ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจฉันสั่นไหววูบโหวง เนื่องจากสภาพใบหน้าที่ปูดบวมมีรอยช้ำจากการถูกทำร้ายร่างกายของป้านี มันทำให้หัวใจฉันเจ็บปวดเหมือนถูกคนเอามือล้วงเข้ามาบีบขยี้ให้แหลกฉันค่อย ๆ เดินตรงไปยังเตียงนอนคนไข้ด้วยความเงียบเพราะกลัวจะทำให้คนที่หลับตาสะดุ้งตื่น ก่อนจะค่อย ๆ สอดมือตัวเองเข้าไปจับมือนุ่มนิ่มแต่เริ่มมีความเหี่ยวย่นตามอายุอย่างแผ่วเบา“อะ...อูยยยยย ~~” จากนั้นเสียงครางร้องเบา ๆ จากคนที่นอนอยู่บนเตียงก็ทำฉันต้องรีบปาดน้ำตาที่เอ่อคลอบนดวงตาทิ้ง พร้อมกับพยายามปรับหน้าตาให้กลับมาสดใสดังเดิม“ปะ...ป้านีค่ะ” ฉันเรียกชื่อผู้หญิงที่ฉันเคารพรักยิ่งกว่าแม่ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและอ่อนโยนให้มากที่สุด“นะ...หนูลิน...หนูลินเหรอลูก” ป้านีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แม้ว่าดวงตาจะยังปิดอยู่“ค่ะ...ฮึก...ลินเอง” ฉันที่พยายามจะกลั้นน้ำตาเอาไว้แต่ ณ เวลานี้มันก็ช่างยากเสียเหลือเกิน“หนูลินร้องไห้ทำไมกันลูก...” ก่อนที่น้ำเสียงอ่อนโยนแสนอบอุ่นอย่างเคย จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงฉันอย่างที่มีเสมอมา“ฮึก ฮึก ลินขอโทษนะคะ ฮืออออ ที่ทำให้ป้านีเป็นแบบนี้” ฉันมองร่องรอยตามร่างกายของผู้ใหญ่ที่ฉันนับถือตรงห
ก่อนที่ป้านีจะทำทีเป็นหัวเราะขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อน เพราะไม่อยากให้หญิงสาวตรงหน้าต้องเป็นกังวลหลังจากที่เห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของหญิงสาว“ฮ่าๆๆ สงสัยพอหัวฟาดพื้นอาการปวดหัวเลยดีขึ้น ก่อนหน้านี้นะป้าปวดหัว มึนหัว บ้านหมุนบ่อย บางทีนะมันปวดจนเป็นลมไปเลยก็มี เห้ออออ...ก็อย่างที่เขาว่ากันอะเนอะแก่แล้วไม่มีอะไรดีสักอย่าง” ป้านีพูดไปยิ้มไปอย่างคนไม่คิดอะไร และคิดว่ามันเป็นเพียงอาการของคนที่เริ่มมีอายุเท่านั้น“ทำไมป้านีไม่เคยบอกลินเลยล่ะคะ ว่าป่วยขนาดนี้” ฉันท้วงออกไปด้วยความรู้สึกน้อยใจที่ยามเดือดร้อนผู้ใหญ่ตรงหน้าไม่เคยคิดจะบอกอะไรฉันบ้างเลย“เรื่องเล็กนิดเดียวเองลูก อีกอย่างหนูลินกับเจ้ารามก็ต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ โรคคนแก่กินยาลมดมยาหอมก็หายแล้ว” ใบหน้าของป้านีเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มละมุน ก่อนจะเอื้อนเอ่ยคิดเป็นห่วงความรู้สึกของคนอื่น จนทำให้ฉันยิ่งรู้สึกหน่วงในใจเพิ่มมากขึ้นฉันมองผู้ใหญ่ที่ฉันเคารพรักตรงหน้าด้วยน้ำตาที่เริ่มไหลซึมขึ้นมาอีกครั้ง...“เอ้า...เด็กคนนี้ร้องไห้อีกทำไมกัน ป้าไม่ได้เป็นไรสักหน่อย” ป้านียังคงเอ่ยปลอบ พร้อมกับหัวเราะในท่าทีของฉันเบา ๆจากนั้นฉันก็ได้อยู่คุยก
“เรื่องการผ่าตัดของป้านี หมอบอกว่าเราต้องรีบทำให้เร็วที่สุด แม้ว่าจะฟื้นฟูร่างกายของป้านีได้ไม่เต็มที่ก็ตาม” เขาค่อย ๆ ถอยทอดในสิ่งที่ตนได้รับรู้มา“ทำไมล่ะคะ...” ส่วนฉันที่ตื่นตระหนกใจก็อดถามกลับไม่ได้ เพราะการที่คุณหมอบอกมาแบบนั้น แม้ว่าคนที่ไม่มีความรู้ทางการแพทย์อย่างเธอก็พอจะรู้ว่ามันหมายถึงอาการของป้านีไม่สู้ดีนัก“คุณหมอเขาประเมินมาแบบนั้นน่ะ ส่วนไอ้ศัพท์ทางการแพทย์ที่เขาพูดมาฉันก็จำไม่ค่อยได้ แต่ถ้าเมื่อไรที่หมอประเมินแล้วว่าสามารถผ่าตัดได้ ฉันจะให้ดำเนินการทันทีเลยนะ เธอโอเคไหม” เขาถามความคิดเห็นของฉัน ก่อนที่ฉันจะบอกถึงสิ่งที่ตัวเองติดขัดออกไป...“ยังไงเรื่องนั้น ลินเองก็คงต้องขอถามพี่รามเพื่อปรึกษาอีกทีได้ไหมคะ อีกอย่างลินอยากให้พี่รามเป็นคนบอกป้านีด้วยตัวเอง เพราะถึงยังไงพี่รามเขาก็เป็นหลานแท้ ๆ ของป้านี แต่ว่าลินไม่ใช่...” ฉันบอกเหตุผลของตัวเองออกไป เพราะถึงแม้ว่าฉันจะสนิทและรักป้านีเหมือนป้าแท้ ๆ แค่ไหน แต่ความจริงแล้วฉันก็ยังเป็นคนนอกอยู่ดี“เอางั้นก็ได้ฉันตามใจเธอ” เขายิ้มก่อนจะกุมมือที่ประสานไว้ที่หน้าตักของฉันด้วยความอ่อนโยนจากนั้นฉันก็ได้ขอตัวเพื่อไปเคลียร์งานด้านน
“สะ...สวัสดีครับ ท่านประธาน” พี่รามโค้งหัวให้คนตรงหน้าอย่างกริ่งเกรง ทันทีที่เห็นร่างที่ดูสง่างามน่าเกรงขามตรงหน้าส่วนคนตัวโตก็ได้แค่ปรายตาพยักหน้ารับ แต่ทว่า...ก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป“เป็นไงบ้างคะคุณดีน พี่น้ำค้างบอกว่ายังไงบ้างคะ” ฉันถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน โดยมีพี่รามที่สนใจในคำตอบไม่แพ้กันและด้วยสีหน้าของคนตัวโตนั้น ก็พอจะทำให้ฉันเดาสถานการณ์ของป้านีได้ว่าอาการของท่านดูท่าจะไม่ค่อยสู้ดีนัก...“ด้วยอายุของป้านี การผ่าตัดมันจึงเสี่ยงอยู่มาก และมันอาจจะ...” เขาเว้นระยะเพื่อระมัดระวังประโยคถัดไปเล็กน้อย เนื่องจากสิ่งที่จะพูดออกไปมันละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกมาก“อาจจะอะไรคะ...” ฉันเร่งรัดถามอย่างคนร้อนรนที่ต้องการรู้คำตอบ“เออ...อาจจะเป็นเจ้าหญิงนิทรา” คนตัวโตที่ได้รับข้อมูลมาถึงกับถอนหายใจหลังพูดจบ และด้วยคำพูดของเขานั้นก็ทำให้ฉันกับพี่รามถึงกับช็อกพูดไม่ออกและถึงแม้ว่าเราจะทำใจเอาไว้อยู่แล้วเกี่ยวกับโรคที่ป้านีเป็น แต่ว่า...พอได้มาเจอเข้ากับสถานการณ์จริง มันเลยทำให้เราได้รู้ตัวเองเลยว่า...เรานั้นยังไม่อาจทำใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลย...จากนั้นทั้งฉัน คุณดีน และพี่รามต่างก็ยังปักหลั
--- ดีแลน Talk ---ผมนอนมองร่างบางเดินตัวปลิวไปยังห้องน้ำ ด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข พร้อมกับนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน หลังจากที่พวกเรากลับมาจากโรงพยาบาลเธอที่มีอาการซึมเมื่อได้ฟังถึงอาการของป้านีผู้ใหญ่ที่เธอให้ความเคารพรัก และด้วยความเศร้าของเธอที่ถึงขนาดเอ่ยปากขออยู่คนเดียวแถมยังเงียบหายไปหลังจากที่เข้าห้องนอน มันทำให้ผมที่รู้สึกเป็นห่วงเธอจับใจถึงกับต้องยอมเสียมารยาทแอบสะเดาะกลอนประตูห้องนอนเธอ เพื่อเข้ามาดูแลเธออย่างใกล้ชิดแกร๊ก ~~ทันทีที่ปลดล็อกประตูได้ ผมก็เดินตรงดิ่งไปยังที่นอนขนาดใหญ่ที่บัดนี้มีร่างนวลเนียนที่ผมปรารถนานอนหลับตาพริ้มด้วยใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่เหมือนกับว่ามันเพิ่งจะแห้งเหือดไปได้ไม่นานผมเอนกายลงนอนไปด้านข้างเรือนร่างขาวผุดผ่องที่หลับสนิท พร้อมกับมองไปยังใบหน้าเนียนละเอียดสวยละมุนที่มักจะทำให้ผมเคลิบเคลิ้มทุกครั้งที่ได้มองอย่างไม่วางตา และด้วยความปรารถนาที่แรงกล้าทำให้ผมเผลอบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปอย่างลืมตัว“ลิน...ฉันรักเธอนะ” คำพูดที่หลุดออกจากปากบอกไปอย่างแผ่วเบาโดยไม่รู้ตัว และนั่นก็ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่าผมนั้นรักคนตรงหน้ามากแค่ไหนจากนั้นผ
ณ โรงพยาบาล M พรีเมี่ยมฉันเลือกที่จะไปหาพี่รามก่อน ก่อนที่จะไปหาป้านีเพื่อจะไปคุยรายละเอียดการกับการรักษาป้านีเพิ่มเติมก๊อก ก๊อก ก๊อกฉันเคาะประตูเป็นสัญญาณขออนุญาตก่อนเข้าไป จากนั้นก็ได้มีเสียงนุ่มนวลอบอุ่นเหมือนดังเช่นเคยเอ่ยส่งมาบอกฉัน“เชิญครับ...”“สวัสดีค่ะ พี่ราม” ฉันเอ่ยทักทาย“อ้าวลิน...” ส่วนคนตรงหน้าก็ได้ทักทายกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและดูแทบจะเป็นปกติเหมือนเดิมแล้ว“ป้านียังไม่ฟื้นอีกเหรอคะ” ฉันเปิดปากถามถึงอีกคนด้วยสีหน้าเป็นกังวลทันทีส่วนพี่รามก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาให้ฉันเป็นคำตอบ พร้อมกับเหม่อมองไปยังด้านนอกหน้าต่างด้วยท่าทางสิ้นหวัง จนฉันต้องเปลี่ยนเรื่องถามเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้ารู้สึกเศร้าไปมากกว่านี้“เอ่อ...แล้วนี่พี่รามเป็นยังไงบ้างคะ” ฉันถามพร้อมกับมองไล่ไปตามใบหน้าและตามเรือนร่างของคนตัวโตที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้“ดีขึ้นแล้วล่ะ นี่พี่ก็กะว่าจะขอหมอกลับวันนี้แล้ว” เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ“อ้าวทำไมล่ะคะ คุณดีนเองเขาก็บอกว่าเขาจะรับผิดชอบค่ารักษา ค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลของพี่รามเอง พี่รามไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายหรอกนะคะ” ฉันพูดยื้อให้เขาอยู่ต่อ เพราะเป็นห่วงเขากลัว
เพี๊ยะ...!!เสียงฝ่ามือที่ฟาดลงมายังใบหน้านวลเนียนของฉันจนเกิดเป็นรอยแดงดังสนั่นห้องพักผู้ป่วย พร้อมกันกับที่ใบหน้าสวยสะบัดไปด้านข้างตามแรงปะทะที่ส่งมาอย่างไม่ออมมือ“นังตัวซวย...!!” เสียงตวาดลั่นจากคุณป้าหรือว่าแม่ของพี่รามกราดใส่ฉันด้วยความโมโห อีกทั้งแววตาแข็งกร้าวที่มีน้ำตาคลอมองตรงมาที่ฉันด้วยความรู้สึกโกรธเคืองอย่างไม่ปิดบัง“ใจเย็น ๆ คุณ” ก่อนที่คุณพ่อของพี่รามจะเข้ามาประคองห้ามคนเป็นภรรยาเอาไว้ ด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าภรรยาของตนจะทำแบบนั้นกับเด็กสาว“จะให้ฉันใจเย็นได้ยังไงกันค่ะ เพราะเด็กคนนี้พี่นีถึงเป็นแบบนี้ ฮึก...ฮึก...ฮืออออ” คุณแม่พี่รามตอบกลับเสียงสั่นด้วยความโมโห อีกทั้งน้ำตาที่เพิ่งหยุดไหลก็กลับไหลพรากออกมาอีกครั้งส่วนฉันถึงแม้ที่ผ่านมาจะไม่เคยมีใครว่ากล่าวหรือโทษว่าฉันเป็นต้นเหตุให้ป้านีโดนทำร้ายร่างกายเลย แต่ทว่า...ลึก ๆ แล้วในหัวใจของฉันยังคงฝังตราบาปนั้นเอาไว้ในใจอยู่เสมอ...และวันนี้คุณแม่ของพี่รามก็เป็นคนที่งัดตราบาปในใจของฉันขึ้นมาตีแสกกลางหน้าให้ฉันได้สำนึก ซึ่งในความคิดของฉัน...มันก็สมควรแล้ว...“ฮึก...ฮึก...ลินขอโทษค่ะ” ฉันยกมือไหว้ด้วยหัวใจที่เจ็บปวดและร
--- ราม Talk ---ทันทีที่คนทั้งสองไปพากันออกไปจากห้อง ผมก็ได้รีบพุ่งตัวเข้าไปถามผู้เป็นมารดาของตัวเองทันที...“แม่ครับ...นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ” ผมถามผู้เป็นมารดาทันทีด้วยอาการร้อนรน หลังจากที่ผู้หญิงที่ผมแอบรักได้ออกไปจากห้องพร้อมกับแฟนของเธอ โดยที่ผมรู้ดีว่าเธอนั้นกำลังช่วยพวกเราไม่ให้หางเลขจากเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอ“เหอะ...” ส่วนแม่ของผมนอกจากท่านจะไม่ตอบคำถามผมแล้ว ท่านยังสะบัดหน้าใส่ผม จนผมได้แต่ยืนงงไม่เข้าใจ“ก็แม่เรานะซิ ไปตบหน้าหนูลินเขา” พ่อของผมเลือกที่จะตอบแทนพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ และด้วยคำตอบของคนเป็นพ่อนั้นก็ทำให้ผมถึงกับเบิกตากว้างร้องลั่นด้วยความตกใจทันที“แม่...!!” (OoO) ผมที่ไม่คาดคิดว่าแม่ผมจะทำแบบนี้กับเธอถึงกับอุทานลั่น“แล้วทำไม...ก็ไม่ใช่เพราะมันหรือไงที่ทำให้พี่นีต้องมีสภาพแบบนี้...ชิ...นังตัวซวย!!” แม่ผมแผดเสียงขึ้นมาอีกรอบอย่างหัวเสีย ก่อนจะสบถใส่หญิงสาวที่กำลังพูดถึงด้วยความไม่ชอบใจ“มันไม่เกี่ยวกับน้องลินเลยนะครับแม่...มันเป็นเพราะโรคของป้าเขาต่างหาก” ผมออกตัวแทน นั่นก็เพราะว่าสิ่งที่ผมพูดมันคือความจริง“จะไม่เกี่ยวได้ยังไง ก็เพราะมันพี่นีถึ
“แต่ว่าแม่ครับ...ได้โปรดอย่าห้ามไม่ให้พี่แดนไปบ้านปู่อีกเลยนะครับ” เด็กชายตรงหน้าพูดเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของฉันที่มีต่อเขาในสถานการณ์ตอนนี้“แต่พี่แดน...ลูก...” ส่วนฉันที่แม้จะปวดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มา แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนที่แสนจะเด็ดเดี่ยวของลูกชายตัวเองก็ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขาเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยใจ“นะครับแม่...พี่แดนสัญญาว่าพี่แดนจะตั้งใจเรียนศิลปะการป้องกันตัวให้หนักมากขึ้น และพี่แดนขอเรียนพวกการใช้อาวุธด้วยได้ไหมครับ...พี่แดนอยากดูแลตัวเองให้ได้มากกว่านี้”สายตามุ่งมั่นของลูกชายที่ส่งมาทำให้ฉันถึงกับสะท้อนใจ พร้อมกับมองไปที่ลูกชายด้วยความรู้สึกหน่วงในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กชายตรงหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าเขาบัดนี้เขาได้เติบโตไปมากกว่าที่ฉันเห็นแค่ไหนแล้ว โดยเฉพาะยามที่เขาเอ่ยพูดด้วยสายตาแน่วแน่ไม่มีความรู้สึกลังเลหรือหวั่นใจเลยแม้แต่น้อยในดวงตาคู่นั้นถึงเรื่องที่อยากจะทำในสิ่งที่เด็กรุ่นเดียวกันไม่คิดจะทำ“พี่แดนไม่กลัวเหรอลูกถ้า...เอ่อ...ต้องกลับไปที่นั่นอีก” ฉันหยั่งเชิงถามลูกชายออกไป แม้ว่าคำตอบจากท่าทางของลูกชายที่มีให้ก่อนหน้านี้จะเป็นคำตอบให้ฉันแล้ว แต่ฉันก็ยังอ
รุ่งเช้า ~~วันนี้ฉันเลือกที่จะไม่เข้าไปบริษัท เพราะอยากจะอยู่รอรับลูกชายที่ไม่เคยห่างกายไปไกลขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อสัญญาณการขอลงจอดเครื่องบินดังขึ้น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจที่มีมานับตั้งแต่ลูกชายขึ้นเครื่องบินไปบ้านปู่ของเขาก็ได้ทุเลาลง“แม่คร้าบบบ ~~ พี่แดนคิดถึงแม่จังเลยครับ” ฟอด ~~ ฟอด ~~ ลูกชายตัวน้อยที่นับวันใกล้จะสูงเท่าฉันแล้ว วิ่งยิ้มร่าโผเข้ามากอดฉันแน่น พร้อมกับหอมแก้มฉันซ้ายขวาไม่หยุดก่อนที่ผู้ชายอีกคนที่ฉันคิดถึงไม่แพ้กันจะตรงปรี่เข้ามาหาฉันพร้อมกับทำเลียนแบบลูกชายของตัวเอง“พี่ก็คิดถึงลินมากเลยคร้าบบบบ ~~” ฟอด ~~ ฟอด ~~ คนเป็นพ่อที่ไม่ยอมน้อยหน้าลูกตรงถลาเข้ามากอดฉันพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาเหมือนกัน โดยที่ลูกชายฉันได้แต่ดิ้นพล่านเพราะอึดอัดที่ถูกอัดอยู่ตรงระหว่างกลางการกอดกันของพ่อแม่ของเขา“เป็นไงบ้างคะ ทุกอย่างราบรื่นดีไหม” ฉันผละออกจากอ้อมกอดของผู้ชายทั้งสอง แล้วเอ่ยถามด้วยความคิดถึงแต่ทว่า...เสียงและท่าทางเจื่อน ๆ ของผู้เป็นสามีที่ตอบกลับมา ทำฉันอดแปลกใจไม่ได้“ก็ดีจ๊ะ...”“แล้วลูกล่ะครับพี่แดน เป็นไงบ้างสนุกไหมไปบ้านท่านปู่ครั้งแรก” ฉันมองไปยังลูกชายที่แสดงสีหน
“ผมไม่ต้องการให้คุณมาเร่งรัดให้แดนไปกับคุณนะครับ โปรดเข้าใจด้วยว่าลูกผมยังเล็ก” คนตัวโตเปิดประเด็นก่อน“ก็แล้วทำไมไปกับฉันจะต้องกลัวอะไร” ส่วนคนสูงวัยที่มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน ก็ได้เอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจ“เพราะผมรู้ไงว่ามันอันตรายยังไง ผมรู้ว่าท่านนะยิ่งใหญ่แต่ใครจะรับประกันให้กับลูกชายของผมได้ล่ะ เพราะฉะนั้นนี่คือข้อตกลงระหว่างเราที่ผมจะยอมให้ได้ นั่นก็คือผมจะขอเวลา 5 ปีเพื่อฝึกให้แดนทันคนและมีวิชาเพื่อป้องกันตัวเวลาที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นผมถึงจะอนุญาตให้เขาไปที่ประเทศของท่านได้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ตัวว่าเขายังพอใจที่จะรับตำแหน่งบ้า ๆ นั้นไหม และหลังจากที่เขาอายุครบที่จะเข้าพิธีรับมอบตำแหน่งได้แล้วถึงวันนั้นถ้าแดนยังต้องการที่จะไปกับท่านอยู่ล่ะก็ ผมก็พร้อมที่จะเคารพสิทธิ์ในการตัดสินใจของลูก เพียงแต่ถ้าหากว่าเขาเล็งเห็นแล้วว่าการไปอยู่กับท่านมันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแต่อย่างใด และถ้าหากมันเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้ใครหน้าไหนมันคิดจะมาฆ่าล้างตระกูลผมก็ตาม ผมจะไม่มีวันปล่อยมันไว้อย่างแน่นอน” คนตัวโตพูดรัวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง โดยไม่มีช่องให้คนที่มีอำน
“พี่แดนอยากไปครับ...ท่านปู่บอกอยากให้พี่แดนไปดูอาณาจักรที่จะเป็นของพี่แดน แต่พี่แดนก็อยากให้แม่คร้าบกับดีแลนไปด้วย แต่ดีแลนคงไม่อยากไป...ท่านปู่บอกแบบนั้น”เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วด้วยแววตาเป็นประกายซุกซน ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบในประโยคท้ายยามเอ่ยปากนินทาผู้เป็นพ่อของตน“อย่างงั้นเหรอลูก” ฉันตอบลูกชายตัวน้อยกลับไปเพียงประโยคสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ที่ช่างต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มเหลือเกินแต่ด้วยแววตาดวงน้อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟปรารถนาที่อยากจะเห็นโลกกว้าง ทำให้ฉันที่แม้จะอยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่จำต้องเก็บความต้องการนั้นเอาไว้แล้วเลือกหาทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้“ถ้าพี่แดนอยากไปแม่ก็จะอนุญาตครับ...เพียงแต่ ณ เวลานี้มันยังเร็วเกินไปที่พี่แดนจะไปบ้านท่านปู่ด้วยเหตุผลแรก แม่เองก็ใกล้ที่จะคลอดน้องแล้วแม่คงจะไปกับพี่แดนด้วยไม่ได้ พี่แดนคงไม่อยากให้แม่ไปคลอดน้องบนฟ้าใช่ไหมครับ” ฉันค่อย ๆ อธิบายให้ลูกชายตัวน้อยฟัง“ส่วนเหตุผลที่สอง แม่อยากให้พี่แดนโตกว่านี้อีกสักหน่อย อยากให้พี่แดนโตจนสามารถดูแลตัวเองได้แม้ในวันที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่เคียงข้าง เพราะฉะนั้นถ้าพี่แดนอยากจะไปบ้านท่านปู่จริง พี่แดน
--- ดีแลน Talk ---“ที่ท่านพูดเมื่อสักครู่มันหมายความว่ายังไงครับ” ผมเปิดปากถามคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อแม้ว่าผมจะไม่เคยนับว่าเขาเป็นพ่อก็ตาม“แล้วแกคิดว่าไงล่ะ...” ก่อนที่คนเจนสนามอย่างเฒ่าเจ้าเล่ห์จะยักคิ้วพูดหยั่งเชิง“พูดมาตรง ๆ เถอะครับ ผมรู้ว่าการที่คุณเทียวไปเทียวมาแบบนี้คงไม่ได้เป็นเพราะคิดถึง...เอ่อ...หลาน” ผมพูดไปด้วยรู้เจตนาคนตรงหน้าดีแต่อยากได้ความชัดเจน“เฮ้อ...ดีแลนแกพูดอย่างนั้นมันก็ดูจะดูถูกจิตใจฉันเกินไปนะ ฉันน่ะคิดถึงหลานจริง ๆ และอยากเจอเขาด้วย แต่ถ้าจะให้ฉันพูดตรง ๆ ฉันคิดว่าแกคงรู้สถานการณ์ของทางฝั่งตระกูลฉันดี และฉันก็รู้ดีว่าแกไม่โง่ที่จะไม่รู้เจตนารมณ์ของฉัน เพราะแกย่อมรู้ดีที่ฉันทำแบบนี้มันก็เพื่อแกเอง...” คนเป็นพ่อของผมพูดโดยที่มือบรรจงลูบไปที่หัวของลูกชายผมอย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนซึ่งผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนจากเขา“เพื่อผมเหรอ ผมว่าท่านทำเพื่อตัวเองมากกว่านะ” ผมแสยะยิ้มมองคนตรงหน้าอย่างเหลือจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา“ทำไมแกถึงคิดแบบนั้นกับพ่อได้ล่ะ...” ก่อนที่คนสูงวัยจะเบนสายตาจากหลานชายตัวน้อยมายังบุคคลที่เป็นลูกชายตนเองแทน พร้อมกับมอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงเหมือนกับที่ท่านชีคได้พูดเอาไว้ ว่าสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนได้นั่นก็คือเขายังคงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านชีคเขาจริง ๆ และยังคงมีสิทธิ์ในตำแหน่งผู้สืบทอดโดยชอบธรรม เพียงแต่เขาที่ไม่ต้องการตำแหน่งนั้นกลับไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากว่าถ้าหากถึงเวลาจวนตัวที่ตำแหน่งท่านชีคว่างขึ้นมาจริง ๆ เขาจะปฏิเสธมันได้อย่างไรเพราะด้วยกฎประหลาดที่ถูกกำหนดขึ้นมาว่าถ้าหากท่านชีคองค์ปัจจุบันไม่อาจมีทายาทสืบทอดตำแหน่งต่อไปได้ ทุกอย่างจำต้องรีเซตใหม่โดยการกำจัดสายเลือดที่เกี่ยวข้องที่ไม่อาจดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดได้ให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหรือเป็นภัยคุกคามในตระกูลต่อไปที่จะได้ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้แทนหลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากผู้เป็นสามี ฉันถึงกับหน้าถอดสีทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามเขาไปถึงข้อสันนิษฐานในข้อตกลงที่ในวันนี้ท่านชีคชาดีฟคิดจะมาพูดกับพวกเรา“ถ้างั้นพี่ดีนคิดว่าเพราะอะไรท่านชีคถึงมาหาเราที่นี่ค่ะ” ฉันถามออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ก็อย่างแรกข่าวที่เราแต่งงานหลุดออกไปที่ประเทศนั้นในวงศ์ตระกูลของท่านชีคต่างรู้ว่าพี่เป็นลูกของเขา แต่ด้วยอำนาจของเขาที่ยังคงเข้มแข็งอยู่พี่ถึ
หลายปีผ่านไป ~~“ฮึก...ฮึก...พี่แดนไม่ไปไม่ได้เหรอลูก ฮือออออ ~~ พี่ดีน ลินไม่อยากให้ลูกไปเลย”ฉันร้องไห้หลังจากวันนี้เป็นวันที่ฉันต้องส่งลูกให้ไปอยู่กับพ่อสามีที่เป็นชีคอยู่ที่ประเทศประเทศหนึ่งของแถบตะวันออกกลาง แต่ทว่า...ลูกชายของฉันนอกจากจะไม่ฟังคำทัดทานของฉันแล้วยังดูท่าว่าอยากจะไปเสียเต็มที“แม่ครับอย่าร้องไห้ซิ ถ้าแม่คิดถึงก็บินไปพี่แดนได้นี่น่าเดี๋ยวพี่แดนให้ท่านปู่ส่งเครื่องบินส่วนตัวมารับ หรือเอาไว้ถ้าพี่แดนฝึกขับเครื่องบินเก่งแล้วเมื่อไรเดี๋ยวเอาไว้พี่แดนบินกลับมาหาดีไหมครับ” ลูกชายตัวน้อยที่บัดนี้เติบโตเริ่มเข้าสู่วัยแตกเนื้อหนุ่มแถมรูปร่างยังสูงมากกว่าฉันโอบกอดปลอบฉัน จนกลายเป็นฉันที่ซุกหน้าเข้ากับอกลูกเหมือนเด็กน้อยแทน“ฮืออออ ~~ แต่แม่ไม่อยากให้ลูกไปเลยนี่ครับ” ฉันยังกอดลูกชายแน่นโดยที่ด้านหลังของเขาได้มีร่างของผู้ชายที่เป็นพ่อสามีฉันมายืนรอรับลูกชายของฉันไป“พี่แดนก็ยังอยู่กับแม่เสมอนะครับ” ลูกชายตัวน้อยที่เคยจ้ำม่ำใช้มือที่ใหญ่ขึ้นปาดน้ำตาของฉันพร้อมกับส่งยิ้มหวานที่เหมือนกับพ่อและปู่ของเขาไม่มีผิดเพี้ยน“ไม่ต้องห่วงนะ เรารับรองได้เลยว่าเราจะดูแลแดเนียลให้ดีที่สุด” ท่า
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ~~ฉันได้รับอนุญาตจากพี่น้ำค้างให้กลับบ้านได้แล้ว และทันทีที่ถึงบ้านฉันที่มัวแต่เป็นห่วงลูกในท้องจนเพิ่งจะมานึกออกถึงเรื่องของแม่ตัวเอง“พี่ดีนค่ะ...” ฉันเรียกชื่อผู้เป็นสามีเบา ๆ ก่อนจะเสหน้าหลบเล็กน้อยด้วยความลังเลที่เกิดขึ้นว่าควรจะถามออกไปดีไหม เนื่องจากกลัวว่าเขาอาจจะยังโกรธเคืองแม่ของฉันอยู่“ว่าไงครับ...ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า หรือว่ายังรู้สึกเจ็บที่ท้องอยู่ให้พี่พาไปโรงพยาบาลเอาไหม” ส่วนพี่ดีนที่ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลเขาดูแลฉันไม่ห่างกาย แม้ว่าจะได้รับคำยืนยันจากปากหมออย่างพี่น้ำค้างแล้วว่าทั้งฉันและลูกปลอดภัยดี แต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าเขายังมีความกังวลอยู่“ปะ...เปล่าค่ะ ลินไม่เจ็บแล้วค่ะ” ฉันรีบปฏิเสธออกไป ก่อนจะทำท่าทางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆแต่ทว่า...เขาที่มักจะรู้ใจฉันดีว่าฉันคิดอะไรและกังวลใจเรื่องอะไรอยู่ ก็ได้พูดออกมาก่อน“จะถามเรื่องแม่ของลินใช่ไหม” เขาเอ่ยปากด้วยสีหน้าเหมือนกับคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไร และนั่นก็ทำให้ฉันพยักหน้ารับออกไปทันที“พี่จัดการเรียบร้อยแล้ว เขาจะไม่มายุ่งกับลินและลูกอีก” คนตัวโตพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกร้อนรน“พะ...พี่ดีนทำ
“ไม่มีเหรอ...ชิ...ดูสภาพแกตอนนี้จะมาบอกว่าไม่มีเงินใครหน้าไหนมันจะไปเชื่อ ผัวแกทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเขารวยแค่ไหน ทำไม...คนเป็นแม่อย่างฉันจะมาขอค่าน้ำนมหน่อยไม่ได้หรือไง...ห๊ะ!! ยัยลิน!!” แม่ฉันระเบิดอารมณ์ออกมาพร้อมกับตรงเข้ามาบีบแขนฉันแน่น“มันไม่เกี่ยวกับเขาเลยนะคะ เขาจะรวยมันก็เงินเขาหามา” ฉันที่ทนให้แม่บีบแขนอยู่อย่างนั้นแม้ว่ามันจะเจ็บมากก็ตาม แต่ทว่า...มันไม่ได้เจ็บไปมากกว่าที่หัวใจฉันเจ็บตอนนี้เลยและในจังหวะเดียวกันนั้นเอง พี่ริกที่วิ่งมาทางพวกเราพร้อมกับกระซิบอะไรบางอย่างกับคุณดีน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันสนใจเท่ากับผู้หญิงตรงหน้า“เกี่ยวซิ...ทำไมจะไม่เกี่ยวฉันเป็นแม่ของแก เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของแก แต่แกไม่คิดจะตามหาฉันมาร่วมงานแต่งงานของแกเลยสักนิด...เหอะ...ปล่อยให้ฉันต้องทนลำบากอยู่ได้ตั้งนาน” แม่ฉันพูดพลางมองบริษัทของคุณดีนไปทั่วด้วยแววตามีความหมายส่วนฉันที่แม้จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฉันดีใจมากแค่ไหนในแวบแรกที่ได้เจอแม่ แต่พอได้มาเห็นพฤติกรรมของท่านที่ไม่เหลือเค้าคนเป็นแม่ที่ฉันเคยรู้จัก มันก็ทำให้ฉันเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าฉันไม่ควรขุดความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่เคยมีต่อตัวท่