“ข้าควรจะสงสารหม่าลี่อินหรือไม่” บิดาไม่รัก มารดาก็สอนแต่เรื่องแย่ๆให้ “แม้ชีวิตจะย่ำแย่เพียงใด ก็ไม่ควรจะนำความโกรธแค้นเหล่านั้นไปลงกับผู้อื่น ดังนั้นหม่าลี่อินไม่ควรได้รับความเวทนาปรานีจากเจ้า” “ที่ท่านกล่าวก็ไม่ผิด ขอบคุณนะเจ้าคะที่ท่านสืบข่าวมาให้ข้า” “พี่บอกแล้วอย่างไร เพื่อเจ้าพี่ยินยอมทำทุกอย่าง” นัยน์ตาเขาแปรเปลี่ยนเป็นจ้องมองนางอย่างหวานซึ้ง ‘เขาช่างเปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็วยิ่ง’ บุรุษมากเล่ห์มากมารยา “พี่ทำดีถึงเพียงนี้ เจ้าควรจะมีรางวัลให้พี่มิใช่หรือ” “ที่แท้ท่านก็ทำไปเพื่อหวังสิ่งตอบแทน” “พี่ยอมรับได้อย่างไม่อายปาก ว่าหวังสิ่งตอบแทนจากเจ้า” “ท่านอยากให้ข้าตอบแทนเช่นไร เป็นตำลึงหรือว่า...” “จุมพิตพี่ตรงนี้ทั้งสองข้างพี่ก็พึงพอใจแล้ว” หยางซีซวนกล่าวพลางชี้ที่แก้มทั้งสองข้างของตน ตัวเขาเป็นพ่อค้า คิดทำการค้าก็ต้องได้กำไร ไม่ใช่ขาดทุน “ค่าตอบแทนของท่านช่างมากมายนัก” ดวงหน้าหวานซับสีระเรื่อด้วยความเขินอาย “เพราะเป็นเจ้าพี่ถึ
“เมื่อเรื่องจบลง ข้าจะต้องแต่งงานกับนางเป็นแน่” หากไม่ใช่เพราะหนิงเซียนขอจัดการแก้แค้นด้วยตัวเอง เขาคงส่งคนไปลากตัวชายชั่วสตรีโฉดไปทรมานครั้งแล้วครั้งเล่ายามที่ทั้งสองทำให้นางลำบากใจ เมื่อเช้าก่อนออกจากจวนท่านพ่อบ่นอยากกินหม่าโผวโต้วฟุ นางจึงเข้าครัวตั้งแต่ยามเซิน(15.00-16.59)เพื่อเตรียมอาหารและขนมรอท่านพ่อกลับจวน “ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้ว” “มีอันใดจะอ้อนขอหรือ ถึงได้มารอรับพ่อถึงหน้าจวนเช่นนี้” ซูฉือกล่าววาจาหยอกเย้าหลังจากลงจากรถม้าแล้วพบว่าบุตรสาวมายืนรอต้อนรับหน้าประตูจวน “ลูกเพียงแต่ได้ยินว่าท่านพ่ออยากกินหม่าโผวโต้วฟุ ลูกจึงเข้าครัวทำให้ เมื่อเสร็จแล้วจึงมายืนดักรอเพื่อให้ท่านพ่อไปรับข้าวด้วยกันก่อน แล้วค่อยไปทำงานในห้องหนังสือเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นหากพ่อพาคนมาร่วมรับมื้อเย็นด้วยเจ้าจะว่าอันใดหรือไม่” สิ้นเสียงกล่าวของเจ้ากรมอาญา บุรุษผู้หนึ่งก็เดินตรงเข้ามาในจวนซู “คารวะเจ้ากรมอาญา คารวะคุณหนูซู” กวางเหลียงอี้แสดงความเคารพผู้ที่มีฐานะสูงกว่า สายตาที่จ้องมองซูหนิงเซียนมีประกายปรารถนาอยากครอบครองพาดผ่าน
เสียงเล่าลือว่าที่ว่าบุตรชายคนเล็กของท่านแม่ทัพใหญ่กำลังเกี้ยวพาคุณหนูซูคล้ายจะเป็นความจริง พรึ่บ การมาของบุรุษผู้หนึ่งไม่ได้ทำให้นางตื่นตกใจเลยแม้แต่น้อย อาจจะเพราะคาดเดาได้ว่าคนของเขาที่คอยดูแลอยู่รอบตัวนางต้องรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้คุณชายของพวกเขาทราบ “...” ชายผู้มาเยือนไม่ได้กล่าวอันใด เขาทรุดตัวลงนั่งก่อนจะหงายจอกแล้วรินชาให้ตนเองเสร็จสรรพ “...” เมื่อเขาไม่กล่าวอันใด นางก็ไม่กล่าวเช่นกัน ดวงตาดอกท้อจ้องมองผู้บุกรุกยามวิกาลตาเขม็ง สุดท้ายบุรุษผู้มีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อครู่ยอมแพ้ก่อนจะเอ่ยวาจาออกมา “หนิงเซียน เหตุใดบุรุษผู้นั้นถึงมากินข้าวร่วมโต๊ะที่จวนเจ้า” เขาเอ่ยถามเสียงเบา ในดวงตาของเขาฉายแววน้อยใจชัดเจน ตั้งแต่เด็กจนโตเขามักจะได้ยินมารดากล่าวว่าสตรีที่ทำตัวน่าสงสารมักจะถูกใจบุรุษ เช่นนั้นเขาควรทำตัวราวกับดอกสาลี่ต้องฝน นางจะได้เอ็นดูเขาให้มาก “ข้ายอมรับว่าตกใจไม่น้อยที่เห็นกวางเหลียงอี้มาที่จวน” “เขาคงอยากพบเจอเจ้า” น้ำเสียงที่กล่าวนั้นแผ่วเบา นางแสร้งไม่สนใจ
16เจ้ามารยา หลายวันมานี้แม้จะรู้สึกรำคาญใจแต่ทว่านางก็ต้องแสร้งยิ้มตอบรับและนั่งสนทนากับหม่าลี่อินที่มาหาถึงจวนทุกวัน “เจ้าอยู่แต่ในจวนเช่นนี้ ไม่เบื่อหน่ายบ้างหรือไร” คำกล่าวของหม่าลี่อินทำให้มุมปากนางยกยิ้มเล็กน้อย “ข้าจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อมีเจ้า อยู่สนทนาด้วยทุกวัน” แท้จริงหากสตรีผู้นี้ไม่มารบกวนทุกวัน นางคงนั่งอ่านตำราที่หมิงอี้เฉินนำมาให้ยืมมากมาย ช่างเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ไม่น้อย “ช่วงนี้เจ้าได้เจอคุณชายเล็ก ตระกูลหยางบ้างหรือไม่” “เขาคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับกิจการที่มีมากมายทั่วแคว้น ในบางคราข้ายังอดสงสัยไม่ได้ว่าจวนหยางไม่ได้มอบเบี้ยหวัดรายเดือนให้กับเขาหรืออย่างไร เหตุใดเขาถึงได้เปิดร้านค้ามากมายเพียงนั้น” กล่าวจบนางก็ปรายตามองอดีตสหาย และก็ไม่ผิดหวังเมื่อนางได้เห็นประกายยินดีพาดผ่านในดวงตาคู่นั้นยามได้ยินนางกล่าวถึงความร่ำรวยของหยางซีซวน “เจ้าอยากรู้ เหตุใดถึงไม่เอ่ยปากถามเขา” “เรื่องเช่นนี้ข้าจะกล้าถามได้อย่างไร ยังไม่ได้คบหาดูใจกัน เรื่องเงินๆ ทองๆ ของเขาข้าไม่อยากก้าว
มิได้! คนเช่นหม่าลี่อินจะไม่ยอมถูกบุรุษเมินเด็ดขาด นางต้องโดดเด่นเหนือซูหนิงเซียน “แต่ข้าว่ามันจืดชืด” “เจ้าไม่ชอบโดดเด่นจนสะดุดตาผู้อื่นมิใช่หรือ” “เจ้ากล่าวถูกแล้ว แต่ข้ารับปากกับท่านพ่อไว้ว่ายามออกไปนอกจวนจะต้องแต่งกายให้ดี มิเช่นนั้นจะขายหน้าท่านพ่อ อย่างไรข้าขอไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้เพียงครู่เดียว” “อืม” หม่าลี่อินรับคำพลางเก็บสีหน้าไม่ชอบใจ ซูหนิงเซียนหายไปไม่นานก็เดินกลับมาหาอดีตสหาย นางยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นประกายริษยาพาดผ่านในดวงตาของสหาย ‘ริษยาข้ามากหรือไม่’ อาภรณ์ชุดนี้บุรุษมากเล่ห์ให้คนนำมาส่งให้นางตั้งแต่ปลายยามเหม่า (05.00-07.00) กล่าวว่านางต้องงดงามยามสวมใส่ “เจ้าได้อาภรณ์ชุดนี้มาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดข้าถึงไม่ทราบ” “คุณชายหยางมอบให้ข้ายามที่เขาเกี้ยวพาข้า เห็นว่าเป็นอาภรณ์ที่ตัดจากผ้าเนื้อดี สีของอาภรณ์จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เช่นหากวันนี้อากาศเย็น อาภรณ์ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้า แต่หากวันนี้อากาศร้อนมันจะกลายเป็นสีเหลืองกึ่งส้ม แต่หากวันไหนอากาศสบายม
“พี่เหลียงอี้ ท่านมาทำอันใดแถวนี้เจ้าคะ” คำกล่าวคล้ายจะเป็นความบังเอิญ แต่นางที่รู้จักคนทั้งสองมาถึงสองชาติเหตุใดจะมองแผนการตื้นเขินนี้ไม่ออก “พี่มาเดินตรวจแถวนี้ เจ้ากับคุณหนูซูจะไปที่ใดกันหรือ” “หนิงเซียนจะพาข้าไปร้านขายอาภรณ์เจ้าค่ะ ท่านไปช่วยพวกข้าเลือกอาภรณ์ได้หรือไม่” คำกล่าวของสหายชั่วทำให้นางก้มหน้าซ่อนแววตาเย้ยหยัน ‘ข้าบอกเจ้าว่าจะมาเดินเล่นนอกจวนมิใช่หรือ ร้านอาภรณ์อันใดข้ามิเคยกล่าวถึง’ “ได้สิ พี่ยินดี” กล่าวจบมือปราบหนุ่มก็จ้องมองคุณหนูซูอย่างไม่วางตา จนหม่าลี่อินชักสีหน้าไม่พอใจ ต่อให้ตนไม่คิดแต่งกับบุรุษฐานะต่ำต้อยอย่างกวางเหลียงอี้ แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้สตรีอื่นได้ใจเขาไป “ลี่อิน เจ้าได้พบเจอคู่หมั้นแล้ว หากเจ้าอยากไปร้านอาภรณ์ให้มือปราบกวางพาไปดีหรือไม่” “แต่ข้าอยากให้เจ้าไปด้วย” เขาหรือจะสามารถจ่ายตำลึงซื้ออาภรณ์ล้ำค่าให้ตนได้ “ลี่อิน คุณหนูซูอาจจะไม่อยากไปร้านขายอาภรณ์ เจ้าอย่าได้เอาแต่ใจให้มากนัก” กล่าวจบก็หันมาจ้องมองนางด้วยแววตาหวานซึ้ง หวานซึ้งอันใดกัน ข
‘ที่เป็นเช่นนั้นเพราะนางมีจิตใจที่ดีมิใช่หรือ’ คำกล่าวของบุรุษผู้นั้นทำให้สตรีที่ถูกกล่าวถึงกำมือเข้าหากันแน่นอย่างไม่พอใจ “ลี่อิน เจ้าเป็นอันใดหรือไม่ เหตุใดถึงได้หน้าแดงถึงเพียงนั้น” “คงร้อนอบอ้าว เรารีบเดินกันเถิด” พวกปากไม่มีหูรูดเอาแต่ติฉินนินทาเรื่องของผู้อื่น สนใจเรื่องของตนบ้างเถิด สวนที่พวกนางจะไปชมดอกไม้คลายร้อนกันนั้นอยู่ไม่ห่างจากโรงเตี๊ยมเลี่ยงจินเท่าใดนัก หม่าลี่อินเลือกที่จะเดินผ่านมาทางนี้ทั้งที่อีกทางต้องเดินใกล้กว่าคงคาดหวังที่จะได้พบเจอใครบางคน เรื่องราวการพาตัวบุตรชายกลับบ้านของหยางฮูหยินในวันนั้นไม่ได้มีการถูกปิดเป็นความลับแต่อย่างใด จึงไม่แปลกที่สหายชั่วของนางจะคาดหวังว่าจะได้เจอเขาเมื่อผ่านมาที่แห่งนี้ หากทราบว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นของเขา หม่าลี่อินคงแทบจะถอดอาภรณ์วิ่งเข้าใส่ บุรุษที่นอกจากจะร่ำรวยด้วยตนเองแล้วยังมีอำนาจของตระกูลหนุนหลัง สตรีใดบ้างจะไม่ปรารถนา “เซียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังจะไปที่ใดหรือ” แม้ท่าทางจะสง่างามแต่ทว่านางกลับเห็นเหงื่อที่ผุดพรายบริเวณไรผมของเขา ‘คงร
เพียะ มือเรียวของหม่าลี่อินยกขึ้นตบใบหน้าตนเอง แม้ไม่แรงมากแต่ก็สามารถดึงความสนใจของคนรอบข้างให้หันมาสนใจได้ “ข้ามันปากไม่ดี กล่าวว่าสหายเช่นเจ้า ข้าทราบว่าเจ้ามิได้คิดเช่นนั้น ข้าเพียงแต่น้อยใจที่คู่หมั้นของตนคล้ายจะสนใจเจ้ามากกว่าข้า ให้อภัยข้าเถิดนะหนิงเซียน” “ข้าไม่เคยโกรธอันใดเจ้า อย่าได้ลงโทษตนเองเช่นนั้น ที่ข้าเปลี่ยนใจไม่ไปชมดอกไม้กับเจ้าแล้วก็เพราะข้าคิดว่าการปล่อยให้เจ้าและคู่หมั้นจิบน้ำชาชมดอกไม้กันเพียงลำพังจะได้ถือโอกาสสร้างความสัมพันธ์ที่ดีงามก่อนแต่งงาน จะว่าไปฤกษ์แต่งงานของเจ้ากับมือปราบกวางคือเมื่อใดหรือ เหตุใดเจ้ายังไม่บอกกล่าวข้า” “อย่างไรข้าก็อยากให้เจ้าไปชมดอกไม้ด้วยกัน ส่วนเรื่องฤกษ์นั้นเป็นของผู้ใหญ่หากถึงเวลาเมื่อใดข้าจะบอกเจ้าเอง” จะมีฤกษ์ได้อย่างไรในเมื่อแท้จริงนางและกวางเหลียงอี้ต่างมีเป้าหมายที่ตนต้องการ “เซียนเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ขัดขวางยวนยาง ไปเที่ยวเล่นกับพี่ดีกว่า ไม่ได้เจอเจ้านาน พี่คิดถึงยิ่งนัก” หากไม่ติดว่าต้องเล่นบทงิ้วต่อหน้าสหายชั่ว นางคงกลอกตาไปมาหลายรอบ ไม่ได้เจอกันนานอย่างไร
“อ้ายช่าง พี่คิดถึงรอยยิ้มของเจ้ายิ่งนัก” “...” “อ้ายช่าง พี่อยากเห็นรอยยิ้มของเจ้าในวันวานได้หรือไม่” “...” “อ้ายช่าง พี่ขอโทษที่เคยทำร้ายเจ้า พี่ขอโทษที่ร่วมมือกับผู้อื่นทำร้ายเจ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ พี่มันโง่เง่า” “...” “เจ้าให้โอกาสพี่ได้แก้ตัวกับเจ้าอีกสักครั้งได้หรือไม่ พี่ขอโอกาสจากเจ้าอีกเพียงครั้งเดียว” “...” “อ้ายช่างเจ้ารู้หรือไม่ แท้จริงแล้วพี่รักเจ้ามานาน เพียงแต่พี่ไม่รู้ใจตนเอง กว่าจะยอมรับว่าพี่ก็รักเจ้ามากเช่นกัน เจ้าก็พยายามจะไปจากพี่” “เฮ้อ...เอาเถิดเจ้าค่ะ ข้าง่วงแล้วเราไปนอนกันดีกว่า” “เช่นนั้นให้พี่กล่อมเจ้านอนนะ” “ไม่...” นางกล่าววาจาไม่ทันจบ ริมฝีปากนางก็ถูกปิด ลิ้นร้อนรุกเร้าโพรงปากของนางอย่างเอาแต่ใจ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการบดเบียดริมฝีปากอย่างหนักหน่วงคล้ายกับลงโทษที่นางกล่าววาจาไม่เข้าหู “ให้พี่ได้ดูแลเจ้าเถิด” เขายกตัวนางขึ้นก่อนจะวางลงบนเตียงด้านใน ไม่ปล่อยให้นางปฏิเสธอีก “อ้ายช่าง ให้โอกาสบุรุษโง่เ
แท้จริงในใจเขาอยากจะฉีกหนังสือถอนหมั้นเช่นที่เคยทำ แต่ทว่าเขากลัวว่าหากทำเช่นนั้นแล้วนางจะโกรธจนไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้อีก องค์ชายที่เคยถูกเอาอกเอาใจมาโดยตลอดอย่างเขาจึงยอมลงให้นางและหาข้ออ้างสารพัดเพื่อหลีกหนีการลงนามแทน ไม่กี่วันต่อมาเขานำขนมมาให้นางถึงจวนอีกแล้ว เมื่อเห็นเขากล่าวถึงความเลิศรสของขนมที่นำมา ในดวงตาหงส์มีประกายเย็นชาพาดผ่าน “ลี่เกา[1]ที่พี่นำมาทั้งหมดนี้ล้วนรสเลิศพี่จึงอยากให้เจ้าลองชิม” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางยังคงตอบรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย เมื่อเห็นขนมที่เขานำมาให้นางในวันนี้ นางรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก เพราะขนมทั้งหมดล้วนเป็นขนมที่กวนฮวาเหมยเคยบอกว่าชอบนักหนา แต่เซียวอ้ายช่างผู้นี้นั้น ‘แพ้เกาลัด’ “ลองชิมสิ กินคู่กับชารสดีไม่น้อย” “ได้เจ้าค่ะ ข้าจะชิมมัน แต่ต้องเป็นหลังจากท่านลงนามให้ข้าเรียบร้อยแล้ว” แม้จะต้องแพ้จนหายใจติดขัด จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดนางก็จะยอมกิน ขอเพียงแค่เขาลงนามในหนังสือถอนหมั้นให้นาง “อ้ายช่าง พี่ขอโทษในเรื่องราวที่แล้วมา พี่ไม่ขอให้เจ้าอภัยให้ เพราะพี
“คงต้องรบกวนให้เจ้าช่วยเหลือแล้ว” คนที่เคยปรามาสสหายของตนบัดนี้กลับลงมือทำเสียเอง หากหยางซีซวนทราบเข้ามิแคล้วคงล้อเลียนเขาไปอีกนาน แต่แล้วอย่างไร หากมารยาแล้วทำให้เขาได้สตรีอันเป็นที่รักกลับคืน เขาก็ยินยอมจะถูกสหายเย้ยหยัน “เช่นนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นนะเจ้าคะ” เซียวอ้ายช่างที่เห็นเลือดซึมออกจากอาภรณ์ของเขาใจคอไม่ดี จึงรีบทำตามคำขอของเขาในทันที ใช้เวลาไม่นานท่านหมอก็มาถึงและเริ่มทำการรักษา เซียวอ้ายช่างฟังคำแนะนำของท่านหมออย่างตั้งใจก่อนจะให้เจ๋อคุนมอบตำลึงแล้วไปส่งท่านหมอ แก้วตาดวงใจของตระกูลเซียวมีสีหน้ายุ่งยากเมื่อท่านหมอสั่งว่าเขาต้องกินยาในทันที แต่คนที่คล้ายจะเสียเลือดมากกลับไร้สติไม่อาจทำตามที่ท่านหมอสั่งไว้ได้ “เหตุใดข้าถึงใจแข็งกับท่านไม่ได้สักที” นางพึมพำเสียงเบาก่อนจะยกชามยาสีน่ากลัวขึ้นดื่มแล้วป้อนยาให้เขาด้วยปากของตนเอง หากท่านหมอไม่กล่าวว่าเขาต้องดื่มยาในชามให้หมดห้ามขาดแม้แต่หยดเดียวนางก็คงไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก ‘เป็นเช่นนั้นดีแล้ว’ คนที่แสร้งหมดสติอยู่คิด นอกจากเขาจะไม่ยอมถอนหมั้นนาง
น้ำตาของนางไหลรินออกมาโดยไม่รู้ตัว พี่ชายทั้งห้าคนที่ลอบฟังอยู่ด้านนอกตั้งแต่แรกรีบเข้ามาหลังจากเขาออกไป ไร้คำปลอบประโลมใดๆ มีเพียงอ้อมกอดอบอุ่นจากบุรุษที่รักนางทั้งห้าคน สุดท้ายแล้วคนที่รักนางที่สุดคงจะมีเพียงบุรุษตระกูลเซียว หลังจากนั้นนางก็ไม่ได้ออกจากจวนไปไหนอีก ข่าวการลอบเจอกันของทั้งคู่ยังคงดังเข้าหูนางอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่อาจถอนหมั้นยกเลิกสมรสพระราชทานได้ จวนเซียวจึงได้แต่ตระเตรียมงานมงคล แต่ทว่าก่อนกราบไหว้ฟ้าดินเพียงหนึ่งวันก็ได้รับข่าวว่าองค์ชายห้าหายตัวออกไปจากตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อเป็นการปลอบใจ นางจึงได้รับพระราชทานของล้ำค่าจำนวนมาก พร้อมทั้งยังได้รับคำสั่งลับให้ตามตัวองค์ชายกลับคืน ด้วยเหตุนี้นางพร้อมผู้ติดตามจึงรีบไปตามหาทันทีที่ได้รับรายงานว่าพบเขา แต่กลับต้องคลาดกันเพราะบุรุษรูปงามผู้หนึ่งเข้าช่วยเหลือ และก็อีกครั้งที่ชายแดนแคว้นหวงนางก็เกือบจะพบตัวเขาแล้ว แต่ทว่าก็คลาดกันจนได้เพราะเล่ห์เหลี่ยมของบุรุษคนเดิมที่นางทราบภายหลังว่าเขาเป็นบุตรชายคนเล็กของแม่ทัพหยาง แม้นางจะท้อแต่นางก็ยังคงตามหาเขาตามคำสั่งของฮ่องเต้
เรื่องราวของท่านหมอ 1 สตรีที่มีใบหน้างดงามน่าเอ็นดูนิ่งฟังวาจาที่เต็มไปด้วยโทสะของบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้า “อ้ายช่างเจ้าถอนหมั้นเถิด มิเช่นนั้นหากเจ้ายังดื้อรั้นตบแต่งเข้าตำหนักข้า ชีวิตของเจ้าจะไม่ได้พบกับความสุขอีกชั่วชีวิต” หากไม่เป็นเพราะนางรักเขา นางคงไม่ยอมทนให้เขากล่าววาจาร้ายกาจใส่หลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่จริงสิ่งที่นางทำไปทั้งหมดเพราะต้องการปกป้องเขาจากสตรีที่มีคู่หมายแล้วอย่างกวนฮวาเหมยที่มาดักรอหวังจะแสร้งบังเอิญพบเขา ‘คุณหนูเซียว เหตุใดท่านจึงชอบกล่าวว่าร้ายข้าเช่นนี้’ ท่าทางโศกเศร้าราวกับดอกสาลี่ต้องฝนของสตรีที่ตนพึงใจทำให้หวงหลี่จื้อเกิดโทสะ เซียวอ้ายช่าง สตรีที่เขาเคยมองว่าน่าเอ็นดูเหตุใดถึงได้ทำตัวร้ายกาจเช่นนี้ ให้บิดาขอสมรสพระราชทานหวังบีบบังคับแต่งเป็นพระชายาเขายังไม่พอ ยังชอบเอ่ยวาจาหยามเกียรติสตรีที่เขาพึงใจอีก ‘อ้ายช่าง เจ้าขอโทษคุณหนูกวนเดี๋ยวนี้’ ‘เหตุใดข้าต้องขอโทษนาง ในเมื่อที่ข้ากล่าวไปทั้งหมดเป็นความจริง’ นางกอดอกอย่างไม่ยอม ‘ช่างเถิดเพคะองค์ชาย บ่อยครั้งที่หม่อมฉันม
“ข้าเพียงแต่จะถามว่าหลังจากที่สหายชั่วช้าของข้าถูกสามีตบตีจนเจ็บหนักแล้วเป็นอย่างไรต่อเจ้าคะ” “สองแม่ลูกที่กลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงมีหรือจะยอมเรียกหมอมาดูอาการ แต่อดีตนางโลมผู้นั้นกลับหยิบยื่นความเมตตาให้ด้วยความสงสาร ท่านหมอจึงถูกสาวใช้ที่ติดตามอนุฯ ผู้นั้นพาไปรักษาฮูหยินเอกอย่างเงียบๆ” “ตระกูลกวางช่างน่าขันนะเจ้าคะ ฮูหยินเอกไม่มีสาวใช้ แต่อนุภรรยากลับมีสาวใช้เคียงกาย” “นี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สตรีผู้นั้นโกรธแค้น” แท้จริงสาวใช้ผู้นั้นเป็นคนของเขา ทั้งยังมีวรยุทธ์เก่งกาจยิ่งกว่ามือปราบกวาง “แล้วเป็นอย่างไรต่อเจ้าคะ” “ตรงนี้ร้อนแล้ว เราไปนั่งสนทนากันในเรือนดีหรือไม่” “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้านี่มันใช้ไม่ได้...” จุ๊บ ริมฝีปากของเขาแตะลงบนกลีบปากบางราวกับไม่ต้องการให้นางได้เอื้อนเอ่ยวาจา “อย่าได้กล่าววาจาเช่นนั้น พี่ไม่ได้กล่าวโทษเจ้า พี่เพียงแต่ไม่อยากให้เจ้าร้อนหรือต้องยืนเมื่อยเช่นนี้” “ขอบคุณนะเจ้าคะที่รักและห่วงใยข้าถึงเพียงนี้” เขาช่างใส่ใจนาง แต่กว่าฮูหยินน้อยจะทราบว่
ตอนพิเศษจุดจบของคนชั่วช้า เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เผลอครู่เดียวบุตรชายของนางก็อายุครบหนึ่งปีแล้ว พิธีจวาโจว[1] เพิ่งจัดไปเมื่อสามวันก่อน แม่สามีกล่าวว่าหนิงเฉิงช่างเลือกหยิบของได้เหมือนกับบิดาไม่มีผิด ดูแล้วกิจการที่มากมายของหยางซีซวนจะมีผู้สืบทอดแล้ว “กำลังคิดอันใดอยู่หรือฮูหยิน” บุรุษผู้นี้เป็นฟูจวินมานานเกือบสองปีแล้ว ความโปรดปรานที่มีให้ไม่เคยลดน้อยลง น่าสงสารก็แต่บุตรชายที่แม้จะร้องไห้งอแงเพียงใด ก็ยังถูกมอบให้แม่นมดูแล เพื่อจะได้ไม่มารบกวนบิดามารดาในยามค่ำคืน “กำลังคิดถึงคำของท่านแม่เจ้าค่ะ คิดไปคิดมาหนิงเฉิงนอกจากมีใบหน้าคล้ายคลึงกับท่านแล้ว อีกไม่นานคงเก่งกาจไม่แพ้ท่าน” ในพิธีจวาโจว มีของวางมากมาย ทั้งธนู ตำรา หรือแม้แต่ดาบ แต่พอนางปล่อยหยางหนิงเฉิงลง เจ้าเด็กคนนั้นกลับคลานตรงไปหาตำลึงทองก้อนใหญ่และซ่วนผาน[2] สายตาของบุตรชายจับจ้องของสองสิ่งนี้อย่างมุ่งมั่น ยามคลานนั้นไม่มีท่าทีลังเลเลยแม้แต่น้อย จะว่าลังเลหรือไม่ ก็มีบ้างเพียงเล็กน้อย เพราะก่อนที่เด็กคนนั้นจะคลานไปหยิบตำลึงทองและซ่วนผาน เขาพยายามจับและยกทองก้อนใ
“ใช่ แต่เป็นเพียงต่อหน้าสามีเท่านั้น เพราะลับหลังนางก็แทบจะเข้าไปตบตีกับฮูหยินผู้เฒ่า จนกวางเหลียงอี้เอือมระอาปัญหาในจวนทั้งมารดาและฮูหยินต่างผลัดเปลี่ยนกันไปฟ้องขอความเป็นธรรม สุดท้ายหอนางโลมจึงกลายเป็นที่หลับนอนของเขา” “สหายข้าคงมีความสุขไม่น้อยที่ทราบเรื่องนี้” “จากที่พี่ดูก็น่าจะมีความสุข ได้ยินว่าอีกไม่นานมือปราบกวางเตรียมไถ่ตัวแม่นางเหมยฮวาเพื่อไปเป็นอนุฯ” คนทั่วไปย่อมเข้าใจเช่นนั้นแต่แท้จริง การที่กวางเหลียงอี้ยอมไปขลุกอยู่ที่หอนางโลมเป็นเพราะนอกจากนางจะเอาอกเอาใจเก่ง นางยังมอบเงินช่วยเหลือยามที่เขาเดือดร้อนความซาบซึ้งใจนี้ทำให้กวางเหลียงอี้ยอมคล้อยตามที่นางบอกทุกอย่าง เงินทองที่คล้ายว่าจวนกวางจะมีจับจ่ายไม่ขาดมือย่อมมาจากเหมยฮวาที่เป็นคนของเขา การไถ่ตัวที่ว่ามีจริงที่ใด เพราะเหมยฮวาไม่ได้มีสัญญาอันใดกับหอนางโลมแห่งนั้นตั้งแต่แรก “คงมิใช่ว่านางโลมผู้นั้นตั้งท้องนะเจ้าคะ” “ใช่แล้ว” และอีกไม่นานนางโลมผู้นั้นจะต้องแท้งลูกเพราะฝีมือของหม่าลี่อิน สุดท้ายรับความเสียใจไม่ไหว ไปผูกคอตายในห้องที่หม่าลี่อินนอนยามค่ำคืน
“ท่าน...” นางยังไม่ทันเอ่ยวาจาต่อรองอีกครั้ง ริมฝีปากก็ถูกปิดไม่ให้เอื้อนเอ่ยวาจาปฏิเสธ ลิ้นร้อนที่เกี่ยวกระหวัดปลุกเร้าความรัญจวนทำให้นางคล้ายจะอ่อนระทวยไร้แรงต่อต้าน มือใหญ่แหวกอาภรณ์ที่บดบังให้เปิดออก นิ้วแกร่งบดเบียดแทรกเข้าไปในส่วนลึกของโพรงนุ่มที่ตอดรัดอย่างรู้งาน น้ำหวานยิ่งเอ่อล้นออกมามากขึ้นเมื่อนิ้วที่ว่างอยู่เคล้นคลึงจุดอ่อนไหว “อ๊า...” นางส่งเสียงร้องครวญครางออกมาทันทีที่ริมฝีปากเป็นอิสระ “พี่ชอบยามเจ้าครวญครางยิ่งนัก” บุรุษที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการหยอกเย้ายอดอกอวบอิ่มที่ชูชันกล่าว นิ้วแกร่งก็ขยับเข้าออกทำให้เรือนร่างที่แทบจะเปลือยเปล่าอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดเขา “อ๊า...ข้าปรารถนาท่านเหลือเกินท่านพี่” “พี่ก็ปรารถนาในตัวเจ้าฮูหยิน” กล่าวจบเขาก็จับสะโพกกลมกลึงให้ยกสูงขึ้นก่อนจะจับแท่งหยกให้ตั้งตรงแล้วกดตัวนางลง “ท่านี้ทำข้าเสียวซ่านยิ่งนัก” ทุกครั้งที่ทำท่านี้นางจะปลดปล่อยความสุขสมออกมาอย่างรวดเร็ว “พี่ก็ชอบ ยามเจ้าขยับขึ้นลง” อกอวบอิ่มที่ขยับไปมาตามแรงช่างเป็นภาพที่น่ามอง “อ๊า...ท่าน