปครับ คิดอะไรอยู่”“ฉันคิดถึงคุณ ถ้าตอนนี้คุณอยู่ตรงนี้ด้วยกันก็คงดีสิคะ”“อย่ามาทำให้ผมเคลิ้มเชียวนะวีวี่ คุณยังไม่รู้สินะว่าตอนนี้ผมแทบจะกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสายการบินระหว่างประเทศอยู่แล้ว นี่เพื่อนสนิทผมมันก็ร่ำๆ อยู่
วิศรานั่งฟังอย่างสงบ และเริ่มคิดตาม เพราะเป็นคนสำคัญที่สุดจึงต้องหวงแหน เขาก็คงเหมือนเธอที่หวงบิดาเพราะคิดว่าเป็นคนสำคัญเพียงคนเดียวในชีวิต อนิจจา...หากวันนั้นเธอไม่ก้าวร้าวพี่สาวของเขาก่อน หมอนั่นก็คงไม่คิดกำราบเธอด้วยวิธีป่าเถื่อนรุนแรงแบบนั้น เธอเองก็มีส่วนผิดที่เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้งโดยไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เรื่องมันถึงเลยเถิดแบบนี้‘ฉันต้องขอโทษคุณแทนตาปราบด้วยนะคะ สำหรับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด’ ปุริมาเอ่ยอย่างจริงใจ ‘แล้วก็ต้องขอบคุณที่คุณยอมอโหสิให้เขา’วิศรามองสบตาแม่เลี้ยงเต็มๆ ตาโดยไม่มีอคติมาบดบังเป็นครั้งแรก ‘ฉันเองก็ผิดที่ทำตัวไม่ดีกับคุณเหมือนกัน ที่จริงฉันก็ไม่ได้ดีไปกว่าน้องชายคุณนักหรอกค่ะ’‘แต่อย่างน้อยคุณก็ยังโชคดีกว่าปราบตรงที่ยังมีลมหายใจ โชคดีที่มีคนที่คุณรักและรักคุณมากมาย ฉันขอพูดอะไรกับคุณอีกนิดได้ไหมคะ’วิศราพยักหน้ารับนิดๆ‘พูดมาสิคะ’‘ฉันคิดว่าตาปราบเขาแอบชอบคุณมาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันแล้วละค่ะ จำตอนที่เขาขับรถชนสุนัขของคุณได้ไหมคะ’แน่นอนว่าวิศราย่อมจำได้แม่น‘ที่จริงตาปราบก็ตกใจมากเหมือนกัน ทีแรกเขาก็ทำอะไรไม่ถูก ตั้งใจจะลงมาดูมาขอโทษคุณเพราะเขาเองก
ร่างเพรียวระหงของสตรีผู้หนึ่งยืนนิ่งปล่อยใจล่องลอยไปแสนไกล เธอกำลังทอดสายตามองท้องฟ้าที่ดูหม่นเศร้ายามที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ความเงียบสงัดทำให้ได้ยินแม้แต่เสียงใบไม้แห้งกรอบปลิวเมื่อยามต้องแรงลมราวกับท่วงทำนองบทเพลงแห่งชีวิตที่ทุกคนต้องเผชิญอย่างไม่อาจหลีกหนี แต่ก็มีในบางจังหวะที่ชวนให้คนฟังรู้สึกถึงความอ่อนหวานปนขมปร่าในหัวใจยามที่คิดถึงใครบางคนที่รักแต่จำต้องจากไปไกลแสนไกลนี่มันก็เกือบปีแล้วสินะที่เธอต้องอยู่โดยไม่มีเขา มันเหมือนจะยาวนาน แต่น่าแปลกที่เธอยังคงจำเหตุการณ์ต่างๆ ในวันวานที่ผ่านมาได้อย่างดีทีเดียวหลังจากเหตุการณ์ที่เธอโดนลอบยิงอย่างอุกอาจที่สวนอาหารแห่งนั้นไม่นาน ก็มีข่าวครึกโครมว่าตำรวจจับตัวคนร้ายได้ทว่าที่น่าตกใจกว่านั้นคือการที่คนร้ายซัดทอดว่า คนที่จ้างวานให้มายิงเธอนั้นคือ...พรีมโรส แฟนสาวของปราบดานั่นเอง ส่วนเหตุผลจูงใจของผู้หญิงคนนั้นวิศราก็เดาได้ไม่ยาก เพราะคงไม่พ้นเรื่องหึงหวง แต่แทนที่เธอจะโกรธแค้น น่าแปลกที่เธอกลับรู้สึกสงสารปนสังเวชใจที่นางแบบสาวที่กำลังมีอนาคตรุ่งโรจน์ผู้นั้นคิดตื้นๆ เลือกตัดอนาคตตัวเอง ทำในสิ่งที่ผิดจนทำให้คนที่เธอรักต้องจากไปตลอดกาล แถม
ตอนที่วิศราไปถึงหน้าห้องผ่าตัดมีคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว นั่นคือคณะที่พากันไปทัวร์สวนสัตว์วันนี้ที่พอรู้ข่าวก็คงรีบมาที่โรงพยาบาลกันทันที รวมถึงยุทธนาที่ตามมาหลังจากทราบข่าว สีหน้าทุกคนร้อนรนมีรอยกังวล แต่คนที่อาการหนักสุดเห็นจะเป็นพี่สาวของคนเจ็บนั่นเอง ใบหน้าซีดเผือดของปุริมายังคงเปื้อนคราบน้ำตา สิ่งเดียวที่คอยเหนี่ยวรั้งไม่ให้แม่เลี้ยงของเธอล้มพับไปคือลูกสาวตัวน้อยที่นอนหลับซุกหน้ากับอกผู้เป็นแม่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวนั่นเอง“แม่ส้มขา...” เสียงเรียกนั้นทำเอาวิศราสะดุ้งสุดตัว พอหันไปเห็นว่าเป็นใครเธอจึงอ้าแขนรับร่างป้อมที่วิ่งตรงมาหาโดยอัตโนมัติ “แม่ส้มเป็นอะไรคะ นั่น! ทำไมเลือดแม่ส้มออกเต็มเสื้อเลยคะ”รอยเลือดแห้งกรังที่อกเสื้อทำให้แม่คนช่างเจรจาสงสัย“ไม่ใช่เลือดแม่หรอกค่ะ แต่เป็นของ...”คนพูดกัดริมฝีปากแน่น ลมหายใจสะดุดเมื่อคิดถึงใบหน้าคนที่พุ่งเข้ามารับกระสุนพร้อมกับกอดเธอไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกวายร้ายนั่นทำอันตรายเธอได้ แต่คนช่วยกลับรับเคราะห์เสียเอง เลือดบนอกเธอก็คงเป็นเลือดเขานั่นเอง“เป็นยังไง...หมอว่ายังไงบ้างคะ” วิศราพยายามข่มเสียงไม่ให้สั่นทั้งที่ในใจเธอตอนนี้มันเต้นรัวด้วย