ภีมพลผงกศีรษะรับคำ ก่อนหันไปพยักหน้ากับรวิชาให้เดินไปด้วยกันที่รถ
เมื่อเข้ามานั่งในรถ หญิงสาวก็เหลือบมองเขา เห็นชายหนุ่มนั่งเงียบไม่พูดไม่จาก็อดก้มมองตัวเองในคืนนี้ไม่ได้ เธอแต่งแบบนี้แล้วไม่สวยหรอกหรือ เขาถึงได้ไม่ออกปากชมสักคำ
ในขณะเดียวกัน คนที่นั่งประจำอยู่หลังพวงมาลัยกลับรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เดรสที่สาวน้อยคู่หมั้นใส่วันนี้นั้น เพิ่งรู้ว่าเวลานั่งมันจะร่นขึ้นไปสูงจนเกือบถึงขาอ่อน ไหนจะหน้าอกหน้าใจที่อวบอิ่มดุนดันออกมาจากคอเสื้ออีก...
ให้ตายสิ เด็กบ้าอะไรยิ่งโตยิ่งสวย ยิ่งโตยิ่งอึ๋ม!
“อุ๊ย!”
รวิชาอุทานเบา ๆ เมื่อโทรศัพท์มือถือหลุดมือกระเด็นไปตกอยู่แทบเท้าของเขา เพราะข้อศอกของเธอกับเขาชนกันพอดีตอนเธอเปิดกระเป๋าจะหยิบมันออกมา
“เดี๋ยวอาหยิบให้จ๊ะ”
ภีมพลบอกอย่างหวังดี แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าหวือเพราะเขากำลังขับรถอยู่ เกรงว่าจะเกิดอันตรายเข้าตอนก้มควานหาโทรศัพท์ให้เธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ อาภีมกำลังขับรถอยู่ มันอันตรายเดี๋ยวน้องอายหยิบเอง”
ว่าแล้วหญิงสาวก็ค้อมตัวลงควานมือไปหาโทรศัพท์ใ
ยามมองผู้หญิงเหล่านั้น แม้พวกหล่อนจะยิ้มให้ แต่รวิชาระแวงไปหมดว่าคนพวกนี้ยิ้มเยาะอยู่หรือเปล่า แอบสมเพชเธออยู่ในใจไหม ความคิดด้านร้ายวิ่งวนอยู่ในหัวจนรวิชาชักสีหน้าบึ้งตึงไม่เก็บอารมณ์อีกต่อไป“น้องอายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ เวียนหัวไหมที่อาพาเดินไปเดินมา หรือว่าปวดขา อาพาไปพักบนห้องข้างบนก่อนไหมแล้วตอนเขาเริ่มงานค่อยลงมาอีกที”ภีมพลถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าของคนข้างกาย รวิชาพยักหน้า ตอบรับคำชวนของเขา เพราะยิ่งอยู่เธอก็ยิ่งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เวลาที่มีผู้หญิงมาก้อร่อก้อติกใส่เขาภีมพลจูงมือสาวน้อยพาเดินเข้าไปในตัวอาคาร จากนั้นจึงพาขึ้นบันไดไปชั้นสามที่เป็นห้องพักของเขา เมื่อขึ้นมาถึงจึงพาเธอไปนั่งบนเตียงและเขาก็หย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ เพราะห้องนี้ไม่มีโซฟา“เบื่อหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามอย่างอาทร เห็นใจเธอไม่น้อยเพราะงานนี้เธอแทบไม่รู้จักใครนอกจากเขาและเจ้าบ่าวเจ้าสาวของงาน เธอจึงไม่สามารถปลีกตัวไปนั่งที่ไหนได้ นอกจากเดินตามเขาต้อย ๆ ไปทั่วฮอลล์“ไม่เบื่อหรอกค่ะ” แม้ปากจะบอกอย่างนั้น แต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับต
คิ้วของรวิชาขมวดมุ่น สงสัยว่าทำไมเธอต้องด่าเขาด้วย และภีมพลก็ไม่ให้เธอสงสัยนาน เขาบีบกระชับมือนุ่มก่อนตัดสินใจเปิดปากพูดสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจออกไปทั้งหมด“อาไม่เคยรังเกียจน้องอาย ตรงกันข้าม อาอยากทำอะไร ๆ อย่างที่คนอื่นเขาเอ่อ...อย่างที่คู่หมั้นคู่อื่นเขาทำกันนั่นแหละ แต่เรายังเด็ก อายุยังไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ และอาก็สัญญาไว้กับพ่อของเราด้วยว่าจะไม่ทำอะไรเราจนกว่าเราจะเรียนจบ ทีนี้เข้าใจอาบ้างหรือยัง”รวิชาคิดตามที่ชายหนุ่มพูดแล้วทำหน้าเหมือนจะเข้าใจ ถ้าไม่เพราะคำถามสุดท้ายที่เอ่ยถามออกมา ซึ่งทำเอาภีมพลถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้“แล้วทำไมอาภีมต้องวิ่งหนีเข้าห้องน้ำด้วยล่ะคะ ที่ออฟฟิศอาภีมก็เข้าห้องน้ำ เมื่อกี้อาภีมก็วิ่งเข้าห้องน้ำอีก”“นี่จะให้อาพูดออกมาตรง ๆ ให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย ฮ่า ๆ”ภีมพลหัวเราะร่า คิดว่าถึงเวลาที่ควรเปิดอกคุยกันจริง ๆ แล้วกระมัง จะว่าไปแล้วรวิชาก็ไม่ใช่เด็กเล็กที่จะไม่รู้เรื่องเซ็กซ์ หรือความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย เพียงแต่สาวน้อยของเขายังอ่อนด้อยกับเรื่องพรรค์นี้ อีกทั้งย
งานแต่งงานของพชรกับช่อมาลีนั้นจัดว่าเป็นงานที่ไม่เหมือนงานแต่งงานสักเท่าไร เพราะเจ้าสาวก็ไม่ได้อยู่ในชุดเจ้าสาวฟูฟ่องอย่างที่ใคร ๆ เคยเห็นกัน รูปแบบของงานเหมือนการจัดปาร์ตี้งานวันเกิดเสียมากกว่า หนำซ้ำเจ้าสาวยังขึ้นไปร้องเพลง โดยมีเจ้าบ่าวเล่นกีตาร์ให้บนเวทีอีกด้วย ทำเอารวิชาถึงกับมองตาเคลิ้มตามประสาเด็กสาวช่างฝันยิ่งดึกงานก็ยิ่งคึกคักเพราะเริ่มเปิดฟลอร์ให้หนุ่มสาวได้ออกมาวาดลวดลายกัน โดยมีคู่หนุ่มสาวเปิดฟลอร์ก่อนเป็นคู่แรก ส่วนผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุส่วนมากก็มักกลับกันไปตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่มภีมพลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ห้าทุ่มนิด ๆ แล้ว เขาต้องพารวิชาไปส่งให้ถึงบ้านก่อนเที่ยงคืนตามที่รับปากกับแม่ของเธอไว้ ครั้นพอเหลือบมองคนข้างกายก็เห็นยังคงนั่งตาใส สนุกสนานกับบรรยากาศของงานอยู่ แม้ใจจะไม่อยากให้เธอกลับตอนนี้เพราะดูท่าทางเจ้าตัวยังอยากอยู่จนงานเลิก แต่เขาก็ต้องทำตามสัญญา“เรากลับบ้านกันดีกว่าไหม” พอเขาพูดจบ รวิชาก็หันมามองด้วยแววตาเว้าวอนพร้อมกับโอดเสียงอ่อย“ทำไมกลับเร็วนักล่ะคะ ยังไม่เที่ยงคืนเลยน้องอายยังไม่อยากกลับเลยค่ะอาภีม”
“แน่นอนสิยะ ไม่แซ่บจริงทำไม่ได้หรอกนะยะสีบรอนซ์ทองเนี่ย ก็วันนั้นที่ฉันไปนั่งเฝ้าหล่อนทำสีผม ฉันก็เลยนึกเฮี้ยนอยากทำสีนี้ขึ้นมาน่ะสิ วันต่อมาฉันก็เลยให้ช่างเขาจัดให้เสียเลย เป็นไงยะ ดูเลอค่ามากเลยใช่ไหมล่ะ อุ๊ยตายแล้ว! แกดูรุ่นพี่คนนั้นสิอาย แกหันเรดาห์ของแกไปที่สองนาฬิกาด่วน! ผู้ชายคนนั้นงานประณีตมากเลยเนอะแก” สกลธีพูดจ้อไม่หยุดก่อนจะหันไปสนใจชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้า ห่างออกไปประมาณสิบห้าเมตรรวิชามองตามทิศทางที่เพื่อนบอกแล้วก็ร้องอ๋อ“อ๋อ พี่ชินทร์ พี่ปีสามน่ะ คณะเดียวกับพวกเรานั่นแหละ”ชายหนุ่มคนนั้นคือเตชินทร์ คนที่เคยช่วยเธอไว้เมื่อครั้งที่ถูกกลวิชรก่อกวน“นี่หล่อนไปจี่กับเขาตั้งแต่เมื่อไรยะยายคุณหนูอาย” สกลธีหันขวับมาถามเพื่อนเสียงเขียว รวิชาเองก็ฟาดแขนของเพื่อนทีหนึ่งแต่ไม่แรงมากนัก ก่อนจะพูดแก้ใหม่ว่า“รู้จักมักจี่ พูดให้มันครบ ๆ หน่อยแกนี่... ก็พี่คนนี้ไงที่มาช่วยฉันไว้ตอนที่ฉันโดนไอ้พี่วิชรมาก่อกวน”“อ๋อ คนนี้เองหรอกหรือ อุ๊ยตาย ถ้าฉันแกล้งเป็นลมตอนนี้เขาจะวิ่
“เพื่อนพี่ให้ไปหาที่ร้านกาแฟหน้ามอ ถ้างั้นพี่ขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วตอนหมดคาบบ่ายพี่จะแวะมาหาใหม่” ประโยคท้ายนั้นเหมือนจงใจพูดกับ อารดาโดยเฉพาะ เพราะชายหนุ่มหันไปทางเธอคนเดียว ก่อนจะลุกเดินออกไปคล้อยหลังเขาแล้ว อารดาถึงได้มองตามแผ่นหลังของคนที่ก้าวห่างออกไปเรื่อย ๆ ด้วยสายตาละห้อย“ทีตอนนี้ล่ะมาทำตาละห้อยตามเขา อีตอนเขาอยู่ก็เอาแต่ก้มหน้างุด ๆ ทำยังกับว่าแค่มองเขาแล้วหล่อนจะป่องได้ยังงั้นแหละยายอุ้ยบ้า” สกลธีอดแขวะใส่เพื่อนสาวไม่ได้ที่ทำเล่นตัวไม่เข้าเรื่อง“เขาก็จีบแกมาราธอนดีเนอะ ตั้งแต่เทอมที่แล้วจนกระทั่งพี่เขาขึ้นปีสี่ ไม่คิดจะใจอ่อนบ้างหรืออุ้ย สงสารพี่เขาออก” รวิชาอดเห็นใจรุ่นพี่หนุ่มไม่ได้ เพราะเห็นเพื่อนสาวของตัวเองตั้งท่าแต่จะหนีเขาอย่างเดียว“เดี๋ยวเขาก็เบื่อไปเอง อีกหน่อยพี่ชินทร์ก็ต้องจบออกไป มีงานมีการทำ ได้พบเจอคนอีกเยอะแยะ เขาไม่มามัวสนใจคนอย่างฉันหรอก”อารดาพูดอย่างที่ใจคิด เธอไม่อยากเอาหัวใจไปพัวพันกับเขานัก เพราะความแตกต่างกันระหว่างเธอกับเขามันราวฟ้ากับดิน โดยเฉพาะเรื่
หลังจากจอดรถแล้ว รวิชาก็เดินเข้าบ้านหลังใหญ่อย่างคุ้นเคยพร้อมกับเจ้าของบ้าน ชายหนุ่มพาเธอไปยังห้องทำงานแล้วโอบบ่าให้นั่งลงบนโซฟาตัวยาว ก่อนเขาจะหย่อนกายนั่งลงตาม“อาภีมมีอะไรจะคุยกับน้องอายหรือเปล่าคะ”ดูจากสีหน้าและแววตาของภีมพล รวิชาก็รู้แล้วว่าเขามีเรื่องหนักใจบางอย่าง และเรื่องนั้นน่าจะเกี่ยวพันมาถึงเธอด้วยแน่นอน เพราะดูเขาลำบากใจตอนที่เธอเอ่ยปากถามภีมพลสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ถ่วงเวลาออกไปแม้สักเล็กน้อยก็ยังดี การที่ต้องบอกข่าวร้ายกับใครนั้นถือเป็นเรื่องยากสำหรับเขา และมันยิ่งยากขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อใครที่ว่านั้นก็คือคนตรงหน้าเขานี่เอง“น้องอายครับ อามีข่าวจะบอก แต่ก่อนอื่นน้องอายต้องสัญญากับอาก่อนได้ไหมครับว่าน้องอายฟังแล้วต้องตั้งสติให้ดี รับปากอาได้ไหมครับ” สีหน้าและน้ำเสียงเคร่งเครียดนั้นทำเอาคนฟังเริ่มใจไม่ดี แต่ก็พยักหน้ารับปากเขา“คือว่า...ประมาณช่วงเที่ยงที่โรงงานของน้องอายเกิดไฟไหม้...”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรต่อ รวิชาก็เบิกตากว้างแล้วถามหน้าตื่นทันที“หา! ไฟไหม้ แล้วมีใครเป็นอะไ
“หนูอาย มาหาป้ามาลูก” ภาวิณีเรียกให้หญิงสาวที่รั้งตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้เข้าไปหา รวิชาเดินเข่าเข้าไปใกล้ ๆ เมื่อถึงจุดที่เอื้อมมือถึง มารดาของภีมพลก็ตวัดแขนขึ้นโอบหญิงสาวไว้ในอ้อมกอดพร้อมกับพูดจาปลุกปลอบ“ป้าเสียใจด้วยนะลูกนะ คิดเสียว่าพ่อกับแม่ไปสบายแล้ว...ไม่ร้องนะลูก หนูยังมีพี่ภีมยังมีลุงกับป้าอยู่นะจ๊ะ” ปลอบคนตรงหน้าไป แต่คนพูดก็พานจะร้องไห้ตามไปด้วย “หนูไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะลูก หนูมาเป็นลูกสาวของป้าแล้ว เราคือครอบครัวเดียวกันนะลูกนะ”ภาวินียกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกุมใบหน้านั้นไว้ด้วยความเอ็นดูระคนสงสาร“หนูอายเรียกลุงกับป้าว่าพ่อกับแม่นะจ๊ะ แม่จะดีใจมากเลยถ้าหนูยอมเรียกอย่างนั้น ไหนลองเรียกสิลูก”“ค่ะ คุณแม่คุณพ่อ”เสียงสั่นเจือสะอื้นของรวิชายามเรียกบิดามารดาของเขานั้น ทำให้ภีมพลต้องคลี่ยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ รู้สึกได้ถึงสายสัมพันธ์ของความเป็นครอบครัวไหลอาบไปทั่วทั้งใจดีใจที่บิดามารดาของเขารักและเอ็นดูรวิชาไม่ต่างจากลูกสาวคนหนึ่ง และด
พชรพยักพเยิดไปทางศาลาที่กำลังมีพิธีสวดศพอยู่ แต่ละคนที่เขาเห็นเข้าไปพูดกับน้องอายมีแต่ไต่ถามเรื่องพวกนี้ทั้งนั้น“มันก็จริงของแก”ภีมพลมองตามสายตาของเพื่อนแล้วก็นึกเป็นห่วงสาวน้อยของตนเหลือเกิน เธอเหมือนตัวคนเดียวในโลกใบนี้เลยก็ว่าได้ มีเพียงแม่นมชราเท่านั้นที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่ ถ้าหากเขาไม่ได้หมั้นกับเธอ แล้ววันดีคืนดีเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา ไม่อยากจะคิดเลยว่ารวิชาจะเคว้งคว้างขนาดไหน“จะทำอะไรก็รีบทำเข้า บอกตามตรงว่าเห็นสายตาของนายบุญทรงแล้วฉันไม่ค่อยไว้วางใจว่ะ ไม่รู้ว่าจะเสี้ยมให้ลูกชายกะโหลกกะลานั่นมาทำอะไรอีก”พชรรู้เรื่องราวของภีมพลทุกอย่าง เพราะเวลามีปัญหาทั้งสองคนก็มักจะช่วยกันขบคิดและหาทางแก้ไขด้วยกันเสมอ“อืม คืนนี้ฉันจะลองคุยกับน้องอายดู”ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เพราะเท่าที่ดูปัญหาที่ดาหน้ากันเข้ามานั้นก็เกี่ยวพันกับข้อกฎหมายด้วยแทบทั้งสิ้น แต่เพราะรวิชายังไม่บรรลุนิติภาวะจึงยังจัดการอะไรด้วยตนเองไม่ได้ บรรดาริ้นไรจึงเข้ามารุมเกาะหญิงสาวกันอย่างหน้าไม่อาย แต่ตร
พชรพยักพเยิดไปทางศาลาที่กำลังมีพิธีสวดศพอยู่ แต่ละคนที่เขาเห็นเข้าไปพูดกับน้องอายมีแต่ไต่ถามเรื่องพวกนี้ทั้งนั้น“มันก็จริงของแก”ภีมพลมองตามสายตาของเพื่อนแล้วก็นึกเป็นห่วงสาวน้อยของตนเหลือเกิน เธอเหมือนตัวคนเดียวในโลกใบนี้เลยก็ว่าได้ มีเพียงแม่นมชราเท่านั้นที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่ ถ้าหากเขาไม่ได้หมั้นกับเธอ แล้ววันดีคืนดีเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา ไม่อยากจะคิดเลยว่ารวิชาจะเคว้งคว้างขนาดไหน“จะทำอะไรก็รีบทำเข้า บอกตามตรงว่าเห็นสายตาของนายบุญทรงแล้วฉันไม่ค่อยไว้วางใจว่ะ ไม่รู้ว่าจะเสี้ยมให้ลูกชายกะโหลกกะลานั่นมาทำอะไรอีก”พชรรู้เรื่องราวของภีมพลทุกอย่าง เพราะเวลามีปัญหาทั้งสองคนก็มักจะช่วยกันขบคิดและหาทางแก้ไขด้วยกันเสมอ“อืม คืนนี้ฉันจะลองคุยกับน้องอายดู”ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เพราะเท่าที่ดูปัญหาที่ดาหน้ากันเข้ามานั้นก็เกี่ยวพันกับข้อกฎหมายด้วยแทบทั้งสิ้น แต่เพราะรวิชายังไม่บรรลุนิติภาวะจึงยังจัดการอะไรด้วยตนเองไม่ได้ บรรดาริ้นไรจึงเข้ามารุมเกาะหญิงสาวกันอย่างหน้าไม่อาย แต่ตร
“หนูอาย มาหาป้ามาลูก” ภาวิณีเรียกให้หญิงสาวที่รั้งตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้เข้าไปหา รวิชาเดินเข่าเข้าไปใกล้ ๆ เมื่อถึงจุดที่เอื้อมมือถึง มารดาของภีมพลก็ตวัดแขนขึ้นโอบหญิงสาวไว้ในอ้อมกอดพร้อมกับพูดจาปลุกปลอบ“ป้าเสียใจด้วยนะลูกนะ คิดเสียว่าพ่อกับแม่ไปสบายแล้ว...ไม่ร้องนะลูก หนูยังมีพี่ภีมยังมีลุงกับป้าอยู่นะจ๊ะ” ปลอบคนตรงหน้าไป แต่คนพูดก็พานจะร้องไห้ตามไปด้วย “หนูไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะลูก หนูมาเป็นลูกสาวของป้าแล้ว เราคือครอบครัวเดียวกันนะลูกนะ”ภาวินียกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกุมใบหน้านั้นไว้ด้วยความเอ็นดูระคนสงสาร“หนูอายเรียกลุงกับป้าว่าพ่อกับแม่นะจ๊ะ แม่จะดีใจมากเลยถ้าหนูยอมเรียกอย่างนั้น ไหนลองเรียกสิลูก”“ค่ะ คุณแม่คุณพ่อ”เสียงสั่นเจือสะอื้นของรวิชายามเรียกบิดามารดาของเขานั้น ทำให้ภีมพลต้องคลี่ยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ รู้สึกได้ถึงสายสัมพันธ์ของความเป็นครอบครัวไหลอาบไปทั่วทั้งใจดีใจที่บิดามารดาของเขารักและเอ็นดูรวิชาไม่ต่างจากลูกสาวคนหนึ่ง และด
หลังจากจอดรถแล้ว รวิชาก็เดินเข้าบ้านหลังใหญ่อย่างคุ้นเคยพร้อมกับเจ้าของบ้าน ชายหนุ่มพาเธอไปยังห้องทำงานแล้วโอบบ่าให้นั่งลงบนโซฟาตัวยาว ก่อนเขาจะหย่อนกายนั่งลงตาม“อาภีมมีอะไรจะคุยกับน้องอายหรือเปล่าคะ”ดูจากสีหน้าและแววตาของภีมพล รวิชาก็รู้แล้วว่าเขามีเรื่องหนักใจบางอย่าง และเรื่องนั้นน่าจะเกี่ยวพันมาถึงเธอด้วยแน่นอน เพราะดูเขาลำบากใจตอนที่เธอเอ่ยปากถามภีมพลสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ถ่วงเวลาออกไปแม้สักเล็กน้อยก็ยังดี การที่ต้องบอกข่าวร้ายกับใครนั้นถือเป็นเรื่องยากสำหรับเขา และมันยิ่งยากขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อใครที่ว่านั้นก็คือคนตรงหน้าเขานี่เอง“น้องอายครับ อามีข่าวจะบอก แต่ก่อนอื่นน้องอายต้องสัญญากับอาก่อนได้ไหมครับว่าน้องอายฟังแล้วต้องตั้งสติให้ดี รับปากอาได้ไหมครับ” สีหน้าและน้ำเสียงเคร่งเครียดนั้นทำเอาคนฟังเริ่มใจไม่ดี แต่ก็พยักหน้ารับปากเขา“คือว่า...ประมาณช่วงเที่ยงที่โรงงานของน้องอายเกิดไฟไหม้...”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรต่อ รวิชาก็เบิกตากว้างแล้วถามหน้าตื่นทันที“หา! ไฟไหม้ แล้วมีใครเป็นอะไ
“เพื่อนพี่ให้ไปหาที่ร้านกาแฟหน้ามอ ถ้างั้นพี่ขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วตอนหมดคาบบ่ายพี่จะแวะมาหาใหม่” ประโยคท้ายนั้นเหมือนจงใจพูดกับ อารดาโดยเฉพาะ เพราะชายหนุ่มหันไปทางเธอคนเดียว ก่อนจะลุกเดินออกไปคล้อยหลังเขาแล้ว อารดาถึงได้มองตามแผ่นหลังของคนที่ก้าวห่างออกไปเรื่อย ๆ ด้วยสายตาละห้อย“ทีตอนนี้ล่ะมาทำตาละห้อยตามเขา อีตอนเขาอยู่ก็เอาแต่ก้มหน้างุด ๆ ทำยังกับว่าแค่มองเขาแล้วหล่อนจะป่องได้ยังงั้นแหละยายอุ้ยบ้า” สกลธีอดแขวะใส่เพื่อนสาวไม่ได้ที่ทำเล่นตัวไม่เข้าเรื่อง“เขาก็จีบแกมาราธอนดีเนอะ ตั้งแต่เทอมที่แล้วจนกระทั่งพี่เขาขึ้นปีสี่ ไม่คิดจะใจอ่อนบ้างหรืออุ้ย สงสารพี่เขาออก” รวิชาอดเห็นใจรุ่นพี่หนุ่มไม่ได้ เพราะเห็นเพื่อนสาวของตัวเองตั้งท่าแต่จะหนีเขาอย่างเดียว“เดี๋ยวเขาก็เบื่อไปเอง อีกหน่อยพี่ชินทร์ก็ต้องจบออกไป มีงานมีการทำ ได้พบเจอคนอีกเยอะแยะ เขาไม่มามัวสนใจคนอย่างฉันหรอก”อารดาพูดอย่างที่ใจคิด เธอไม่อยากเอาหัวใจไปพัวพันกับเขานัก เพราะความแตกต่างกันระหว่างเธอกับเขามันราวฟ้ากับดิน โดยเฉพาะเรื่
“แน่นอนสิยะ ไม่แซ่บจริงทำไม่ได้หรอกนะยะสีบรอนซ์ทองเนี่ย ก็วันนั้นที่ฉันไปนั่งเฝ้าหล่อนทำสีผม ฉันก็เลยนึกเฮี้ยนอยากทำสีนี้ขึ้นมาน่ะสิ วันต่อมาฉันก็เลยให้ช่างเขาจัดให้เสียเลย เป็นไงยะ ดูเลอค่ามากเลยใช่ไหมล่ะ อุ๊ยตายแล้ว! แกดูรุ่นพี่คนนั้นสิอาย แกหันเรดาห์ของแกไปที่สองนาฬิกาด่วน! ผู้ชายคนนั้นงานประณีตมากเลยเนอะแก” สกลธีพูดจ้อไม่หยุดก่อนจะหันไปสนใจชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้า ห่างออกไปประมาณสิบห้าเมตรรวิชามองตามทิศทางที่เพื่อนบอกแล้วก็ร้องอ๋อ“อ๋อ พี่ชินทร์ พี่ปีสามน่ะ คณะเดียวกับพวกเรานั่นแหละ”ชายหนุ่มคนนั้นคือเตชินทร์ คนที่เคยช่วยเธอไว้เมื่อครั้งที่ถูกกลวิชรก่อกวน“นี่หล่อนไปจี่กับเขาตั้งแต่เมื่อไรยะยายคุณหนูอาย” สกลธีหันขวับมาถามเพื่อนเสียงเขียว รวิชาเองก็ฟาดแขนของเพื่อนทีหนึ่งแต่ไม่แรงมากนัก ก่อนจะพูดแก้ใหม่ว่า“รู้จักมักจี่ พูดให้มันครบ ๆ หน่อยแกนี่... ก็พี่คนนี้ไงที่มาช่วยฉันไว้ตอนที่ฉันโดนไอ้พี่วิชรมาก่อกวน”“อ๋อ คนนี้เองหรอกหรือ อุ๊ยตาย ถ้าฉันแกล้งเป็นลมตอนนี้เขาจะวิ่
งานแต่งงานของพชรกับช่อมาลีนั้นจัดว่าเป็นงานที่ไม่เหมือนงานแต่งงานสักเท่าไร เพราะเจ้าสาวก็ไม่ได้อยู่ในชุดเจ้าสาวฟูฟ่องอย่างที่ใคร ๆ เคยเห็นกัน รูปแบบของงานเหมือนการจัดปาร์ตี้งานวันเกิดเสียมากกว่า หนำซ้ำเจ้าสาวยังขึ้นไปร้องเพลง โดยมีเจ้าบ่าวเล่นกีตาร์ให้บนเวทีอีกด้วย ทำเอารวิชาถึงกับมองตาเคลิ้มตามประสาเด็กสาวช่างฝันยิ่งดึกงานก็ยิ่งคึกคักเพราะเริ่มเปิดฟลอร์ให้หนุ่มสาวได้ออกมาวาดลวดลายกัน โดยมีคู่หนุ่มสาวเปิดฟลอร์ก่อนเป็นคู่แรก ส่วนผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุส่วนมากก็มักกลับกันไปตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่มภีมพลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ห้าทุ่มนิด ๆ แล้ว เขาต้องพารวิชาไปส่งให้ถึงบ้านก่อนเที่ยงคืนตามที่รับปากกับแม่ของเธอไว้ ครั้นพอเหลือบมองคนข้างกายก็เห็นยังคงนั่งตาใส สนุกสนานกับบรรยากาศของงานอยู่ แม้ใจจะไม่อยากให้เธอกลับตอนนี้เพราะดูท่าทางเจ้าตัวยังอยากอยู่จนงานเลิก แต่เขาก็ต้องทำตามสัญญา“เรากลับบ้านกันดีกว่าไหม” พอเขาพูดจบ รวิชาก็หันมามองด้วยแววตาเว้าวอนพร้อมกับโอดเสียงอ่อย“ทำไมกลับเร็วนักล่ะคะ ยังไม่เที่ยงคืนเลยน้องอายยังไม่อยากกลับเลยค่ะอาภีม”
คิ้วของรวิชาขมวดมุ่น สงสัยว่าทำไมเธอต้องด่าเขาด้วย และภีมพลก็ไม่ให้เธอสงสัยนาน เขาบีบกระชับมือนุ่มก่อนตัดสินใจเปิดปากพูดสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจออกไปทั้งหมด“อาไม่เคยรังเกียจน้องอาย ตรงกันข้าม อาอยากทำอะไร ๆ อย่างที่คนอื่นเขาเอ่อ...อย่างที่คู่หมั้นคู่อื่นเขาทำกันนั่นแหละ แต่เรายังเด็ก อายุยังไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ และอาก็สัญญาไว้กับพ่อของเราด้วยว่าจะไม่ทำอะไรเราจนกว่าเราจะเรียนจบ ทีนี้เข้าใจอาบ้างหรือยัง”รวิชาคิดตามที่ชายหนุ่มพูดแล้วทำหน้าเหมือนจะเข้าใจ ถ้าไม่เพราะคำถามสุดท้ายที่เอ่ยถามออกมา ซึ่งทำเอาภีมพลถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้“แล้วทำไมอาภีมต้องวิ่งหนีเข้าห้องน้ำด้วยล่ะคะ ที่ออฟฟิศอาภีมก็เข้าห้องน้ำ เมื่อกี้อาภีมก็วิ่งเข้าห้องน้ำอีก”“นี่จะให้อาพูดออกมาตรง ๆ ให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย ฮ่า ๆ”ภีมพลหัวเราะร่า คิดว่าถึงเวลาที่ควรเปิดอกคุยกันจริง ๆ แล้วกระมัง จะว่าไปแล้วรวิชาก็ไม่ใช่เด็กเล็กที่จะไม่รู้เรื่องเซ็กซ์ หรือความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย เพียงแต่สาวน้อยของเขายังอ่อนด้อยกับเรื่องพรรค์นี้ อีกทั้งย
ยามมองผู้หญิงเหล่านั้น แม้พวกหล่อนจะยิ้มให้ แต่รวิชาระแวงไปหมดว่าคนพวกนี้ยิ้มเยาะอยู่หรือเปล่า แอบสมเพชเธออยู่ในใจไหม ความคิดด้านร้ายวิ่งวนอยู่ในหัวจนรวิชาชักสีหน้าบึ้งตึงไม่เก็บอารมณ์อีกต่อไป“น้องอายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ เวียนหัวไหมที่อาพาเดินไปเดินมา หรือว่าปวดขา อาพาไปพักบนห้องข้างบนก่อนไหมแล้วตอนเขาเริ่มงานค่อยลงมาอีกที”ภีมพลถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าของคนข้างกาย รวิชาพยักหน้า ตอบรับคำชวนของเขา เพราะยิ่งอยู่เธอก็ยิ่งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เวลาที่มีผู้หญิงมาก้อร่อก้อติกใส่เขาภีมพลจูงมือสาวน้อยพาเดินเข้าไปในตัวอาคาร จากนั้นจึงพาขึ้นบันไดไปชั้นสามที่เป็นห้องพักของเขา เมื่อขึ้นมาถึงจึงพาเธอไปนั่งบนเตียงและเขาก็หย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ เพราะห้องนี้ไม่มีโซฟา“เบื่อหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามอย่างอาทร เห็นใจเธอไม่น้อยเพราะงานนี้เธอแทบไม่รู้จักใครนอกจากเขาและเจ้าบ่าวเจ้าสาวของงาน เธอจึงไม่สามารถปลีกตัวไปนั่งที่ไหนได้ นอกจากเดินตามเขาต้อย ๆ ไปทั่วฮอลล์“ไม่เบื่อหรอกค่ะ” แม้ปากจะบอกอย่างนั้น แต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับต
ภีมพลผงกศีรษะรับคำ ก่อนหันไปพยักหน้ากับรวิชาให้เดินไปด้วยกันที่รถเมื่อเข้ามานั่งในรถ หญิงสาวก็เหลือบมองเขา เห็นชายหนุ่มนั่งเงียบไม่พูดไม่จาก็อดก้มมองตัวเองในคืนนี้ไม่ได้ เธอแต่งแบบนี้แล้วไม่สวยหรอกหรือ เขาถึงได้ไม่ออกปากชมสักคำในขณะเดียวกัน คนที่นั่งประจำอยู่หลังพวงมาลัยกลับรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เดรสที่สาวน้อยคู่หมั้นใส่วันนี้นั้น เพิ่งรู้ว่าเวลานั่งมันจะร่นขึ้นไปสูงจนเกือบถึงขาอ่อน ไหนจะหน้าอกหน้าใจที่อวบอิ่มดุนดันออกมาจากคอเสื้ออีก...ให้ตายสิ เด็กบ้าอะไรยิ่งโตยิ่งสวย ยิ่งโตยิ่งอึ๋ม!“อุ๊ย!”รวิชาอุทานเบา ๆ เมื่อโทรศัพท์มือถือหลุดมือกระเด็นไปตกอยู่แทบเท้าของเขา เพราะข้อศอกของเธอกับเขาชนกันพอดีตอนเธอเปิดกระเป๋าจะหยิบมันออกมา“เดี๋ยวอาหยิบให้จ๊ะ”ภีมพลบอกอย่างหวังดี แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าหวือเพราะเขากำลังขับรถอยู่ เกรงว่าจะเกิดอันตรายเข้าตอนก้มควานหาโทรศัพท์ให้เธอ“ไม่เป็นไรค่ะ อาภีมกำลังขับรถอยู่ มันอันตรายเดี๋ยวน้องอายหยิบเอง”ว่าแล้วหญิงสาวก็ค้อมตัวลงควานมือไปหาโทรศัพท์ใ