“ทำไมจะไม่ล่ะ?” เขาถามย้อนกลับ“ในเมื่อทั้งชีวิตของฉันยังไงก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงสักคนอยู่แล้ว จะช้าจะเร็วจะมีอะไรแตกต่างล่ะ? ห่าวเหมยยวี่เงียบและเชื่อฟังพอ การแต่งงานเพื่อธุรกิจกับตระกูลห่าวมีประโยชน์มากในการพัฒนาการขนส่งทางเรือของตระกูลอี้ ทำไมจะไม่ดีล่ะ?”คำพูดนี้ของเขาดูราวกับว่าเป็นแค่การพูดคุยเชิงธุรกิจอย่างหนึ่ง หลิงอี้หรานได้ยินดังนั้นก็พลันเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเบา ๆ ผู้ชายคนนี้ ดูเหมือนไม่มีความรักอะไรเลยแม้แต่น้อย แม้แต่การแต่งงานสำหรับเขาก็ยังเป็นธุรกิจเลย อะไรคือสิ่งสำคัญสำหรับเขากันแน่?“แต่ตอนนี้ ฉันรู้สึกว่าถ้าได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ตัวเองสนใจก็ไม่เลวนะ” ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวด้วยแววตาเป็นประกายบางอย่าง แล้วยกยิ้มมุมปากเธอเบือนหน้าหนีอย่างไม่สบายใจนัก คำพูดของเขาราวกับจะสื่อความหมายอะไรบางอย่างเธอบอกกับตัวเองว่า อย่าคิดอะไรมาก เขาและเธอเหมือนมาจากคนละโลก ไม่สามารถเดินเส้นทางเดียวกันได้อย่างแน่นอน ในอนาคตหลังจากให้ถุงมือกับเขาแล้ว เขาและเธอก็ไม่น่าจะมีอะไรให้กังวลใจอีก“เอ่อ… เดี๋ยวฉันเอาถุงมือให้คุณนะ” หญิงสาวรีบเอ่ย อยากจะให้เขารับถุงมือไปซะตอนนี้“ไม
“สำคัญสิ” เธอเอ่ยออกมาอย่างหนักแน่น “สำหรับฉันแล้ว ความจริงสำคัญกว่าทุกสิ่ง!”“เหตุการณ์พวกนี้ผ่านไปสามปีแล้ว แม้ว่าจะมีหลักฐานที่ต้องตามต่อแต่มันก็หายไปนานแล้ว แค่จะช่วยพี่พลิกคดีก็ยากมากอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องตามหาความจริงเลย” เขาเอ่ยเธอยิ้มอย่างขมขื่น เธอเข้าใจความหมายของสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อทุกอย่าง สิ่งที่เขาต้องการช่วยมีแค่การพลิกคดีให้เธอเท่านั้น ส่วนเรื่องของความจริง สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญ ในวันนั้นทำไมห่าวเหมยยวี่ถึงเลือกใช้วิธีการฆ่าตัวตายด้วยการขับรถชน เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ นั่นก็ไม่สำคัญเช่นกันเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับห่าวเหมยยวี่เลยสักนิด ดังนั้นแม้ว่าห่าวเหมยยวี่จะตาย แต่สำหรับเขานั่นก็เป็นเพียงแค่คนคนหนึ่งที่ไม่เหมาะสมที่จะแต่งงานด้วยแค่นั้น“อี้จิ่นหลี คุณไม่ได้รักห่าวเหมยยวี่สักนิดเลย” เธอเอ่ยขึ้นมาทันทีด้วยน้ำเสียงไร้ซึ่งความลังเลใด ๆเขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “ฉันไม่เคยพูดว่ารักเธอเลยนะ”“งั้นคุณรักใครล่ะ?” สิ้นคำพูดของเธอในเวลานั้น เพียงชั่วพริบตาเดียว คำตอบหนึ่งก็ผุดขึ้นในสมองของเขาทันทีโดยไม่ทันได้ตั้งตัวในตอนนั้นเองเขามองเธอด้วยความสับสน ผ
รู้สึกเหมือนเป็นการประชดชีวิตเธอไม่พูดอะไรเลย แค่เดินไปที่ลิ้นชักหยิบถุงมือสองข้างออกมาแล้วมอบให้เขาและพูดว่า “นี่เป็นถุงมือที่สัญญาไว้กับคุณ”เขามองถุงมือสองข้างนี้อย่างละเอียดจากนั้นก็ลองใส่และพูดว่า “ถักได้ดีมากเลย อุ่นมากอีกด้วย เหมือนผ้าพันคอที่พี่ถักเลย มันก็อุ่นมากเหมือนกัน พันมันแล้วรู้สึกสบายมาก”“จริง ๆ แล้วคุณไม่จำเป็นต้องพันมันก็ได้นะ ถ้าคนอื่นเห็นก็จะคิดว่าไม่เหมาะกับคุณ” เธอพูด เขาแต่งตัวไฮโซแต่พันผ้าพันคอทั้งเก่าทั้งถูกและถักอย่างหยาบ ๆ “ไม่เหมาะ?” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ยิ้มจาง ๆ แล้วพูดว่า “พี่ สำหรับฉันแล้ว เหมาะไม่เหมาะไม่เคยต้องการให้ใครมาตัดสิน แค่ฉันรู้สึกด้วยตัวเองก็ดีแล้ว ก็เหมือนผ้าพันคอผืนนี้ ถ้าฉันบอกว่าเหมาะยังไงมันก็เหมาะอยู่ดี!”หยุดไปสักพักหนึ่ง เขาลูบผ้าพันคอและพูดว่า “ยิ่งไปกว่านั้น แค่พี่เป็นคนถัก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าแบบไหน มันก็เข้ากันหมด!” จู่ ๆ ใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมา ถ้าคนอื่นพูดแบบนี้ออกมาก็แค่จะทำให้ผู้คนรู้สึกตลก แต่เพราะว่าเป็นเขาพูดมันเลยดูเหมือนเป็นความจริงทั่วไปใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ขณะนี้เต็มไปด้วยความจริงจังดูเหมือนผ้าพันคอ
งานนักแสดงตัวประกอบในวันนี้ของหลิงอี้หรานก็คือเป็นนางรับใช้ แค่ยืนตามตำแหน่งที่ผู้กำกับระบุไว้ ก้มหัวก็พอแล้ว และไม่ใช่นางรับใช้คนเดียวยังเป็นกลุ่มนางรับใช้ด้วย เมื่อนักแสดงหลักเดินผ่านไปก็ค่อยทำตามคำสั่งของผู้กำกับ ทั้งหมดคุกเข่าลงพร้อมคำนับแล้วพูดว่า “ขอให้นายท่านอายุยืนเป็นหมื่นปี ขอให้คุณหญิงอายุยืนเป็นหมื่นปี” ก็พอแล้วเพราะว่ามีฉากคุกเข่า ดังนั้นจึงเพิ่มเงินชั่วคราวอีก 500 บาท รวมเป็น 1,300 บาทหลิงอี้หรานคิดว่าคุกเข่าก็คุกเข่า อย่างไรก็เป็นแค่การแสดงละครเท่านั้น ดาราดังที่สุดก็ยังมีฉากคุกเข่าเลย ค่อยว่ากัน หลายครั้งที่การอยู่รอดกลายเป็นปัญหา อย่างนั้นหัวเข่าก็ไม่สำคัญเท่าไหร่ห้องแต่งตัวของนักแสดงตัวประกอบเป็นห้องรวมตัวช่างแต่งหน้าหลายคน จากนั้นนักแสดงตัวประกอบชายหญิงก็ต่อแถวรอช่างแต่งหน้าให้แต่งหน้าในห้องรวมและความเร็วของช่างแต่งหน้าทุกคนก็เร็วมาก โดยปกติแล้ว 5-6 นาทีจะแต่งหนึ่งคนเสร็จเมื่อถึงตาหลิงอี้หราน ช่างแต่งหน้าพูดว่า “คุณมีแผลเป็นที่หน้าผากเหรอ!”หลิงอี้หรานตัวสั่นเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบว่า อืม นั่นคือบริเวณหน้าผากที่อยู่ใกล้หนังศีรษะ ถ้าไม่มองอย่างละเอียด จริงๆ แ
อันที่จริงแล้ว งานนี้เธอไม่ได้ขโมยใครมาหรือปล้นใคร แต่เป็นการทำงานหาเงินจากน้ำพักน้ำแรง “พี่อยากเป็นนักแสดง แล้วทำไมพี่ถึงไม่ถามฉันล่ะ? ฉันอาจจะเตรียมบทละครให้พี่สักสองสามบท พี่จะได้สร้างรายได้มากว่าการแสดงเป็นตัวประกอบนะ” เมื่อหลิงลั่วอินพูดเช่นนี้ เธอก็จงใจยกมือขึ้นและลูบผม เพื่ออวดนาฬิการาคาแพงบนข้อมือของเธอหลิงอี้หรานแค่คิดว่าพฤติกรรมของหลิงลั่วอินนั้นค่อนข้างไร้สาระและพูดว่า “ฉันไม่เคยคิดที่จะหลอกพี่สาวของตัวเองให้ไปดื่มเหล้าเพียงเพื่อจะได้บทเพิ่มสองสามบทหรอก”“พี่...” สีหน้าของหลิงลั่วอินเปลี่ยนไปเมื่อรู้ว่าหลิงอี้หรานพยายามจะเหน็บแนมเธอเรื่องที่ขอให้เธอไปดื่มกับผู้ช่วยผู้กำกับมาก่อน แต่แล้วดูเหมือนว่า เธอจะคิดอะไรบางอย่างได้และมองไปที่หลิงอี้หราน พร้อมพูดว่า “ตอนนี้พี่ร้อนเงินเหรอ? หรืออยากจะมาเป็นนักแสดงตัวประกอบล่ะ หรือว่าไม่มีใครให้เงินแล้วเหรอ? พี่ต้องลำบากหาเงินขนาดนั้นเลยเหรอ?“ฉันไม่จำเป็นต้องรายงานให้เธอรู้” หลิงอี้หรานไม่สนใจหลิงลั่วอิน และเดินผ่านเข้าตรงไปยังสถานที่ที่นักแสดงตัวประกอบกำลังรออยู่บนเวทีหลิงลั่วอินขมวดคิ้ว ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งผู้ช่วยที่อยู่ข
แม้ว่าหลิงลั่วอินจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอเมื่อนึกถึงกู้ลี่เฉิน แต่สุดท้ายแล้วลี่เฉินก็ไม่เคย “แตะต้อง” เธอเลยจนกระทั่งตอนนี้แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เป็นแฟนคนปัจจุบันของหลี่เฉินแต่สำหรับหลิงอี้หราน เธอจะทำให้หลิงอี้หรานเข้าใจหลักการของกงเกวียนกำเกวียน ตั้งแต่แรกที่เธอขอความช่วยเหลือจากหลิงอี้หรานเธอกลับปฏิเสธ ตอนนี้เธอจะทำให้หลิงอี้หรานเข้าใจว่า “การปฏิเสธ” เธอต้องชดใช้อย่างไร!……ก่อนการถ่ายทำอย่างเป็นทางการ ผู้กำกับขอให้ทุกคนลองแสดงสองครั้ง ตอนที่ลองแสดงหลิงอี้หรานยังไม่เห็นห่าวอี้เหมิง จึงเป็นผู้ทำหน้าที่แทนห่าวอี้เหมิงที่ช่วยเธอวางตำแหน่งไว้แต่หลิงลั่วอินไม่ได้ช่วยวางตำแหน่งไว้ แต่เธอกลับไปยืนอยู่ข้างพระเอกด้วยตัวของเธอเองหลิงลั่วอินรับบทเป็นนักแสดงนำรองในละครเรื่องนี้ เป็นนางสนมของพระเอก และมีฉากประกบห่าวอี้เหมิงหลายฉากตั้งแต่แรกกู้ลี่เฉินให้หลิงลั่วอินเลือกละครหลายเรื่องแต่หลิงลั่วอินกลับเลือกละครเรื่องนี้ในเวลานั้นกู้ลี่เฉินยังบอกว่า "ผมคิดว่าคุณจะเลือกบทของนางเอก แต่นี่เป็นเพียงบทนักแสดงนำรอง"“แต่ละครเรื่องนี้เป็นผลงานการสร้างที่ยิ่งใหญ่อลังการ ผู้กำกับก็เป็นผู้กำก
แม้ว่าเธอจะรู้ เหลียนอีอาจจะไม่เร่งให้เธอคืนเงิน แต่ว่าเธอติดหนี้เหลียนอีก็มากพอแล้ว ไม่สามารถติดหนี้แบบนี้ได้อีกต่อไป ครั้งแล้วครั้งเล่าที่หลิงอี้หรานยังคุกเข่า คำนับและลุกขึ้นยืนอีกครั้ง... วนซ้ำอย่างต่อเนื่องและนักแสดงตัวประกอบคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ก็ยังคุกเข่าลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เปลี่ยนเป็นกระสับกระส่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนกระทั่งตะโกนว่า ต้องการเพิ่มเงินไม่ใช่มาทรมานคนกันแบบนี้ผู้กำกับเห็นอารมณ์ของตัวประกอบแย่ลงมากขึ้นเรื่อยๆ จึงให้ผู้ช่วยผู้กำกับไปถามความคิดเห็นหลิงลั่วอินหลิงลั่วอินดูสถานการณ์แล้วก็แกล้งทำเป็นครุ่นคิดและพูดว่า “เอาอย่างนี้ไหม ฉันรู้สึกว่าคนนี้ทำได้ดี ท่าทางได้มาตรฐานมาก จังหวะก็กำลังดีเลย ทำไมไม่ให้เธอสาธิตให้นักแสดงตัวประกอบคนอื่นดูหน่อยล่ะ ทำให้ทุกคนดูว่าทำยังไง จะได้ดูแล้วทำตามได้ ดูให้เข้าใจแล้วก็ค่อยมาฝึกซ้อมให้ดีจะได้ไม่เหนื่อยมากขนาดนั้น”และคนที่เธอพูดถึงก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลิงอี้หราน“แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวประกอบคนนี้จะยอมสาธิตให้ทุกคนไหม เพราะเธอก็จะเหนื่อยกว่าคนอื่น” หลิงลั่วอินดูเหมือนกำลังนึกถึงอีกฝ่ายอยู่“ไม่เต็มใจอะไรกันล่ะ ถ้าเพิ่มเงินให้ก็ไม่มี
ห่าวอี้เหมิงดูวิดีโอที่กำลังเล่นบนโทรศัพท์และภาพหลิงอี้หรานที่คุกเข่าไม่หยุด มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัวและพูดว่า “ดูเหมือนจะมีคนก็ยังอยากตายจริง ๆ ก็คงไม่มีใครขวางได้หรอก”“ใช่ไหมล่ะ ตัวประกอบคนนี้ดูเหมือนจะทำให้หลิงลั่วอินไม่พอใจ หลิงลั่วอินก็เลยทำแบบนี้ ตอนนี้ในกองถ่าย ทุกคนรู้ดีว่าไม่ควรทำให้หลิงลั่วอินขุ่นเคือง…” ผู้ช่วยพูดอยู่ก็รู้ทันทีว่าตนเองพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดทันใดนั้นผู้ช่วยก็หน้าซีดลงและพูดกับห่าวอี้เหมิงว่า “พี่ห่าว ขอโทษค่ะ ฉันพูดผิด หลิงลั่วอินคนนี้ ก็อาศัยที่เป็นแฟนของนายน้อยกู้ ถึงได้มากดขี่ข่มเหงคนอื่นอย่างนี้ รอให้เธอถูกคุณกู้ทิ้งก่อนเถอะ ไม่ต้องพูดถึงนักแสดงนำรองเลย แม้ว่าจะเป็นนักแสดงลำดับห้าเธอก็ไม่มีสิทธิ์ได้เป็นหรอก!”ห่าวอี้เหมิงพูดอย่างใจเย็นว่า “เอาเถอะ ไม่พูดฉันก็รู้”ตั้งแต่หลิงลั่วอินเข้าร่วมกับทีมนักแสดง เธอไม่เคยแสดงท่าทีเป็นมิตรเลย ทุกครั้งที่เจอกัน ไม่พูดเหน็บแนมกันก็ต้องทะเลาะกันห่าวอี้เหมิงรู้ดีว่า ตอนนี้หลิงลั่วอินอยากจะอวดเบ่งต่อหน้าเธอและระบายความโกรธออกมาสำหรับหลิงลั่วอินแล้ว ห่าวอี้เหมิงก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร เพราะเกิดในตระกูลเล็ก ๆ
เสียงจัวเชียนอวิ๋นดังมาจากปลายสาย “นี่ การผ่าตัดของเสี่ยวเหยียนเป็นไปด้วยดีนะ หมอบอกว่าเสี่ยวเหยียน หลังจากผ่านไปสองสามวันเสี่ยวเหยียนปรับตัวได้ เขาก็จะเริ่มการฝึกเรื่องของการแยกแยะเสียงแล้ว”“ดีมากเลยค่ะ” หลิงอี้หรานดีใจที่ได้ยิน “ถ้างั้นตอนบ่ายฉันจะแวะไปเยี่ยมเสี่ยวเหยียนนะคะ”จากนั้นหลิงอี้หรานก็ถามอีกครั้งถึงเลขห้องผู้ป่วยของเสี่ยวเหยียนในโรงพยาบาลก่อนจะวางสายไป“นี่เรื่องของเด็กที่หูหนวกนั่นเหรอ?” อี้จิ่นหลีมองหลิงอี้หรานก่อนถาม“การผ่าตัดของเสี่ยวเหยียนเป็นไปด้วยดี ยังไงตอนบ่ายฉันก็มีเวลาว่าง ฉันเลยจะไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล” หลิงอี้หรานบอก“ให้ฉันไปกับเธอแล้วกัน” อี้จิ่นหลีพูด“คุณจะไปกับฉันเหรอคะ?” หลิงอี้หรานเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ “แต่… คุณไม่มีงานต้องทำเหรอ?”“ฉันก็แค่บอกให้เลขาเลื่อนงานตอนบ่ายออกไป ยังไงก็ไม่ได้มีอะไรเร่งด่วน” อี้จิ่นหลีพูดเรียบ ๆแต่หลิงอี้หรานรู้ดีว่าในบริษัทใหญ่แบบนี้ สำหรับคนเป็นประธานไม่มีอะไรที่ “เร่งด่วน” สำหรับเขา“ทำไม เธอไม่อยากให้ฉันไปด้วยเหรอ?” เขาถาม“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” พูดตามตรงการที่เขาเต็มใจจะไปเป็นเพื่อนเธอ ทำให้เธอประหลาดใจแต่ก็ร
และเพราะว่าเธอฟังเข้าใจ จู่ ๆ เธอก็ยิ่งรู้สึกอายสุดท้ายอี้จิ่นหลีก็ตอบว่า “เธอนั่นแหละ”“โอ้ จิน คุณเป็นอะไรกับเธอเหรอ? เป็นคนรักกันไหม?” คนต่างชาติมักจะชอบถามอะไรตรง ๆหากว่าเป็นพนักงานชาติเดียวกัน ไม่มีใครกล้าถามอี้จิ่นหลีตรง ๆ แบบนี้แน่จากนั้นหลิงอี้หรานก็ได้ยินอี้จิ่นหลีตอบเป็นภาษาอังกฤษ “เธอเป็นคนโปรดของฉัน”ฉับพลันหลิงอี้หรานก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของเธอมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบรัดไว้ แม้แต่จังหวะการเต้นของหัวใจก็เหมือนจะสะดุดหลังจากที่การประชุมทางวิดีโอจบลง อี้จิ่นหลีก็เดินเข้ามาหาเธอและถามว่า “เป็นอะไรไป? ทำไมหน้าแดงแบบนั้น?”“เปล่า…ไม่มีอะไรค่ะ” เธอรีบตอบแต่เขาก็เอามือมาจับหน้าเธอไว้แล้วพิจารณาหน้าแดงก่ำของเธอ “นี่เพราะว่าเรื่องที่พวกนั้นพูดเมื่อกี้เหรอ?”เธอไม่ได้ตอบอะไร แต่เธอก็ใช้ความเงียบเป็นการยอมรับ“ไว้อนาคตมีโอกาส ฉันจะแนะนำเธอกับพวกเขา” เขาบอก“แนะนำเหรอคะ?” เธอร้องเขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “ทำไม เธอไม่อยากเหรอ?”เอ่อ… เธออึ้งไป ตอนนั้นดวงตาสีดอกท้อคู่นั้นฉายแววบีบคั้น เหมือนว่าหากเธอตอบว่าไม่อยาก เธอก็คงเหมือนเป็นตัวจุดประกายให้ไฟโทสะเขาลุกท่วมเธอคิดอยู่พั
“แต่ถึงกู้ลี่เฉินอยากจะแย่งเธอไปจริง ๆ เขาก็ทำไม่ได้ใช่ไหม? เพราะว่าคนที่เธอชอบก็คือฉัน และคนที่เธอมีชะตาต้องตกหลุมรักในอนาคตก็คือฉันใช่ไหม?”เสียงของเขาพึมพำและลมหายใจอุ่นร้อนก็เป่ารดใบหน้า เมื่อพูดจบเขาก็จูบเธอที่ริมฝีปากเขาไม่มีทางยกเธอให้ใคร เธอจะเป็นของเขาเท่านั้น……ตอนที่หลิงอี้หรานตื่นขึ้นมาให้วันต่อมา อี้จิ่นหลีก็ไปทำงานแล้ว หลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จเธอก็เตรียมอาหารกลางวันให้อี้จิ่นหลีที่คฤหาสน์อี้มีกล่องอาหารกลางวันและวัตถุดิบ และก็มีพ่อครัวอยู่ใกล้ ๆ เห็นชัดว่าพ่อครัวก็ได้รับคำสั่งมา หากว่าหลิงอี้หรานมีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ พ่อครัวก็พร้อมช่วยถึงขนาดที่ว่าหลังจากทำกล่องอาหารกลางวันแล้ว หลิงอี้หรานรู้สึกว่าฝีมือของตัวเองนั้นพัฒนาสูงขึ้นเลยทีเดียวเธอนำกล่องอาหารมาที่อี้กรุ๊ป แต่เพราะว่าวันนี้คนขับรถของตระกูลอี้เป็นคนพาเธอมา ยามที่หน้าประตูก็ตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นเธอลงมาจากรถแม้ว่าพนักงานหลายคนในบริษัทเริ่มที่จะลือกันว่าพนักงานส่งอาหารลึกลับคนนี้น่าจะไม่ใช่คนธรรมดา แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าพนักงานคนนี้จะเปลี่ยนจากรถไฟฟ้าเล็ก ๆ มาเป็นรถส่วนตัวเร็วแบบนี้โดยเฉพาะรถ
ช่วงนี้เขามักจะมาค้างในห้องของเธอ นอนร่วมเตียงกับเธอ แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่ได้ทำอะไรกัน แต่มันก็เหมือนว่าการนอนร่วมเตียงเดียวกันนั้นกลายเป็นนิสัยไปโดยไม่รู้ตัวแล้วเพราะว่าเธอต้องเปิดไฟนอน เธอก็พูดเสียงอ่อนว่า “คุณจะชินกับการเปิดไฟนอนตลอดเวลาไปแล้ว ทำไมคุณไม่กลับไปนอนห้องคุณล่ะคะ”สุดท้ายเขาก็บอกว่า “ฉันอยากนอนกับเธอนี่ พี่สาว ถึงจะเปิดไฟไว้ก็ไม่เป็นไรหรอก”ดังนั้นคำพูดที่เหลือของเธอจึงโดนกลืนกลับลงไป“เธอจะนอนแล้วเหรอ?” อี้จิ่นหลีถามขณะที่มองหลิงอี้หรานเดินไปที่เตียง“ใช่” หลิงอี้หรานพูดพร้อมหน้าแดงเรื่อหลิงอี้หรานเลิกผ้าห่มและเข้าไปนอนเตียง มือของอี้จิ่นหลีก็มาโอบรอบเอวเธอ เขากอดเธอแนบแน่นและฝังใบหน้าซุกกายเธอราวเก็บเด็กที่อยากจะออดอ้อนเขาดูราวกับเด็กเล็กน้อยซึ่งต่างไปจากท่าทางปกติของเขา แต่ด้วยเหตุผลบางประการ หลิงอี้หรานรู้สึกว่าชอบอี้จิ่นหลีที่มีท่าทางเป็นเด็ก ๆ แบบนี้“ว่าแต่กู้ลี่เฉินหมายความว่าอะไรตอนที่คุยกับคุณวันนี้? พวกคุณทะเลาะกันเหรอ?”จู่ ๆ หลิงอี้หรานก็คิดขึ้นมาได้“ประโยคไหนล่ะ?” อี้จิ่นหลีถาม พลางรู้สึกว่าการกอดเธอมันชวนให้เสพติดมาก เมื่อเขากอดเธอแล้วก็ไม
“ฉันเข้าใจค่ะ ฉันจะไม่พูดอะไรกับเธอ” จัวเชียนอวิ๋นลังเลและบอกว่า “ถึงตอนนี้ฉันจะรู้ว่าเธอเป็นแฟนของคุณ ฉันไม่เคยบอกอะไรเธอมาตั้งแต่แรก และฉันก็ไม่คิดว่าจะบอกอะไร ไม่คิดจะหาประโยชน์จากเธอ แน่นอนว่าในอนาคตฉันก็ไม่คิดจะทำแบบนั้น ที่ตอนแรกฉันจ้างเธอก็เพราะว่าฉันรู้สึกว่าเธอเหมือนกับฉัน เคยติดคุกมาก่อน และรู้สึกว่าเราลงเรือลำเดียวกัน ฉันก็เลยอยากให้โอกาสเธอได้ทำงาน”ความเย็นชาในตาของอี้จิ่นหลีหายไป “ผมไม่สนหรอกว่าระหว่างคุณกับเย่เหวินหมิงมีเรื่องอะไร แต่ตราบใดที่เธอยังทำงานที่นี่กับคุณ เธอก็จะทำงานอย่างปลอดภัย หากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ไม่ว่าจะอะไร คุณโทรหาผมได้ตลอด”เมื่อพูดจบ เขาก็เอาเบอร์มือถือให้จัวเชียนอวิ๋นจัวเชียนอวิ๋นรีบจดลงไป เธอเกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่สามารถมีเบอร์นี้ได้ในเมืองเสิ่น แต่ตอนนี้เธอได้มาภายใต้เงื่อนไขแต่ที่อี้จิ่นหลีบอกว่าเขาไม่สนว่าระหว่างเธอกับเย่เหวินหมิงมีเรื่องอะไร ก็แปลว่าเขาคงไม่บอกเย่เหวินหมิงว่าเธออยู่ที่ไหน ซึ่งนี่ก็ทำให้จัวเชียนอวิ่นหายใจได้อย่างโล่งอกอี้จิ่นหลียังอยู่ในร้านและกินมื้อเย็นกับหลิงอี้หรานดังนัั้นเมื่อเลิกงาน เพื่อนร่วมงานทุกคนเลยได้รู
จัวเชียนอวิ๋นจำได้ว่าตอนที่เธอดึงหลิงอี้หรานมาถาม อีกฝ่ายก็ให้คำตอบที่ชัดเจนหนักแน่นกับเธอ“ก็พี่จัว คนที่ว่าก็คืออี้จิ่นหลีของอี้กรุ๊ป” โอเค ก็ถือว่าเป็นคำตอบแล้วกันจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกว่าเหมือนมีฟ้าผ่าลงมากลางหัวเธอ ซึ่งทำให้เธอมึนไม่หายพนักงานส่งอาหารให้ร้านของเธอเป็นแฟนกับอี้จิ่นหลีจริงเหรอ? ถ้าบอกไปแล้วใครจะเชื่อ?โดยเฉพาะหลิงอี้หรานบอกว่ายังมีอาหารที่ต้องออกไปส่งอีก อี้จิ่นหลีก็บอกว่า “ถ้างั้นฉันจะรอเธอที่นี่ วันนี้ยังไงก็ว่าง”ดังนั้นคนหนึ่งก็ออกไปส่งอาหาร ส่วนอีกคนก็… เอ่อ อ่านหนังสือจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกว่าเธอประสบคลื่นลมโหมกระหน่ำ แต่ตอนนี้เธอสับสนมากทำไมอี้หรานถึงได้ยังมาทำงานที่ร้านของเธอหากว่ามีแฟนแบบนี้? แล้วอี้จิ่นหลีจริงจังกับอี้หรานเหรอ?แต่เมื่อมองเหตุการณ์ก่อนหน้าระหว่างทั้งสอง ก็ไม่ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องหลอกลวง อย่างน้อยท่าทีของอี้จิ่นหลีที่มีต่ออี้หรานด้วยสายตาคนนอกอย่างเธอก็เห็นได้ว่าเขารักอี้หรานมากเมื่อเห็นว่าอี้จิ่นหลีกินกาแฟหมดแล้ว จัวเชียนอวิ๋นก็เดินเข้าไปหาและถามว่า “คุณอี้ ต้องการอะไรเพิ่มไหมคะ?”“ขอน้ำให้ผมแก้วหนึ่งพอครับ” อี้จิ่นหลีบอกดังนั้น
หลิงอี้หรานอดหน้าแดงไม่ได้ เธอกัดปากเล็กน้อยและบอกกับจัวเชียนอวิ๋น “เขาเป็นแฟนฉันค่ะ”“แฟนเธอเหรอ?” จัวเชียนอวิ๋นตาเบิกกว้างทันที แม้เธอจะรู้สึกได้ว่าระหว่างทั้งสองคนมีบรรยากาศแปลก ๆ ขณะที่พูดคุยกันก็ตามแต่… แฟนเหรอ? อี้หรานมีแฟนเหรอ? แถมยังเป็นผู้ชายที่ดูลึกล้ำยากจะหยั่งถึงนี่คือสิ่งที่จัวเชียนอวิ๋นรู้สึก ตอนนั้นเองแม้ว่าชายคนนั้นจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าและดูไม่มีพิษภัย แต่เธอไม่คิดว่าชายคนนี้จะไร้พิษภัยจริง ๆ ตรงกันข้ามสัญชาตญาณบอกเธอว่าชายคนนี้อันตรายมากทั้งร่างของเขาแผ่กลิ่นอายของคนที่สูงส่งออกมา“ค่ะ แฟนฉัน” หลิงอี้หรานตอบ“สวัสดีค่ะ… ฉันเป็นเจ้าของร้านที่นี่ จัวเชียนอวิ๋น” จัวเชียนอวิ๋นแนะนำตัวเอง“สวัสดีครับ ผมอี้จิ่นหลี” อี้จิ่นหลีบอกสีหน้าจัวเชียนอวิ๋นตะลึงอีกครั้ง จากนั้นแววตาประหลาดใจของเธอก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆอี้จิ่นหลี… คงไม่ใช่… คงไม่ใช่คนที่เธอคิดหรอกนะ ตอนนี้จัวเชียนอวิ๋นรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาร้านของเธอมีกู้ลี่เฉินมา แล้วก็มีอี้จิ่นหลีมาอีก ผู้ชายทั้งสองคนต่างก็มาหาอี้หรานแล้ว… ตัวตนที่แท้จริงของเธอมันยังไงกันแน่? ใช่แบบที่เขียนในใบสมัครงานจริงเหรอ?ตอน
อี้จิ่นหลียังคงดื่มกาแฟในมือสบาย ๆ เหมือนกับว่าเขากำลังเพลิดเพลินกับเวลาน้ำชา และเขาก็แค่มาพูดคุยเล่นกับกู้ลี่เฉินไม่ได้คุยเรื่องที่สามารถเขย่าเมืองเสิ่นให้สั่นสะเทือนได้กู้ลี่เฉินค่อย ๆ สงบความคุกรุ่นในแววตาลงและก็หยิบกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้งทั้งสองต่างก็ไม่มีบรรยากาศน่าตึงเครียดเหมือนก่อนหน้าแล้ว และตอนนี้ก็เหมือนเป็นการกินข้าวกันระหว่างเพื่อนเท่านั้นจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะลูกค้าคนอื่น ๆ ในร้านโดยเฉพาะลูกค้าสาว ๆ ต่างก็มองทั้งสองเป็นระยะ อย่างไรพวกเขาคนหนึ่งก็ดูเหมือนดารา ไม่ต้องนับพวกลูกค้าสาวหรอก ขนาดจัวเชียนอวิ๋นเองยังอยากหยิบมือถือมาถ่ายเลยตอนที่ลูกค้าสาวยกมือถือส่องไปทางอี้จิ่นหลีและกู้ลี่เฉิน ก่อนที่เธอจะทันได้กดปุ่มถ่ายรูปก็มีมือใหญ่มาขวางเอาไว้เขาก็คือบอดี้การ์ดของอี้จิ่นหลี เขาพูดกับลูกค้าสาวว่า “ท่านประธานไม่ชอบโดนถ่ายรูปครับ ถ้าคุณยืนกรานจะถ่ายให้ได้ ผมก็คงทำได้แค่ต้องเชิญคุณออกไป”ลูกค้าสาวอึ้งงันไป นี่มัน…ขู่กันเหรอ? แต่เมื่อเธอเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของบอดี้การ์ดและ… ร่างกายกำยำของเขา คำพูดที่เธอเตรียมจะเอ่ยประท้วงก็โดนกลืนกลับลงท้องไปจิตสำนึกบอก
นิ้วมือของกู้ลี่เฉินที่จับแก้วกาแฟอยู่บีบแน่นเล็กน้อย “แล้วถ้าฉันเสียใจล่ะ?” ตอนนั้นเขาประเมินน้ำหนักของหลิงอี้หรานที่มีในใจตัวเองต่ำไปเขาคิดว่าหลิงอี้หรานเหมือนคนที่เขาตามหา ดังนั้นเขาก็เลยสนใจเธอแค่นั้นแต่ต่อมาเขาก็พบว่ามันมากกว่านั้น เมื่อเขาเห็นคนอื่นทำร้ายเธอ ทำอันตรายเธอ เขาก็รู้สึกหัวใจบีบรัดและรีบเข้าไปช่วยโดยไม่รู้ตัวเหมือนว่าแค่เห็นเธอบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขาใจสลายได้ และตอนที่เธอจะจากไป เขาก็คิดเรื่องเธอมาก เหมือนว่าเขาอยากให้เธอมองเขานานอีกหน่อยแค่เพียงนิดเดียวก็ยังดีนานแค่ไหนแล้วที่เขาสนใจผู้หญิงสักคนมากขนาดนี้? ยกเว้นเด็กผู้หญิงที่เคยช่วยเขาตอนนั้น เธอเป็นแค่คนเดียวเท่านั้นเขาถึงกับคิดว่า บางทีเขาไม่น่ายอมปล่อยเธอให้อี้จิ่นหลีง่ายเกินไปเลย หากว่าเธออยู่ข้างกายเขา จะทำให้เขาคิดถึงคนที่ตามหาอยู่น้อยลงไหม? แล้วจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากการไม่ได้สิ่งที่เขาต้องการมาบ้างไหม?แววตาอี้จิ่นหลีมืดครึ้มทันที เขาจ้องกู้ลี่เฉินเย็นชา “นายไม่มีโอกาสแน่ และฉันก็จะไม่ให้นายมีโอกาสด้วย”“งั้นเหรอ?” กู้ลี่เฉินสบตาอีกฝ่าย “งั้นฉันคงต้องขอลองดูและดูว่าทำไมฉันถึงได้ไม่มีโอ