วิศราผวากายอย่างตื่นตระหนกสุดขีด เมื่อถูกจู่โจมจากเรียวปากอุ่นร้อน กลิ่นแอลกอฮอล์กรุ่นที่ปลายลิ้นถูกส่งต่อผ่านลมหายใจที่ไหวสะท้านขาดเป็นห้วงๆ ทุกสัมผัสที่เกิดขึ้นสร้างความรัญจวนปนวาบหวามเร่าร้อน ไม่ว่าปราบดาจะลากริมฝีปากไปที่จุดใด หญิงสาวก็สั่นสะท้านที่จุดนั้น กายสาวรับรู้ถึงความเดือดพล่านจนแทบลุกเป็นไฟ “ไอ้หมอนั่นมันจูบคุณตรงไหนบ้างล่ะ” กระซิบถามเสียงพร่ากระเส่ายียวนกวนประสาท“ตรงนี้?” ชายหนุ่มฝังจมูกโด่งลงที่ซอกคอหอมกรุ่น ก่อนลากไปที่แก้มใสที่แต้มสีแดงระเรื่อของเลือดฝาดสาว “หรือว่าตรงนี้...”“พอแล้ว หยุดได้แล้ว อื้อ...” เสียงประท้วงเบาหวิวที่หลุดจากริมฝีปากสวยถูกตอบแทนด้วยความเร่าร้อนที่ทาบลงไปคลุกเคล้าบดขยี้ กลีบปากอ่อนนุ่มถูกดูดดึงเม้มแกล้งปั่นหัวจนมึนงงไปหมด ถ้าวิศราเป็นไวน์ชั้นดี ตอนนี้คงถูกคนตรงหน้าดื่มด่ำรสชาติอย่างเพลิดเพลินจนไม่เหลือสักหยด กว่าที่คนตัวโตกว่าจะยอมถอนริมฝีปากออกจากความหวานที่มอมเมาประสาทได้ หญิงสาวก็แทบจากขาดใจตายในอ้อมอกเขาเสียแล้วปราบดามองสาวงามที่นอนหายใจรวยรินสิ้นฤทธิ์ใต้ร่างตนอย่างพอใจ ทรวงอกอวบหยุ่นเต่งตึงที่สะท้อนขึ้นลงผิดจังหวะปลุกเร้าสัญชาตญาณนักล
วิศรานอนลืมตามองเพดานห้องอย่างอ่อนแรง ร่างงามสะพรั่งของวัยสาวเปลือยเปล่า ผมเผ้ากระเซิงยุ่งเหยิง ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แม้แต่จะผลักไสแขนกำยำที่โอบกอดเธอออกไปยังทำไม่ได้ ดวงตาคู่งามแห้งผากไม่มีน้ำตาไหลอีกต่อไป ความรู้สึกอดสูพุ่งจู่โจมเข้าจับขั้วหัวใจจนหนาวเหน็บ แม้บทรักของเขาจะแสนเร่าร้อนเอาใจ ทำให้เธอสุขสมจนแทบสำลัก แต่ในเวลาเดียวกันมันกลับทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ค่า เป็นเพียงเครื่องระบายความใคร่ของชายหนุ่มข้างกายเท่านั้น ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดต้นคอเบาๆ เป็นเครื่องยืนยันความอัปยศของเธอได้อย่างร้ายกาจ นายปราบดา คนที่เธอเกลียดแสนเกลียดจนอยากจะฆ่าให้ตายกับมือ คนที่เธอไม่สามารถเอาชนะได้แม้แต่ครั้งเดียว คือคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีเถื่อนของเธอ...หญิงสาวกัดฟันแน่น พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงขยับกายออกจากอ้อมแขนอุ่นๆ แต่แล้วเจ้าของเตียงกลับรั้งกายเธอเข้ามากอดแนบอกแน่นกว่าเดิมด้วยความเสน่หาที่ยังเต้นเร่าในกายแกร่ง“จะไปไหน ยังไม่เช้าเลย นอนเอาแรงต่ออีกหน่อยเถอะ” เสียงทุ้มหวานกระซิบงัวเงียข้างหูเบาๆ ก่อนเม้มที่ติ่งหูน่ารักของเธออย่างหยอกเอิน“ชื่นใจ...” ชายหนุ่มซบลงที่ต้นคอหอมกรุ่นของเธออย่างหลงใหล“ป
วิศรามองยาแผงหนึ่งในมือด้วยสายตาปวดร้าว มือสั่นเทาค่อยๆ แกะยาเม็ดหนึ่งออกมาก่อนกลั้นใจส่งมันเข้าปากอย่างกล้ำกลืน ‘ยาคุม’ ที่เธออุตส่าห์บากหน้าไปซื้อหามากินเพื่อป้องกันตัวเองหลังจากผ่านค่ำคืนอัปยศนั่นไม่รู้ว่ายาในมือจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะหลังจากที่เกิดเหตุเธอต้องนอนซมไข้ขึ้นถึงสองวันเต็มๆ กว่าจะมีเรี่ยวแรงออกไปซื้อหายามากิน ทำไมชีวิตเธอต้องมาเจอเรื่องเฮงซวยแบบนี้ด้วย ความอัดอั้นในหัวใจทำให้น้ำตารินกบนัยน์ตา ริมฝีปากเม้มแน่นทุกครั้งที่นึกถึงตัวต้นเหตุที่หายหน้าไปหลังจากวันนั้นและยังเจ็บใจตัวเองไม่หายหลังจากวันเกิดเหตุครั้งสุดท้ายนั่น วิศราก็ได้ยินว่าศัตรูตัวร้ายย้ายออกไปพักที่คอนโดกับเพื่อนของเขาชั่วคราว เพราะต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เธอจึงไม่ได้พบหน้าเขาอีกเลย...ก๊อก!ๆเสียงเคาะประตูทำเอาร่างระหงสะดุ้งเฮือก หันไปมองประตูอย่างหวาดระแวง“ส้ม...นี่พ่อเองนะลูก ให้พ่อเข้าไปหน่อยได้ไหม”วิศราหายใจไม่ทั่วท้อง รีบหาที่ซ่อนของกลางในมือทันที พอมั่นใจว่าสภาพเธอพร้อมดีแล้วจึงเดินไปเปิดประตูให้บิดา“คุณพ่อมีธุระอะไรกับส้มเหรอคะ”เสียงนั้นแม้ไม่ห้
“ถ้าหนูตอบว่าใช่ล่ะคะ” คำตอบนั้นเป็นการหยั่งเชิง“พ่อขอโทษนะลูก ขอโทษทุกเรื่องที่ทำให้หนูผิดหวัง แต่พ่ออยากบอกหนูว่าพ่อทำทุกอย่างเพื่อให้หนูมีความสุข แต่พ่อคงคิดน้อยไปหน่อย พ่อแค่อยากทำให้ครอบครัวของเราสมบูรณ์พร้อมหน้า คิดว่าหนูโตพอที่จะรับเรื่องนี้ได้ และพอดีเกิดเรื่องวุ่นๆ พ่อเลยไม่ได้พาเขามาทำความรู้จักสนิทสนมกับหนูก่อน คุณปูเธอก็เป็นคนใจดี นิสัยดี พ่อก็เลยคิดว่าน่าจะเข้ากับลูกของพ่อได้ไม่ยาก เอาเถอะ ถ้าเรื่องคุณปูกับน้องชายย้ายมาอยู่ที่นี่ทำให้ลูกไม่สบายใจ พ่อก็จะให้เขาแยกไปอยู่บ้านอีกหลัง”“คุณพ่อหมายความว่ายังไงคะ” วิศรากะพริบตาถี่ๆ อย่างงุนงงไม่ใช่เลิกรา แต่แค่จะให้ย้ายไปอยู่ที่อื่นเนี่ยนะ!“พ่อไปดูบ้านเดี่ยวไว้แล้ว ถ้าลูกไม่อยากให้เขาอยู่ที่นี่ พ่อก็ต้องหาที่อยู่ใหม่ให้พวกเขา”หากคำนี้มาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์อัปยศนั่น วิศราคงดีใจมากที่กำจัดสองพี่น้องนั่นออกไปจากชีวิตได้ แต่ขนาดอยู่บ้านเดียวกันเธอยังแทบไม่ได้พบหน้าพ่อ แล้วหากมีบ้านสองหลัง พ่อของเธอก็คงหายหน้าไปเลยน่ะสิ“แล้วถ้าส้มไม่ยอมล่ะคะ ถ้าส้มบอกคุณพ่อว่าคนพวกนั้นไม่ใช่คนดี ถ้าส้มบอกว่า...” น้องชายผู้หญิงที่พ่อรักคนนั้นรั
“เดี๋ยวส้ม!” ชายหนุ่มจะวิ่งตาม แต่ก็ไม่ทัน เพราะวิศรารีบขึ้นรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว เขาตั้งท่าจะขับรถตามออกไป แต่ก็ถูกเรียกไว้เสียก่อน“อ้าว ปราบกลับมาพอดีเลย” วิศรุตร้องทัก เขาประคองภรรยาเดินตรงมา “พี่สาวเธอมีข่าวดีจะบอกแน่ะ”“ข่าวดี? ข่าวดีอะไรเหรอครับพี่ปู” คิ้วเข้มขมวด ใจยังพะวงห่วงคนที่เพิ่งขับรถออกไป“ข่าวดีที่ว่า...เธอกำลังจะกลายเป็นน้าคนจริงๆ แล้วน่ะสิปราบ”“พี่ปู! หมายความว่า...”“จ้ะปราบ พี่ท้องได้สองเดือนแล้ว” คนพูดยิ้มกว้างนี่สินะคือสาเหตุที่ทำให้ยายนั่นวิ่งเตลิดออกมา...“ผมดีใจกับพี่ทั้งสองด้วยนะครับ” ปราบดาเข้ามาโอบไหล่พี่สาวแสดงความยินดี“อ้าว แล้วนั่นยายส้มขับรถออกไปมหาวิทยาลัยแล้วเหรอ ว้า...เสียดายจัง น่าจะได้รู้ข่าวดีนี้ก่อน”“ผมว่าเธอคงรู้แล้วละครับพี่” ปราบดาเอ่ย พร้อมมองไปทางประตูหน้าบ้านอย่างหนักใจเวลาผ่านไปนานจนถึงค่ำก็ยังไร้วี่แววว่าคนที่วิ่งเตลิดหายไปตั้งแต่เช้าจะกลับมา แม่บ้านใหญ่เดินกลับไปกลับมาระหว่างประตูรั้วกับประตูหน้าบ้าน คอยชะเง้อคอรอคอยคุณหนูของตนอย่างกระวนกระวายเป็นห่วง วิศราไม่เคยกลับบ้านผิดเวลาโดยไม่บอกกล่าว แต่นี่เกือบจะห้าทุ่มแล้วก็ยังไม่มีวี
ปราบดานั่งกุมขมับอย่างกลุ้มใจ เขาแทบไม่ได้นอนเลยทั้งคืนเพราะตระเวนไปทั่วทุกแห่งที่คาดว่าหญิงสาวจะไป บ้านเพื่อนกี่คนๆ ก็ไม่มีวี่แวว ที่มหาวิทยาลัย หรือแม้แต่โรงแรมในละแวกนั้นก็ไม่มีใครเห็นวิศรา ไม่มีใครรู้ว่าเธอไปไหน ยังดีที่วิศรุตยังไม่รู้ข่าวเพราะไปสัมมนาที่ต่างจังหวัดและต้องค้างคืนที่อื่น โดยมีพี่สาวของเขาไปด้วยในฐานะเลขาฯ ผู้ติดตาม แต่ในไม่ช้าสามีของพี่สาวเขาก็ต้องรู้ แล้วเขาจะทำอย่างไรดีเล่า ปราบดาร้อนรนไปทั้งหัวใจ เขาควรทำอย่างไรดีนะ หรือควรบอกเรื่องนี้ให้บิดาของเธอทราบดีโอ๊ย...ยายตัวยุ่ง เธอหายไปไหนกันแน่นะจู่ๆ เสียงแตรรถก็ดังขึ้น ปราบดาผุดลุกพรวดทันที“คุณหนูกลับมาแล้วค่ะคุณปราบ!” แม่บ้านใหญ่ลืมตัวตะโกนลั่นอย่างดีใจชายหนุ่มแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่าเมื่อเห็นสภาพลูกสาวเจ้าของบ้านถนัดตาเขาก็ใจหาย ร่างโปร่งระหงเดินด้วยทีท่าอ่อนระโหยโรยแรง ดวงตาคู่นั้นดูว่างเปล่าราวกับคนไร้วิญญาณ เธอเดินผ่านเขาไปราวกับมองไม่เห็น“เดี๋ยวก่อน” เขารีบคว้าข้อมือเรียวไว้ “คุณหายไปไหนมาทั้งคืนส้ม รู้บ้างไหมว่าทุกคนเป็นห่วงแค่ไหน คุณไปไหนมา”แทนที่จะหันมาตวาดแว้ดใส่เช่นทุกครั้ง คราวนี้คนแสนดื้อกลับยืน
วิศราหมดสติไปเกือบสองวันเต็มเพราะพิษไข้จากการนอนตากน้ำค้างมาทั้งคืน คนแรกที่เธอได้พบหน้าหลังจากฟื้นขึ้นมาคือแม่บ้านคนสนิท แทนบิดาที่ควรจะมาคอยดูแลใกล้ชิดดังเช่นทุกคราวที่เธอเคยป่วยไข้‘คุณผู้ชายไปสัมมนาที่หัวหินกับ เอ่อ...คุณผู้หญิงค่ะ พรุ่งนี้ถึงจะกลับ’คำบอกเล่านั้นตอกย้ำให้หญิงสาวยิ่งน้อยใจ พ่อให้ความสำคัญแก่งานและคนอื่นมากกว่าลูกสาวอย่างเธอจริงๆ สินะนี่เธอกลายเป็น ‘ส่วนเกิน’ เป็นหมาหัวเน่าอย่างที่นายปราบดาตัวร้ายแช่งไว้จริงๆ ใช่ไหมจากวันนั้นมาคุณหนูของบ้านก็เปลี่ยนจากหญิงสาวช่างพูดและร่าเริงกลายเป็นคนเงียบขรึม ไม่ยุ่งไม่สุงสิงกับใคร แม้อาการป่วยจะทุเลาแล้ว แต่หญิงสาวก็มักเก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอนคนเดียวเงียบๆ เสมอ จนคนเป็นพ่อเริ่มวิตกกับสงครามเย็นที่บุตรสาวคนเดียวกำลังก่อขึ้น แต่ด้วยงานที่รัดตัวทำให้วิศรุตแทบหาเวลาเคลียร์ใจกับลูกสาวไม่ได้เลย และเขาเป็นคนสุดท้ายที่ได้รู้ข่าวเรื่องลูกสาวไข้ขึ้นจากปากของแม่บ้านหลังจากผ่านเหตุการณ์ไปแล้วหลายวันความเป็นห่วงทำให้คนเป็นพ่อไม่อยู่เฉย เขาพยายามหาโอกาสพูดกับลูกสาวอีกครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะอีกฝ่ายพยายามหลบหน้าพ่อตัวเอง ตอนเช้าเขาตื่นมา ว
“ว่าไงนะส้ม! ลูกจะไปไหน” เป็นจริงดังคาด...คนเป็นพ่อถึงกับอุทานลั่นบ้าน แต่คนตัดสินใจเด็ดขาดแล้วอธิบายอย่างใจเย็น“ส้มได้ทุนไปเรียนด้านแฟชั่นดีไซน์ที่อังกฤษหลักสูตรสี่ปีค่ะ และนี่คือเอกสารที่คุณพ่อต้องเซ็นนิดหน่อยค่ะ” หญิงสาวต้องบังคับมือไม่ให้สั่นขณะยื่นเอกสารไปวางตรงหน้า“ทำไมลูกเพิ่งมาบอกพ่อตอนนี้ หืม” คนเป็นพ่อถามเสียงอ่อนระโหย ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยต้องจากลูกสาวนานขนาดนั้น“พอดีส้มเห็นคุณพ่อยุ่งๆ ก็เลยไม่อยากกวนใจน่ะค่ะ” “แล้วนี่จะต้องเดินทางเมื่อไหร่” ดวงตาอ่อนล้ามองอย่างยอมจำนนแกมรู้สึกผิด“ได้วีซ่าแล้ว พอยื่นเอกสารต่างๆ กับทางมหาวิทยาลัยเสร็จก็จะบินวันศุกร์นี้เลยค่ะ”“ยายส้ม!” วิศรุตร้องลั่นอีกครั้งอย่างตกใจ เหลือเวลาอีกเพียงน้อยนิด ลูกสาวสุดที่รักไม่ยอมให้เวลาเขาทำใจเลยด้วยซ้ำ “ทำไมทำแบบนี้กับพ่อ แล้วถ้าพ่อไม่ยอมเซ็นให้ล่ะ”“ส้มก็จะให้คนอื่นเซ็นให้แล้วหนีไปอยู่ดีค่ะ” หญิงสาวเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว แม้นัยน์ตาร้อนผ่าวจนน้ำตาเจียนจะหยดก็ตาม แต่เธอจำต้องข่มอารมณ์ไว้ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็จำเป็นต้องไป“แปลว่าลูกไม่สนแม้ว่าพ่อจะห้ามงั้นสินะ” ดวงตาแห้งผากจ้องมองดวงหน้าหวานสวยที่ถอดเค้าอ
สถานที่จัดงานแต่งงานของคู่รักดีไซเนอร์คือสวนดอกไม้ที่ถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่ายตามเจตนารมย์ของเจ้าสาวที่ไม่ต้องการงานเอิกเกริกแต่กระนั้นก็แอบมีกิมมิคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคู่รักดีไซเนอร์คนดังโดยเวทีถูกออกแบบให้เป็นรันเวย์สำหรับบ่าวสาวเดินไปทำพิธีอย่างมีสไตล์ แขกที่มาร่วมงานนอกจากครอบครัวแล้วก็มีแค่เพื่อนสนิทของสองฝ่ายเท่านั้น และทันทีที่เจ้าสาวปรากฏตัวขึ้น แขกทุกคนก็พร้อมใจยืนขึ้นต้อนรับด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นวิศรุตในชุดสูทลุกขึ้นช้าๆ โดยมีภรรยาสาวช่วยประคองและส่งไม้เท้าให้สามีทำหน้าที่ส่งตัวเจ้าสาว เขายื่นมือไปรับมือลูกรักด้วยใบหน้าที่เป็นปลื้มจนน้ำตาคลอ“คุณพ่อ” เจ้าสาวสวมกอดบิดาสุดที่รักอย่างตื้นตัน ไม่คิดเลยว่าเธอจะได้มีวันนี้“ไปเถอะลูก”วิศรุตจับมือเจ้าสาวคนสวยพาเดินตรงไปยังแท่นทำพิธี โดยด้านหน้ามีเด็กหญิงตัวน้อยนำขบวนสองคนคือเด็กหญิงลูกปลาที่ทำหน้าที่คอยโปรยดอกไม้ให้ และอีกคนคืออลิศลูกสาวของเธอที่ทำหน้าที่ถือแหวน วันนี้หนูน้อยอลิศสวมชุดสีชมพูฟูฟ่องน่ารัก ที่ลำคอของเด็กน้อยสวมสร้อยแปลกตาที่มีแหวนวงหนึ่งห้อยเป็นจี้ แหวนเพชรสีชมพูสวยทอประกายสวยสดใส เป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูสำหรับทุกคนวิ
‘และเธอเพิ่งตอบตกลงยอมแต่งงานกับผมเมื่อไม่นานมานี้’แวบหนึ่งเหมือนชายหนุ่มหันมองตรงมาด้วยแววตาอ่อนหวานทำให้วิศราหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นโครมคราม นี่เขากำลังประกาศแต่งงานออกสื่อ อลัน เลวิธ หนุ่มโสดเนื้อหอมคนนั้นเนี่ยนะ‘โอ...พระเจ้า’ พิธีกรสาวรุ่นเดอะยกมือทาบอก ทำตาโตเท่าไข่ห่าน เชื่อว่าหากเทปนี้ออกอากาศไป จะต้องเรียกเรตติงได้ถล่มทลายเลยทีเดียว ‘คุณพอจะบอกได้ไหมคะอลันว่าใครคือผู้หญิงที่โชคดีคนนั้น’คำถามนั้นทำให้ใบหน้าคนถูกถามแต้มสีแดง นัยน์ตาสีเทาทอประกายพราวระยับ‘เธอเป็นดีไซเนอร์สาวชาวไทยครับ และเธอเป็นรักแรกพบของผม’วิศราแว่วได้ยินเสียงหวีดผ่านฝ่ามือที่ปิดปากของยุทธนา คำว่ารักแรกพบของเขาทำให้เพื่อนของเธอถึงกับเสียอาการไปไม่น้อยเลยทีเดียว“รักแรกพบ...”วิศราพึมพำเบาๆ สมองนึกย้อนไปถึงตอนที่เธอและเขาได้พบกันครั้งแรก จำได้ว่าเป็นตอนที่เธอใจลอยเดินตัดหน้ารถเขาเพราะกำลังช็อกที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ นี่เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่ตอนนั้นเนี่ยนะมันใช่เหรอ‘ว้าววว ฟังดูโรแมนติกจัง คุณพอจะเล่าเหตุการณ์นั้นให้พวกเราฟังได้ไหมคะ’‘อืม...ตอนนั้นเธอยังเป็นนักศึกษาทุนที่วิทยาลัยแฟชั่น และผมได้ร
“ว้าววว...สวยที่สุดเลย สวยอย่างกับเจ้าหญิงแน่ะค่ะ ลองส่องกระจกดูสิคะ”ประโยคนั้นของช่างแต่งหน้าทำให้หญิงสาวเจ้าของเรือนร่างระหงในชุดเจ้าสาวที่ออกแบบและตัดเย็บจากผ้าไหมและผ้าลูกไม้ที่สั่งทอมาเป็นพิเศษเพื่อเธอโดยเฉพาะและเป็นชุดเดียวในโลกจากการออกแบบของดีไซเนอร์หนุ่มชื่อดังของแบรนด์ระดับโลกอย่าง Lewis โดยใช้โทนสีครีมอ่อนปนด้วยสีชมพูพาสเทลหวานละมุนไปทั้งตัวขับให้ผิวเนียนละเอียดของเธอเปล่งปลั่งงดงามเฉิดฉายราวกับเป็นเจ้าหญิงที่หลุดออกมาจากเทพนิยายก็ไม่ปานวิศรามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกตื้นตันในหัวใจปนประหม่า เธอเป็นคนขอร้องให้เขาเลือกสีอื่นที่ไม่ใช่สีขาว เพราะเธอไม่ใช่เจ้าสาวที่แสนบริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วเขาก็เลือกสีนี้มาให้ด้วยเหตุผลว่าเขาอยากเห็นเจ้าสาวของตัวเองสวยหวานที่สุดในวันที่แสนพิเศษของเราคนเป็นเจ้าสาวยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงตอนที่เขาอาสาออกแบบตัดเย็บชุดนี้ให้เธอด้วยมือตัวเอง ทุกขั้นตอนทุกรายละเอียดที่เขาใส่ลงไปล้วนมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ และมันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูกตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นเด็กน้อยช่างฝันตามประสาเด็กผู้หญิงทั่วๆ ไป เธอเคยจินตนาการถึงง
จริงอย่างที่อลันว่า พอได้ล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำเย็นๆ หญิงสาวก็รู้สึกสดชื่นขึ้นทันตา แต่ตอนที่กำลังจะลงไปด้านล่างเพื่อช่วยคนอื่นๆ ตามหาลูกสาว จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องแหวนที่วางอยู่บนหัวเตียง แหวนที่ได้จากปุริมาวันนั้นแหวนของนายปราบดา!อะไรบางอย่างทำให้ร่างระหงเดินย้อนกลับไปหยิบแหวนนั้นขึ้นมาเปิดดู ประกายจากเพชรสีชมพูสะท้อนวูบเข้านัยน์ตาจนแสบพร่า“นายยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า...” วิศรามองแหวนวงงามราวกับมันมีชีวิต “ถ้ายังอยู่แถวนี้ ช่วยให้ฉันตามหาลูกของเราให้พบด้วยนะคะ ขออย่าให้ลูกต้องเป็นอะไร อย่าให้อลิศเป็นอะไร ช่วยฉันด้วยนะคะ”ทันใดนั้น ลมเย็นวูบหนึ่งก็พัดผ่านร่างเธอไปทั้งๆ ที่หน้าต่างไม่ได้เปิด ราวกับใครบางคนได้ตอบรับคำขอนั้น หญิงสาวยิ้มกับตัวเองเศร้าๆ หากปราบดายังอยู่ตรงหน้า เธอคงไม่กล้าเอ่ยปากขอร้องเขาเช่นนี้ คงชวนทะเลาะมากกว่า แต่เพื่อลูกสุดที่รัก สิ่งไหนที่พอจะยึดเหนี่ยวหรือช่วยทำให้สบายใจได้บ้าง เธอก็ยอมทำทั้งนั้นวิศราปิดกล่องแหวนนั้นแล้ววางมันไว้ที่เดิม ทว่าตอนที่เธอกำลังจะก้าวเท้าออกจากห้องนั้นเอง จู่ๆ หูก็พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแว่วมา“ฮือๆ...” วิศราหันขวับอย่างตกใจ ก
งานแต่งงานของวิศราและอลันถูกตระเตรียมขึ้นท่ามกลางความดีใจของทุกคน แม้เจ้าสาวจะบอกว่าไม่ต้องการให้จัดงานใหญ่โตเอิกเกริก และอยากให้เป็นงานเล็กๆ ที่อบอุ่นมากกว่า ถึงกระนั้นทุกคนในบ้านอาภาพิพัฒน์ที่เพิ่งผ่านความเศร้าจากการสูญเสียไปเมื่อไม่นานมานี้ก็เริ่มยิ้มออกและกระตือรือร้นกับงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยเฉพาะนายผู้หญิงของบ้านอย่างปุริมาและนางรื่นรมย์ซึ่งถือเป็นพี่เลี้ยงคนสนิทของว่าที่เจ้าสาวกลายเป็นหัวเรือใหญ่ที่คอยเป็นธุระช่วยเหลือในการจัดการเรื่องต่างๆ อย่างเต็มใจท่ามกลางความดีใจเหล่านั้น ทุกคนกลับไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนมองภาพเหล่านั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เด็กหญิงอลิศทำหน้าหม่นหมอง ในมือกอดตุ๊กตาหมีที่แม่ของเธอให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีก่อนแน่นราวกับมันกลายเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในโลกที่เหลืออยู่ ก่อนค่อยๆ เดินแยกห่างออกมาเงียบๆ หลังจากเห็นทุกคนกำลังวุ่นวายจนลืมไปว่าวันนี้ยังมีความสำคัญกับใครอีกคน ไม่ทันไรทุกคนก็ลืมวันเกิดของเธอไปเสียแล้ว“พี่หมีจ๋า ทุกคนลืมวันเกิดอลิศหมดเลย ไม่มีใครรักอลิศแล้ว ไม่มีเลย...” เด็กน้อยขมุบขมิบงึมงำด้วยความรู้สึกว้า
คิดเพลินๆ จู่ๆ ก็มีเสียงสัญญาณโทรศัพท์เรียกเข้ามา หญิงสาวยิ้มบางๆ เมื่อเห็นชื่อที่ขึ้นตรงหน้าจอ...อลัน เลวิธ!“คุณต้องเป็นญาติกับพ่อมดแน่ๆ” ปลายสายส่งเสียงหัวเราะกลับมา “รู้ได้ยังไงคะว่าคนแถวนี้กำลังคิดถึงคุณอยู่”“รู้ด้วยหัวใจไงครับ ใจของคนที่รักกันมักเชื่อมถึงกันเสมอ” เสียงทุ้มนุ่มหูตอบกลับมาอย่างอ่อนหวาน พาให้หัวใจคนฟังเต้นผิดจังหวะด้วยความเขิน“คุณทำอะไรอยู่คะ วันนี้งานยุ่งไหม”“ก็ยุ่งเหมือนทุกวัน แต่พอได้ยินเสียงคุณก็หายเหนื่อย”“ปากหวานจังนะคะบอส”“อย่างอื่นก็หวานนะ ถ้าคุณอยากชิมเมื่อไหร่ก็บอกได้เสมอ ถ้าเป็นคุณ ผมยินดีให้ชิมทั้งตัวทั้งใจเลย”วิศราหน้าแดงก่ำ ดีที่อีกฝ่ายอยู่ไกลถึงอีกซีกโลก หากเขายืนอยู่ตรงนี้ เธอคงไม่กล้าสู้หน้า ตั้งแต่ผ่านเรื่องเฉียดเป็นเฉียดตายมา ดูเหมือนจะทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นคนที่กล้าพูดกล้าแสดงความรักออกมาอย่างเปิดเผยมากกว่าเดิม“ทำไมนิ่งไปครับ คิดอะไรอยู่”“ฉันคิดถึงคุณ ถ้าตอนนี้คุณอยู่ตรงนี้ด้วยกันก็คงดีสิคะ”“อย่ามาทำให้ผมเคลิ้มเชียวนะวีวี่ คุณยังไม่รู้สินะว่าตอนนี้ผมแทบจะกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสายการบินระหว่างประเทศอยู่แล้ว นี่เพื่อนสนิทผมมันก็ร่ำๆ อยู่
วิศรานั่งฟังอย่างสงบ และเริ่มคิดตาม เพราะเป็นคนสำคัญที่สุดจึงต้องหวงแหน เขาก็คงเหมือนเธอที่หวงบิดาเพราะคิดว่าเป็นคนสำคัญเพียงคนเดียวในชีวิต อนิจจา...หากวันนั้นเธอไม่ก้าวร้าวพี่สาวของเขาก่อน หมอนั่นก็คงไม่คิดกำราบเธอด้วยวิธีป่าเถื่อนรุนแรงแบบนั้น เธอเองก็มีส่วนผิดที่เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้งโดยไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เรื่องมันถึงเลยเถิดแบบนี้‘ฉันต้องขอโทษคุณแทนตาปราบด้วยนะคะ สำหรับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด’ ปุริมาเอ่ยอย่างจริงใจ ‘แล้วก็ต้องขอบคุณที่คุณยอมอโหสิให้เขา’วิศรามองสบตาแม่เลี้ยงเต็มๆ ตาโดยไม่มีอคติมาบดบังเป็นครั้งแรก ‘ฉันเองก็ผิดที่ทำตัวไม่ดีกับคุณเหมือนกัน ที่จริงฉันก็ไม่ได้ดีไปกว่าน้องชายคุณนักหรอกค่ะ’‘แต่อย่างน้อยคุณก็ยังโชคดีกว่าปราบตรงที่ยังมีลมหายใจ โชคดีที่มีคนที่คุณรักและรักคุณมากมาย ฉันขอพูดอะไรกับคุณอีกนิดได้ไหมคะ’วิศราพยักหน้ารับนิดๆ‘พูดมาสิคะ’‘ฉันคิดว่าตาปราบเขาแอบชอบคุณมาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันแล้วละค่ะ จำตอนที่เขาขับรถชนสุนัขของคุณได้ไหมคะ’แน่นอนว่าวิศราย่อมจำได้แม่น‘ที่จริงตาปราบก็ตกใจมากเหมือนกัน ทีแรกเขาก็ทำอะไรไม่ถูก ตั้งใจจะลงมาดูมาขอโทษคุณเพราะเขาเองก
ร่างเพรียวระหงของสตรีผู้หนึ่งยืนนิ่งปล่อยใจล่องลอยไปแสนไกล เธอกำลังทอดสายตามองท้องฟ้าที่ดูหม่นเศร้ายามที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ความเงียบสงัดทำให้ได้ยินแม้แต่เสียงใบไม้แห้งกรอบปลิวเมื่อยามต้องแรงลมราวกับท่วงทำนองบทเพลงแห่งชีวิตที่ทุกคนต้องเผชิญอย่างไม่อาจหลีกหนี แต่ก็มีในบางจังหวะที่ชวนให้คนฟังรู้สึกถึงความอ่อนหวานปนขมปร่าในหัวใจยามที่คิดถึงใครบางคนที่รักแต่จำต้องจากไปไกลแสนไกลนี่มันก็เกือบปีแล้วสินะที่เธอต้องอยู่โดยไม่มีเขา มันเหมือนจะยาวนาน แต่น่าแปลกที่เธอยังคงจำเหตุการณ์ต่างๆ ในวันวานที่ผ่านมาได้อย่างดีทีเดียวหลังจากเหตุการณ์ที่เธอโดนลอบยิงอย่างอุกอาจที่สวนอาหารแห่งนั้นไม่นาน ก็มีข่าวครึกโครมว่าตำรวจจับตัวคนร้ายได้ทว่าที่น่าตกใจกว่านั้นคือการที่คนร้ายซัดทอดว่า คนที่จ้างวานให้มายิงเธอนั้นคือ...พรีมโรส แฟนสาวของปราบดานั่นเอง ส่วนเหตุผลจูงใจของผู้หญิงคนนั้นวิศราก็เดาได้ไม่ยาก เพราะคงไม่พ้นเรื่องหึงหวง แต่แทนที่เธอจะโกรธแค้น น่าแปลกที่เธอกลับรู้สึกสงสารปนสังเวชใจที่นางแบบสาวที่กำลังมีอนาคตรุ่งโรจน์ผู้นั้นคิดตื้นๆ เลือกตัดอนาคตตัวเอง ทำในสิ่งที่ผิดจนทำให้คนที่เธอรักต้องจากไปตลอดกาล แถม
ตอนที่วิศราไปถึงหน้าห้องผ่าตัดมีคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว นั่นคือคณะที่พากันไปทัวร์สวนสัตว์วันนี้ที่พอรู้ข่าวก็คงรีบมาที่โรงพยาบาลกันทันที รวมถึงยุทธนาที่ตามมาหลังจากทราบข่าว สีหน้าทุกคนร้อนรนมีรอยกังวล แต่คนที่อาการหนักสุดเห็นจะเป็นพี่สาวของคนเจ็บนั่นเอง ใบหน้าซีดเผือดของปุริมายังคงเปื้อนคราบน้ำตา สิ่งเดียวที่คอยเหนี่ยวรั้งไม่ให้แม่เลี้ยงของเธอล้มพับไปคือลูกสาวตัวน้อยที่นอนหลับซุกหน้ากับอกผู้เป็นแม่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวนั่นเอง“แม่ส้มขา...” เสียงเรียกนั้นทำเอาวิศราสะดุ้งสุดตัว พอหันไปเห็นว่าเป็นใครเธอจึงอ้าแขนรับร่างป้อมที่วิ่งตรงมาหาโดยอัตโนมัติ “แม่ส้มเป็นอะไรคะ นั่น! ทำไมเลือดแม่ส้มออกเต็มเสื้อเลยคะ”รอยเลือดแห้งกรังที่อกเสื้อทำให้แม่คนช่างเจรจาสงสัย“ไม่ใช่เลือดแม่หรอกค่ะ แต่เป็นของ...”คนพูดกัดริมฝีปากแน่น ลมหายใจสะดุดเมื่อคิดถึงใบหน้าคนที่พุ่งเข้ามารับกระสุนพร้อมกับกอดเธอไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกวายร้ายนั่นทำอันตรายเธอได้ แต่คนช่วยกลับรับเคราะห์เสียเอง เลือดบนอกเธอก็คงเป็นเลือดเขานั่นเอง“เป็นยังไง...หมอว่ายังไงบ้างคะ” วิศราพยายามข่มเสียงไม่ให้สั่นทั้งที่ในใจเธอตอนนี้มันเต้นรัวด้วย