แต่เมื่อมองสีหน้ามีความสุขของจัวเซียนอวิ๋น หลิงอี้หรานก็ลอบถอนใจและหยิบอาหารมาไว้บนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเมื่อคิดเรื่องนี้ หากว่าเธอส่งอาหารได้มากขึ้น พี่จัวก็จะได้เงินมากขึ้นและจะสามารถซื้อเครื่องช่วยฟังให้เสี่ยวเหยียนได้เร็วขึ้นพอคิดถึงเสี่ยวเหยียน หลิงอี้หรานก็อดรู้สึกหดหู่ในใจไม่ได้ เด็กน่ารักขนาดนี้ต้องมามีปมด้อย และตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเห็นพ่อของเสี่ยวเหยียนเลยเสี่ยวเหยียนเองก็ใช้นามสกุลจัว ดังนั้นเธอก็เลยพอเดาได้นิดหน่อย บางทีพี่จัวอาจจะเลี้ยงลูกมาเพียงลำพังหากว่าเป็นอย่างนั้น แน่นอนว่าก็ต้องยากขึ้นขณะที่ขี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า หลิงอี้หรานก็มาถึงประตูของตึกอี้กรุ๊ป มียามหลายคนที่คุ้นเคยกับเธอแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นหลิงอี้หรานมา ก็รีบกระตือรือร้นรับกล่องอาหารไปไว้บนรถเข็นแล้วก็ช่วยเข็นเข้าไปในตึก ไปจนถึงลิฟต์ เขายังอุตส่าห์ช่วยกดลิฟต์ให้อย่างมีน้ำใจเหมือนกับที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ เขาเองก็ทักทายหลิงอี้หรานด้วยรอยยิ้มและถึงขนาดโค้งคำนับแสดงความเคารพเธออำนาจเช่นนี้อาจจะมีแค่หลิงอี้หรานคนส่งอาหารเท่านั้นที่มีได้และเธอก็รู้ดีว่าทั้งหมดเป็นเพราะอี้จิ่นหลีประตูลิฟต์เปิดออก
หลิงอี้หรานเม้มปากไม่รู้ว่าตอนนี้จะตอบว่าอะไรดี เธอก็เลยทำเพียงเปิดกล่องอาหารกลางวันออกแล้วเริ่มกินสายตาของอี้จิ่นหลีจับจ้องอยู่ที่หลิงอี้หราน การที่มีเธอมาอยู่ข้างกายเขาครั้งแล้วครั้งเล่าดูเหมือนการเป็นเรื่องที่คุ้นชินไปแล้วเขาไม่อยากให้เธอไป เขาแค่คิดหาวิธีที่จะทำให้เธอยอมเต็มใจอยู่กับเขาครั้งหนึ่ง แม้เพียงการได้กินข้าวกลางวันก็เป็นความคาดหมายของเขา การที่ได้กินข้าวกับเธอแบบนี้ แม้ว่าบางครั้งจะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ทำให้เขามีความสุขพอมาคิดเรื่องนี้ บางทีช่วงที่เขาเป็น “จิน” นั้นเป็นวันคืนที่มีความสุขที่สุด อย่างน้อยตอนนั้นเธอก็จะคุยและหัวเราะกับเขา ปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นคนธรรมดา และช่วยเขาเช็ดมืออย่างรักใคร่ ตอนที่เช็ดผมให้เขาเธอก็จะเรียกเขาว่า “จิน” ครั้งแล้วครั้งเล่าจิน… จิน…เธอรู้ไหมว่าเขาอยากได้ยินเธอเรียกเขาแบบนี้มากแค่ไหน มันเหมือนว่าเธอเรียกสมาชิกครอบครัวคนสำคัญเมื่อหลิงอี้หรานเงยหน้าขึ้นหลังจากที่กินเสร็จ สายตาเธอก็ประสานเข้ากับอี้จิ่นหลีพอดีเขากำลังมองเธอและยังไม่ได้กินอาหารกลางวันในมือเลย หรือพูดอีกอย่างก็คือเขามองเธอกินอาหารตั้งแต่แรกจนเธอกินเสร็จอย่างนั้นเหร
”ขอบคุณค่ะ” หลิงอี้หรานหยิบหนังสือมาพร้อมบอก“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ” จัวเซียนอวิ๋นบอก “เสี่ยวเหยียนไม่ค่อยคุยกับคนแปลกหน้า เพราะว่าเขาไม่ได้ยินเสียงและพูดไม่ได้ คนอื่นก็ไม่ค่อยอยากจะคุยกับเขาด้วย ถ้าเธอเต็มใจจะเรียนภาษามือเพื่อสื่อสารกับเขา ฉันก็ตั้งตารอเลยล่ะ”“เสี่ยวเหยียนน่ารักมากค่ะ แล้วเขาก็ดูเหมือนจะชอบฉันมาก ฉันคิดว่านี่เป็นพรหมลิขิตของพวกเรา”พรหมลิขิตเหรอ… จัวเซียนอวิ๋นขยับปาก แต่สุดท้ายก็บอกแค่ว่า “ใช่ บางที… นี่อาจจะเป็นพรหมลิขิตจริง ๆ”“พี่จัว งั้นฉันไปก่อนนะคะ” หลิงอี้หรานบอก“ได้สิ เจอกันพรุ่งนี้นะ” จัวเซียนอวิ๋นรอให้หลิงอี้หรานกลับไป จากนั้นก็ปิดร้านแล้วกลับเข้ามาที่ห้องเล็ก ๆ ด้านหลังร้าน เธอมองลูกชายที่กำลังนอนหลับโดยจับมือแม่พี่จัวเอาไว้ เธอตบที่ตัวเด็กน้อยเบา ๆ“หลับเหรอ?” จัวเซียนอวิ๋นถามเบา ๆ แม้เธอจะรู้ว่าลูกชายไม่ได้ยิน แต่เธอก็ลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัว“เพิ่งหลับน่ะ” แม่พี่จัวบอก “หลิงอี้หรานอยากเรียนภาษามือจริง ๆ เหรอ?”“ก็น่าจะจริงนะคะ เมื่อกี้หนูเอาหนังสือภาษามือให้เธอ เธอก็ขอบคุณหนูด้วย” จัวเซียนอวิ๋นบอก“แม่ไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นคนดีแบบนี้ แม่ว่าช่วงน
ตอนนี้ในห้องพักผู้ป่วยเงียบสนิท ไม่มีใครพูดอะไร หลิงอี้หรานแค่รู้สึกว่านายท่านอี้นั้นมองเธออย่างจริงจัง แววตาของเขาก็แฝงความเกลียดชังและรังเกียจข้าง ๆ นายท่านอี้นอกจากคนดูแลแล้ว ก็ยังมีชายคนที่พาเธอมาที่นี่และบอกว่าเป็นเลขาส่วนตัวของนายท่านอี้“เธอรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงสั่งให้คนไปพาเธอมาที่นี่?” ในที่สุดหลังผ่านไปพักใหญ่เสียงของนายท่านอี้ก้ทำลายความเงียบ“รู้ค่ะ” หลิงอี้หรานบอก “เพราะว่าอี้จิ่นหลี” ตลอดทางที่มาที่นี่หากบอกว่าเธอไม่วิตกหรือกังวลเลยก็คงเป็นการโกหก แต่เมื่อเธอมาที่นี่ด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อเธอเห็นนายท่านอี้และสายตารังเกียจของเขา เธอก็สงบลงได้อีกอย่างเธอก็เคยเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้มาก ตอนนี้มันจะแย่สักแค่ไหนกันเชียวนายท่านอี้แค่นเสียง “รู้สินะ”“คุณต้องการคุยอะไรเหรอคะ?” หลิงอี้หรานถามตรง ๆ บางทีอาจจะเพราะว่าเธอเหนื่อยหลังจากที่ต้องเจอเรื่องมามากมาย เธอไม่อยากจะพูดจาอ้อมค้อมอีกแล้ว“ฉันไม่คิดว่าเขาจะให้เธออยู่ที่คฤหาสน์อี้ ผู้หญิงอย่างเธอคิดว่า ตัวเองจะเข้ามาในตระกูลอี้ได้อย่างนั้นหรือ” นายท่านอี้พูดเย็นชาหลิงอี้หรานเข้าใจว่าตอนนี้ชายชราเจตนาที่จะแสดงอำนาจขอ
ตอนที่เธอเรียนกฎหมาย เธอหวังว่าจะสามารถมอบความยุติธรรมได้ไม่ใช่เหรอ? แต่ตอนนี้เธอหาความยุติธรรมให้ตัวเองยังไม่ได้“ฉลาดดีนี่” ชายคนนั้นหัวเราะมือของหลิงอี้หรานที่อยู่ข้างตัวกำเป็นหมัดแน่น พร้อมที่จะโดนทำร้าย สรุปมันก็แค่นี้เมื่อได้เห็นว่ามีดของอีกฝ่ายใกล้ใบหน้าเข้ามา ตัวเธอก็ยิ่งสั่นสะท้านอย่างแรง ทันใดนั้นเธอก็ก้มตัวลงแล้วพุ่งผ่านใต้แขนของชายคนนั้นไป จากนั้นก็พุ่งไปที่ประตูห้องแต่เมื่อเปิดประตูออกไปเธอก็โดนบอดี้การ์ดสองคนที่เฝ้าประตูจับตัวเอาไว้ชายคนนั้นเดินเข้ามาหาอี้หรานและพูดประชดว่า “ฉันคิดว่าเธอจะกล้ามาก กลายเป็นว่าเธอก็แค่วางแผนจะหนี แต่ก็เหมือนที่บอกนั่นแหละ เธอจะหนีไปไหนได้”ใช่ เธอหนีไม่ได้ แต่แม้เธอจะเป็นเหมือนเนื้อบนเขียงที่ต้องอาศัยความเมตตาจากคนอื่น เธอก็อยากให้ทางเลือกในการต่อต้านกับตัวเองบ้างหลิงอี้หรานโดนลากกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เมื่อเธอเห็นว่ามีดใกล้จะมากรีดหน้าเธอแล้วคราวนี้ ประตูห้องก็ถูกเตะเปิดออกมีเสียงคนเดินเข้ามาและเดินมาหาหลิงอี้หราน จังหวะนั้นมีดก็โดนอีกคนฉวยไป และเลขาก็โดนเขาเตะกระเด็น“คุณปู่ ปู่นี่ไม่อดทนซะเลยนะ” อี้จิ่นหลีเล่นกับมีดขณะที่
ในอดีต หากเป็นวันนี้ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน แม้ว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น จิ่นหลีจะไม่ออกจากคฤหาสน์อี้ เขาจะอยู่ที่หน้าป้ายจารึกของพ่อเขาทั้งคืนและใช้เวลาพร่ำบอกตัวเองไม่ให้ทำซ้ำรอยการตายของพ่อ ไม่ให้ทำความผิดพลาดแบบเดียวกันตลอดเสมอมาแบบนี้หลายปีแต่คืนนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไป……หลิงอี้หรานถูกอี้จิ่นหลีพาออกมาจากโรงพยาบาลรถสีดำมาจอดลงตรงหน้าทางเข้าโรงพยาบาล หลังจากที่เข้ามาในรถแล้ว หลิงอี้หรานก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน เธอคิดว่าคืนนี้ต้องเป็นฝันร้ายของเธอแต่เธอไม่คิดว่าเขาจะโผล่มา“เธอกลัวไหม?” เขาถามพลางกุมมือร่างเล็กเอาไว้ แม้ตอนนี้มือของเธอก็ยังสั่นเล็กน้อยหลิงอี้หรานกัดริมฝีปากจากนั้นก็พยักหน้า ใช่แล้วเธอจะไม่กลัวได้อย่างไร? มันเหมือนกับว่าชะตาชีวิตของเธอนั้นอยู่ในมือของคนอื่น และการดิ้นรนของเธอก็ไร้ประโยชน์เหมือนว่าคนอื่นสามารถมาชี้เป็นชี้ตายเธอได้“วันนี้ฉันประมาทเกินไป” อี้จิ่นหลีบอก “ฉันคิดว่าปู่จะยังไม่แตะต้องเธอ แต่ไม่คิดว่าเขาจะความอดทนต่ำกว่าที่ฉันคิดไว้ แล้วเลือกจะลงมือวันนี้”เธออึ้งไปชั่วครู่ “วันนี้… มีอะไรสำคัญเหรอ?”เมื่อเธอถามออกมา สีหน้าของเขา
เขาไม่อยู่ในห้องแล้วเขาอยู่ไหน? ข้างล่างเหรอ?แต่พอหลิงอี้หรานลงมาข้างล่าง เธอก็เห็นว่าอี้จิ่นหลีเองก็ไม่ได้อยู่ข้างล่างแม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจแต่เธอก็ออกมาข้างนอก และเห็นว่าในตัวบ้านก็ไม่มีใครอยู่เลยคฤหาสน์อี้นั้นใหญ่มาก นอกจากตัวบ้านหลัก ก็ยังมีเรือนของคนรับใช้ มีสวน ระเบียง และสระน้ำพร้อมน้ำพุที่จริงหลังจากที่อยู่บ้านนี้มานาน เธอก็ยังไม่เคยเดินดูบ้านทั่ว ๆ จนถึงตอนนี้ และเธอก็ไม่รู้มาก่อนว่าจะใหญ่ขนาดนี้ตอนนี้ดึกสงัด ทุกอย่างที่เธอมองเห็นก็มืดสนิทยกเว้นแสงไฟเล็ก ๆ ตามทางเดินลมยามค่ำคืนพัดมาและหนาวเย็นเล็กน้อย หลิงอี้หรานทำได้เพียงกระชับคอเสื้อให้แน่นขึ้น เธออดถามตัวเองไม่ได้ว่าเธอจะทำอะไรกับอี้จิ่นหลี? หรือเธอกลัวว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเขา?จะมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นกับเขาได้ในคฤหาสน์อี้?สุดท้ายเธอก็ให้เหตุผลกับตัวเองว่า อย่างน้อยวันนี้เขาก็มาช่วยเธอไว้ ดังนั้นตอนนี้เธอต้องการจะดูให้โล่งใจจู่ ๆ ก็มีแสงไฟที่ดึงดูดความสนใจของเธอสิ่งที่เธอเห็นเหมือนเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ที่แยกออกมาไม่ไกลนัก และหน้าต่างของบ้านนั้นก็มีแสงไฟส่องสว่างตอนที่หลิงอี้หรานเดินเข้าไปใกล้ถึงไ
เธอลังเลและบอกว่า “ไม่มีอะไร ก็แค่ตอนที่คุณส่งฉันกลับห้อง ฉันเห็นว่าคุณไม่กลับห้อง แต่ลงมาข้างล่าง ฉันเลยสงสัยว่าคุณเป็นอะไรไหม ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยดี งั้นฉันขอตัว…”เธอพูดและหันหลังเตรียมจากไปแต่อึดใจต่อมา ก็มีแขนเอื้อมมากอดเธอไว้จากด้านหลัง “งั้นพี่สาว พี่ห่วงฉันใช่ไหม?”จู่ ๆ หลิงอี้หรานก็ถูกกลิ่นอายของอีกคนโอบล้อมไว้ และตอนนั้นเธอก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรเป็นห่วง เธอเป็นห่วงเขาเหรอ?ความคิดของเธอสับสนวุ่นวาย เพราะว่าวันนี้เขาช่วยเธอไว้เหรอ? คืนนี้แทนที่เธอจะนึกถึงเขาในฐานะของอี้จิ่นหลี เธอก็ห่วงเขาในฐานะของ “จิน” เหรอ?หลิงอี้หรานคิดเรื่องนี้และจู่ ๆ ลมหายใจของเขาก็หอบถี่ดังเข้าหูเธอ เหมือนว่าเขาพยายามอดกลั้นเสียงร้องเอาไว้ และมือที่โอบร่างของเธอก็คลายออก…หลิงอี้หรานหันกลับไปมองก็เห็นว่าตอนนี้หน้าของอี้จิ่นหลีซีดเผือด มีเหงื่อบาง ๆ อยู่ที่หน้าผากเขา และมือข้างหนึ่งของเขาก็กุมไว้ที่ช่วงท้องด้านบนเธอนั้นรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาและจำได้ทันทีว่าเธอเคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน “คุณปวดท้องอีกแล้วเหรอ?”“เหมือนว่าพี่สาวจะยังจำอาการเก่า ๆ ของฉันได้นะ” เขาพึมพำและมีรอยยิ้มปรากฏที่มุมปากซึ่
เสียงจัวเชียนอวิ๋นดังมาจากปลายสาย “นี่ การผ่าตัดของเสี่ยวเหยียนเป็นไปด้วยดีนะ หมอบอกว่าเสี่ยวเหยียน หลังจากผ่านไปสองสามวันเสี่ยวเหยียนปรับตัวได้ เขาก็จะเริ่มการฝึกเรื่องของการแยกแยะเสียงแล้ว”“ดีมากเลยค่ะ” หลิงอี้หรานดีใจที่ได้ยิน “ถ้างั้นตอนบ่ายฉันจะแวะไปเยี่ยมเสี่ยวเหยียนนะคะ”จากนั้นหลิงอี้หรานก็ถามอีกครั้งถึงเลขห้องผู้ป่วยของเสี่ยวเหยียนในโรงพยาบาลก่อนจะวางสายไป“นี่เรื่องของเด็กที่หูหนวกนั่นเหรอ?” อี้จิ่นหลีมองหลิงอี้หรานก่อนถาม“การผ่าตัดของเสี่ยวเหยียนเป็นไปด้วยดี ยังไงตอนบ่ายฉันก็มีเวลาว่าง ฉันเลยจะไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล” หลิงอี้หรานบอก“ให้ฉันไปกับเธอแล้วกัน” อี้จิ่นหลีพูด“คุณจะไปกับฉันเหรอคะ?” หลิงอี้หรานเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ “แต่… คุณไม่มีงานต้องทำเหรอ?”“ฉันก็แค่บอกให้เลขาเลื่อนงานตอนบ่ายออกไป ยังไงก็ไม่ได้มีอะไรเร่งด่วน” อี้จิ่นหลีพูดเรียบ ๆแต่หลิงอี้หรานรู้ดีว่าในบริษัทใหญ่แบบนี้ สำหรับคนเป็นประธานไม่มีอะไรที่ “เร่งด่วน” สำหรับเขา“ทำไม เธอไม่อยากให้ฉันไปด้วยเหรอ?” เขาถาม“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” พูดตามตรงการที่เขาเต็มใจจะไปเป็นเพื่อนเธอ ทำให้เธอประหลาดใจแต่ก็ร
และเพราะว่าเธอฟังเข้าใจ จู่ ๆ เธอก็ยิ่งรู้สึกอายสุดท้ายอี้จิ่นหลีก็ตอบว่า “เธอนั่นแหละ”“โอ้ จิน คุณเป็นอะไรกับเธอเหรอ? เป็นคนรักกันไหม?” คนต่างชาติมักจะชอบถามอะไรตรง ๆหากว่าเป็นพนักงานชาติเดียวกัน ไม่มีใครกล้าถามอี้จิ่นหลีตรง ๆ แบบนี้แน่จากนั้นหลิงอี้หรานก็ได้ยินอี้จิ่นหลีตอบเป็นภาษาอังกฤษ “เธอเป็นคนโปรดของฉัน”ฉับพลันหลิงอี้หรานก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของเธอมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบรัดไว้ แม้แต่จังหวะการเต้นของหัวใจก็เหมือนจะสะดุดหลังจากที่การประชุมทางวิดีโอจบลง อี้จิ่นหลีก็เดินเข้ามาหาเธอและถามว่า “เป็นอะไรไป? ทำไมหน้าแดงแบบนั้น?”“เปล่า…ไม่มีอะไรค่ะ” เธอรีบตอบแต่เขาก็เอามือมาจับหน้าเธอไว้แล้วพิจารณาหน้าแดงก่ำของเธอ “นี่เพราะว่าเรื่องที่พวกนั้นพูดเมื่อกี้เหรอ?”เธอไม่ได้ตอบอะไร แต่เธอก็ใช้ความเงียบเป็นการยอมรับ“ไว้อนาคตมีโอกาส ฉันจะแนะนำเธอกับพวกเขา” เขาบอก“แนะนำเหรอคะ?” เธอร้องเขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “ทำไม เธอไม่อยากเหรอ?”เอ่อ… เธออึ้งไป ตอนนั้นดวงตาสีดอกท้อคู่นั้นฉายแววบีบคั้น เหมือนว่าหากเธอตอบว่าไม่อยาก เธอก็คงเหมือนเป็นตัวจุดประกายให้ไฟโทสะเขาลุกท่วมเธอคิดอยู่พั
“แต่ถึงกู้ลี่เฉินอยากจะแย่งเธอไปจริง ๆ เขาก็ทำไม่ได้ใช่ไหม? เพราะว่าคนที่เธอชอบก็คือฉัน และคนที่เธอมีชะตาต้องตกหลุมรักในอนาคตก็คือฉันใช่ไหม?”เสียงของเขาพึมพำและลมหายใจอุ่นร้อนก็เป่ารดใบหน้า เมื่อพูดจบเขาก็จูบเธอที่ริมฝีปากเขาไม่มีทางยกเธอให้ใคร เธอจะเป็นของเขาเท่านั้น……ตอนที่หลิงอี้หรานตื่นขึ้นมาให้วันต่อมา อี้จิ่นหลีก็ไปทำงานแล้ว หลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จเธอก็เตรียมอาหารกลางวันให้อี้จิ่นหลีที่คฤหาสน์อี้มีกล่องอาหารกลางวันและวัตถุดิบ และก็มีพ่อครัวอยู่ใกล้ ๆ เห็นชัดว่าพ่อครัวก็ได้รับคำสั่งมา หากว่าหลิงอี้หรานมีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ พ่อครัวก็พร้อมช่วยถึงขนาดที่ว่าหลังจากทำกล่องอาหารกลางวันแล้ว หลิงอี้หรานรู้สึกว่าฝีมือของตัวเองนั้นพัฒนาสูงขึ้นเลยทีเดียวเธอนำกล่องอาหารมาที่อี้กรุ๊ป แต่เพราะว่าวันนี้คนขับรถของตระกูลอี้เป็นคนพาเธอมา ยามที่หน้าประตูก็ตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นเธอลงมาจากรถแม้ว่าพนักงานหลายคนในบริษัทเริ่มที่จะลือกันว่าพนักงานส่งอาหารลึกลับคนนี้น่าจะไม่ใช่คนธรรมดา แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าพนักงานคนนี้จะเปลี่ยนจากรถไฟฟ้าเล็ก ๆ มาเป็นรถส่วนตัวเร็วแบบนี้โดยเฉพาะรถ
ช่วงนี้เขามักจะมาค้างในห้องของเธอ นอนร่วมเตียงกับเธอ แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่ได้ทำอะไรกัน แต่มันก็เหมือนว่าการนอนร่วมเตียงเดียวกันนั้นกลายเป็นนิสัยไปโดยไม่รู้ตัวแล้วเพราะว่าเธอต้องเปิดไฟนอน เธอก็พูดเสียงอ่อนว่า “คุณจะชินกับการเปิดไฟนอนตลอดเวลาไปแล้ว ทำไมคุณไม่กลับไปนอนห้องคุณล่ะคะ”สุดท้ายเขาก็บอกว่า “ฉันอยากนอนกับเธอนี่ พี่สาว ถึงจะเปิดไฟไว้ก็ไม่เป็นไรหรอก”ดังนั้นคำพูดที่เหลือของเธอจึงโดนกลืนกลับลงไป“เธอจะนอนแล้วเหรอ?” อี้จิ่นหลีถามขณะที่มองหลิงอี้หรานเดินไปที่เตียง“ใช่” หลิงอี้หรานพูดพร้อมหน้าแดงเรื่อหลิงอี้หรานเลิกผ้าห่มและเข้าไปนอนเตียง มือของอี้จิ่นหลีก็มาโอบรอบเอวเธอ เขากอดเธอแนบแน่นและฝังใบหน้าซุกกายเธอราวเก็บเด็กที่อยากจะออดอ้อนเขาดูราวกับเด็กเล็กน้อยซึ่งต่างไปจากท่าทางปกติของเขา แต่ด้วยเหตุผลบางประการ หลิงอี้หรานรู้สึกว่าชอบอี้จิ่นหลีที่มีท่าทางเป็นเด็ก ๆ แบบนี้“ว่าแต่กู้ลี่เฉินหมายความว่าอะไรตอนที่คุยกับคุณวันนี้? พวกคุณทะเลาะกันเหรอ?”จู่ ๆ หลิงอี้หรานก็คิดขึ้นมาได้“ประโยคไหนล่ะ?” อี้จิ่นหลีถาม พลางรู้สึกว่าการกอดเธอมันชวนให้เสพติดมาก เมื่อเขากอดเธอแล้วก็ไม
“ฉันเข้าใจค่ะ ฉันจะไม่พูดอะไรกับเธอ” จัวเชียนอวิ๋นลังเลและบอกว่า “ถึงตอนนี้ฉันจะรู้ว่าเธอเป็นแฟนของคุณ ฉันไม่เคยบอกอะไรเธอมาตั้งแต่แรก และฉันก็ไม่คิดว่าจะบอกอะไร ไม่คิดจะหาประโยชน์จากเธอ แน่นอนว่าในอนาคตฉันก็ไม่คิดจะทำแบบนั้น ที่ตอนแรกฉันจ้างเธอก็เพราะว่าฉันรู้สึกว่าเธอเหมือนกับฉัน เคยติดคุกมาก่อน และรู้สึกว่าเราลงเรือลำเดียวกัน ฉันก็เลยอยากให้โอกาสเธอได้ทำงาน”ความเย็นชาในตาของอี้จิ่นหลีหายไป “ผมไม่สนหรอกว่าระหว่างคุณกับเย่เหวินหมิงมีเรื่องอะไร แต่ตราบใดที่เธอยังทำงานที่นี่กับคุณ เธอก็จะทำงานอย่างปลอดภัย หากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ไม่ว่าจะอะไร คุณโทรหาผมได้ตลอด”เมื่อพูดจบ เขาก็เอาเบอร์มือถือให้จัวเชียนอวิ๋นจัวเชียนอวิ๋นรีบจดลงไป เธอเกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่สามารถมีเบอร์นี้ได้ในเมืองเสิ่น แต่ตอนนี้เธอได้มาภายใต้เงื่อนไขแต่ที่อี้จิ่นหลีบอกว่าเขาไม่สนว่าระหว่างเธอกับเย่เหวินหมิงมีเรื่องอะไร ก็แปลว่าเขาคงไม่บอกเย่เหวินหมิงว่าเธออยู่ที่ไหน ซึ่งนี่ก็ทำให้จัวเชียนอวิ่นหายใจได้อย่างโล่งอกอี้จิ่นหลียังอยู่ในร้านและกินมื้อเย็นกับหลิงอี้หรานดังนัั้นเมื่อเลิกงาน เพื่อนร่วมงานทุกคนเลยได้รู
จัวเชียนอวิ๋นจำได้ว่าตอนที่เธอดึงหลิงอี้หรานมาถาม อีกฝ่ายก็ให้คำตอบที่ชัดเจนหนักแน่นกับเธอ“ก็พี่จัว คนที่ว่าก็คืออี้จิ่นหลีของอี้กรุ๊ป” โอเค ก็ถือว่าเป็นคำตอบแล้วกันจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกว่าเหมือนมีฟ้าผ่าลงมากลางหัวเธอ ซึ่งทำให้เธอมึนไม่หายพนักงานส่งอาหารให้ร้านของเธอเป็นแฟนกับอี้จิ่นหลีจริงเหรอ? ถ้าบอกไปแล้วใครจะเชื่อ?โดยเฉพาะหลิงอี้หรานบอกว่ายังมีอาหารที่ต้องออกไปส่งอีก อี้จิ่นหลีก็บอกว่า “ถ้างั้นฉันจะรอเธอที่นี่ วันนี้ยังไงก็ว่าง”ดังนั้นคนหนึ่งก็ออกไปส่งอาหาร ส่วนอีกคนก็… เอ่อ อ่านหนังสือจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกว่าเธอประสบคลื่นลมโหมกระหน่ำ แต่ตอนนี้เธอสับสนมากทำไมอี้หรานถึงได้ยังมาทำงานที่ร้านของเธอหากว่ามีแฟนแบบนี้? แล้วอี้จิ่นหลีจริงจังกับอี้หรานเหรอ?แต่เมื่อมองเหตุการณ์ก่อนหน้าระหว่างทั้งสอง ก็ไม่ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องหลอกลวง อย่างน้อยท่าทีของอี้จิ่นหลีที่มีต่ออี้หรานด้วยสายตาคนนอกอย่างเธอก็เห็นได้ว่าเขารักอี้หรานมากเมื่อเห็นว่าอี้จิ่นหลีกินกาแฟหมดแล้ว จัวเชียนอวิ๋นก็เดินเข้าไปหาและถามว่า “คุณอี้ ต้องการอะไรเพิ่มไหมคะ?”“ขอน้ำให้ผมแก้วหนึ่งพอครับ” อี้จิ่นหลีบอกดังนั้น
หลิงอี้หรานอดหน้าแดงไม่ได้ เธอกัดปากเล็กน้อยและบอกกับจัวเชียนอวิ๋น “เขาเป็นแฟนฉันค่ะ”“แฟนเธอเหรอ?” จัวเชียนอวิ๋นตาเบิกกว้างทันที แม้เธอจะรู้สึกได้ว่าระหว่างทั้งสองคนมีบรรยากาศแปลก ๆ ขณะที่พูดคุยกันก็ตามแต่… แฟนเหรอ? อี้หรานมีแฟนเหรอ? แถมยังเป็นผู้ชายที่ดูลึกล้ำยากจะหยั่งถึงนี่คือสิ่งที่จัวเชียนอวิ๋นรู้สึก ตอนนั้นเองแม้ว่าชายคนนั้นจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าและดูไม่มีพิษภัย แต่เธอไม่คิดว่าชายคนนี้จะไร้พิษภัยจริง ๆ ตรงกันข้ามสัญชาตญาณบอกเธอว่าชายคนนี้อันตรายมากทั้งร่างของเขาแผ่กลิ่นอายของคนที่สูงส่งออกมา“ค่ะ แฟนฉัน” หลิงอี้หรานตอบ“สวัสดีค่ะ… ฉันเป็นเจ้าของร้านที่นี่ จัวเชียนอวิ๋น” จัวเชียนอวิ๋นแนะนำตัวเอง“สวัสดีครับ ผมอี้จิ่นหลี” อี้จิ่นหลีบอกสีหน้าจัวเชียนอวิ๋นตะลึงอีกครั้ง จากนั้นแววตาประหลาดใจของเธอก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆอี้จิ่นหลี… คงไม่ใช่… คงไม่ใช่คนที่เธอคิดหรอกนะ ตอนนี้จัวเชียนอวิ๋นรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาร้านของเธอมีกู้ลี่เฉินมา แล้วก็มีอี้จิ่นหลีมาอีก ผู้ชายทั้งสองคนต่างก็มาหาอี้หรานแล้ว… ตัวตนที่แท้จริงของเธอมันยังไงกันแน่? ใช่แบบที่เขียนในใบสมัครงานจริงเหรอ?ตอน
อี้จิ่นหลียังคงดื่มกาแฟในมือสบาย ๆ เหมือนกับว่าเขากำลังเพลิดเพลินกับเวลาน้ำชา และเขาก็แค่มาพูดคุยเล่นกับกู้ลี่เฉินไม่ได้คุยเรื่องที่สามารถเขย่าเมืองเสิ่นให้สั่นสะเทือนได้กู้ลี่เฉินค่อย ๆ สงบความคุกรุ่นในแววตาลงและก็หยิบกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้งทั้งสองต่างก็ไม่มีบรรยากาศน่าตึงเครียดเหมือนก่อนหน้าแล้ว และตอนนี้ก็เหมือนเป็นการกินข้าวกันระหว่างเพื่อนเท่านั้นจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะลูกค้าคนอื่น ๆ ในร้านโดยเฉพาะลูกค้าสาว ๆ ต่างก็มองทั้งสองเป็นระยะ อย่างไรพวกเขาคนหนึ่งก็ดูเหมือนดารา ไม่ต้องนับพวกลูกค้าสาวหรอก ขนาดจัวเชียนอวิ๋นเองยังอยากหยิบมือถือมาถ่ายเลยตอนที่ลูกค้าสาวยกมือถือส่องไปทางอี้จิ่นหลีและกู้ลี่เฉิน ก่อนที่เธอจะทันได้กดปุ่มถ่ายรูปก็มีมือใหญ่มาขวางเอาไว้เขาก็คือบอดี้การ์ดของอี้จิ่นหลี เขาพูดกับลูกค้าสาวว่า “ท่านประธานไม่ชอบโดนถ่ายรูปครับ ถ้าคุณยืนกรานจะถ่ายให้ได้ ผมก็คงทำได้แค่ต้องเชิญคุณออกไป”ลูกค้าสาวอึ้งงันไป นี่มัน…ขู่กันเหรอ? แต่เมื่อเธอเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของบอดี้การ์ดและ… ร่างกายกำยำของเขา คำพูดที่เธอเตรียมจะเอ่ยประท้วงก็โดนกลืนกลับลงท้องไปจิตสำนึกบอก
นิ้วมือของกู้ลี่เฉินที่จับแก้วกาแฟอยู่บีบแน่นเล็กน้อย “แล้วถ้าฉันเสียใจล่ะ?” ตอนนั้นเขาประเมินน้ำหนักของหลิงอี้หรานที่มีในใจตัวเองต่ำไปเขาคิดว่าหลิงอี้หรานเหมือนคนที่เขาตามหา ดังนั้นเขาก็เลยสนใจเธอแค่นั้นแต่ต่อมาเขาก็พบว่ามันมากกว่านั้น เมื่อเขาเห็นคนอื่นทำร้ายเธอ ทำอันตรายเธอ เขาก็รู้สึกหัวใจบีบรัดและรีบเข้าไปช่วยโดยไม่รู้ตัวเหมือนว่าแค่เห็นเธอบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขาใจสลายได้ และตอนที่เธอจะจากไป เขาก็คิดเรื่องเธอมาก เหมือนว่าเขาอยากให้เธอมองเขานานอีกหน่อยแค่เพียงนิดเดียวก็ยังดีนานแค่ไหนแล้วที่เขาสนใจผู้หญิงสักคนมากขนาดนี้? ยกเว้นเด็กผู้หญิงที่เคยช่วยเขาตอนนั้น เธอเป็นแค่คนเดียวเท่านั้นเขาถึงกับคิดว่า บางทีเขาไม่น่ายอมปล่อยเธอให้อี้จิ่นหลีง่ายเกินไปเลย หากว่าเธออยู่ข้างกายเขา จะทำให้เขาคิดถึงคนที่ตามหาอยู่น้อยลงไหม? แล้วจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากการไม่ได้สิ่งที่เขาต้องการมาบ้างไหม?แววตาอี้จิ่นหลีมืดครึ้มทันที เขาจ้องกู้ลี่เฉินเย็นชา “นายไม่มีโอกาสแน่ และฉันก็จะไม่ให้นายมีโอกาสด้วย”“งั้นเหรอ?” กู้ลี่เฉินสบตาอีกฝ่าย “งั้นฉันคงต้องขอลองดูและดูว่าทำไมฉันถึงได้ไม่มีโอ