เสียงแหบพร่าเอ่ยบอกหลังจากที่ตนเองเพิ่งจะหยุดพักหายใจ ก่อนที่ตัวฉันจะถูกเขาจับพลิกให้คว่ำหันหน้าซุกเข้ากับที่นอนเพื่อทำการลงทัณฑ์อีกครั้งทันที“ปะ...ปล่อยฉันไปเถอะนะ...ฉัน...เจ็บ ฉันไม่ไหวแล้ว” เสียงเศร้าลองเอ่ยขอร้องอีกครั้ง โดยที่ตัวเองนั้นกำลังถูกเขาจับกอบกุมสะโพกกลมกลึงให้ยกขึ้นเล็กน้อยจนตัวตั้งชันอยู่ในท่าคุกเข่าโก้งโค้ง และด้วยสภาพร่างกายที่เริ่มอ่อนล้าอีกทั้งยังปวดร้าวไปทั่วสรรพางค์ จึงทำให้เรี่ยวแรงที่จะใช้ต้านทานแรงที่มาจากความปรารถนาของคนกำหนัดนั้นแทบจะไม่มีเหลือ "กูบอกแล้วไง...ว่ากูจะเป็นคนกำหนดเอง!!"สิ้นเสียงที่ยังเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เจ้าของร่างบางจึงทำได้เพียงแค่ปล่อยให้คนใจร้ายกระทำการตามอำเภอใจต่อ โดยที่ตัวเธอเองทำได้เพียงแค่หวังอยู่ในใจลึก ๆ ว่าเขาจะใช้เวลาทรมานเธออีกเพียงไม่นาน...และหลังจากนั้นเขาจะยอมปล่อยเธอให้เป็นอิสระได้เสียทีและเมื่อจิตใจได้แต่จำใจยอมรับถึงชะตากรรมที่ต้องเจอ ร่างกายที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงก็ได้ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม โดยคนใจร้ายที่ไร้ซึ่งความเมตตานั้น...ก็ได้จัดการตามความปรารถนาทันที...พรวด ~~“อึก...อ๊ะ!! / ซี๊ดดดดดด ~~”ลำเอ็นขนาดใหญ่ที่เพิ่ง
--- ดีแลน Talk ---ผมถึงกับตกใจเมื่อเห็นเธอหมดสติไปต่อหน้าต่อตา ก่อนที่ร่างกายทั้งร่างจะชาวาบขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าเธอนั้นไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียก และทันทีที่ผมจัดการถอดลำเอ็นออกจากร่องสวาทที่แดงก่ำของเธอนั้น น้ำรักสีขาวขุ่นที่ผมปลดปล่อยไปหลายครั้งหลายหนก็พลันทะลักออกมาไหลปะปนไปกับคราบสีแดงอ่อน ๆและในจังหวะที่ผมกำลังประคองร่างเธอให้นอนลงดี ๆ มือที่สัมผัสเข้ากับตัวเธอโดยตรงก็ทำให้ผมพบว่า ณ ตอนนี้เธอเริ่มที่จะมีไอร้อนออกจากตัว และนั่นก็ทำให้ผมรับรู้ได้ทันทีว่าเธอได้มีอาการของคนเป็นไข้แล้วและทั้ง ๆ ที่ตอนแรกผมยังรู้สึกแค้นเคืองใจ แต่พอเจอเข้ากับสถานการณ์ของเธอที่เหมือนกับว่ากำลังจะเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตา ความรู้สึกส่วนลึกของหัวใจก็รีบกุลีกุจอหาผ้ามาเช็ดตัวทำความสะอาดเพื่อลดอุณหภูมิให้กับร่างกายบอบบางของเธอทันทีกระทั่งเมื่อผมจัดการดูแลเธอพร้อมกับห่มผ้าให้เธอนอนจนเสร็จเรียบร้อย ผมก็ได้เดินออกไปเพื่อจะทำอาหารมารอเวลาที่เธอตื่น ก่อนจะรู้ตัวอีกทีว่าตัวเองได้นั่งเฝ้าคนป่วยจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนก็เป็นเวลารุ่งเช้าของอีกวันหนึ่งแล้ว...(เฮ้ออออ...นี่ผมทรมานเธอจนถึงขนาดที่ลืมเดือนลืมตะวันขนาดเลยเห
เฮือก...~~ฉันสะดุ้งเฮือกเบิกตาโพลงขึ้นมาพร้อมกับหอบหายใจเข้าสุดปอดจากภาวะตกใจตื่น อีกทั้งยังเป็นจังหวะเดียวกันกับที่คนใจร้ายได้เปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี และด้วยสิ่งที่เขาได้ยินแต่ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางเลยว่าความเป็นมาก่อนที่ฉันจะตกใจตื่นนั้นสาเหตุมันเกิดขึ้นมาจากตรงไหน และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าคมเข้มแสดงความอึมครึมแผ่รังสีอำมหิตออกมาทันที จนฉันอดไม่ได้ที่จะเกิดอาการหวาดหวั่น“หึหึ...เวรเอ๊ย!!" โครมมม...~~"นี่ขนาดนอนมึงยังละเมอถึงมันอีกเหรอ...ห๊ะ!!” ถาดอาหารที่อยู่ในมือของคนที่กำลังบันดาลโทสะได้ถูกเขวี้ยงลงพื้นจนแก้วชามแตกกระจาย แต่ทว่า...สิ่งเหล่านั้นกลับยังไม่น่ากลัวเท่าสายตาของเขาที่กำลังจับจ้องมองมาที่ฉันด้วยความโกรธแค้น“เฮือก ~~” ฉันถึงกับกลืนน้ำลายเหนียวลงคอด้วยความรู้สึกหวั่นใจ พร้อมกับรีบหยัดตัวลุกขึ้นนั่งแม้จะเต็มไปด้วยความลำบากเนื่องจากอาการบอบช้ำที่ถูกเขาทรมานก่อนหน้านี้ยังไม่ทุเลา แต่จำต้องฝืนร่างลุกขึ้นเพื่ออธิบายความจริงให้คนตรงหน้าฟัง“มะ...มันไม่ใช่อย่างที่คุณดีแลนคิดนะคะ กรุณาฟังลินอธิบายก่อน” ฉันรีบพูดด้วยกลัวว่าเขาจะคิดมากไปไกลจนทำให้เราผิดใจกันไปมากกว่า
พั่บ...พั่บ...พั่บๆๆๆ ปึกๆๆๆตัวฉันโคลงเคลงกระเด็นกระดอนไปหลังจากที่ถูกลำเอ็นใหญ่กระแทกจากทางด้านหลังอีกครั้ง โดยที่ตัวฉันได้แต่ปล่อยร่างให้โยกไปมาอยู่บนที่นอนเสมือนคนที่ไร้ซึ่งวิญญาณ ความรู้สึกเวทนาและสมเพชตัวเองที่ถูกกระทำอย่างป่าเถื่อนอย่างกับไม่ใช่คน ทำให้ฉันที่แม้อยากร้องไห้ออกมาก็ไร้ซึ่งน้ำตาที่จะกลั่นออกมาได้อีกแล้วฉันปล่อยให้เขาย่ำยีร่างกายของฉันโดยที่ไม่ได้ปริปากอ้อนวอนอะไรเขาอีกแล้ว และด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายใจเต็มทีเปลือกตาที่เคยปูดบวมเพราะร้องไห้มากก่อนหน้านี้ก็ค่อย ๆ ปิดลงไปโดยที่ความหวังอันริบหรี่สุดท้ายในใจคือ...ฉันหวังว่าตัวเองจะไม่ต้องมีชีวิตตื่นขึ้นมารับความโหดร้ายแบบนี้อีกแล้ว...แต่ชีวิตของฉันมันไม่ได้ถูกกำหนดมาให้ตายได้ง่ายดายแบบนั้น เมื่อคำขอของฉันที่เฝ้าภาวนาก่อนจะปิดเปลือกตาลงไปถึงความปรารถนาที่อยากจะให้ตัวเองได้พ้นจากความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ ดันส่งไปไม่ถึงผู้ที่เป็นดั่งเจ้าชะตาชีวิตของฉันเลย เพราะนอกจากเจ้าชะตาชีวิตที่ใจร้ายจะไม่รับฟังคำขอของฉันแล้ว เขายังปล่อยให้ฉันต้องตื่นมารับกับชะตากรรมที่ดูเหมือนกับไม่รู้ว่ามันจะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหนอีกด้วย...หลายวัน
แกร๊ก ~~“ไม่ได้ล็อก...ฟู่วววว ~~” ใบหน้าหวานที่ซีดเผือดเล็กน้อยลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้ล็อกกุญแจหรือใส่โซ่เอาไว้อย่างที่คิดจากนั้นฉันก็ค่อย ๆ แง้มประตูห้องนอนออกไปด้วยหัวใจที่ยังคงเต้นระส่ำไม่หยุด จนเมื่อพบว่าภายในห้องโถงด้านนอกเองก็ไม่ได้มีร่างปีศาจร้ายในคราบเทพบุตรอยู่แล้ว ฉันก็รีบสาวเท้าพาร่างที่บอบช้ำของตัวเองให้เดินไปที่ประตูใหญ่ของบ้านพักตากอากาศที่เป็นดั่งขุมนรกนี้ทันทีแกร๊ก ~~และแล้วประตูบานใหญ่ก็ได้ถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย เนื่องจากถูกล็อกแบบลูกบิดจากด้านใน และทันทีที่ประตูถูกเปิดออกไป อากาศช่วงสาย ๆ ในกลางป่าพร้อมกับกลิ่นต้นไม้ใบหญ้าที่พุ่งตีเข้าหน้าก็ช่างหอมหวานสดชื่นเปรียบดั่งอิสรภาพที่ฉันกำลังได้รับในตอนนี้ฉันรีบก้าวเท้าเดินออกจากบ้านที่น่าจะเป็นดั่งสวรรค์ถ้าเราสองคนถ้าหากว่าวันนี้เรามาฮันนีมูนด้วยกันอย่างไม่ลังเล พร้อมกับสายตาที่สอดส่องมองเส้นทางการหลบหนีด้วยความหวาดระแวง ก่อนจะเลือกเดินตามเส้นทางรอยยางรถยนต์ให้นำทางไป และถึงแม้ว่าฉันจะไม่ใช่นักเดินป่าที่ชำนาญการ แต่ฉันก็รู้ดีว่าถ้าฉันคิดจะหลบหนีใครสักคนการเดินริมถนนก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไรนั
ฉันมองไปยังคนที่ยืนทำหน้าบอกบุญ ก่อนจะตั้งสติแล้วเปิดปากพูดจาดี ๆ กับเขาอีกครั้ง“นะ...คุณดีแลน เห็นแก่ความรู้สึกดี ๆ ที่คุณเคยมีให้ฉัน คุณปล่อยฉันไปเถอะนะ ฉันสาบานว่าฉันจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีกเลย คุณเกลียดฉันไม่ใช่เหรอ งั้นคุณปล่อยฉันไปเถอะนะอย่าทรมานฉันอีกเลย ฮึก...ฮึก...ฉันรับมันไม่ไหวแล้วจริง ๆ” ฉันกลั้นก้อนน้ำตาที่มีเอาไว้ ก่อนจะยกมือไหว้ร้องขอความเมตตาจากเขาจนดูน่าเวทนา แต่ทว่า...คนตรงหน้ากลับมองเห็นเพียงแค่ว่าฉันนั้นอยากจะได้อิสระเพื่อไปอยู่กับชู้รักเพียงแค่นั้น“ไม่มีวัน!!...มึงต้องอยู่กับกูตลอดไป มึงไม่มีทางจะได้ไปเสวยสุขกับใครหน้าไหนทั้งนั้น!!” สิ้นเสียงเหี้ยมที่เป็นดั่งคำประกาศิตที่ได้ถูกส่งออกมาพร้อมกับแววตามาดร้ายคู่นั้น ทำให้ความหวังที่อยู่ในใจของฉันถึงกับพังทลายไม่มีชิ้นดีฉันถอดสายตามองไปยังคนตรงหน้าบุคคลที่ฉันเคยรักสุดหัวใจ แถมยังเป็นคนที่เกือบจะได้เป็นพ่อของลูกฉันอีกด้วย สายตาที่มองออกไปอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่เคยบอกว่ารักฉัน บอกว่าต้องการโอกาสจากฉัน ถึงได้เปลี่ยนกลับตาลปัตรพลิกหน้ามือเป็นหลังมือได้มากขนาดนี้ และถ้ามันเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น...เพียง
ณ โรงพยาบาลชานเมืองแห่งหนึ่ง“ใครก็ได้ช่วยเมียกูด้วย...หมอ...หมอช่วยเมียผมด้วย” ผมร้องเรียกให้หมอมาช่วยคนในอ้อมแขนของผมอย่างคนไร้สติ โดยที่ตามเนื้อตัวก็ได้มีเลือดของเธอเปรอะเปื้อนเต็มไปหมดและเมื่อบุรุษพยาบาลได้มาจัดการเข็นพาเธอเข้าไปยังห้องฉุกเฉินแล้ว ผมที่ถูกกันเอาไว้ด้านนอกไม่ให้ตามเข้าไปยังด้านในก็ทำได้แต่นั่งประสานมือใจสั่นหน้าซีดด้วยความกลัวจับใจว่าจะเสียเธอไป“พี่ขอโทษ...ลิน...อย่าเป็นอะไรไปนะ...ฮึก...ฮึก” ผมร้องไห้น้ำตาไหลพรากเอ่ยภาวนากับตัวเอง พร้อมกับอ้อนวอนร้องขอให้สวรรค์เมตตาอย่าได้พรากเธอไปจากผมเลย และด้วยสภาพของผม ณ ตอนนี้ก็ได้ทำให้ใครหลาย ๆ คนที่ผ่านไปมาต่างส่งสายตาเวทนาสงสารมาให้ผมไปตาม ๆ กันกระทั่งเมื่อเวลาได้ผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ ผมที่รู้สึกได้ถึงความชุลมุนวุ่นวายของบุคคลที่อยู่ภายในห้องฉุกเฉินที่บัดนี้ได้มีร่างของคนที่ผมรักนอนอยู่ในนั้น ด้วยสถานการณ์ที่ดูไม่ปกติแบบนั้นก็ทำให้ผมเริ่มใจคอไม่ดีนั่งไม่ติดในทันที...ปึง...!!เสียงประตูห้องฉุกเฉินที่ได้ถูกผลักออกมาอย่างแรง โดยคุณหมอสาวที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดอีกทั้งเธอยังมีสีหน้าที่เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด นั่นจึงทำให้ผมถ
กระทั่งเมื่อผมเปิดประตูห้องนอนเข้าไปเพื่อตรวจดูว่าเธอยังอยู่อย่างปลอดภัยดีไหม ภาพความว่างเปล่าภายในห้องนอนก็ทำให้ผมถึงกับหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที“ลิน...ลิน...ลลิน!!” ผมเดินร้องเรียกชื่อเธอดังลั่นบ้านพร้อมกับมองหาเธอทุกซอกทุกมุม แต่กลับไร้ซึ่งวี่แววของเสียงที่จะตอบกลับมาอย่างสิ้นเชิง และนั่นก็ยิ่งทำให้ผมใจสั่นกัดกรามแน่น“ลินอยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า ตอบพี่หน่อยสิลิน” ผมตะโกนถามออกไปอีกครั้งด้วยใจที่เต้นระรัวทุกขณะ แต่สิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังคงมีแค่ความเงียบงันเช่นเดิมกระทั่งเมื่อผมแน่ใจแล้วว่าผู้หญิงที่ผมหวงแหน เธอไม่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้แล้ว ผมก็ตรงกลับขึ้นไปบนรถแล้วรีบขับตามหาเธอด้วยความเป็นห่วงทันทีจากนั้นผมที่ขับรถตามออกมาด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับพยายามกวาดสายตามองไปทั่วเพื่อหาร่างที่คุ้นเคย กระทั่งเมื่อผมได้เห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนที่แสนจะคุ้นตาที่กำลังยืนเกาะต้นไม้พักเหนื่อยอยู่ตรงหน้า วินาทีนั้นเองผมยอมรับเลยทันทีว่าผมดีใจมากแค่ไหนที่ได้เจอเธอเพียงแต่ด้วยทิฐิที่มีมากอยู่ในใจ แม้ว่าผมจะรู้สึกดีใจที่ได้เจอเธอมากแค่ไหน แต่เพราะไอ้ความยึดมั่นถือมั่นเอาแต่ใจและจ้องแต่อยากจะเอาชนะก็ได
“แต่ว่าแม่ครับ...ได้โปรดอย่าห้ามไม่ให้พี่แดนไปบ้านปู่อีกเลยนะครับ” เด็กชายตรงหน้าพูดเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของฉันที่มีต่อเขาในสถานการณ์ตอนนี้“แต่พี่แดน...ลูก...” ส่วนฉันที่แม้จะปวดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มา แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนที่แสนจะเด็ดเดี่ยวของลูกชายตัวเองก็ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขาเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยใจ“นะครับแม่...พี่แดนสัญญาว่าพี่แดนจะตั้งใจเรียนศิลปะการป้องกันตัวให้หนักมากขึ้น และพี่แดนขอเรียนพวกการใช้อาวุธด้วยได้ไหมครับ...พี่แดนอยากดูแลตัวเองให้ได้มากกว่านี้”สายตามุ่งมั่นของลูกชายที่ส่งมาทำให้ฉันถึงกับสะท้อนใจ พร้อมกับมองไปที่ลูกชายด้วยความรู้สึกหน่วงในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กชายตรงหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าเขาบัดนี้เขาได้เติบโตไปมากกว่าที่ฉันเห็นแค่ไหนแล้ว โดยเฉพาะยามที่เขาเอ่ยพูดด้วยสายตาแน่วแน่ไม่มีความรู้สึกลังเลหรือหวั่นใจเลยแม้แต่น้อยในดวงตาคู่นั้นถึงเรื่องที่อยากจะทำในสิ่งที่เด็กรุ่นเดียวกันไม่คิดจะทำ“พี่แดนไม่กลัวเหรอลูกถ้า...เอ่อ...ต้องกลับไปที่นั่นอีก” ฉันหยั่งเชิงถามลูกชายออกไป แม้ว่าคำตอบจากท่าทางของลูกชายที่มีให้ก่อนหน้านี้จะเป็นคำตอบให้ฉันแล้ว แต่ฉันก็ยังอ
รุ่งเช้า ~~วันนี้ฉันเลือกที่จะไม่เข้าไปบริษัท เพราะอยากจะอยู่รอรับลูกชายที่ไม่เคยห่างกายไปไกลขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อสัญญาณการขอลงจอดเครื่องบินดังขึ้น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจที่มีมานับตั้งแต่ลูกชายขึ้นเครื่องบินไปบ้านปู่ของเขาก็ได้ทุเลาลง“แม่คร้าบบบ ~~ พี่แดนคิดถึงแม่จังเลยครับ” ฟอด ~~ ฟอด ~~ ลูกชายตัวน้อยที่นับวันใกล้จะสูงเท่าฉันแล้ว วิ่งยิ้มร่าโผเข้ามากอดฉันแน่น พร้อมกับหอมแก้มฉันซ้ายขวาไม่หยุดก่อนที่ผู้ชายอีกคนที่ฉันคิดถึงไม่แพ้กันจะตรงปรี่เข้ามาหาฉันพร้อมกับทำเลียนแบบลูกชายของตัวเอง“พี่ก็คิดถึงลินมากเลยคร้าบบบบ ~~” ฟอด ~~ ฟอด ~~ คนเป็นพ่อที่ไม่ยอมน้อยหน้าลูกตรงถลาเข้ามากอดฉันพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาเหมือนกัน โดยที่ลูกชายฉันได้แต่ดิ้นพล่านเพราะอึดอัดที่ถูกอัดอยู่ตรงระหว่างกลางการกอดกันของพ่อแม่ของเขา“เป็นไงบ้างคะ ทุกอย่างราบรื่นดีไหม” ฉันผละออกจากอ้อมกอดของผู้ชายทั้งสอง แล้วเอ่ยถามด้วยความคิดถึงแต่ทว่า...เสียงและท่าทางเจื่อน ๆ ของผู้เป็นสามีที่ตอบกลับมา ทำฉันอดแปลกใจไม่ได้“ก็ดีจ๊ะ...”“แล้วลูกล่ะครับพี่แดน เป็นไงบ้างสนุกไหมไปบ้านท่านปู่ครั้งแรก” ฉันมองไปยังลูกชายที่แสดงสีหน
“ผมไม่ต้องการให้คุณมาเร่งรัดให้แดนไปกับคุณนะครับ โปรดเข้าใจด้วยว่าลูกผมยังเล็ก” คนตัวโตเปิดประเด็นก่อน“ก็แล้วทำไมไปกับฉันจะต้องกลัวอะไร” ส่วนคนสูงวัยที่มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน ก็ได้เอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจ“เพราะผมรู้ไงว่ามันอันตรายยังไง ผมรู้ว่าท่านนะยิ่งใหญ่แต่ใครจะรับประกันให้กับลูกชายของผมได้ล่ะ เพราะฉะนั้นนี่คือข้อตกลงระหว่างเราที่ผมจะยอมให้ได้ นั่นก็คือผมจะขอเวลา 5 ปีเพื่อฝึกให้แดนทันคนและมีวิชาเพื่อป้องกันตัวเวลาที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นผมถึงจะอนุญาตให้เขาไปที่ประเทศของท่านได้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ตัวว่าเขายังพอใจที่จะรับตำแหน่งบ้า ๆ นั้นไหม และหลังจากที่เขาอายุครบที่จะเข้าพิธีรับมอบตำแหน่งได้แล้วถึงวันนั้นถ้าแดนยังต้องการที่จะไปกับท่านอยู่ล่ะก็ ผมก็พร้อมที่จะเคารพสิทธิ์ในการตัดสินใจของลูก เพียงแต่ถ้าหากว่าเขาเล็งเห็นแล้วว่าการไปอยู่กับท่านมันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแต่อย่างใด และถ้าหากมันเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้ใครหน้าไหนมันคิดจะมาฆ่าล้างตระกูลผมก็ตาม ผมจะไม่มีวันปล่อยมันไว้อย่างแน่นอน” คนตัวโตพูดรัวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง โดยไม่มีช่องให้คนที่มีอำน
“พี่แดนอยากไปครับ...ท่านปู่บอกอยากให้พี่แดนไปดูอาณาจักรที่จะเป็นของพี่แดน แต่พี่แดนก็อยากให้แม่คร้าบกับดีแลนไปด้วย แต่ดีแลนคงไม่อยากไป...ท่านปู่บอกแบบนั้น”เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วด้วยแววตาเป็นประกายซุกซน ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบในประโยคท้ายยามเอ่ยปากนินทาผู้เป็นพ่อของตน“อย่างงั้นเหรอลูก” ฉันตอบลูกชายตัวน้อยกลับไปเพียงประโยคสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ที่ช่างต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มเหลือเกินแต่ด้วยแววตาดวงน้อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟปรารถนาที่อยากจะเห็นโลกกว้าง ทำให้ฉันที่แม้จะอยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่จำต้องเก็บความต้องการนั้นเอาไว้แล้วเลือกหาทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้“ถ้าพี่แดนอยากไปแม่ก็จะอนุญาตครับ...เพียงแต่ ณ เวลานี้มันยังเร็วเกินไปที่พี่แดนจะไปบ้านท่านปู่ด้วยเหตุผลแรก แม่เองก็ใกล้ที่จะคลอดน้องแล้วแม่คงจะไปกับพี่แดนด้วยไม่ได้ พี่แดนคงไม่อยากให้แม่ไปคลอดน้องบนฟ้าใช่ไหมครับ” ฉันค่อย ๆ อธิบายให้ลูกชายตัวน้อยฟัง“ส่วนเหตุผลที่สอง แม่อยากให้พี่แดนโตกว่านี้อีกสักหน่อย อยากให้พี่แดนโตจนสามารถดูแลตัวเองได้แม้ในวันที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่เคียงข้าง เพราะฉะนั้นถ้าพี่แดนอยากจะไปบ้านท่านปู่จริง พี่แดน
--- ดีแลน Talk ---“ที่ท่านพูดเมื่อสักครู่มันหมายความว่ายังไงครับ” ผมเปิดปากถามคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อแม้ว่าผมจะไม่เคยนับว่าเขาเป็นพ่อก็ตาม“แล้วแกคิดว่าไงล่ะ...” ก่อนที่คนเจนสนามอย่างเฒ่าเจ้าเล่ห์จะยักคิ้วพูดหยั่งเชิง“พูดมาตรง ๆ เถอะครับ ผมรู้ว่าการที่คุณเทียวไปเทียวมาแบบนี้คงไม่ได้เป็นเพราะคิดถึง...เอ่อ...หลาน” ผมพูดไปด้วยรู้เจตนาคนตรงหน้าดีแต่อยากได้ความชัดเจน“เฮ้อ...ดีแลนแกพูดอย่างนั้นมันก็ดูจะดูถูกจิตใจฉันเกินไปนะ ฉันน่ะคิดถึงหลานจริง ๆ และอยากเจอเขาด้วย แต่ถ้าจะให้ฉันพูดตรง ๆ ฉันคิดว่าแกคงรู้สถานการณ์ของทางฝั่งตระกูลฉันดี และฉันก็รู้ดีว่าแกไม่โง่ที่จะไม่รู้เจตนารมณ์ของฉัน เพราะแกย่อมรู้ดีที่ฉันทำแบบนี้มันก็เพื่อแกเอง...” คนเป็นพ่อของผมพูดโดยที่มือบรรจงลูบไปที่หัวของลูกชายผมอย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนซึ่งผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนจากเขา“เพื่อผมเหรอ ผมว่าท่านทำเพื่อตัวเองมากกว่านะ” ผมแสยะยิ้มมองคนตรงหน้าอย่างเหลือจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา“ทำไมแกถึงคิดแบบนั้นกับพ่อได้ล่ะ...” ก่อนที่คนสูงวัยจะเบนสายตาจากหลานชายตัวน้อยมายังบุคคลที่เป็นลูกชายตนเองแทน พร้อมกับมอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงเหมือนกับที่ท่านชีคได้พูดเอาไว้ ว่าสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนได้นั่นก็คือเขายังคงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านชีคเขาจริง ๆ และยังคงมีสิทธิ์ในตำแหน่งผู้สืบทอดโดยชอบธรรม เพียงแต่เขาที่ไม่ต้องการตำแหน่งนั้นกลับไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากว่าถ้าหากถึงเวลาจวนตัวที่ตำแหน่งท่านชีคว่างขึ้นมาจริง ๆ เขาจะปฏิเสธมันได้อย่างไรเพราะด้วยกฎประหลาดที่ถูกกำหนดขึ้นมาว่าถ้าหากท่านชีคองค์ปัจจุบันไม่อาจมีทายาทสืบทอดตำแหน่งต่อไปได้ ทุกอย่างจำต้องรีเซตใหม่โดยการกำจัดสายเลือดที่เกี่ยวข้องที่ไม่อาจดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดได้ให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหรือเป็นภัยคุกคามในตระกูลต่อไปที่จะได้ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้แทนหลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากผู้เป็นสามี ฉันถึงกับหน้าถอดสีทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามเขาไปถึงข้อสันนิษฐานในข้อตกลงที่ในวันนี้ท่านชีคชาดีฟคิดจะมาพูดกับพวกเรา“ถ้างั้นพี่ดีนคิดว่าเพราะอะไรท่านชีคถึงมาหาเราที่นี่ค่ะ” ฉันถามออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ก็อย่างแรกข่าวที่เราแต่งงานหลุดออกไปที่ประเทศนั้นในวงศ์ตระกูลของท่านชีคต่างรู้ว่าพี่เป็นลูกของเขา แต่ด้วยอำนาจของเขาที่ยังคงเข้มแข็งอยู่พี่ถึ
หลายปีผ่านไป ~~“ฮึก...ฮึก...พี่แดนไม่ไปไม่ได้เหรอลูก ฮือออออ ~~ พี่ดีน ลินไม่อยากให้ลูกไปเลย”ฉันร้องไห้หลังจากวันนี้เป็นวันที่ฉันต้องส่งลูกให้ไปอยู่กับพ่อสามีที่เป็นชีคอยู่ที่ประเทศประเทศหนึ่งของแถบตะวันออกกลาง แต่ทว่า...ลูกชายของฉันนอกจากจะไม่ฟังคำทัดทานของฉันแล้วยังดูท่าว่าอยากจะไปเสียเต็มที“แม่ครับอย่าร้องไห้ซิ ถ้าแม่คิดถึงก็บินไปพี่แดนได้นี่น่าเดี๋ยวพี่แดนให้ท่านปู่ส่งเครื่องบินส่วนตัวมารับ หรือเอาไว้ถ้าพี่แดนฝึกขับเครื่องบินเก่งแล้วเมื่อไรเดี๋ยวเอาไว้พี่แดนบินกลับมาหาดีไหมครับ” ลูกชายตัวน้อยที่บัดนี้เติบโตเริ่มเข้าสู่วัยแตกเนื้อหนุ่มแถมรูปร่างยังสูงมากกว่าฉันโอบกอดปลอบฉัน จนกลายเป็นฉันที่ซุกหน้าเข้ากับอกลูกเหมือนเด็กน้อยแทน“ฮืออออ ~~ แต่แม่ไม่อยากให้ลูกไปเลยนี่ครับ” ฉันยังกอดลูกชายแน่นโดยที่ด้านหลังของเขาได้มีร่างของผู้ชายที่เป็นพ่อสามีฉันมายืนรอรับลูกชายของฉันไป“พี่แดนก็ยังอยู่กับแม่เสมอนะครับ” ลูกชายตัวน้อยที่เคยจ้ำม่ำใช้มือที่ใหญ่ขึ้นปาดน้ำตาของฉันพร้อมกับส่งยิ้มหวานที่เหมือนกับพ่อและปู่ของเขาไม่มีผิดเพี้ยน“ไม่ต้องห่วงนะ เรารับรองได้เลยว่าเราจะดูแลแดเนียลให้ดีที่สุด” ท่า
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ~~ฉันได้รับอนุญาตจากพี่น้ำค้างให้กลับบ้านได้แล้ว และทันทีที่ถึงบ้านฉันที่มัวแต่เป็นห่วงลูกในท้องจนเพิ่งจะมานึกออกถึงเรื่องของแม่ตัวเอง“พี่ดีนค่ะ...” ฉันเรียกชื่อผู้เป็นสามีเบา ๆ ก่อนจะเสหน้าหลบเล็กน้อยด้วยความลังเลที่เกิดขึ้นว่าควรจะถามออกไปดีไหม เนื่องจากกลัวว่าเขาอาจจะยังโกรธเคืองแม่ของฉันอยู่“ว่าไงครับ...ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า หรือว่ายังรู้สึกเจ็บที่ท้องอยู่ให้พี่พาไปโรงพยาบาลเอาไหม” ส่วนพี่ดีนที่ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลเขาดูแลฉันไม่ห่างกาย แม้ว่าจะได้รับคำยืนยันจากปากหมออย่างพี่น้ำค้างแล้วว่าทั้งฉันและลูกปลอดภัยดี แต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าเขายังมีความกังวลอยู่“ปะ...เปล่าค่ะ ลินไม่เจ็บแล้วค่ะ” ฉันรีบปฏิเสธออกไป ก่อนจะทำท่าทางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆแต่ทว่า...เขาที่มักจะรู้ใจฉันดีว่าฉันคิดอะไรและกังวลใจเรื่องอะไรอยู่ ก็ได้พูดออกมาก่อน“จะถามเรื่องแม่ของลินใช่ไหม” เขาเอ่ยปากด้วยสีหน้าเหมือนกับคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไร และนั่นก็ทำให้ฉันพยักหน้ารับออกไปทันที“พี่จัดการเรียบร้อยแล้ว เขาจะไม่มายุ่งกับลินและลูกอีก” คนตัวโตพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกร้อนรน“พะ...พี่ดีนทำ
“ไม่มีเหรอ...ชิ...ดูสภาพแกตอนนี้จะมาบอกว่าไม่มีเงินใครหน้าไหนมันจะไปเชื่อ ผัวแกทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเขารวยแค่ไหน ทำไม...คนเป็นแม่อย่างฉันจะมาขอค่าน้ำนมหน่อยไม่ได้หรือไง...ห๊ะ!! ยัยลิน!!” แม่ฉันระเบิดอารมณ์ออกมาพร้อมกับตรงเข้ามาบีบแขนฉันแน่น“มันไม่เกี่ยวกับเขาเลยนะคะ เขาจะรวยมันก็เงินเขาหามา” ฉันที่ทนให้แม่บีบแขนอยู่อย่างนั้นแม้ว่ามันจะเจ็บมากก็ตาม แต่ทว่า...มันไม่ได้เจ็บไปมากกว่าที่หัวใจฉันเจ็บตอนนี้เลยและในจังหวะเดียวกันนั้นเอง พี่ริกที่วิ่งมาทางพวกเราพร้อมกับกระซิบอะไรบางอย่างกับคุณดีน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันสนใจเท่ากับผู้หญิงตรงหน้า“เกี่ยวซิ...ทำไมจะไม่เกี่ยวฉันเป็นแม่ของแก เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของแก แต่แกไม่คิดจะตามหาฉันมาร่วมงานแต่งงานของแกเลยสักนิด...เหอะ...ปล่อยให้ฉันต้องทนลำบากอยู่ได้ตั้งนาน” แม่ฉันพูดพลางมองบริษัทของคุณดีนไปทั่วด้วยแววตามีความหมายส่วนฉันที่แม้จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฉันดีใจมากแค่ไหนในแวบแรกที่ได้เจอแม่ แต่พอได้มาเห็นพฤติกรรมของท่านที่ไม่เหลือเค้าคนเป็นแม่ที่ฉันเคยรู้จัก มันก็ทำให้ฉันเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าฉันไม่ควรขุดความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่เคยมีต่อตัวท่