ไม่นะ… ไม่เธอต้องการแม่ เธอต้องการน้องชายเธอกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง แต่พบว่าตัวเองส่งเสียงอะไรออกมาไม่ได้ตอนนั้นเองก็มีเสียงกระดิ่งดัง ราวกับว่าดึงเธอออกมาจากฝันร้าย…หลิงอี้หรานค่อยๆ ลืมตาขึ้น เพียงเพื่อที่จะได้ยินเสียงกระจ่างใส ดังเข้ามาในหูเธอ“เธอตื่นแล้วเหรอ?”ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏขึ้นในครรลองสายตาที่ยังพร่าเลือนของเธอ แววตาเปล่งประกายนั้นดูเหมือนจะมีความอ่อนโยนที่อธิบายไม่ได้“ก็…” เธอตอบเบลอ ๆ ยังคงไม่ตื่นดีมันราวกับว่าความฝันและความเป็นจริงมันพัวพันกัน ทำให้เธอไม่สามารถผ่อนคลายได้“งั้นก็รับโทรศัพท์สิ” เขาบอก แล้วยกโทรศัพท์มาแนบหูเธอหลิงอี้หรานฟังเสียงคุ้นเคยที่ออกมาตามสายอย่างเบลอ ๆ “อี้หรานเหรอ? อี้หรานเธอตื่นแล้วเหรอ?”หลิงอี้หรานตื่นเต้นและตื่นขึ้นมาทันที “เหลียนอี”“ใช่ แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหน? เธออยู่กับอี้จิ่นหลีเหรอ? ฉันโทรหาเธอเมื่อคืนและเขาก็รับโทรศัพท์ แถมตอนนี้พอฉันโทรมาเขาก็รับอีก”ฉินเหลียนอีนั้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะเมา ใครจะไปคิดว่าคนที่โทรหาตั้งสองครั้งจะเป็นอี้จิ่นหลีจริง ๆ“เมื่อคืนเธอโทรหาฉันเหรอ?” หลิงอี้หรานถามอย่างแปลกใจ“ใช่ เขาบอกว่าเธ
เธอพูดอย่างร้อนรน อัลบั้มรูปนี้นมีความทรงจำที่มีค่าที่สุดของเธออี้จิ่นหลีนิ่วหน้าโดยไม่รู้ตัว “เธออยากจะเสี่ยงชีวิตเพื่ออัลบั้มรูปนั้นเหรอ? เมื่อวานนี้ยังโชคดี เธอแค่มีบาดแผลไหม้ผิวหนังแค่ที่นิ้ว ถ้าบริเวณที่โดนไฟไหม้มันมากกว่านั้นล่ะ?”“อัลบั้มรูปนั้นมันสำคัญกับฉันมาก” หลิงอี้หรานบอก“มันสำคัญมากกว่ามือเธออีกเหรอ? เธอคิดจะปกป้องอัลบั้มรูปจนเสียมือไปเลยเหรอ?” เสียงเขากดลึก“มันสำคัญมาก ถึงมือฉันจะเสียไปทั้งสองข้าง ฉันก็จะต้องเก็บอัลบั้มมาให้ได้” หลิงอี้หรานสูดหายใจเข้าลึกและพูดออกมา สำหรับเธอนี่คือความคิดและความหมกมุ่นที่เธอมีในใจในใจของเธอมีความรักอันสวยงามของครอบครัว และมันยังเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเธอคำตอบของเธอทำให้ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวไม่น่ามอง โทสะสายหนึ่งพลุ่งขึ้นมาในอก เขาโกรธที่เธอไม่ใส่ใจตัวเอง โกรธที่ตัวเขานั้นห่วงร่างกายของเธอมากกว่าที่เธอห่วงตัวเธอเองนั้นไม่สนใจสักนิดว่ามือจะพิการหรือไม่ แต่กลายเป็นว่าเขานั้นกลับห่วงมันมากและปวดใจเพียงแค่ต้องเห็นเธอบาดเจ็บสักเล็กน้อย“แล้วอัลบั้มของฉันอยู่ไหน?” เธอยังคงถามเขาอย่างร้อนรนอี้จิ่นหลีถอนหายใจยาว เขาย
”ไม่มีใครไล่เธอออกได้หรอก” อี้จิ่นหลีพูดอย่างมั่นใจ “เธอต้องดูแลมือของตัวเองให้ดีก่อน ไม่อย่างนั้นเธอคิดว่า ถ้าเธอไปทำงานตอนนี้ มือเธอจะยกนั่นยกนี่ แล้วก็กวาดถนนได้ไหมล่ะ?”หลิงอี้หรานก้มหัวและไม่พูดอะไร มือของเธอตอนนี้ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ“ดูแลมือของเธอให้ดีก่อน พอมือเธอหายดีแล้ว เธอจะทำอะไรก็ตามใจ” อี้จิ่นหลีบอก เหมือนกับว่าเขาคิดบางอย่างได้ “คืนนี้เธอจะไปเจอฉินเหลียนอีใช่ไหม? เธอเปลี่ยนวันนัดเจอแล้วรอฉันไปด้วยดีกว่าไหม? รอให้แผลดีขึ้นก่อน”หากว่าเป็นคนคุ้นเคยกับอี้จิ่นหลี ก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ชายที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ที่สุดในเมืองเซินไม่เคยต้องมากังวลเรื่องอาการบาดเจ็บที่มือผู้หญิงแบบนี้หากว่าเป็นคนอื่นต่อให้มาหายใจรวยรินเลือดท่วมกายอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็ไม่สนใจสักนิด“ฉันต้องไป” หลิงอี้หรานตอบอย่างหนักแน่น “ดูเหมือนว่าเหลียนอีจะมีข้อมูลเกี่ยวกับพยานในคดีของฉัน ฉันอยากจะไปเจอเธอเพื่อจะหาว่ามีอะไรบ้าง”เมื่อพูดแบบนี้ เธอไม่ได้สังเกตว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย และมือที่ปล่อยอยู่ข้างตัวของเขาก็กำแน่นขึ้นนิดหน่อย“มีข่าวเกี่ยวกับพยานเหรอ?”“ใช่” เธอพยักหน้า “แต่ราย
ในภาพเธอดูตัวเล็กจ้อย แก้มกลมแบบเด็ก ๆ และผมหนาดกดำ เธอดูน่ารักมากอี้จิ่นหลีไม่เคยรู้เลยว่าเขาจะรู้สึกตื่นตาได้กับการมองดูเด็ก แต่ว่าตอนนี้การมองดูคนตัวเล็กในรูปนั้นเขารู้สึกได้ถึงความรักที่มีจากก้นบึ้งหัวใจ และถึงกับคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นนะหากว่าคนตัวเล็กนี่มาปรากฏตัวต่อหน้าตอนนี้ เขาเกรงว่าคงจะอดกอดและหอมเธอไม่ได้เพราะว่าเด็กคนนี้เกี่ยวข้องกับเธอ เป็นเธอตอนเด็กอย่างนั้นเหรอ? แบบนี้เขาถึงรู้สึกว่าน่ารัก เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เป็นเวลาที่มองลูกคนอื่นอี้จิ่นหลีค่อย ๆ ดึงรูปออกมาทีละใบรูปพวกนี้ตอนแรกก็มีแค่หลิงอี้หรานกับแม่ แต่ต่อมาก็เป็นรูปเธอเพียงคนเดียวเธอในรูปดูโตกว่ารูปที่ถ่ายกับแม่เล็กน้อย เหมือนรูปแรก ๆ อายุประมาณสี่หรือห้าขวบ แล้วพวกนี้ก็ห้าหรือหกขวบ…รูปพวกนี้มีไม่เยอะเท่าไร น้อยกว่ารูปที่เธอถ่ายคู่กับแม่มากหลิงอี้หรานดูรูปพวกนี้แล้วพูดอย่างอ่อนไหวว่า “ตอนที่แม่ฉันยังอยู่ ท่านชอบถ่ายรูปกับฉัน จากนั้นพอแม่จากไป รูปของฉันก็มีน้อยลง”เธอจะถ่ายรูปแค่บางโอกาสเท่านั้นและส่วนมากก็จะเป็นรูปเธอเพียงลำพัง เหมือนกับครอบครัวใหม่ของพ่อไม่มีที่ให้เธออยู่จู่ ๆ อี้จิ่นหลีก็หรี่ตาล
”ป่วยเหรอ? ตอนนั้นเธอป่วยเหรอ?” จู่ ๆ น้ำเสียงเขาก็เครียดขึ้นมา“ฉันก็แค่เป็นไข้อยู่สองสามวัน ไข้นั่นทำให้ฉันสับสนมาก แต่หลังจากหายดีฉันก็แข็งแรงเหมือนเดิม แต่โชคร้ายที่กระโปรงไม่อยู่แล้ว” เธอพูดอย่างเสียใจนิดหน่อย แต่ต่อมายายก็แอบบอกกับเธอว่าหากเธอสอบได้ที่หนึ่งในชั้น ก็จะซื้อชุดสวยเหมือนกระโปรงตัวนั้นให้แต่ตอนที่เธอสอบได้ที่หนึ่ง เธอกลับต้องจากยายมาแล้วกลับมาอยู่กับพ่อก่อนที่จะจากกัน ยายก็แอบยัดกระโปรงใส่เข้ามาในกระเป๋าเธอเมื่อเธอคิดถึงเรื่องนี้อยู่ จู่ ๆ ก็มีมือใหญ่ยื่นออกมาวางไว้บนหน้าผากเธอ หลิงอี้หรานชะงักไปและเงยหน้าขึ้นมองอี้จิ่นหลี “ฉัน… ฉันไม่ได้เป็นไข้ตอนนี้นะ”“ฉันรู้” เขาพูดเสียงเบา “ต่อไปไม่ว่าเธออยากได้กระโปรงแบบไหนฉันจะซื้อให้เธอเอง”คำพูดของเขาทำให้หัวใจเธอสั่นไหวขึ้นมาทันที “ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ ฉันไม่ได้อยากจะใช่ชุดกระโปรงตลอดซะหน่อย”เธอกัดปากเล็กน้อยและหลุบตาลงเธอแค่รู้สึกว่ายิ่งมองเขานานเท่าไร หัวใจเธอยิ่งคุมไม่ได้เท่านั้น“จริงเหรอ?” อี้จิ่นหลีดึงมือออก เขาหยิบรูปทั้งหมดในอัลบั้มออกมาและหยิบรูปที่เธอใส่กระโปรงลายดอกไม้ “พี่สาว ฉันขอรูปนี้ได้ไหม?”เ
เรื่องของเรื่องก็คือมีเด็กน่ารักแบบเธออีกมากมาย เมื่อได้เห็นรูปของเธอตอนเป็นเด็กแล้วมันน่ารักมากขนาดที่เขาต้องขอรูปจากเธอไปเลยเหรอ?แต่ตอนนั้นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอก็คือการไปพบฉินเหลียนอีตอนที่เธอกำลังจะออกไป โดยที่อี้จิ่นหลีสั่งให้คนขับรถไปส่งเธอที่นั่นจากประสบการณ์ที่ผ่านมาเธอรู้ดีว่า การปฏิเสธนั้นไร้ประโยชน์ เมื่อเขาตัดสินใจอะไรไปแล้ว ก็ไม่เหลือเผื่อไว้ให้เจรจาต่อรองใด ๆหลังจากที่เข้าไปในรถ หลิงอี้หรานก็บอกจุดหมายของเธอกับคนขับดังนั้นการเดินทางที่คิดว่าจะต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง ก็ใช้เวลาไปเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นหลิงอี้หรานเดินไปที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด หาที่นั่งแล้วสั่งน้ำแก้วละห้าสิบบาทมา จากนั้นก็ส่งข้อความไปหาฉินเหลียนอีขณะที่เธอนั่งรอเพื่อ เธอกวาดตามองไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่พื้นยันเพดานกระจก และเห็นเด็กส่งอาหารวิ่งเข้าออกจากร้านอาหารเป็นระยะเพื่อส่งอาหารส่งอาหาร… หลิงอี้หรานใจเต้น ตอนนี้เธอถูกยกเลิกใบขับขี่ไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะขี่รถสามล้อไฟฟ้าไม่ได้ อีกอย่างงานส่งอาหารก็ขึ้นอยู่กับจำนวนของการทำงาน มันไม่มีเงินเดือนแต่ยิ่งเธอทำมาก ก็จะยิ่งได้มาก
”แล้วมือเธอเป็นอะไรไหม?” ฉินเหลียนอีถามอย่างเป็นห่วง“ไม่เป็นไร” หลิงอี้หรานตอบ “ที่จริงพอพันผ้ามันก็เลยดูเหมือนอาการหนัก วันนี้ฉันไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรแล้วฉันก็หยิบจับอะไรเองได้แล้วล่ะ”ฉินเหลียนอีหายใจโล่งอกและสั่งอาหารทั้งสองคนกินกันไปคุยกันไป ตอนนั้นเองที่หลิงอี้หรานรู้เรื่องที่เพื่อนเธอบอกเกี่ยวกับการหาพยานเจอในมือถือ มันมีวิดีโอที่เพื่อนร่วมงานในสำนักงานออกแบบของเหลียนอีโพสต์ลงในกลุ่มเพื่อนร่วมงาน และเหลียนอีก็รู้จากวิดีโอนั้น เธอจำพยานที่ให้การในปีนั้นได้ชายคนนั้นตอนนี้เพิ่งแต่งงานกับลูกสาวของญาติคนที่ทำงานของฉินเหลียนอี แล้วเขาก็อาศัยอยู่ที่เมืองเอสเหลียนอีก็ทำเป็นถามชื่อของเขาเผื่อไว้ แต่เพื่อนร่วมงานของเธอก็ไม่รู้ชื่อของเขารู้แต่ว่านามสกุลโหยวคนนามสกุลโหยวนั้นมีไม่มาก ฉินเหลียนอีเลยแน่ใจ 70-80% ตอนนี้แต่ฉินเหลียนอีก็เปิดวิดิโอให้หลิงอี้หรานดูเผื่อไว้ก่อนในวิดีโอนั้นเป็นงานที่บ้านใหม่ ทั้งคลิปมีแต่ความรื่นเริงและเสียงหัวเราะ ดวงตาหลิงอี้หรานจับจ้องอยู่ที่เจ้าบ่าวในวิดีโอใบหน้าของเจ้าบ่าวเต็มไปด้วยความรื่นเริง และเขาก็ทำตามเงื่อนไขและเสียงเชียร์ของคนโดยรอบวิดีโ
เขาเป็นชายหนุ่มหล่อเหลา ดูระหว่างวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ เขานั้นมีใบหน้าสวยหวานราวกับผู้หญิง ซึ่งตรงกับค่านิยมของสาว ๆ ในปัจจุบันใบหน้างดงามของเขาราวกับก้าวออกมาจากภาพวาด แต่ว่าตอนนี้ริมฝีปากบางของเขาเม้มแน่น ดวงตาดำขลับงดงามของเขาดูเหมือนจะฉายแววโทสะชายคนนั้น… โมโหเหรอ? หลิงอี้หรานยังคิดเรื่องนี้อยู่ และดูจากทิศทางที่คนผู้นั้นมองมาตอนนี้ ดูเหมือนคนที่ทำให้เขาโกรธจะอยู่ทางที่เธออยู่…“อี้หราน ฉันพูดกับเธออยู่นะ เธอได้ยินไหมเนี่ย?” เสียงฉินเหลียนอีดังข้างหูเธอ ทำให้หลิงอี้หรานหลุดจากภวังค์“เธอว่าอะไรนะ?” อี้หรานหันมามองเพื่อน“ฉันถามว่า หมอบอกเธอไหมว่ามือเธอจะหายเมื่อไร?” ฉินเหลียนอีถาม“ประมาณอาทิตย์หนึ่ง แล้วเราก็แค่ต้องรอให้เนื้อค่อย ๆ ฟื้นฟู” หลิงอี้หรานบอกจากนั้นก็เหลือบไปมองทิศทางที่ชายแปลก ๆ คนนั้นอยู่ แต่เมื่อเธอมองไปอีกครั้งรถคันนั้นพร้อมชายคนนั้นก้ไม่อยู่อีกแล้ว“เธอมองอะไรอยู่น่ะ?” ฉินเหลียนอีมองตามสายตาของเพื่อนและถามว่า “บนถนนมีอะไรเหรอ?”“ไม่มีอะไรหรอก” หลิงอี้หรานยิ้ม ก็แค่… เธอคงคิดมากไป แม้ว่าชายคนนั้นจะมองมาทางพวกเธอพร้อมสีหน้ามีโทสะ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขามองมา
เสียงจัวเชียนอวิ๋นดังมาจากปลายสาย “นี่ การผ่าตัดของเสี่ยวเหยียนเป็นไปด้วยดีนะ หมอบอกว่าเสี่ยวเหยียน หลังจากผ่านไปสองสามวันเสี่ยวเหยียนปรับตัวได้ เขาก็จะเริ่มการฝึกเรื่องของการแยกแยะเสียงแล้ว”“ดีมากเลยค่ะ” หลิงอี้หรานดีใจที่ได้ยิน “ถ้างั้นตอนบ่ายฉันจะแวะไปเยี่ยมเสี่ยวเหยียนนะคะ”จากนั้นหลิงอี้หรานก็ถามอีกครั้งถึงเลขห้องผู้ป่วยของเสี่ยวเหยียนในโรงพยาบาลก่อนจะวางสายไป“นี่เรื่องของเด็กที่หูหนวกนั่นเหรอ?” อี้จิ่นหลีมองหลิงอี้หรานก่อนถาม“การผ่าตัดของเสี่ยวเหยียนเป็นไปด้วยดี ยังไงตอนบ่ายฉันก็มีเวลาว่าง ฉันเลยจะไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล” หลิงอี้หรานบอก“ให้ฉันไปกับเธอแล้วกัน” อี้จิ่นหลีพูด“คุณจะไปกับฉันเหรอคะ?” หลิงอี้หรานเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ “แต่… คุณไม่มีงานต้องทำเหรอ?”“ฉันก็แค่บอกให้เลขาเลื่อนงานตอนบ่ายออกไป ยังไงก็ไม่ได้มีอะไรเร่งด่วน” อี้จิ่นหลีพูดเรียบ ๆแต่หลิงอี้หรานรู้ดีว่าในบริษัทใหญ่แบบนี้ สำหรับคนเป็นประธานไม่มีอะไรที่ “เร่งด่วน” สำหรับเขา“ทำไม เธอไม่อยากให้ฉันไปด้วยเหรอ?” เขาถาม“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” พูดตามตรงการที่เขาเต็มใจจะไปเป็นเพื่อนเธอ ทำให้เธอประหลาดใจแต่ก็ร
และเพราะว่าเธอฟังเข้าใจ จู่ ๆ เธอก็ยิ่งรู้สึกอายสุดท้ายอี้จิ่นหลีก็ตอบว่า “เธอนั่นแหละ”“โอ้ จิน คุณเป็นอะไรกับเธอเหรอ? เป็นคนรักกันไหม?” คนต่างชาติมักจะชอบถามอะไรตรง ๆหากว่าเป็นพนักงานชาติเดียวกัน ไม่มีใครกล้าถามอี้จิ่นหลีตรง ๆ แบบนี้แน่จากนั้นหลิงอี้หรานก็ได้ยินอี้จิ่นหลีตอบเป็นภาษาอังกฤษ “เธอเป็นคนโปรดของฉัน”ฉับพลันหลิงอี้หรานก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของเธอมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบรัดไว้ แม้แต่จังหวะการเต้นของหัวใจก็เหมือนจะสะดุดหลังจากที่การประชุมทางวิดีโอจบลง อี้จิ่นหลีก็เดินเข้ามาหาเธอและถามว่า “เป็นอะไรไป? ทำไมหน้าแดงแบบนั้น?”“เปล่า…ไม่มีอะไรค่ะ” เธอรีบตอบแต่เขาก็เอามือมาจับหน้าเธอไว้แล้วพิจารณาหน้าแดงก่ำของเธอ “นี่เพราะว่าเรื่องที่พวกนั้นพูดเมื่อกี้เหรอ?”เธอไม่ได้ตอบอะไร แต่เธอก็ใช้ความเงียบเป็นการยอมรับ“ไว้อนาคตมีโอกาส ฉันจะแนะนำเธอกับพวกเขา” เขาบอก“แนะนำเหรอคะ?” เธอร้องเขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “ทำไม เธอไม่อยากเหรอ?”เอ่อ… เธออึ้งไป ตอนนั้นดวงตาสีดอกท้อคู่นั้นฉายแววบีบคั้น เหมือนว่าหากเธอตอบว่าไม่อยาก เธอก็คงเหมือนเป็นตัวจุดประกายให้ไฟโทสะเขาลุกท่วมเธอคิดอยู่พั
“แต่ถึงกู้ลี่เฉินอยากจะแย่งเธอไปจริง ๆ เขาก็ทำไม่ได้ใช่ไหม? เพราะว่าคนที่เธอชอบก็คือฉัน และคนที่เธอมีชะตาต้องตกหลุมรักในอนาคตก็คือฉันใช่ไหม?”เสียงของเขาพึมพำและลมหายใจอุ่นร้อนก็เป่ารดใบหน้า เมื่อพูดจบเขาก็จูบเธอที่ริมฝีปากเขาไม่มีทางยกเธอให้ใคร เธอจะเป็นของเขาเท่านั้น……ตอนที่หลิงอี้หรานตื่นขึ้นมาให้วันต่อมา อี้จิ่นหลีก็ไปทำงานแล้ว หลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จเธอก็เตรียมอาหารกลางวันให้อี้จิ่นหลีที่คฤหาสน์อี้มีกล่องอาหารกลางวันและวัตถุดิบ และก็มีพ่อครัวอยู่ใกล้ ๆ เห็นชัดว่าพ่อครัวก็ได้รับคำสั่งมา หากว่าหลิงอี้หรานมีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ พ่อครัวก็พร้อมช่วยถึงขนาดที่ว่าหลังจากทำกล่องอาหารกลางวันแล้ว หลิงอี้หรานรู้สึกว่าฝีมือของตัวเองนั้นพัฒนาสูงขึ้นเลยทีเดียวเธอนำกล่องอาหารมาที่อี้กรุ๊ป แต่เพราะว่าวันนี้คนขับรถของตระกูลอี้เป็นคนพาเธอมา ยามที่หน้าประตูก็ตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นเธอลงมาจากรถแม้ว่าพนักงานหลายคนในบริษัทเริ่มที่จะลือกันว่าพนักงานส่งอาหารลึกลับคนนี้น่าจะไม่ใช่คนธรรมดา แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าพนักงานคนนี้จะเปลี่ยนจากรถไฟฟ้าเล็ก ๆ มาเป็นรถส่วนตัวเร็วแบบนี้โดยเฉพาะรถ
ช่วงนี้เขามักจะมาค้างในห้องของเธอ นอนร่วมเตียงกับเธอ แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่ได้ทำอะไรกัน แต่มันก็เหมือนว่าการนอนร่วมเตียงเดียวกันนั้นกลายเป็นนิสัยไปโดยไม่รู้ตัวแล้วเพราะว่าเธอต้องเปิดไฟนอน เธอก็พูดเสียงอ่อนว่า “คุณจะชินกับการเปิดไฟนอนตลอดเวลาไปแล้ว ทำไมคุณไม่กลับไปนอนห้องคุณล่ะคะ”สุดท้ายเขาก็บอกว่า “ฉันอยากนอนกับเธอนี่ พี่สาว ถึงจะเปิดไฟไว้ก็ไม่เป็นไรหรอก”ดังนั้นคำพูดที่เหลือของเธอจึงโดนกลืนกลับลงไป“เธอจะนอนแล้วเหรอ?” อี้จิ่นหลีถามขณะที่มองหลิงอี้หรานเดินไปที่เตียง“ใช่” หลิงอี้หรานพูดพร้อมหน้าแดงเรื่อหลิงอี้หรานเลิกผ้าห่มและเข้าไปนอนเตียง มือของอี้จิ่นหลีก็มาโอบรอบเอวเธอ เขากอดเธอแนบแน่นและฝังใบหน้าซุกกายเธอราวเก็บเด็กที่อยากจะออดอ้อนเขาดูราวกับเด็กเล็กน้อยซึ่งต่างไปจากท่าทางปกติของเขา แต่ด้วยเหตุผลบางประการ หลิงอี้หรานรู้สึกว่าชอบอี้จิ่นหลีที่มีท่าทางเป็นเด็ก ๆ แบบนี้“ว่าแต่กู้ลี่เฉินหมายความว่าอะไรตอนที่คุยกับคุณวันนี้? พวกคุณทะเลาะกันเหรอ?”จู่ ๆ หลิงอี้หรานก็คิดขึ้นมาได้“ประโยคไหนล่ะ?” อี้จิ่นหลีถาม พลางรู้สึกว่าการกอดเธอมันชวนให้เสพติดมาก เมื่อเขากอดเธอแล้วก็ไม
“ฉันเข้าใจค่ะ ฉันจะไม่พูดอะไรกับเธอ” จัวเชียนอวิ๋นลังเลและบอกว่า “ถึงตอนนี้ฉันจะรู้ว่าเธอเป็นแฟนของคุณ ฉันไม่เคยบอกอะไรเธอมาตั้งแต่แรก และฉันก็ไม่คิดว่าจะบอกอะไร ไม่คิดจะหาประโยชน์จากเธอ แน่นอนว่าในอนาคตฉันก็ไม่คิดจะทำแบบนั้น ที่ตอนแรกฉันจ้างเธอก็เพราะว่าฉันรู้สึกว่าเธอเหมือนกับฉัน เคยติดคุกมาก่อน และรู้สึกว่าเราลงเรือลำเดียวกัน ฉันก็เลยอยากให้โอกาสเธอได้ทำงาน”ความเย็นชาในตาของอี้จิ่นหลีหายไป “ผมไม่สนหรอกว่าระหว่างคุณกับเย่เหวินหมิงมีเรื่องอะไร แต่ตราบใดที่เธอยังทำงานที่นี่กับคุณ เธอก็จะทำงานอย่างปลอดภัย หากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ไม่ว่าจะอะไร คุณโทรหาผมได้ตลอด”เมื่อพูดจบ เขาก็เอาเบอร์มือถือให้จัวเชียนอวิ๋นจัวเชียนอวิ๋นรีบจดลงไป เธอเกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่สามารถมีเบอร์นี้ได้ในเมืองเสิ่น แต่ตอนนี้เธอได้มาภายใต้เงื่อนไขแต่ที่อี้จิ่นหลีบอกว่าเขาไม่สนว่าระหว่างเธอกับเย่เหวินหมิงมีเรื่องอะไร ก็แปลว่าเขาคงไม่บอกเย่เหวินหมิงว่าเธออยู่ที่ไหน ซึ่งนี่ก็ทำให้จัวเชียนอวิ่นหายใจได้อย่างโล่งอกอี้จิ่นหลียังอยู่ในร้านและกินมื้อเย็นกับหลิงอี้หรานดังนัั้นเมื่อเลิกงาน เพื่อนร่วมงานทุกคนเลยได้รู
จัวเชียนอวิ๋นจำได้ว่าตอนที่เธอดึงหลิงอี้หรานมาถาม อีกฝ่ายก็ให้คำตอบที่ชัดเจนหนักแน่นกับเธอ“ก็พี่จัว คนที่ว่าก็คืออี้จิ่นหลีของอี้กรุ๊ป” โอเค ก็ถือว่าเป็นคำตอบแล้วกันจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกว่าเหมือนมีฟ้าผ่าลงมากลางหัวเธอ ซึ่งทำให้เธอมึนไม่หายพนักงานส่งอาหารให้ร้านของเธอเป็นแฟนกับอี้จิ่นหลีจริงเหรอ? ถ้าบอกไปแล้วใครจะเชื่อ?โดยเฉพาะหลิงอี้หรานบอกว่ายังมีอาหารที่ต้องออกไปส่งอีก อี้จิ่นหลีก็บอกว่า “ถ้างั้นฉันจะรอเธอที่นี่ วันนี้ยังไงก็ว่าง”ดังนั้นคนหนึ่งก็ออกไปส่งอาหาร ส่วนอีกคนก็… เอ่อ อ่านหนังสือจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกว่าเธอประสบคลื่นลมโหมกระหน่ำ แต่ตอนนี้เธอสับสนมากทำไมอี้หรานถึงได้ยังมาทำงานที่ร้านของเธอหากว่ามีแฟนแบบนี้? แล้วอี้จิ่นหลีจริงจังกับอี้หรานเหรอ?แต่เมื่อมองเหตุการณ์ก่อนหน้าระหว่างทั้งสอง ก็ไม่ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องหลอกลวง อย่างน้อยท่าทีของอี้จิ่นหลีที่มีต่ออี้หรานด้วยสายตาคนนอกอย่างเธอก็เห็นได้ว่าเขารักอี้หรานมากเมื่อเห็นว่าอี้จิ่นหลีกินกาแฟหมดแล้ว จัวเชียนอวิ๋นก็เดินเข้าไปหาและถามว่า “คุณอี้ ต้องการอะไรเพิ่มไหมคะ?”“ขอน้ำให้ผมแก้วหนึ่งพอครับ” อี้จิ่นหลีบอกดังนั้น
หลิงอี้หรานอดหน้าแดงไม่ได้ เธอกัดปากเล็กน้อยและบอกกับจัวเชียนอวิ๋น “เขาเป็นแฟนฉันค่ะ”“แฟนเธอเหรอ?” จัวเชียนอวิ๋นตาเบิกกว้างทันที แม้เธอจะรู้สึกได้ว่าระหว่างทั้งสองคนมีบรรยากาศแปลก ๆ ขณะที่พูดคุยกันก็ตามแต่… แฟนเหรอ? อี้หรานมีแฟนเหรอ? แถมยังเป็นผู้ชายที่ดูลึกล้ำยากจะหยั่งถึงนี่คือสิ่งที่จัวเชียนอวิ๋นรู้สึก ตอนนั้นเองแม้ว่าชายคนนั้นจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าและดูไม่มีพิษภัย แต่เธอไม่คิดว่าชายคนนี้จะไร้พิษภัยจริง ๆ ตรงกันข้ามสัญชาตญาณบอกเธอว่าชายคนนี้อันตรายมากทั้งร่างของเขาแผ่กลิ่นอายของคนที่สูงส่งออกมา“ค่ะ แฟนฉัน” หลิงอี้หรานตอบ“สวัสดีค่ะ… ฉันเป็นเจ้าของร้านที่นี่ จัวเชียนอวิ๋น” จัวเชียนอวิ๋นแนะนำตัวเอง“สวัสดีครับ ผมอี้จิ่นหลี” อี้จิ่นหลีบอกสีหน้าจัวเชียนอวิ๋นตะลึงอีกครั้ง จากนั้นแววตาประหลาดใจของเธอก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆอี้จิ่นหลี… คงไม่ใช่… คงไม่ใช่คนที่เธอคิดหรอกนะ ตอนนี้จัวเชียนอวิ๋นรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาร้านของเธอมีกู้ลี่เฉินมา แล้วก็มีอี้จิ่นหลีมาอีก ผู้ชายทั้งสองคนต่างก็มาหาอี้หรานแล้ว… ตัวตนที่แท้จริงของเธอมันยังไงกันแน่? ใช่แบบที่เขียนในใบสมัครงานจริงเหรอ?ตอน
อี้จิ่นหลียังคงดื่มกาแฟในมือสบาย ๆ เหมือนกับว่าเขากำลังเพลิดเพลินกับเวลาน้ำชา และเขาก็แค่มาพูดคุยเล่นกับกู้ลี่เฉินไม่ได้คุยเรื่องที่สามารถเขย่าเมืองเสิ่นให้สั่นสะเทือนได้กู้ลี่เฉินค่อย ๆ สงบความคุกรุ่นในแววตาลงและก็หยิบกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้งทั้งสองต่างก็ไม่มีบรรยากาศน่าตึงเครียดเหมือนก่อนหน้าแล้ว และตอนนี้ก็เหมือนเป็นการกินข้าวกันระหว่างเพื่อนเท่านั้นจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะลูกค้าคนอื่น ๆ ในร้านโดยเฉพาะลูกค้าสาว ๆ ต่างก็มองทั้งสองเป็นระยะ อย่างไรพวกเขาคนหนึ่งก็ดูเหมือนดารา ไม่ต้องนับพวกลูกค้าสาวหรอก ขนาดจัวเชียนอวิ๋นเองยังอยากหยิบมือถือมาถ่ายเลยตอนที่ลูกค้าสาวยกมือถือส่องไปทางอี้จิ่นหลีและกู้ลี่เฉิน ก่อนที่เธอจะทันได้กดปุ่มถ่ายรูปก็มีมือใหญ่มาขวางเอาไว้เขาก็คือบอดี้การ์ดของอี้จิ่นหลี เขาพูดกับลูกค้าสาวว่า “ท่านประธานไม่ชอบโดนถ่ายรูปครับ ถ้าคุณยืนกรานจะถ่ายให้ได้ ผมก็คงทำได้แค่ต้องเชิญคุณออกไป”ลูกค้าสาวอึ้งงันไป นี่มัน…ขู่กันเหรอ? แต่เมื่อเธอเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของบอดี้การ์ดและ… ร่างกายกำยำของเขา คำพูดที่เธอเตรียมจะเอ่ยประท้วงก็โดนกลืนกลับลงท้องไปจิตสำนึกบอก
นิ้วมือของกู้ลี่เฉินที่จับแก้วกาแฟอยู่บีบแน่นเล็กน้อย “แล้วถ้าฉันเสียใจล่ะ?” ตอนนั้นเขาประเมินน้ำหนักของหลิงอี้หรานที่มีในใจตัวเองต่ำไปเขาคิดว่าหลิงอี้หรานเหมือนคนที่เขาตามหา ดังนั้นเขาก็เลยสนใจเธอแค่นั้นแต่ต่อมาเขาก็พบว่ามันมากกว่านั้น เมื่อเขาเห็นคนอื่นทำร้ายเธอ ทำอันตรายเธอ เขาก็รู้สึกหัวใจบีบรัดและรีบเข้าไปช่วยโดยไม่รู้ตัวเหมือนว่าแค่เห็นเธอบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขาใจสลายได้ และตอนที่เธอจะจากไป เขาก็คิดเรื่องเธอมาก เหมือนว่าเขาอยากให้เธอมองเขานานอีกหน่อยแค่เพียงนิดเดียวก็ยังดีนานแค่ไหนแล้วที่เขาสนใจผู้หญิงสักคนมากขนาดนี้? ยกเว้นเด็กผู้หญิงที่เคยช่วยเขาตอนนั้น เธอเป็นแค่คนเดียวเท่านั้นเขาถึงกับคิดว่า บางทีเขาไม่น่ายอมปล่อยเธอให้อี้จิ่นหลีง่ายเกินไปเลย หากว่าเธออยู่ข้างกายเขา จะทำให้เขาคิดถึงคนที่ตามหาอยู่น้อยลงไหม? แล้วจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากการไม่ได้สิ่งที่เขาต้องการมาบ้างไหม?แววตาอี้จิ่นหลีมืดครึ้มทันที เขาจ้องกู้ลี่เฉินเย็นชา “นายไม่มีโอกาสแน่ และฉันก็จะไม่ให้นายมีโอกาสด้วย”“งั้นเหรอ?” กู้ลี่เฉินสบตาอีกฝ่าย “งั้นฉันคงต้องขอลองดูและดูว่าทำไมฉันถึงได้ไม่มีโอ