“นายท่านวิทแมนครับ คนของเราเพิ่งจะถึงที่เอพริล ฮิลล์ พวกเราได้ถามไปรอบ ๆ แล้ว และจากตาแก่คนหนึ่ง เราก็ได้รับการยืนยันว่ามีตระกูลหนึ่งที่มีลูกสาวชื่อเคธี่”“พ่อของตระกูลนี้ทำธุรกิจเล็ก ๆ ดังนั้นตระกูลของพวกเขาค่อนข้างมีฐานะ อย่างไรก็ตาม เขาและภรรยาของเขาพบจุดจบที่น่าสลดใจระหว่างการเดินทางไปส่งของ”“ญาติยึดบ้านของพวกเขาและโยนลูกสาวของพวกเขาออกไป”คนคนนั้นยืนยัน“นายท่านวิทแมนครับ มันถูกยืนยันแล้วว่าหลังจากการตายของพ่อแม่ ลูกสาวคนนั้นที่ถูกโยนออกไปคือคุณเคธี่อย่างแน่นอนครับ พวกเขาให้ภาพของคุณเคธี่ในตอนที่เธอยังเด็กกับผม ผมจะส่งให้คุณเดี๋ยวนี้ครับ”หลังจากนั้น โทรศัพท์ของเฟลิเป้ก็ได้รับภาพนั้นบนหน้าจอเป็นภาพเก่า ๆ ภาพหนึ่ง ภาพที่ทำให้น้ำตาของเฟลิเป้เอ่อล้นจากสองตามันเป็นรอยยิ้มเดียวกันกับที่สลักไว้ในความทรงจำของเขา รอยยิ้มเดียวที่หลอกหลอนในความฝันของเขาในตลอดทศวรรษที่ผ่านมาเฟลิเป้อยากที่จะยิ้ม แต่การมองเห็นของเขาเริ่มพร่าเลือนจากน้ำตาแขนขาของเขาอ่อนแรงและด้ายสีแดงก็ร่วงลงที่เท้าของเขา จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงไป คุกเข่าต่อหน้าหลุมศพของเคธี่‘คือคุณมาโดยตลอด เคธี่’‘คุณคือเด็กสาว
“เอวลีนพูดถูก ไม่มีพูดชายคนไหนของตระกูลวิทแมนเป็นคนดี ถ้าเราคนใดคนหนึ่งเป็นได้ครึ่งหนึ่งที่ปู่เป็น บางทีบรรดาผู้หญิงที่รักเรามากคงจะไม่เจ็บปวดมากนัก”เขาเงยหน้าที่เย็นชาและเดือดดาลขึ้น“ฉันเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว เฟลิเป้ แล้วแกล่ะ? แกจะไม่ยอมรับความผิดของตัวเองเลยใช่ไหม? แกยอมจำนนซะเถอะ ถ้าแกยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีหลงเหลืออยู่ในตัว หรือไม่ แกก็รอให้ฉันยื่นหลักฐานที่พวกเขาต้องการแก่ตำรวจ”เจเรมี่เตือนอย่างเคร่งขรึมขณะที่เขามองหลุมศพของเคธี่เป็นครั้งสุดท้าย สายตาที่ลึกซึ้งของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด จากนั้นเขาก็หันหลังเพื่อจากไปเฟลิเป้ยืนอยู่ด้วยความสับสนท่ามกลางสายลมพร้อมกับถืออัฐิที่แสนล้ำค่าของเคธี่ในอ้อมแขน ห้วงอารมณที่ลึกซึ้งเป็นประกายในแววตาของเขา“ไม่ต้องห่วงนะ ผมสัญญากับคุณแล้ว เพราะงั้นผมจะทำให้แน่ใจว่ามันเกิดขึ้น รอผมนะ”เขาออกไปพร้อมกับสายลมที่พัดเข้ามาที่ใบหน้าและโกศของเธอในมือของเขา…เมเดลีนคอยดูแลลิเลียนในโรงแรมจนกระทั่งเจเรมี่กลับมาในตอนกลางคืนเธอภาวนาว่าเจเรมี่คงจะบอกกับเธอว่าเคธี่ยังคงมีชีวิตอยู่ ใบรับรองฌาปนกิจนั่นเป็นเรื่องโกหก แต่ทั้งหมดที่เขาสามารถบอกได
เจเรมี่ยกแขนเพื่อดึงเมเดลีนเข้าสู่อ้อมกอดของเขา“นี่คือภรรยาของผม ผม เจเรมี่ วิทแมน มีและจะมีภรรยาคนเดียวเท่านั้น คือ เอวลีน มอนต์โกเมอรี”สายตาของเขาดูดุดัน น้ำเสียงของเขาไม่เหลือที่ว่างให้โต้เถียงขณะที่เขาเตือนความจำคาเลน“ผมหวังจริง ๆ ว่าคุณแม่จะไม่ปฏิบัติกับภรรยาของผมเหมือนที่เคยทำนะครับ คุณแม่ ผมไม่คาดหวังให้คุณแม่เป็นแม่สามีที่ดีเยี่ยม แต่อย่างน้อยก็ปฏิบัติกับเธอด้วยมารยาทขั้นพื้นฐานและให้เกียรติก็พอ”“...” คาเลนอึ้งพร้อมกับท่าทีที่มืดมน เธอหันหน้าไปเห็นเมเดลีนกำลังยิ้มจาง ๆ ให้กับเธอแล้วความโกรธในตัวเธอก็เพิ่มขึ้น “เกิดอะไรขึ้น เจเรมี่? ลูกเพิ่งจะบอกกับแม่ว่าลูกกำลังหมั้นกับอีเวตต์ไม่ใช่เหรอ? ทำไมลูกถึงอยู่กับหล่อนอีก? ลูกลืมสิ่งที่หล่อนบอกกับลูกก่อหน้านี้ไปแล้วเหรอ? หล่อนทำแบบนี้ก็เพื่อแก้แค้นเท่านั้น!”ความรู้สึกขุ่นเคืองได้เติมเต็มหัวใจของเมเดลีนและเจเรมี่ เมื่อคาเลนเอ่ยถึงเคธี่เจเรมี่จับมือของเมเดลีนแน่นขณะที่เขาอธิบายอย่างเคร่งขรึมว่า “ผมมองอีเวตต์เป็นน้องสาวของผมอยู่เสมอ เหมือนกับที่เธอมองผมเป็นพี่ชาย ไม่เคยมีเรื่องรักใคร่อะไรระหว่างเรา คนเดียวในหัวใจของผมตลอดเวลามา
ด้วยเหตุนั้น เจเรมี่ดูเหมือนจะเศร้าเล็กน้อย ขณะที่ยอมรับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเมเดลีนอย่างกังวล เขาจึงระมัดระวังมากขึ้นในขณะที่เธอเคยอยู่กับเขา“ผมขอโทษ ลินนี่ ผมไม่ควรหยิบยกเรื่องในอดีตขึ้นมาเลย ผมขอโทษที่ทำให้คุณอารมณ์ไม่ดีอีกแล้ว”เขาขอโทษอย่างอ่อนโยน แล้วจูบเบา ๆ ที่หลังหูของเธอ “ผมจะพาคุณไปหาอดัมเป็นอย่างแรกในตอนเช้าเพื่อทำให้แน่ใจว่าคุณจะไม่เป็นไร จากนั้นเราจะไปจัดการสถานการณ์ของเคธี่กัน”เขาโน้มตัวเพื่อที่จะอุ้มเมเดลีนขึ้นสู่อ้อมแขนของเขาโดยไม่รีรอให้เมเดลีนพยักหน้า“มันดึกแล้ว ไปนอนกันเถอะ”ขณะที่อุ้มเธอเข้าไปในห้องนอน เมเดลีนก็รู้สึกใจเต้นในแบบที่เตือนให้เธอนึกถึงครั้งแรกที่เธอแต่งงานกับเจเรมี่เธอประหม่า หวั่นไหว และมีความหวังเล็กน้อยเจเรมี่อุ้มเมเดลีนนอนลงและจูบที่หน้าผากของเธอ“ในที่สุด ผมก็ได้กอดคุณและนอนกับคุณอย่างสงบสุขสักที ลินนี่”ในค่ำคืนที่มืดมิด น้ำเสียงของเขาช่างชวนให้เคลิบเคลิ้มราวกับว่ามันล่องลอยเข้าสู่หูของเธอเมเดลีนล่องลอยเข้าสู่ห้วงการนอนอย่างไร้ฝันขณะที่นอนบนอกกว้างของเขาวันรุ่งขึ้น เธอไปตรวจร่างกายแบบทั้งตัวและจากนั้นก็ตรวจอัลตราซาวด์เมเดลีนร
ในหน้าแรกถูกเขียนด้วยลายมือที่สะอาดสะอ้านของหญิงสาวคนหนึ่ง [ช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดในชีวตของฉัน คือ การได้พบกับเฟลิเป้]‘ช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดในชีวิตของเธอ’การมองเห็นของเฟลิเป้พร่ามัว‘ไม่ เคธี่ การได้พบกับคุณคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับผม’‘มันไม่มีอะไรสวยงามเลยเรื่องที่คุณเจอกับผม’เฟลิเป้เปิดดูไดอารีด้วยหัวใจที่เจ็บปวดและพบว่ารายการแรกคือวันที่เขายืนยันการสนับสนุนคำที่เขียนอยู่ภายในอ่านว่า [ฉันโชคดีมากที่ได้เจอกับเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างบ้านของฉันในหลายปีก่อน อ่า เดี๋ยวก่อนสิ เขาไม่ได้ตัวเล็กอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ฉันก็รู้ว่าเป็นเขาเมื่อฉันเห็นเขา แม้ว่า มันดูเหมือนว่าเขาจะจำฉันไม่ได้อีกต่อไปแล้วก็ตาม (เศร้า)][ฉันยังคงมีด้ายสีแดงที่เขาให้กับฉัน ฉันสงสัยจังว่าเขายังคงมีเปลือกหอยที่ฉันให้กับเขาอยู่ไหม?][เขาดูหล่อและเป็นสุภาพบุรุษมาก อ่า ชายคนหนึ่งจะดูงดงามมากขนาดนั้นได้ยังไงกัน? เขาสมบูรณ์แบบมาก ฉันมั่นใจว่ามีผู้หญิงมากมายที่ชอบเขา (อิจฉา)][ใช่ ฉันเรียนอย่างหนักเพื่อที่ฉันจะใช้ประโยชน์จากการสนับสนุนของเขาอย่างดีที่สุด ฉันไม่หวังอะไรมาก แต่ฉันคิดว่าฉั
ท่าทีของเฟลิเป้มืดมนขณะที่เขาขมวดคิ้ว “ฉันคือสามีของเคธี่”“อะไรนะ? สามีของยัยเด็กตัวซวยนั่นงั้นเหรอ?”“คุณใช่… สามีของเคธี่จริง ๆ งั้นเหรอ?”ทั้งแม่และลูกสาวต่างตกใจเฟลิเป้ไม่อยากที่จะเสียเวลากับพวกเธออีก “พวกเธอมีเวลาหนึ่งวันที่จะย้ายออกไป”“อะไรนะ? แกจะทำให้พวกเราย้ายได้ยังไง? ยัยเด็กตัวซวยนั่นออกไปตั้งหลายปีแล้ว บ้านหลังนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหล่อนอีกต่อไปแล้ว!” แม่คนนั้นกอดอกขณะที่เธอจ้องไปยังเฟลิเป้อย่างเย่อหยิ่งและดูถูก “นี่ฉันคิดว่ายัยเด็กตัวซวยนั่นจะตาดีสักแค่ไหน ใครจะคิดว่าเธอจะหาพวกถังแตกและหน้าละอ่อนมา แกอยากได้บ้านกลับไปเป็นสินสมรสรึไง? ฝันไปเถอะ! ดูแกสิ ใครจะแต่งงานกับแกในเมื่อแกซื้อบ้านสักหลังไม่ได้ด้วยซ้ำ?”เฟลิเป้จิกสายตาเย็นชาใส่หญิงคนนั้น จนทำให้เธอหนาวสั่นลามไปถึงสันหลัง“เธอมีเวลาหนึ่งวันที่จะย้ายออก หรือไม่ฉันก็จะทำให้เธอออกไปด้วยตัวฉันเอง”“...”เมื่อได้เตือนพวกเธอแล้ว เฟลิเป้ก็หันหลังจากไป“เจ้ากุ๊ยตัวซวยนั่น แกฝันไปเถอะ ถ้าคิดว่าฉันจะยอมให้แกขโมยบ้านของฉันไป!” หลังจากที่ได้สติคืนจากความตกใจในตอนแรก หญิงแก่คนนั้นก็มองด้วยสายตาดูถูก ในตอนที่เธอหันหลั
ในชุดสูทลิมิเต็ดอิดิชั่นที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ บวกกับรูปลักษณ์และออร่าอันสง่างามของเฟลิเป้ทำให้เขาดูเหมือนเพิ่งเดินออกมาจากนิยายอย่างไรอย่างนั้นเขาดูเหมือนตัวละครที่คนส่วนใหญ่มองว่าทั้งเท่และเย็นชาเขาใช่คนเดียวกับที่ยูอิและแม่ของเธอเรียกว่า 'กุ๊ย' เมื่อวานนี้รึเปล่า?ทั้งยูอิและแม่ของเธอก็ตกตะลึงขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้า เฟลิเป้เหลือบมองผู้หญิงสองคนที่อยู่ข้างหน้าเขาและเบือนหน้าหนีเพื่อสั่งว่า “โยนทุกอย่างในบ้านทิ้ง อย่าปล่อยให้คนที่ไม่จำเป็นมาขวางทาง”“เข้าใจแล้วครับ คุณวิทแมน”ตามคำสั่งเหล่านั้น ลูกน้องของเขาก็รีบเข้าไปในบ้านเพื่อโยนทุกอย่างทิ้งในขณะเดียวกันเฟลิเป้ก็เดินเข้าไปข้างในโดยไม่สนใจ"เฮ้! เรียกคนมาทิ้งของได้ยังไง คุณคิดว่าคุณเป็นใคร…"แม่ของยูอิพูด และเฟลิเป้ค่อย ๆ หันมามองเธอด้านข้างที่หล่อเหลาของเขาดูอ่อนโยน แต่หางตาของเขาคมและเย็นชา “นี่คือบ้านของภรรยาฉัน ฉันแค่เอาของที่เป็นของเธอกลับคืนมา”แม่ของยูอิโกรธจัด “หมายความว่ายังไงอะไรที่เป็นของเธอ? พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แม้แต่เด็กสาวที่ถูกสาปก็ตายไปแล้วด้วย คุณคิดว่าเพียงเพราะคุณเช่ารถสองสามค
“เขาละทิ้งงานที่เขาทุ่มเททำมาอย่างหนักทั้งหมดเพื่อผู้หญิงงั้นเหรอ?”ไดซ์ลูกน้องของเฟลิเป้จองเที่ยวบินอย่างรวดเร็วเช้าตรู่ของฤดูร้อนที่มีฝนตกชุก เฟลิเป้ไปดูหลุมศพของเคธี่ด้วยเกรงว่าฝนที่ตกลงมาทำให้หลุมศพเสียหายหลังจากดูว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เฟลิเป้ก็กลับมา เมื่อเขามาถึง เขาพบว่ามีรถจอดอยู่สองสามคันที่ทางเข้าวิลล่าเล็ก ๆ ของเขา เมื่อเขาเข้าไปในบ้าน เขาเห็นไดซ์และลูกน้องรอเขาอย่างร้อนใจ“คุณจะเลิกจ้างเราจริงๆ เหรอครับ คุณวิทแมน” ไดซ์ถามท่าทีของเฟลิเป้ไม่แยแส “ฉันไม่ชอบพูดซ้ำ”“แต่คุณวิทแมน มันคุ้มไหมที่จะเลิกกิจการบริษัทใหญ่ ๆ แบบนี้เพราะผู้หญิง?”ใบหน้าอบอุ่นของเฟลิเป้ดูเย็นชาไร้ความรู้สึก “ผู้หญิงคนนี้ที่นายพูดถึงคือภรรยาของฉัน”“…” เมื่อเห็นเฟลิเป้โกรธ ไดซ์ก็ไม่กล้าพูดอะไรตอบกลับไป และหันไปใช้วิธีโน้มน้าวเขาแทน “แต่คุณเขาตายไปแล้ว คุณวิทแมน ผมแน่ใจว่าเธอคงไม่อยากเห็นคุณเดินวนไปมาทั้งวันและเซื่องซึมแบบนี้ มีพวกเราหลายร้อยคนที่ทำงานภายใต้คำสั่งของคุณ เราจะทำอย่างไรเมื่อคุณเลิกกิจการบริษัทของเราล่ะ?”เฟลิเป้หันกลับมาหาพวกเขาขณะที่เขาพูดอย่างไร้อารมณ์ “อย่าทำให้ฉันพูดซ้ำ บ
อดัมไม่ได้ให้เชอร์ลี่ย์เข้ามาด้วย ในขณะที่เขาพาทั้งเมเดลีนและเจเรมี่เข้ามาในห้องทำงานตัวเองห้องนั้นกว้างขวางและตกแต่งภายในอย่างหรูหรากว่าที่เห็นในโรงพยาบาล มีอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ดูค่อนข้างล้ำสมัยวางอยู่รอบ ๆเมเดลีนยืนอยู่ข้าง ๆ เฝ้าดูอดัมทำการทดสอบต่าง ๆ กับเจเรมี่ในที่สุดอดัมก็เก็บตัวอย่างเลือดจากเจเรมี่มาวางบนอุปกรณ์เพื่อทำการวินิจฉัยทันทีเธอรู้สึกกระวนกระวายใจในระหว่างที่รอถึงอย่างนั้นเธอก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าสีของตัวอย่างเลือดเจเรมี่ไม่ได้เข้มอย่างที่เคยเป็น ซึ่งนั่นอาจจะเป็นสัญญาณที่ดีประมาณสิบนาทีต่อมา ผลก็ออก“ทุกอย่างโอเคไหมอดัม?” เมเดลีนเอ่ยถาม“ไม่ต้องกังวลลินนี่ อาการผมจะดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน” เจเรมี่จับมือของเธอไว้แล้วปลอบโยน“ถ้าคุณอาการดีขึ้นมากแล้วทำไมวันนั้นคุณถึงทรุดลงกะทันหันแบบนั้นล่ะ?” เธอยังคงเอ่ยอย่างวิตกอดัมไม่ได้พูดอะไร เขาไล่สายตาผ่านรายงานวินิจฉัยสองครั้ง ก่อนจะมีแววตาเป็นประกาย ทว่าในไม่ช้าก็ต้องหายไป“ทุกอย่างดูดีทีเดียว ไม่มีอะไรผิดปกติ” อดัมพูดขณะที่มองเมเดลีน “ไม่ต้องกังวลมากไป เขากำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวน่ะ”ได้ยินอย่างนั้นเมเดลีนก็ถอนหายใจโล่งอก
เมเดลีนเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกันที่เห็นใครบางคนลงมาจากรถ “เชอร์ลี่ย์ ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่?”เชอร์ลี่ย์ยิ้มอย่างเป็นมิตร “ฉันบอกว่าจะกลับบ้านไม่ใช่เหรอคะ นี่บ้านฉันน่ะ”เมเดลีนชี้ไปที่วิลล่าขนาดเล็กข้างหน้า “นี่คือบ้านของคุณเหรอคะ?”“ค่ะ ที่นี่คือบ้านของฉัน” เชอร์ลี่ย์พยักหน้าอย่างมั่นใจ จากนั้นเธอก็เดินไปหาอดัมด้วยท่าทางจริงจัง “อดัม พี่สาวกลับบ้านทั้งทีทำไมดูไม่มีความสุขเลยล่ะ”ข้อมูลใหม่นั้นทำให้เมเดลีนรู้สึกงุนงง “เชอร์ลีย์ คุณเป็นพี่สาวของอดัมเหรอคะ?”“ค่ะ ฉันเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเขา เรามีพ่อและแม่คนเดียวกัน” เชอร์ลี่ย์แตะไหล่ของอดัมเบา ๆ แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “อดัม ทำไมไม่แนะนำเพื่อนให้ฉันรู้จักเลยล่ะ?”อดัมได้ยินอย่างนั้นก็ฝืนยิ้มออกมาเบา ๆ “ฉันไม่จำเป็นต้องแนะนำหรอก เพราะดูเหมือนทุกคนจะรู้จักกันอยู่แล้ว” เขาก้าวไปข้างหน้าราวกับว่าเขาจงใจหลีกเลี่ยงเชอร์ลี่ย์ “เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”เชอร์ลี่ย์ยิ้มอย่างสดใส "ฉันไม่ได้อยู่บ้านมาหลายปี ฉันก็ควรจะได้ชื่นชมบ้านหลังนี้ที่เคยอยู่บ้างนะ”ขณะที่พูดเธอก็เดินนำเข้าไปในบ้านก่อนอดัมเชิญเมเดลีนและเจเรมี่เข้าไป “เข้ามาสิ”เมเดลีนพยักห
อดัมอึ้งไปครู่หนึ่ง “ว่าไงนะ? คุณกำลังพูดอะไร? คุณเป็นใคร? เอวลีนอยู่ไหน?”“จำฉันไม่ได้แล้วเหรอ? คุณก็เหมือนพ่อแม่ของคุณนั่นแหละอดัม ไร้หัวใจและโหดร้าย” เชอร์ลี่ย์ล้อเลียนอย่างเย็นชาอดัมเงียบไปชั่วครู่ก่อนสุดท้ายเขาจะตอบสนองกลับมา“เธอเองเหรอ” ราวกับว่ามีบางอย่างมากระตุ้นภายในใจเขาตกตะลึงปนประหลาดใจ“ใช่ ฉันเอง” เชอร์ลี่ย์ตอบอดัมอย่างไม่ลังเล “เดี๋ยวเร็ว ๆ นี้เราก็คงได้พบกัน แม้ว่าฉันไม่คิดว่านายจะตั้งตารอฉันหรอกใช่ไหม?”อดัมเงียบไปก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ทำไมเป็นเป็นเธอที่รับโทรศัพท์? เอวลีนอยู่ที่ไหน? เจเรมี่เป็นยังไงบ้าง?”คนฟังเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ฉันไม่ได้บอกหรอกเหรอ? ว่าเดี๋ยวเขาก็ตายแล้ว ภรรยาที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็จะต้องใจสลายไปด้วยน่ะ”“พูดบ้าอะไรเนี่ย! เขาไม่มีทางตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตได้!” น้ำเสียงของอดัมเอ่ยออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอเล่นแบบนี้แน่!”อดัมรีบวางสายรอยยิ้มของเชอร์ลี่ย์กว้างขึ้นในขณะที่จ้องหน้าจอที่ค่อย ๆ หรี่แสงลงช้า ๆ“เป็นใครกันถึงมาห้ามไม่ให้ฉันเล่นน่ะอดัม? เป็นตัวแทนของคนสองคนนั้นที่ตายไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนงั้นเหรอ? ฮึ”เธอเย้ยหยันแ
“เจเรมี่!”เมเดลีนพบว่าไม่สามารถทนรออยู่หน้าห้องน้ำได้อีกต่อไป เธอเปิดประตูแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำ สิ่งที่เห็นคือเจเรมี่ที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวและเย็นชา ขณะที่ร่างของเชอร์ลี่ย์ล้มลงข้างอ่างอาบน้ำเมเดลีนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก็รีบเช็คก่อนว่าเจเรมี่เป็นอย่างไรบ้าง แต่ด้วยความมีมารยาทเธอจึงรีบเข้าไปหาและพยุงเชอร์ลี่ย์เธอเพิ่งเอื้อมมือออกไป แต่โดนเจเรมี่จับแขนไว้แน่น เขาจับไว้แรงมากจนเธอรู้สึกเจ็บ“อย่าไปแตะต้องตัวเธอ”เจเรมี่เอ่ยเสียงเย็นสุดขีด“เจเรมี่?” เมเดลีนมองแววตาที่เฉียบคมของเขา “คุณโอเคไหม เจเรมี่? เกิดอะไรขึ้น ทำไมเชอร์ลี่ย์…” “ไม่ต้องกังวลค่ะ คุณนายวิทแมน ฉันไม่เป็นไร” เชอร์ลี่ย์จับข้างอ่างขณะที่ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง เธอชำเลืองมองสายตาเย็นชาของเจเรมี่จากหางตาก่อนจะหันไปยิ้มให้เมเดลีน“เจเรมี่ไม่ต้องการให้คุณสัมผัสฉันเพราะฉันทำเข็มหักโดยไม่ตั้งใจน่ะค่ะ มันคงจะแย่ถ้าคุณได้รับบาดเจ็บเพราะความผิดพลาดที่ไม่เป็นมืออาชีพของฉัน”จากนั้นเมเดลีนก็เห็นเข็มเล็ก ๆ หักยื่นออกมาจากแขนของเชอร์ลี่ย์หญิงสาวดึงเข็มออกมาอย่างใจเย็นโดยที่คิ้วเรียวของเธอไม่แม้แต่จะขยับเข้าหากัน“เจเร
เธอสัมผัสแขนของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล เพราะอุณหภูมิจากร่างกายของเจเรมี่ไม่เพิ่มขึ้นเลย “อุณหภูมิร่างกายของเขาต่ำเพราะเขาแช่น้ำแข็งน่ะค่ะ” เสียงของเชอร์ลี่ย์ดังขึ้นจากด้านหลังเมื่อหันไปมองเมเดลีนก็เห็นเชอร์ลี่ย์ค่อย ๆ เดินเข้ามาพร้อมเข็มฉีดยาในมือของเธอ“คุณช่วยรอข้างนอกได้ไหมคะคุณนายวิทแมน? ฉันไม่ชอบให้ใครมาเฝ้าเวลาต้องรักษาคนไข้น่ะค่ะ”เมเดลีนเข้าใจและลุกขึ้น แต่เจเรมี่จับมือเธอไว้เสียก่อน“อย่าไปนะลินนี่”“ไม่เป็นไรเจเรมี่ ให้เชอร์ลี่ย์ฉีดยาให้คุณแล้วคุณจะไม่เป็นไร โอเคไหม?” เมเดลีนเอ่ยราวกับว่าเขาเป็นเด็ก ก่อนจะปล่อยมือ“ขอบคุณนะคะ เชอร์ลี่ย์”“ด้วยความยินดีค่ะ ฉันยินดีที่ได้ช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือค่ะ” เชอร์ลี่ย์ยิ้มเล็กน้อยเมเดลีนได้ยินอย่างนั้นก็ไม่คิดมากก่อนจะเดินออกไปเธอมองเจเรมี่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนปิดประตู เห็นแววของเขาเริ่มมีสีแดงจาง ๆเขากำลังมองเธออย่างอ้อนวอนจู่ ๆ เมเดลีนก็รู้สึกว่าอยากจะเข้าไปอยู่ข้าง ๆ เขา แต่เชอร์ลี่ย์ก็หันกลับมาตรวจสอบว่าเมเดลีนออกไปจากห้องน้ำหรือยังตอนนั้นเองที่เมเดลีนเห็นรูปร่างสมส่วนของเชอร์ลี่ย์ซึ่งเปียกโช
เมเดลีนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งขณะที่ชำเลืองไปมองประตูห้องน้ำที่ปิดแน่น“อีกนิดเดียวมันก็จะจบแล้วเจเรมี่ อดทนอีกนิด“คุณจะปลดปล่อยความเจ็บปวดได้เหมือนที่ผ่านมาไง“ฉันเป็นหมอของคุณ แต่ฉันก็เป็นเพื่อนคุณด้วย ฉันช่วยคุณได้ อา…”เมเดลีนได้ยินเสียงของเชอร์ลี่ย์ดังออกมาไม่หยุดจนกระทั่งเธอกระซิบด้วยน้ำเสียงลุ่มหลงเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเหตุการณ์ภายในห้องน้ำก็เงียบลงพนักงานมองไปที่ห้องน้ำด้วยสายตาแปลก ๆ ก่อนที่จะหันไปพูดกับเมเดลีน“ผมเอาน้ำแข็งไปไว้ในห้องน้ำหมดแล้วครับ คุณนายวิทแมน ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมติดต่อเราได้เลยนะครับ”แล้วเมเดลีนก็ได้สติกลับคืนมาสู่ความจริง “ขอบคุณค่ะ”“ด้วยความยินดีครับ” พนักงานยิ้มเล็กน้อยและจากไปเมเดลีนลากกระเป๋าเดินทางของเชอร์ลี่ย์ไปที่ห้องน้ำ เมื่อเอื้อมมือไปเปิดประตูก็พบว่าประตูถูกล็อคจากด้านใน“ฉันเอาของขึ้นมาให้แล้วนะคะ เจเรมี่เป็นยังไงบ้าง?” เมเดลีนถามในขณะที่ไม่มีเสียงตอบรับมาจากข้างใน“เชอร์ลี่ย์? เชอร์ลี่ย์? เจเรมี่! เจเรมี่!" เธอเริ่มตื่นตระหนก และไม่สามารถทนต่อความเงียบในขณะนี้ได้อีกต่อไปก๊อก ก๊อก ก๊อก เธอเคาะประตูซ้ำ ๆ จนข้อนิ้วเริ่มแดง“
เมเดลีนขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว ขณะที่ก้าวออกไปเธอก็เห็นใครบางคนที่คุ้นเคยอยู่ตรงทางเดิน“เชอร์ลี่ย์?” เมเดลีนเรียกออกมาอย่างลังเลผู้หญิงที่เดินห่างออกไปเล็กน้อยหยุดเดินแล้วหันมามอง “ใช่ ฉันเองค่ะ คุณนายวิทแมน” เชอร์ลี่ย์ยิ้มและอธิบาย “ฉันลืมของบางอย่างไว้ในห้อง ก็เลยกลับมาหยิบ”เมเดลีนวิ่งไปหาเชอร์ลี่ย์ ผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างจากผู้ช่วยชีวิตของเธอในขณะนี้“พิษในร่างกายของเจเรมี่กำเริบกะทันหัน คุณเคยรักษาเขาใช่ไหมเชอร์ลี่ย์? คุณน่าจะช่วยเขาได้อีกครั้ง! ได้โปรดเถอะค่ะ ตอนนี้เขากำลังเจ็บปวดมาก!”ในตอนนั้นสีหน้าของเชอร์ลี่ย์ก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมา “ตอนนี้เจเรมี่อยู่ที่ไหนคะ?”“ในห้องค่ะ!”“รีบพาฉันไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!” เชอร์ลี่ย์รีบเดินตามเมเดลีนไปเมื่อเข้าไปในห้องเมเดลีนก็เห็นว่าเจเรมี่สามารถลุกขึ้นนั่งพิงกับเตียงได้แล้ว เธอจึงรีบวิ่งไปหาเขาทันที “คุณจะไม่เป็นไรเจเรมี่ เชอร์ลี่ย์บังเอิญกลับมาที่โรงแรมเพราะลืมของเอาไว้ เธอสามารถช่วยคุณได้แน่!”เมื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตาคมกริบก็หรี่ลง และเมื่อเห็นเชอร์ลี่ย์เดิยเข้ามาหา เขาก็ขยับตัวออกอย่างรังเกียจเชอร์ลี่ย์เองก็เห็นความไม่พ
เมเดลีนวิ่งออกจากห้องน้ำและเห็นเจเรมี่นอนกองอยู่บนพื้นข้างเตียง“เจเรมี่!”เธอรีบวิ่งไปคุกเข่าลงข้าง ๆ เขาอย่างลนลาน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันราวกับว่าเขากำลังทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส หัวใจของเมเดลีนเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก“เกิดอะไรขึ้นน่ะเจเรมี่? ยาพิษออกฤทธิ์อีกแล้วใช่ไหม?”เธอดึงไหล่ของเจเรมี่เพื่อให้เขาพิงมาที่ตัวเธอหากทำได้เธอก็อยากจะพาเขาไปที่เตียง แต่เธอกลับไม่แข็งแรงพอ“เกิดอะไรขึ้น? อดัมบอกเองนี่ว่ามันจะเกิดขึ้นไม่บ่อย แล้วทำไมตอนนี้อาการของคุณกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว”เมเดลีนกระวนกระวายขณะที่น้ำตาเริ่มไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ และหยดน้ำตาใส ๆ ของเธอก็ตกลงบนใบหน้าของเจเรมี่“ไม่ต้องกังวลลินนี่” เจเรมี่พูดผ่านความเจ็บปวด พลางเอื้อมมือไปลูบแก้มของเธอเบา ๆ “ผมชินกับความเจ็บปวดแล้ว มันจะเจ็บไม่นาน เดี๋ยวผมก็อาการดีขึ้น”เขาปลอบโยนในขณะที่คลี่ยิ้มเพื่อคลายความกังวลของอีกฝ่ายแต่ยิ่งเจเรมี่คำนึงถึงอารมณ์ความรู้สึกของเธอมากเท่าไหร่ หัวใจของเมเดลีนก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น“อดัม ฉันจะโทรหาอดัม เขารู้ว่าต้องทำยังไง!” เมเดลีนรีบควานหาโทรศัพท์แล้วโทรหาอดัมทันทีแต่กลับไม่มีใครรับ
“สำหรับฉัน?” เมเดลีนรับของขวัญมาด้วยความสับสน ก่อนจะเห็นว่ามีข้อความติดมาด้วยในข้อความเขียนเอาไว้ว่า : [ฉันรีบไปหน่อยก็เลยไม่มีเวลาหาของขวัญสำหรับการเจอกันที่ดีกว่านี้ให้คุณ แต่หวังว่าคุณจะชอบสิ่งนี้นะคะ] ลงชื่อเชอร์ลี่ย์นี่เป็นของขวัญหลังจากพบกันครั้งแรกจากเชอร์ลี่ย์งั้นเหรอ?เมเดลีนรู้สึกประหลาดใจ “คุณมีข้อมูลติดต่อเชอร์ลี่ย์ไหมเจเรมี่? ฉันอยากจะขอบคุณเธอ”“ไม่” เจเรมี่ตอบห้วน ๆ “ไปกันเถอะ ส่วนอันนี้ก็ฝากพนักงานเอาไว้ที่นี่”“ทำแบบนั้นมันจะไม่ดูเสียมารยาทไปเหรอคะ?” เมเดลีนครุ่นคิดและตัดสินใจเอาของสิ่งนั้นกลับไปที่ห้องด้วยในที่สุด เจเรมี่ไม่พูดอะไรมากแล้วกลับไปที่ห้องพร้อมเมเดลีนระหว่างทางกลับเธอเปิดกล่องแล้วพบชุดอโรมาเทอราพีข้างในรูปร่างของขวดนั้นเป็นรูปงูดูแปลกตาเมเดลีนที่ไวต่อกลิ่นและเชี่ยวชาญด้านการผสมน้ำหอม เธอจึงลองดมดูแต่นอกจากกลิ่นปกติที่เคยดมแล้ว เธอสังเกตว่าสิ่งนี้มีกลิ่นบางอย่างที่เธอไม่เคยได้กลิ่นจากที่ไหนมาก่อนอยู่ด้วย“วางมันลงแล้วไปกันเถอะ ลินนี่ เดี๋ยวแผนวันนี้เราพังหมดนะ” น้ำเสียงราวกับว่าเจเรมี่กำลังเตือนเธอ เขาดูเกลียดของขวัญชิ้นนี้จริง ๆคำพูดของ